ดับเบิล ดาร์บี้ ในอารมณ์ที่แตกต่าง
สมกับเป็นซุปเปอร์ ซันเดย์ ที่สะเด็ดสะเด่าเร้าอารมณ์แฟนบอลที่ชื่นชอบความรุนแรงไม่น้อยเลยนะครับสำหรับเกมดาร์บี้ที่มีเบิ้ลให้แฟนๆได้ชมติดๆกันของสองเมือง โดยคล้ายคลึงกันแค่ในความเป็นดาร์บี้ แมตช์เท่านั้น แต่อารมณ์ของความข้นคลั่กในเกมการแข่งขัน อย่าง "แมนเชสเตอร์ ดาร์บี้" กับ "ลอนดอน ดาร์บี้ แมตช์" ช่างแตกต่างกันคนละเรื่องเลยฟากหนึ่งทางตอนเหนือของเกาะอังกฤษ สงครามผ่าเมืองแมนเชสเตอร์ ระหว่าง "ยูไนเต็ด กับ ซิตี้"ช่างเป็นเกมที่อุดมไปด้วยความมันส์ระดับไก่ย่างห้าดาว ยังต้องแปะดาวเพิ่มขึ้นให้อีกดวง อีกทั้งบรรยากาศในเกมของดาร์บี้คู่นี้มีครบทุกรส ทั้งสุข เศร้า เหงา โหด และชวนหงุดหงิดงุ่นง่านอวัยวะเบื้องล่าง เสียอยู่สองอย่าง ถ้ามีใบแดง, จุดโทษ และ เตเวซยิงประตูได้ น่าจะกลมกล่อมครบรสมากกว่านี้อีกหลายเท่าตัวแต่ถึงกระนั้นอัตราการหลั่งอะดรีนาลีนในเกมผ่าเมืองของชนเผ่าแม๊งค์ ก็ยังจัดเข้าขั้นพลุ่งพล่าน และสามารถนำไปจัดอยู่ใน "แมตช์คลาสสิค" เกมหนึ่งในฤดูกาลนี้ได้สบายๆเลยนะครับ ไม่ว่าจะเป็นการกลับมาเยือนบ้านเก่าของเตเวซ ด้วยเสียงโห่ ที่เจ้าตัวไม่เคยคิดว่าจะได้รับจากสาวกยูไนเต็ดตามมาด้วยมหกรรมการถล่มประตู, การปฏิเสธความตายหนแล้วหนเล่าของซิตี้, ผีตุ๊กแกที่เข้าสิงเชย์ กิฟเว่น, การกลับชาติมาเกิดใหม่อีกครั้งของกิ๊กส์ และโอเว่น, ประตูสุดสวยของอดีตเด็กหงส์อย่างเบลลามี่, ประตูสุดบู่ของบิ๊กเบน กับ ริโอ และข้อถกเกียงเรื่องการทดเวลา (ที่ทำเอาใครหลายคน) บาดเจ็บไปตามๆกันขณะที่มหานครแห่งแสงสี และหรูหราอู้ฟู่อย่างลอนดอน ก็แอบเตะดาร์บี้ แมต์กับเค้าแบบเงียบๆเหมือนกันนะครับโดยมวยคู่รองในแมตช์วันอาทิตย์นี้ "เชลซี ศิษย์คาร์เล็ตโต้" มีนัดวางมวยกับ "น้องไก่เดือยคม ส.จ่าแฮร์รี่" ณ สังเวียนหญ้า สแตมฟอร์ด บริดจ์แต่ดาร์บี้คู่นี้ กลับไม่ดุเดือดเลือดพุ่งเหมือนคู่หัวค่ำเค้าหรอกนะครับ โดยก่อนเริ่มเกม มีการมอบรางวัลเกียรติยศให้กับ "ไอ้แมงมุมแดนพิซซ่า" คาร์โล คูดิชินี่ ที่ปัจจุบันลอกคราบไปเป็นพญาโต้ง โทษฐานที่เคยทำคุณงามความดีให้กับต้นสังกัดเก่าอย่างเชลซีไว้มากมายเหลือคณานับ แถมยังลาจากกันได้ด้วยดี และมีมิตรไมตรีต่อกันส่งผลให้เฮียแมงมุมในคราบไก่ ต้องก้มหน้าก้มตารับรางวัลอันทรงคุณค่านี้ไปตามระเบียบด้านดิดิเย่ร์ ดร็อกบา หลังจากได้พักเพราะโทษแบนในเกมยุโรปเมื่อกลางสัปดาห์ ก็ลงสนามด้วยความมุ่งมั่นที่จะเดินตามรอยน้องพลับด้วยการ "ขอสอง" เพื่อเพิ่มตัวเลขในบัญชีหนังสิงห์ของตัวเองให้แตะหลัก 100 ให้ได้ในเกมนี้แถมเกือบทำสำเร็จ ตั้งแต่นกหวีดจากฮาเวิร์ด เว็บบ์ พึ่งจะพ่นลมมาได้แค่ 5 นาทีเท่านั้นแต่น่าเสียดายที่กลายเป็นลูกล้ำหน้าไปก่อน ไม่งั้นดร็อกบาคงเน้นมากกว่านี้เชลซีเริ่มต้นเกมได้หวือหวาพอสมควรนะครับ โดยอีกสามนาทีให้หลังโชเซ่ โบซิงวา ก็ลองส่องบาซูก้าจากริมเส้นฝั่งขวาดูบ้าง แต่ด้วยความแม่นเกินพอดีไปหน่อยบอลจากแบ็คฝอยทองเลยลอยละล่องเข้าไปจูบสามเหลี่ยมเข้าเต็มรัก ทำเอาสาวกสิงห์บลูส์ครางฮือกันทั้งเดอะ บริดจ์เลยทีเดียวฝั่งไก่เดือยทอง ก็เริ่มโต้ตอบได้น่าขนลุกพอกันนะครับ โดยเริ่มจากบอลทะลุช่องของฮัดเดิลสตัน ที่แทงมาจากแดนกลาง แล้วเดโฟใช้ความเร็วฉีกไปรับบอลก่อนจะยิงไปติดเซฟของเช็คอย่างเหลือเชื่อจากนั้น ราวๆสิบนาที ทีเดียวที่เกมรุกของไก่เดือยทองขึงและปั่นป่วนแนวรับของเชลซีจนตั้งตัวแทบไม่ติดไม่ว่าจะเป็นลูกยิงไกลของฮัดเดิลสตัน และลูกยิงของจีนาสที่เฉี่ยวเสาออกไปเพียงแค่ปลายก้อยเท่านั้นถึงจะได้บุกบ่อย แต่เกมในแดนกลางของสเปอร์ส กลับไม่ได้เหนือกว่าเชลซีซักเท่าไหร่เอสเซียงผู้เป็นฐานเพชร ช่วยสกรีนบอลและชะลอเกมบุกของสเปอร์สได้เป็นอย่างดี จนเดโฟต้องถอยลงมาล้วงบอลต่ำอยู่หลายๆครั้ง ขณะที่มิชาเอล บัลลัค นั้นก็ดูเริ่มที่จะเข้าใจในระบบและแท็คติคของคาร์เล็ตโต้มากขึ้นเรื่อยๆ หลักฐานคือ จอมทัพจากเมืองเบียร์ หันมาเล่นเกมรับมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ยอมที่จะเป็นตัวสกรีนบอลหลังโบซิงวา ยามที่แบ็คฝอยทองวิ่งขึ้นวิ่งลง เข้าทำลายเกมทางกราบของคู่แข่ง ผิดกับมาลูด้า ที่ดูยังปรับตัวให้เข้ากับระบบใหม่ของทีมไม่ค่อยจะได้เท่าไหร่ อีกทั้งยังขาดการประสานงานที่ดีกับแอชลี่ย์ โคล ในเกมสวนกลับอีกด้วยน่ากลัวว่า โจ โคล กับ ชีร์คอฟ กลับมาได้เมื่อไหร่ มาลูด้าน่าจะลำบากไม่น้อยเลยส่วนคนที่ดูจะมีความสุขกับแท็คติคของพี่แจ้มากที่สุด เห็นจะไม่พ้นแอชลี่ย์ โคล นะครับสามีของคุณน้องเชอรีล วิ่งขึ้นวิ่งลงทางริมเส้นฝั่งซ้ายอย่างไม่รู้จักเก็บเรี่ยวแรงไว้เผื่อแม่หนูเชอรีล เอาซะเลยลากขึ้นมาประสานงานกับแลมพาร์ดทีไร ได้ลุ้นตลอด โดยประตูนำของเชลซีน่าจะเป็นเครื่องยืนยันถึงการทำงานในระบบนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพของโคลลี่ย์ได้เป็นอย่างดีซึ่งนี่เป็นประตูที่สองของอีซ้ายติดจรวดในซีซั่นนี้แล้วนะครับหากใครได้ดูเชลซีบ่อยๆ จะเริ่มเห็นแล้วว่าทีมของคาร์เล็ตโต้ไม่เน้นที่การบุกแบบระห่ำเมื่อนกหวีดเริ่มทำงาน จนดูเหมือนสิงห์ขี้เซา เป็นเครื่องยนต์ดีเซลที่ร้อนช้า อะไรประมาณนั้นแต่เชลซีมักจะใช้เกมแดนกลางค่อยๆเข้าครอบงำการเข้าทำของคู่แข่งให้เป็นอัมพาตไปทีละนิดๆ ปนโรคจิตหน่อยๆ แล้วค่อยฉวยโอกาสใช้เกมโต้กลับเร็ว ที่มีประสิทธิภาพมาตั้งแต่ยุคมูรินโญ่ เข้าทะลวงไส้แบบเลือดเย็น ก่อนจะค่อยๆครองบอลทำเกมไปเรื่อยๆ รอให้คู่ต่อสู้เปิดเกมรุกแลก แล้วช่องในการเข้าทำก็จะถ่างออกมาเรื่อยๆเองซึ่งกลไกสำคัญของการเข้าทำไม่มีอะไรยุ่งยากและซับซ้อน แค่อาศัยความเข้าใจในเกมของตัวผู้เล่นแต่ละคนในการจู่โจมเข้าทำ ปล่อยให้วิงแบ็คทำหน้าที่แทนปีก ฐานเพชรคอยเก็บบอลจังหวะสองเพื่อกดดันต่อ แล้วปล่อยให้ทุกอย่างมันเป็นไปตามสัญชาติญาณนักฆ่า ของผู้เล่นในทีมเอาเองซึ่งหลายๆคนก็มีอยู่อย่างเต็มเปี่ยมมาจนถึงตอนนี้แล้ว อันเชลอตติน่าจะซื้อใจแฟนๆสิงห์บลูส์กันได้มากขึ้นกว่าตอนเข้ารับตำแหน่งใหม่ๆ ได้อีกโข หลังจากแสดงวิสัยทัศน์ในการทำงานที่ดีให้แฟนๆได้เห็น ไม่ว่าจะเป็นการซื้อใจลูกทีม โดยเฉพาะแข้งคนสำคัญเอาไว้ได้, การกล้าคิด กล้าทำ ยามที่ทีมต้องการประตู, การเรียกสปิริตของทีมคืนมา, การทดลองให้โอกาสเด็กๆจากอะคาเดมี่ หลายๆคน ถึงแม้จะแค่ไม่กี่นาทีก็ตามและที่สำคัญ การพาทีมลงเล่นด้วยความมุ่งมั่น และ เก็บแต้มสำคัญๆ ได้เรื่อยๆ ยิ่งทำให้เครดิตของคาร์เล็ตโต้ในสายตาเชลสกี้ส์ เริ่มได้รับความไว้วางใจมากขึ้นเรื่อยๆเรื่องแย่ๆเรื่องเดียวในเกมนี้ สำหรับแฟนเชลซีก็คือ...การที่ทีมต้องเสียดิดิเย่ร์ ดร็อกบา มือปืนคนสำคัญของทีมไป (ซึ่งก็ไม่รู้ว่านานแค่ไหน เจ็บหนักหรือเปล่า?)แน่นอนว่าการเสียดร็อกบาไป ไม่ว่าจะเร็วหรือช้า ยังไงซะ ก็ย่อมส่งผลกระทบต่อทีมแน่ๆแต่ขออย่างเดียว อย่าพึ่งเสียผู้จัดการทีมไปในระหว่างฤดูกาลเหมือนสองปีที่ผ่านมาอีกก็แล้วกัน ไม่อย่างนั้นทุกอย่างที่อุตส่าห์ช่วยกันกอบกู้คืนมาทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นทีมสปิริต หรือ ความมุ่งมั่นในเกมที่กำลังดีวันดีคืน จะไม่มีค่าอะไรเลย นอกจากเสียงเย้ยหยันจากคนรอบๆข้างว่า"แชมป์.....แค่ไม่กี่นัดแรก"
อ้ายหอก"ฮัลค์" กับสิงห์บลูส์ในวันที่พระพิรุณคลั่ง
ร่วมๆ 4-5 เดือนแล้วซินะครับ ที่มหกรรมโรมรันพันตูบนยอดหญ้าของยอดทีมจากยุโรป ปิดฉากลงไป พร้อมๆกับความงดงามและน่าตื่นตาตื่นใจในสไตล์การเล่น ภายใต้อุ้งเท้าของเหล่าขุนพลจากกาตาลุนย่า แต่ในความรู้สึกของแฟนบอล โดยเฉพาะแฟนๆสิงห์บลูส์ ประตูผีจับยัดของ อันเดรส "ตี๋สเปน" อิเนียสต้า กับ บาทาลึกลับจากท้าวมาลีวราชที่ชื่อ "ทอม เฮนนิ่ง โอเฟรโบ" ที่ช่วยกันบรรจงสะกิดเชลซีให้ตกรอบรองฯ ต่อแชมเปี้ยนในบั้นปลายอย่างบาร์เซโลน่า ด้วยกฏประตูทีมเยือนไปอย่างน่าเจ็บใจลูกนั้น มันเหมือนพึ่งผ่านไปเมื่อเดือนก่อนเองนะครับ เผลอแผล็บเดียว มโหรีปี่พาทย์ของแชมเปี้ยนส์ ลีก ก็กลับมาบรรเลงเพลงแข้งกันอีกครั้งแล้ว เชลซี เปิดป้อมปราการสีน้ำเงินต้อนรับอาคันตุกะจากโปรตุเกส ด้วยสายฝนที่โปรยปรายราวกับฝักบัวแตก พร้อมๆกับที่ต้องปราศจากเงาของ 2 นักโทษอย่าง "ดิดิเยร่ ดร็อกบา" และ "โชเซ่ โบซิงวา" ที่ถูกทั่นประมุขแห่งรายการนี้ (นามมิเชล "โยน ออฟ อาร์ค" พลาตินี่) สั่งจับเข้าคุกอัซคาบันเป็นเวลาถึง 4 นัด ดังนั้น เกมแรกในบอลยุโรปของ "คาร์โล อันเชลอตติ" จึงต้องมีการปรับหมากกลในการต้อนรับอาคันตุกะจากโปรตุเกสกันพอสมควร ซาโลมอน "อ่าง เทิดเทิง" กาลู ถูกส่งลงเล่นเป็นตัวจริงนัดที่ 2 ติดต่อกัน โดยแค่สลับคู่ขาจาก "เดอะ ดร็อก แมลงสาบแมน" ในเกมกับสโต๊ค มาเป็น "นิโก้ ดื้อ..คม..ดุ" ในเกมนี้ พร้อมๆกับต้องปรับบทบาทในการเข้าทำ เพื่อให้เข้ากับแท็คติคที่พี่แจ้วางเอาไว้อีกนิดหน่อย ขณะที่แดนกลาง ก็ได้เอสเซียงกลับมายืนเป็น 11 คนแรกอีกครั้ง หลังจากเกมที่แล้วถูกสั่งให้พักเพื่อความสด(ทั้งๆที่ความจริงแล้ว เจ้าไบซันเนี่ย สดเสียยิ่งกว่านมของฟาร์มโชคชัยเสียอีก)โดยขนาบข้างด้วยฮาลฟ์กึ่งๆเพลย์เมคเกอร์ อย่างบัลลัค กับ มาลูด้า และมีแลมพส์คุง ยืนเชื่อมเกมให้อเนลก้า กับ กาลู ที่ด้านบนสุดของหัวเพชร ส่วนมิเกล ที่วันนี้ไม่มีชื่อแม้กระทั่งตัวสำรอง แฟนเชลซีไม่ต้องตกใจไปนะครับ ว่าแกไปมีเรื่องงัดข้ออะไรกับพี่แจ้หรือเปล่า? ไม่มีอะไรหรอกครับ คู่นี้เขารักกันจะตายแต่เป็นเพราะว่ากฏของยูฟ่า ที่บัญญัติไว้ว่าต้องมีนักเตะฝึกหัดอยู่ในทีมชีตด้วย 3 คน จึงทำให้มิดฟิลด์จากไนจีเรียต้องหลุดโผไปโดยปริยาย หลังบ้าน มีการโยกอิวาโนวิช ไปเล่นทางฝั่งขวา แล้วส่งริคกี้ คาร์วัลโญ่ ลงยืนตระหง่านเป็นกำแพงเหล็กเคียงบ่าเคียงไหล่กับกัปตันจอหน์ ส่วนฝั่งซ้ายน่ะเหรอครับ?ปล่อยให้ซะมีของคุณนายเชอรีล แกขุดรากฝังหนอกไว้ตรงนั้นคนเดียวเถอะครับ ตราบใดที่ "โรนัลดินโญ่รัสเซีย" ยังไม่สามารถบอกเลิกกับนางพยาบาลที่เดอะ บริดจ์ได้ในเร็ววันนี้ เกมยุโรปนัดแรกของพี่แจ้เริ่มต้นท่ามกลางพระพิรุณที่โปรยปรายมาแบบไม่ปราณีปราศัย ตามประสาเทวดาในลอนดอนนั่นแหล่ะครับ คือนึกจะตกก็ตก นึกจะหนาวก็หนาว ใครจะทำไม? (เทวดาในกรุงเทพก็เป็นกับเค้าด้วย สงสัยจะเป็นเทรนด์ใหม่) เชลซีเจ้าบ้าน ทักทายแชมป์โปรตุเกสด้วยมิสไซล์นำวิถีจากแลมพส์คุงในช่วงต้นเกม ก่อนที่เจ้ายักษ์ตาเดียว เอ้ย! เจ้ายักษ์ตัวเขียวของปอร์โต้ จะเริ่มพิโรธ ปั่นป่วนแผงแบ็คโฟร์ของเชลซีเป็นระยะๆ โดยเฉพาะในนาทีที่ 6 ที่เดอะ ฮัลค์ ลองใช้บาซูก้าส่องเชลซีดูบ้าง แต่โชคดีที่เฮียเช็คของเรา ยังยืนตำแหน่งไว้ได้ดี ก่อนจะใช้เข่ากระแทกลูกระเบิดจากเจ้ายักษ์เขียวให้พ้นอันตรายได้ออกไปอย่างน่าหวาดเสียว สายฝนที่ลอนดอน ทำเอาการให้บอลแบบเท้าต่อเท้าของเชลซีตะกุกตะกัก งึกๆงักๆ ไม่คึกไม่คัก ประมาณว่าจั่งซี่มันต้องถอน อะไรประมาณนั้นเลย ให้บอลกันสั้นไปบ้างหล่ะ ยาวไปบ้างแหล่ะ ครั้นจะหวังลูกโยนข้ามฟากเพื่อเปลี่ยนแกนในการบุก ไกเซอร์น้อย กับ อิวาโนวิช ก็ยังดูขาดความพอดีในจังหวะดังกล่าวกันอยู่เรื่อยๆ ยิ่งนักเตะปอร์โต้รับกันได้มีวินัยเท่าไหร่ ช่องในการเข้าทำก็ยิ่งดูเหลือเท่ารูมดเข้าไปเรื่อยๆหนำซ้ำ ที่ถึงแม้ปอร์โต้จะเป็นอาคันตุกะจากโปรตุเกสก็จริง แต่ในทีมกลับมีร้อยตำรวจเอกจากอเมริกาใต้ ปลอมตัวมาเล่นกันครึ่งค่อนทีม แถมยังอุตส่าห์เล่นใส่กองหน้าถึง 3 คนแบบไม่เกรงใจเจ้าบ้านอีกต่างหาก บุกแต่ละทียอมรับว่าสงสารอิวาโนวิช กับ แอชลี่ย์ โคล จับจิตจับใจ เลยครับนี่ขนาดพวกพี่ๆเค้าขายลิซานโดร โลเปซ ไปแล้วนะครับ ถ้าหมอนี่ยังอยู่ รับรองเลยว่า แบ็คของเชลซีเหนื่อยหนักกว่านี้อีกแน่นอน เพราะตัวนี้นี่เป็นทีเด็ดประจำเวทียูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกเลยทีเดียว ในเมื่อการเล่นบอลแบบเท้าต่อเท้าเริ่มขาดความแน่นอน ปอร์โต้ก็ยิ่งได้ใจซิครับพวกเขาเริ่มรู้วิธีหยุดยั้งและชะลอเกมบุกของเจ้าบ้านได้ดีขึ้นเรื่อยๆ แล้วใช้การขึ้นบอลแค่ 2-3 จังหวะ สวนกลับทีเดียวถึงหน้าประตูเชลซีอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะชอตที่โรดิเกซ ไหลบอลออกทางฝั่งซ้ายให้กอนซาเลซ เปิดย้อยให้เฟร์นานโดขึ้นขวิดแบบย้อยๆอีกที แล้วลูกก็ลอยแบบย้อยๆอีกครั้ง ก่อนจะไปตกที่บนหลังคาตาข่ายแบบย้อยๆแค่ปลายนิ้วก้อย!!! ทำเอาแฟนๆเจ้าบ้าน เสียวยิ่งกว่าเห็นหมออ้อยใส่ซีทรูมายืนเชียร์บอลข้างๆซะอีกนะครับ!
เชลซีในเครื่องหมายคำถาม
แล้วสิงห์ขี้เซา ก็ทำเอาแฟนๆหายใจไม่ทั่วท้องอีกครั้ง อัตราความตื่นเต้นจากการโกงความตายที่เคยยัดเยียดให้ช่างปั้นหม้อที่เดอะ บริดจ์เมื่อซีซั่นที่ผ่านมา (เกมนั้นแลมพส์คุงดอดมายิงช่วงทดเจ็บนาทีที่ 3 ช่วยให้เชลซีขโมยสามแต้มออกมาจากมือสโต๊คเฉยเลย) อาจไม่ทะลักล้นจนน่าจดจำมากเท่าก็จริงนะครับ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เหมือนกันว่าเกมเมื่อวันเสาร์ทำเอาผม (และสาวกสิงห์บลูส์) นั่งลุ้นจนแทบจะอยากให้ไมค์ ดีน ทำนกหวีดหายไปเลยในตอนนั้น (แถวบ้านเรียกคิดชั่วนะเนี่ย) โดยเฉพาะช่วงที่ผู้เล่นเชลซีเริ่มจะหมดมุกในการเจาะรถบัสหน้าปากประตูสโต๊ค ผมสารภาพว่าเริ่มทำใจและเมียงมองถึงหนึ่งแต้ม ก่อนจะเริ่มเตรียมตัวหันไปเอาใจช่วยน้องไก่ให้เบรคผีแดงซักนัดไปแล้วด้วยซ้ำ (แอบคิดชั่วอีกครั้ง อิอิ) แต่คาร์เล็ตโต้ กับเฮียเหม่งวิลกิ้นส์ ก็ยังอุตส่าห์ไปสะกิดเรียกเทพีแห่งโชคให้มาลงที่บริททาเนียนได้สำเร็จ ถึงแม้จะมาเกือบไม่ทัน แต่ก็ยังดีกว่าไม่มา จริงมั้ย? มิสไซล์จากอีซ้ายของมาลูด้า ที่จู่ๆก็วิ่งฝ่ารถบัสของช่างปั้นหม้อทะลุมือซิมอนเซ่นส์เข้าไป จะเรียกว่ามีโชคติดปลายสตั๊ดนิดๆ ก็ไม่น่าเกลียดเลย หนำซ้ำ ยังมาเฮงในช่วงเวลาที่เหมาะเจาะเอามากๆเลยเสียด้วยซิ เพราะนอกจากจะช่วยให้เชลซีกลับมาเก็บสามแต้มเข้าบัญชีแบบเน้นๆแล้ว ยังช่วยให้พวกเขาเริ่มสัมผัสถึงดีเอ็นเอของผู้ชนะขึ้นเรื่อยๆ ดีไม่ดีอาจช่วยเพิ่มความฮึกเหิมและความมั่นใจ ก่อนลงทำศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในกลางสัปดาห์นี้กับปอร์โต้ และอาจลากยาวไปถึงเกมกับท็อตแน่มสุดสัปดาห์หน้าก็เป็นได้ แต่ถึงกระนั้น คำถามสำหรับเชลซี และอันเชลอตติก็ยังอุตส่าห์ตามมาอีกเป็นพะเรอเกวียน การเสียประตูต่อทีมที่บกพร่องทางศักดินาอย่างฮัลล์, ซันเดอร์แลนด์ และสโต๊ค ย่อมบ่งบอกถึงความผิดปกติในกำแพงเหล็กบางอย่างของสิงห์บลูส์ได้ไม่มากก็น้อย จนเป็นที่มาของความขี้สงสัยในใจของใครหลายคน (รวมทั้งผม) ว่าเชลซีกำลังเป็น "สิงโตขี้เซา" รึเปล่า? คนเสื้อน้ำเงินในซีซั่นนี้เครื่องร้อนช้ามากๆเลยนะครับ การเน้นครองบอล รอดูเชิงคู่ต่อสู้ในช่วง 5-10 นาทีแรก กลายเป็นจุดอ่อนที่คู่แข่งสามารถนำมาใช้เล่นงานพวกเขาได้อย่างง่ายดาย หากขุนพลที่อยู่ในทีมมีศักยภาพถึงชั้น หรือมีเกรดมากกว่าที่เป็นอยู่ที่ผ่านมา เชลซียังโชคดีที่โดนเล่นงานด้วยทีมที่ศักยภาพไม่แกร่งทั่วแผ่น เลยทำให้พวกเขายังพอมีเวลาผงกหัวตั้งลำกลับมาสู่เกม จนนำมาซึ่ง 3 คะแนนได้อย่างที่เห็นกัน ลองคิดเล่นๆนะครับ ว่าหากเปลี่ยนเป็นทีมในกลุ่มหัวแถวอย่าง ลิเวอร์พูล, ยูไนเต็ด หรืออาร์เซน่อล ผมว่าโอกาสในการพลิกกลับมาขโมยแต้มแบบเน้นๆ แบบที่ผ่านมา พี่แจ้อาจต้องร้องเพลง "โอ๊ยๆ" เลยก็ได้
เกมกับสโต๊ค ก็เช่นกันฟุตบอลไดเรคท์แบบต้นตำรับอังกฤษโบราณ ลุยเป็นลุย เสียบเป็นเสียบ สร้างความลำบากและยุ่งยากในการเล่นบอลตามช่องของเชลซีมากๆ จนทำให้สิงโตชราทั้งหลายได้แต่เคาะบอลกันไปมาเพื่อหาช่องเข้าทำเท่านั้น แนวรับของสโต๊คในครึ่งแรกจัดว่ามาร์คตัวได้ดีจนน่ายกนิ้วให้ ปิดช่องเข้าทำของเชลซีจนต้องอาศัยการลากลุยทางกราบ และความสามารถเฉพาะบุคคลของเชลซี เพื่อพยายามดึงตัวประกบและถ่างช่องว่างระหว่างผู้เล่นทั้งสองทีมให้มากที่สุด ขนาดหน้าเป้าอย่างดร็อกบา ยังต้องฉีกหนีตัวประกบลงมาล้วงบอลเพื่อเปิดช่องให้เพื่อนในการเข้าทำเลยครับคุณ อีกทั้งการที่เกมต้องหยุดปฐมพยาบาลเจมส์ บีทตี้ กับ โทมัส โซเรนเซ่น ที่กินเวลานานหลายนาทีกอปรกับการเบรคเกม ตัดเกมหนักๆอยู่เป็นระยะของสโต๊ค ยิ่งช่วยให้เกมของเชลซีขาดตอน จูนกันไม่ติด ครองบอลได้ไม่ต่อเนื่อง เก็บบอลจังหวะสองไม่ได้ ลากลุยกันไม่เป็นไปเลยแถมยังมาโดนสโต๊ค สอยตาข่ายไปก่อนอีก ยิ่งทำให้เชลซีเล่นยากมากกว่าเดิมอีกพะเรอเกวียน แต่..แต่..แต่ แต่ช้าแต่...จะบอกว่าโชคดีก็ได้นะครับ ที่การเบรคเกมบ่อยๆของสโต๊ค ช่วยให้เข็มนาฬิกาในครึ่งแรกถูกยืดให้นานกว่าเดิมออกไปถึง 8 นาที อันเป็นที่มาของการตะกายมาจากหลุมอีกครั้ง (ในฤดูกาลนี้) ของเชลซี(ท่ามกลางเสียงค่อนขอดของคอมเมนเตเตอร์บางคนว่าทดเวลานานเกินไป) ขณะที่ในครึ่งหลัง สโต๊คก็กลับปล่อยให้เชลซีเดินเกมได้ไหลลื่นมากเกินพอดีไปนิด ไม่มีการเบรคเกมหนักๆเหมือนในครึ่งแรก (ซึ่งใช้ได้ผลนะ) แต่กลับไปเลือกที่จะถอยลึกลงไปตั้งโซนเพรสเสียมากกว่า เอ...ไม่สิ ขออนุญาตเรียกว่าเอารถบัสไปจอดไว้ดูจะเหมาะกว่านะครับ (ขอขอบคุณวลีเด็ดจากจ่ามู ไว้ ณ ที่นี้) สโต๊ค เลือกที่จะแพ็คหลังให้แน่นมากกว่าเดิม โดยพยายามนำบทเรียนจากครึ่งแรกที่เผลอเรอ ขาดสมาธิจนโดนแลมพส์คุง กับ ดร็อกซังโยกหลอก พร้อมแหวกด่านเข้าไปกะซวกไส้ซิมอนเซ่นส์ แล้วหวังความมหัศจรรย์ของดีแล็ปเพื่อตีหัวเข้าบ้านอีกซักครั้ง ซึ่งก็ทำได้แค่เกือบเท่านั้นแหละครับ เพราะอันเชลอตติไม่รีรอที่จะปล่อยให้เวลาเดินหนีพวกเขาไปอย่างไร้ประโยชน์ อดีตโค้ชมิลานเลือกที่จะปรับเกมในแดนกลางด้วยการส่งเอสเซียงมาช่วยเก็บบอลที่แถวสองทันที โดยหวังผลที่ความต่อเนื่องในการเข้าทำและโขยกไม่มียั้งหยุด ซึ่งในครึ่งแรกสาเหตุนึงที่เชลซีขาดความต่อเนื่องในการบุกก็เพราะมิดฟิลด์ไม่สามารถเก็บบอลจังหวะสอง เพื่อเข้าบี้ต่อได้เลย ขณะเดียวกันอันเชลอตติก็ไม่ลังเลที่จะส่งมือปืนที่ชื่อชั้นน่าเกรงขามกว่ากาลู ลงมาเพื่อสนับสนุนดร็อกบามากขึ้น โดยตามแท็คติค พี่แจ้ต้องการให้อเนลก้าช่วยดึงตัวประกบออกมาอย่างน้อยๆ 2 คนเพื่อเปิดช่องและทำลายโซนเพรสของสโต๊คให้ได้มากที่สุด เพราะตลอดเวลาที่กาลูวิ่งทำหน้าเหมือนจะร้องไห้อยู่ในสนามร่วมๆชั่วโมงนั้น ไม่สามารถตอบสนองแท็คติคที่อันเช่ต้องการให้เห็นผลซักเท่าไหร่ ซึ่งประตูชัยที่เชลซีได้ ก็ต้องให้เครดิตอเนลก้า รวมไปถึงเอสเซียงด้วยนะครับ ที่ช่วยกันเก็บบอลจังหวะสองและสามารถดึงบอลเปิดช่องให้มาลูด้าได้ส่องจนเก็บสามแต้มได้ทันท่วงที
ขณะเดียวกัน ผมก็เริ่มสังเกตุและเริ่มเข้าใจอุปนิสัยในการทำงานของอันเชลอตติมากขึ้นเรื่อยๆแล้วนะครับ โดยต้องบอกว่าปรัชญาในการทำทีมเชลซีของแก แตกต่างกับตอนคุมมิลานไม่น้อยเลยทีเดียว เฮียอันเช่แกค่อนข้างศึกษาคู่ต่อสู้แบบนัดต่อนัดอย่างละเอียด แถมยังทำการบ้านระหว่างเกมได้ดีพอสมควรอีกด้วย โดยอันเชลอตติมักจะรอดูเชิง ไม่นิยมปล่อยหมัดใส่ก่อนหากโอกาสไม่จะแจ้งจริงๆ บางที อาจเป็นเพราะว่าอันเชลอตติยังใหม่ต่อฟุตบอลพรีเมียร์ลีกมากก็ได้ บอลที่เน้นการเข้าทำเร็ว เน้นลูกโยนยาวและพละกำลัง ผสมผสานกับเทคนิคเฉพาะตัวของผู้เล่นต่างชาติที่เดินให้เกลื่อนพรีเมียร์ลีก (ซึ่งที่อิตาลีในยุคหลังๆนี้ มีไม่มากเท่า) อีกทั้งนี่ก็เป็นงานนอกบ้านเกิดครั้งแรกของเฮียแกเสียด้วย จึงต้องระมัดระวังและศึกษามากเป็นพิเศษ ซึ่งตรงนี้ผมยังมองว่าอันเชลอตติสอบผ่าน และบริหารจัดการทีมได้ดีกว่าบิ๊กฟิลเยอะเลยเรียกว่าเฮียแกปรับตัวได้เร็ว และแสดงถึงความเตรียมพร้อมในการเข้าทำงานที่นี่มาก่อนพอสมควร อนึ่ง...ผมไม่ได้มองที่ผลลัพธ์นะครับ แต่มองจากการที่อันเชลอตติพยายามรวมทีมให้เป็นหนึ่งเดียว ซึ่งถือว่าเดือนแรกในเกมลีก พี่แจ้สอบผ่านแบบฉลุยทีเดียว ขณะที่เกมรับของทีม ล่าสุดโดนรับน้องเพิ่มอีกหนึ่งเม็ด ซึ่งทำให้ยอดรวมขยับไปแล้วที่ 3 ตุง จาก 5 นัด ซึ่งต้องบอกเลยว่า คนที่คลั่งไคล้เกมคลีนชีตอย่างอันเชลอตติคงเริ่มทนไม่ได้ และเตรียมตัวหาทางขันเกมรับให้เปรี๊ยะกว่าเดิมอย่างแน่นอน (โดยเฉพาะลูกโด่ง) นอกจากนั้น เรื่องความกล้าได้กล้าเสียผมว่าเฮียอันเช่แกมีนิสัยใจเด็ดพอสมควร หากสถานการณ์ไม่เป็นไปตามที่คิด เฮียแกไม่ค่อยลังเลในการถอดผู้เล่นออกเพื่อใส่คนที่น่าจะพลิกเกมและเล่นได้ตามแท็คติคมากกว่าลงไปทันที เรียกว่าเป็นคนตัดสินใจได้เร็วเอาเรื่องคนนึง โดยที่ถึงแม้ว่าปรัชญาของโค้ชจากแดนพิซซ่าจะเป็นเพลย์เซฟแบบอิตาเลียนยังไง แต่อันเชลอตติก็ดูว้อนท์ 3 คะแนนมากกว่าที่จะกลัวแพ้ โดนเฉพาะกับเกมที่ตบเด็ก และต้องได้ 3 คะแนนเท่านั้น ซึ่งตรงนี้บอกตรงๆว่าผมชอบนะครับ ส่วนคำถามเรื่องการยืนระยะ ที่ยังแว่วลอยมาตามลมเป็นระยะๆโดยเฉพาะเมื่อมีเกมยุโรปมาคั่นกลาง มีศึกแอฟริกัน เนชั่นส์ คัพ กวักมือเรียกเมื่อตอนเดือนมกราคมแบบนี้ คงต้องรอให้เวลาเป็นเครื่องตัดสินเพียงอย่างเดียวแต่โดยส่วนตัวแล้ว ผมเชื่อว่าอันเชลอตติน่าจะเลือกบอลยุโรปมาก่อนเป็นลำดับแรก เพราะนี่คือเหตุผลเดียวที่เสี่ยหมีจิ้มอดีตโค้ชมิลานมาทำทีม อ้อ! เกมบิ๊กโฟร์ชนกันเอง ก็เป็นอีกงานหนึ่ง ที่อันเชลอตติต้องทำให้ลุล่วง เพราะอย่าลืมว่า ฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้บิ๊กฟิลโดนดึงเก้าอี้ออกจากก้นที่เดอะ บริดจ์นั้น นอกจากไม่สามารถหลอมทีมให้เป็นหนึ่งเดียวได้แล้ว อีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ทีมและตัวของเขาเองพัง ก็มาจากความห่วยแตกในการชนกับบิ๊กโฟร์นี่แหละ(สถิติ แพ้ 4 เสมอ 1 ไม่ชนะใครเลย มาชนะอาร์เซน่อล 4-1 ก็ในช่วงที่กุส ฮิดดิ้งค์เข้ามาคุมทีมแล้ว) เพราะฉะนั้นแค่อันเชลอตติ แสดงความเขี้ยวในการชนกับบิ๊กโฟร์ออกมาให้เสี่ยหมี และลูกทีมได้เห็น โดยเฉพาะเกมในบ้านที่เป็นเหมือนสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ห้ามโดนใครมาลูบจมูกเด็ดขาด (ซึ่งมูรินโญ่ เป็นคนวางมาตรฐานนี้ไว้ ไม่แปลกที่บิ๊กฟิลจะถูกลูกทีมหมดศรัทธา เพราะความซวยที่เป็นคนทำลายสถิติที่สวยหรูในบ้านลง) ถ้าทำได้ เชื่อว่าความมั่นคงในเก้าอี้สีน้ำเงินที่เดอะ บริดจ์ ของอันเชลอตติ ไม่มีทางโดนเลื่อยแบบบิ๊กฟิลแน่ๆ ขณะที่คำถามสุดท้ายที่หลายคนถามถึง "คาร์โล อันเชลอตติ" เข้ามามากเหลือเกินว่าเป็น "ของจริง" อย่างบิ๊กกุส หรือเป็น "ของปลอมทำเหมือน" อย่างลุงฟิลนั้น เอาไว้สถานการณ์ในลีก และบอลยุโรปกำลังเข้าไคล ฟุตบอลในแบบบอริ่งเชลซี ที่โดนค่อนขอด จะเป็นคำตอบของคำถามเหล่านี้เองครับ.
เชลซีในกลิ่นอายของพิซซ่า
อุไม! และแล้วนิทานกล่อมเด็กเรื่องแจ็คผู้ฆ่ายักษ์นาม "เดอะ คลาเร็ตส์" ก็มาถึงช่วงพักโฆษณาที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ตามคาดเลยนะครับ หลังจากกองทัพของโอเว่น คอยล์เดินทางมาปีนต้นถั่วที่เดอะ บริดจ์ ท่ามกลางความกดดันที่สื่อผู้ดีโยนไปให้โดยไม่ตั้งใจก่อนจะพบว่ายักษ์ตัวนี้ ใหญ่และเบิ้มเกินกว่าที่จะสร้างวีรกรรมอันลือลั่นเป็นนัดที่ 3 ติดต่อกันแต่ถ้าเกิดจับพลัดจับผลูทำได้ขึ้นมา รับรองเลยครับว่า "กระหึ่ม!!!"สารภาพว่าตั้งแต่เปิดฤดูกาลมา นอกจากเชลซีที่ผมติดตามมาทุกนัด ก็มีแมนฯซิตี้ กับ เบิร์นลี่ย์นี่แหละครับที่ผมได้มีโอกาสนั่งชมด้วยความไม่ตั้งใจถึงทีมละ 2 นัดติดๆเบิร์นลี่ย์ภายใต้การกำกับการละเล่นโดย เฮียโอเว่น คอยล์ นั้นเป็นฟุตบอลในแบบฉบับอังกฤษโบราณ ผสมผสานกับโมเดิร์นฟุตบอล โดยเฮียแกมีทีเด็ดอยู่ที่จังหวะฉาบฉวย ซึ่งใช้ได้ผลมาตั้งแต่นัดเพลย์ออฟเลื่อนชั้น มาจนถึง 2 เกมล้มยักษ์ในบ้านล่าสุดนั่นแหละครับโดยจะว่าไปแล้ว เกมที่สแตมฟอร์ด บริดจ์นั้น ลูกทีมของคอยล์ไม่ได้เล่นอะไรผิดไปจากแผนที่ผู้เป็นกุนเชียง เอ้ย! กุนซือวางเอาไว้เลยนะครับ ตั้งรับให้แน่น ใช้คุณลุงเกรแฮม อเล็กซานเดอร์ ที่ฤดูกาลก่อนโชว์ความอึดด้วยลงล่าเนื้อให้เบิร์นลี่ย์ทุกนัด ทั้งที่วัยเลยเลขสามไปหลายเพลาแล้ว ลงทำหน้าที่คอยสกรีนบอลหน้าแผงแบ็คโฟร์ร่วมกับ คริส แม็คแกนน์ก่อนจะไปหวังจากลูกฉาบฉวยอย่างที่ผมว่าเอาไว้เมื่อบรรทัดข้างต้นนั่นแลซึ่งจะว่าไป ก็เกือบได้ผลด้วยนะครับ หากลูกยิงของมาร์ติน เพตเตอร์สัน ในช่วงครึ่งแรกที่ได้สบโอกาสล่อเป้าปีเตอร์ เช็คโล่งๆ แต่กลับยิงหลุดกรอบออกไปอย่างน่าเขกกะโหลกถ้าลูกนั้นวิ่งเข้าไปจูบที่ก้นตาข่ายของเชลซี ผมว่าเบิร์นลี่ย์น่าจะได้ความฮึกเหิมเพิ่มขึ้น พร้อมโยนความกดดันไปให้เชลซีแบบเลี่ยงไม่ได้เลยนะครับ แต่ไฮไลท์ของเบิร์นลี่ย์ในเกมนี้ กลับเป็นนายทวารร่างเบอะ "ไบรอัน เยนเซ่น" ที่ผีตุ๋มติ๋มเข้าสิงหรือไงไม่ทราบ โชว์ฟอร์มระดับ 5 ดาว ปฏิเสธการทำลายล้างของเชลซีเน้นๆถึง 5 ครั้ง!นับเฉพาะที่ผมเห็นจะจะคาตา ก็ตั้งแต่ตอนที่นิโก้หลุดเดี่ยว ที่ถึงแม้จะเป็นเพราะมือปืนเฟร้ช์แมนจับบอลยาวไปหน่อยก็จริง แต่ก็ต้องถือว่ายักษ์เดนส์แห่งเบิร์นลี่ย์ก็ออกจากซองมาข่มขู่ได้เร็วเหมือนกันด้วยไล่เรียงมาจนถึงลูกยิงด้วยอีซ้ายของ "กัปตันจอห์น" จากลูกเตะมุม ต่อด้วยลูกยิงของเอสเซียงหน้ากรอบเขตโทษถึง 2 ครั้ง ก่อนจะเหินหาวปัดลูกโหม่งของไกเซอร์น้อยช่วงท้ายครึ่งแรก ที่เกือบมุดเสียบใต้คาน เอาไว้ได้แบบชนะใจแฟนๆคลาเร็ตส์ไม่น้อยถึงแม้หลายๆคนจะมองว่า ผู้เล่นเชลซียิงไปตรงตัวของเยนเซ่นเองมากกว่าแต่ก็ต้องชมยักษ์เดนส์คนนี้ด้วยนะครับ ที่ยืนตำแหน่งได้ดีพอสมควรเลย หากเราสังเกตผู้รักษาประตูที่มีฝีมือในระดับแนวหน้าหลายๆคน เราจะสังเกตเห็นนะครับว่านายทวารเหล่านี้ จะมีการยืนตำแหน่ง หรือ Shot Stoping ที่ดีมากๆไม่ต้องบินไปบินมาเหมือนประตูที่มีเกรดรองลงไป อ่านเกมในจังหวะของคู่แข่งได้เฉียบ นั่นก็ช่วยให้ไม่ต้องออกแรงวิ่งไปมาระหว่างสองเสามากนัก ซึ่งตัวอย่างใกล้ๆก็คือเฮียเช็คของเชลซีไงครับกลับมาที่เกมในสนามกันอีกครั้งเชลซีในยุคสมัยของคาร์เล็ตโต้ ยังคงเน้นที่เกมตรงกลางเหมือนที่แฟนบอลและตัวนักเตะเริ่มจะคุ้นชินกันบ้างแล้วนะครับ จอมทัพ 4 คนจาก 4 ชาติอย่าง เอสเซียง, บัลลัค, แลมพส์ และเดโก้ ลงสนามแบบพร้อมหน้าพร้อมตากันอีกครั้ง หลังจากเจ้าไบซัน และพี่ตั๊กบริบูณ์เมืองฝอยทอง ถูกถอดให้พักในเกมที่ไล่ตะปบฟูแล่มเมื่อสัปดาห์ก่อน โดยเกมนี้คาร์เล็ตโต้จัดให้ยืนในระบบต้นคริสต์มาสแบบหลวมๆ ซึ่งหมายความว่าสามารถปรับโหมดไปเล่นในระบบไดมอนด์ระหว่างเกมได้ด้วยโดยทั้งนี้ อันเชลอตติแกบอกว่า แผนการเล่นจะออกมาแบบไหนก็ขึ้นอยู่กับการวางที่ทางของอเนลก้านะครับ ว่าจะปรับบทบาทให้ไปโลดแล่นอยู่ตรงไหน หากนิโก้ถ่างไปทางขวาก็จะเป็นระบบต้นคริสต์มาสโดยมีเดอะ ดร็อก ยืนห้อย (หมายถึงห้อยที่แดนหน้านะครับ ไม่ใช่ปาก) แต่หากหัวหอกเฟร้นช์แมนอยากหุบเข้ากลางมากขึ้นเพื่อประสานงานกับเจ้าดร็อก ตำแหน่งในการยืนจะค่อยๆหมุนไปที่ระบบไดมอนด์ตามกลไกของแผนการเล่น ที่เฮียอันเช่แกวางเอาไว้ด้านหลังบ้าน น่าจะเป็นชุดใหญ่ในใจของเฮียอันเช่อย่างแท้จริง ไล่จากขวาไปซ้ายนะครับ โบซิงวา, คาร์วัลโญ่, เทอร์รี่ และ น้องแอ๊ด สามีคุณนายโคล ตามลำดับ ซึ่งเกมนี้ต้องบอกว่า นอกจากลูกยิงที่เพตเตอร์สัน ยิงหลุดกรอบไปเองลูกนั้น ก็แทบไม่มีจังหวะไหนเลยที่เด็กในคาถาของโอเว่น คอยล์ จะสามารถรุกรานหรือกดดันกำแพงหินแห่งเดอะ บริดจ์ ทั้งสี่ไปได้เลยอย่างที่บอกนั่นแหละครับ เจ้ายักษ์เดนส์ของเบิร์นลี่ย์ช่วยรักษาพรหมจรรย์ของทีมเอาไว้ได้มากมายก็จริง แต่การมูฟเม้นท์ และการเข้าทำตามช่องในสไตล์อิตาเลียนจ๋าของเชลซี ก็ทำเอาทำนบของเบิร์นลี่ย์แตกเอาจนได้แถมมาพังเอาในช่วงเวลาที่เหมาะสมของเชลซีเสียด้วยนะครับบอลตามช่องของเชลซีป่วนกำแพงของเบิร์นลี่ย์ได้มากทีเดียว ดร็อกบาเล่นแบบกระตือรือร้นมากอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อนหลังการจากไปของมูรินโญ่ ขณะที่นิโก้ก็เคลื่อนที่เพื่อควานหาบอลอยู่ตลอดเวลา ทำให้กองหลังเบิร์นลี่ย์ยากต่อการประกบไม่น้อยประตูแรกที่ได้ ก็เริ่มมาจากการให้บอลทะลุช่องที่ยอดเยี่ยมมากๆของเอสเซียง ที่วันนี้เล่นเหมือนเป็นจุดศูนย์กลางของทีมอย่างแท้จริง เจ้าไบซันทั้งเก็บบอล, แย่งบอล และเป็นตัวกระจายบอลจากรับเป็นรุกได้ดีเอามากๆ อีกทั้งการที่เอสเซียงสลับดอกกับแลมพส์และบัลลัค ขึ้นไปป้วนเปี้ยนหน้ากรอบเขตโทษบ้าง ยิ่งช่วยให้โซนเพรสของเบิร์นลี่ย์ค่อยๆถูกกระเทาะไปทีละนิดๆ โดยไม่รู้ตัวเพราะการยืนตำแหน่งและเคลื่อนที่ของกองกลางทั้ง 4 ของเชลซีในเกมนี้ หาตัวจับยากจริงๆเดี๋ยวแลมพส์แล่บมาทางซ้าย เดี๋ยวไกเซอร์น้อยย้ายมาแทนที่เอสเซียง เผลอแผล่บเดียวเดโก้ทะลุขึ้นมาถึงหน้าประตูแล้ว หันกลับมาจะโต้กลับ ก็เจอตออย่างเจ้าไบซันเก็บบอลไว้ได้อีกคุมเกมในสนามได้ขนาดนี้ แถมเล่นในบ้านด้วย ต้องบอกว่าเบิร์นลี่ย์เหนื่อยไม่น้อยเลยล่ะครับหนำซ้ำ พอเสียประตู โอเว่น คอยล์เลือกที่จะลงมาแลกกับเชลซีในครึ่งหลัง แต่กลับกลายเป็นว่าคอยล์ขุดหลุมฝังลูกทีมตัวเองไปโดยไม่รู้ตัวเสียอย่างนั้นอย่างที่รู้อยู่ว่า เชลซีมีทีเด็ดในการเข้าทำตามช่อง การเปิดเกมรุกแลก ยิ่งทำให้แผงหลังของเบิร์นลี่ย์เปิดกว้างมากกว่าเดิม ก็ขนาดที่ว่าครึ่งแรกมาเน้นรับ ยังไม่แคล้วโดนลูกทีมของคาร์เล็ตโต้นวดตลอด 45 นาทีแล้วจะไปนับประสาอะไรกับการเปิดเกมแลกเล่าครับ มีแต่ยิ่งทำให้เชลซีเล่นง่ายขึ้นและกองหลังของตัวเองเหนื่อยขึ้นก็เท่านั้นอีกทั้งประตูที่สองของเชลซี ยังมาเกิดในช่วงเวลาที่เหมาะสมอีกแล้ว นั่นก็คือเข็มนาฬิกาครึ่งหลังพึ่งกระดิกไปได้แค่ 3 นาทีเท่านั้นเองบอลเริ่มต้นมาจากนิโก้ที่แทงทะลุช่อง (อีกแล้ว) ให้กับแลมพส์คุงที่วิ่งแล่บเข้าไปในเขตโทษอย่างรวดเร็ว พร้อมกับบรรจงหยอดไปให้ไกเซอร์น้อยทิ้งตัวโหม่งระยะ 6 หลาเข้าไปจมที่ก้นตาข่ายอย่างไม่ยากเย็นนักก่อนจะตบท้ายด้วยการทำชิ่ง 1-2 ของแลมพส์กับโคลลี่ย์ ต่อหน้าต่อตากองหลังของเบิร์นลี่ย์เข้าไปกดด้วยอีซ้ายเน้นๆในอีก 5 นาทีให้หลังจากประตูที่สองเน้นชนิดที่ว่าต่อให้เยนเซ่นผีเข้าขนาดไหน ก็หมดสิทธิ์เหมือนกันกับลูกยิงของแอชลี่ย์ โคลก่อนที่คาร์เล็ตโต้จะปิดเกม ด้วยการทยอยส่งผู้เล่นสำรองลงมาให้คุ้นชินกับระบบมากยิ่งขึ้น อีกทั้งการทุบเบิร์นลี่ย์ในเกมนี้ คงต้องบอกว่าเป็นไปตาม "มาตรฐาน" เท่านั้นนะครับถึงจะฟอร์มแรงยังไง เชลซีก็ยังคงจะถูกตั้งเครื่องหมายคำถามต่อไปว่า เมื่อเจอทีมที่กระดูกแข็งกว่านี้ จะยังคงไล่ทุบไล่รังแกชาวบ้านเค้าแบบนี้ได้อีกหรือเปล่า?แต่หากลองมองให้ลึกดู โปรแกรมในลีกช่วงต้นซีซั่นของเชลซีค่อนข้างเอื้อต่อคาร์เล็ตโต้ไม่น้อยเลย ทีมที่เชลซีลงประลองด้วยแต่ละทีม เหมือนจะค่อยๆเพิ่มระดับความยากมากขึ้นในทุกๆสัปดาห์ยอมรับว่าเห็นเชลซีในเกมกับเรดดิ้ง (ปรีซีซั่น), แมนฯยูฯ (คอมมิวนิตี้ ชิลด์), ฮัลล์ ทั้ง 3 เกมนี้แล้วผมอดห่วงคาร์เล็ตโต้ไม่น้อยเลยนะครับไดมอนด์ของแกเหมือนจะเป็นไดมั่วในหลายๆจังหวะ ตัวนักเตะยังไม่ซึมซับกับระบบเท่าที่ควร อาจเป็นเพราะระบบที่มูรินโญ่ใช้ มันฝังรากลึกเข้าไปการมูฟเม้นท์ของผู้เล่นเชลซีแต่ด้วยความที่คาร์เล็ตโต้เป็นกุนซือที่มีจิตวิทยาสูงคนนึงการที่เขาปรับตัวเข้าหาทีม และทีมปรับตัวเข้าหาเขา มันค่อยๆเริ่มเห็นผลในรูปแบบของผลการแข่งขัน และทิศทางที่ดีขึ้นกับระบบใหม่มากขึ้นเรื่อยๆ กอปรกับความมุ่งมั่นที่พุ่งขึ้นมาจนแทบทะลักของเด็กดื้อทั้งสองหน่ออย่าง ดร็อกบา และ อเนลก้านับว่าเป็นเรื่องดีๆ ที่ผมอยากเห็นจากทั้งสองคนนี้มากที่สุด เพราะนั่นหมายถึงปืนกลที่พร้อมรบอยู่ตลอดเวลาขณะที่แลมพส์ดูเหมือนจะถูกลดบทบาทในการทำประตูลงไป แต่ก็ถูกทดแทนด้วยแอสซิสต์งามๆ บวกกับเซนส์ของแฟนบอลที่เหนียวแน่นคนนึงของทั้งเชลซี ,แลมพส์คุง และเฮียคาร์เล็ตโต้ มันกระซิบบอกครับว่าอะไรๆกำลังลงตัวขึ้นเรื่อยๆทุกวันนี้มาตรฐานของแชมป์พรีเมียร์ลีกถูกดันให้สูงขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก (ซึ่งคนที่ทำให้เป็นอย่างนั้น ก็คือเชลซีนี่เองแหละ แหะๆ) ดังนั้น 3 แต้มจากทีมที่ต้องเก็บให้ได้อย่างนี้ ถือว่าสำคัญมากดังนั้น ถึงใครจะมาถากถาง, ปรามาส หรือองุ่นเปรี้ยวอะไรก็ตามแต่ผมและแฟนๆสิงห์บลูส์ กำลังเชื่อครับ......เชื่อว่าเชลซี และ คาร์โล อันเชลอตติ กำลังเดินมาถูกทาง และเดินมาด้วยแรงใจที่ต้องการลบคำสบประมาททั้งหลายแหล่ด้วย.
9 แต้มเต็มของเชลซี กับ การหมุนเวียนแข้งพันล้าน
ฟุตบอลในแบบอิตาเลียนสไตล์ของคาร์เล็ตโต้ พาสิงห์บลูส์เลียบๆเคียงๆเก็บ 3 แต้มเข้าบัญชีแบบเบาๆ ไม่กระโตกกระตากอีกแล้วนะครับ เชลซีภายใต้การกำกับการละเล่นโดยคาร์โล อันเชลอตติ ตั้งเป้าเอาไว้ที่ 21 แต้มเต็ม ก่อนจะถึงวันทำข้อสอบกลางภาคในเกมดวลกับลิเวอร์พูล วันที่ 4 ตุลาคมนี้ ซึ่งวันนั้นจะเป็นวันที่ไขข้อข้องใจให้นักวิจารณ์และแฟนบอลได้เห็นและประเมินว่า ผลงานที่แจ่มจันท์ในช่วงต้นฤดูกาลนี้ เป็น "ของจริง" หรือ "เพียงแค่ภาพลวงตา" อย่างที่บางคนปรามาสกัน เกมทุบเจ้าสัวน้อยนิ่มๆเมื่อคืนที่ผ่านมา เชลซีสลัดความเป็นสิงห์ขี้เซาทิ้ง ก่อนจะหันมามีสมาธิกับการครองบอลและตัดการเข้าทำของคู่ต่อสู้ออกไปจากเกมได้ใกล้เคียงกับที่อันเชลอตติต้องการเห็นมากกว่า 2 นัดที่ผ่านมาเยอะพอสมควร แดนกลางควบคุมเกมเอาไว้ได้เกือบหมด มีสมาธิ และครองบอลจนกินพื้นที่ให้กองหน้าของฟูแล่ม ต้องถอยลึก และถูกตัดออกไปจากเกมในที่สุดขณะที่แบ็คทั้งสองข้างก็มีเวลาและพื้นที่มากพอในการสอดขึ้นไปจู่โจมคู่ต่อสู้ตามแท็คติคที่วางไว้ แต่ดูเหมือนว่าสนามจะเอียงไปทาฝั่งของสามีคุณน้องเชอรีลซะมากกว่า จนฟูแล่มเริ่มจับทางได้ แต่ก็ไม่วายโดนทีเด็ดของเชลซีที่จู่โจมจากตรงกลาง และเผด็จศึกโดย "เดอะ ดร็อก" ได้ในที่สุด จะด้วยเกรดบอลที่มากกว่าหรืออย่างไรก็แล้วแต่ เชลซียุคคาร์เล็ตโต้แสดงให้เห็นถึงความนิ่งและความเขี้ยวได้ในระดับที่น่าพอใจไม่น้อยเลยนะครับการนวดคู่ต่อสู้ด้วยการครองบอลไปมา ออกบอลง่าย เสียบอลยาก ได้บอลคืนมาเร็ว และไม่ผลีผลามบุกแบบลืมตาย ถึงแม้จะโดนนำไปก่อนก็ตาม ที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้นนั่นก็คือ สายตาการอ่านเกมที่เข้าขั้นเหยี่ยวของคาร์เล็ตโต้ อันเชลอตติ แก้หมากในช่วงพักครึ่งได้เก่งพอตัว จากการเฝ้ามองของผมใน 2-3 นัดที่ผ่านมา (รวมคอมมิวนิตี้ ชิลด์ด้วย) อีกทั้งครึ่งแรกหลังจากได้ประตูนำ ครึ่งหลังเชลซีถูกออกแบบให้ลงมาปิดเกมโดยเฉพาะ การเข้าทำไหลลื่นขึ้นเพราะถูกชี้โพรงจากคนเป็นโค้ชมาแล้ว ริมเส้นสองข้างถูกแนะแนวให้สลับกันขึ้นบอล เพื่อความสมดุลและหยุดการเติมเกมจากทางกราบของฟูแล่ม บอลถูกถ่ายให้เข้าทำตรงกลางมากยิ่งขึ้น พร้อมๆกับเน้นแทงบอลทะลุช่องตรงที่ว่างระหว่างคู่เซนเตอร์ของฟูแล่มที่ดูจะมีปัญหากับการเคลื่อนที่ของคู่ศูนย์หน้าของเชลซีไม่น้อย อเนลก้าถูกกำชับให้หุบเข้ามาตรงกลางมากกว่าเดิม หลังจากครึ่งแรกถ่างออกไปป้วนเปี้ยนเพื่อควานหาบอลแถวๆริมเส้นมากเกินไป ก่อนจะแสดงให้เฮียอันเช่เห็นว่าคิดถูกแค่ไหนกับการส่งเขาลงไปล่าตาข่ายพร้อมๆกับเดอะ ดร็อก ด้วยการสอดไปรับบอลตามเซนส์ของมือปืนระดับโลกที่ทันกัน พร้อมกับเช็คบิลปิดประตูลงกลอนในการคัมแบ็คของฟูแล่มอย่างสิ้นเชิงในช่วงกลางครึ่งหลัง หลังจากนั้น ก็เป็นการซักซ้อมการครองบอลของเชลซีจนกระทั่งหมดเวลา จุดที่น่าสนใจของเชลซีนอกจากการเข้าคู่ที่เริ่มไหลลื่น และเข้าใจกันมากขึ้นของนิโก้-ดร็อกแล้วการโรเตชั่นนักเตะของคาร์เล็ตโต้ ก็เป็นอีกเรื่องที่น่าพูดถึงไม่แพ้กันนะครับด้วยความที่เชลซีเป็นทีมที่สะพรั่งไปด้วยผู้เล่นระดับเอกอุในแทบจะทุกๆตำแหน่ง โดยเฉพาะกองกลาง กอปรกับเกมการแข่งขันที่หนักหน่วงและโปรแกรมที่ชุกชุมของลีกอังกฤษ อันเชลอตติจึงต้องปรับตัวด้วยการหมุนเวียนผู้เล่นในแทบจะทุกๆเกมที่ลงสนาม แล้วถามว่า นักเตะจะเข้าขากันเหรอ?ผมว่าคำตอบน่าจะอยู่ที่ระบบมากกว่านะครับ นักเตะชุดนี้ส่วนใหญ่เล่นด้วยกันมานาน แถมเซนส์บอลของพวกนี้ก็ทันกันพอสมควร เรื่องเข้าขาไม่น่าจะเป็นปัญหาใหญ่เท่าไหร่หรอกครับเพราะถ้านักเตะมีความเข้าใจในระบบแล้ว ไม่ว่าจะส่งใครลงมา ผลลัพธ์ไม่น่าต่างกันมากเท่าไหร่ (เว้นเสียแต่ว่า ระบบจะทำลายศักยภาพที่เคยมีในตัวของนักเตะ) ผมมองว่าเฮียอันเช่ต้องการถนอมร่างกายของผู้เล่นเชลซีที่มีอยู่ให้สดและพร้อมที่สุด สำหรับเกมต่อๆไป โดยเราต้องไม่ลืมว่านักเตะของเชลซีกว่าค่อนทีม แก่จนเข้าขั้นเก๋าเกมกันทั้งนั้น จะให้มาวิ่งหวดลูกหนังติดๆกันตั้งแต่ช่วงต้นฤดูกาล เห็นท่าจะไม่เวิร์คในระยะยาวเราจึงได้เห็นการปรับเปลี่ยนนักเตะกันบ่อยๆ โดยเฉพาะเมื่อยามที่ทีมมีประตูนำจนน่าพอใจแล้วอย่าลืมกันนะครับ ว่าผู้เล่นเชลซีของเรา ส่วนใหญ่ก็เข้าหลัก 3 กันแล้ว และที่สำคัญเมื่อเข้าเดือนมกราคม ฟุตบอลแอฟริกัน เนชั่นส์ คัก ก็ต้องมากวักมือเรียกนักเตะสำคัญๆของเราไปร่วมทีมอีกเพียบเลย ทดลองเอาไว้ก่อน ก็ไม่เสียหายเลยครับ เฮียอันเช่นั้นแกประเมินคู่แข่งมาเป็นอย่างดีแล้ว ถึงค่อยเลือกผู้เล่นที่สามารถตอบสนองแท็คติคของแกได้ดี ให้ลงไปเริงระบำบนฟลอร์หญ้าในแต่ละนัดอย่างนัดที่เจอฟูแล่ม จะเห็นได้ว่าเชลซีแทบไม่เสียฟรีคิกในระยะอันตรายให้เจ้าสัวน้อยเลยทั้งนี้ ก็เพราะฟูแล่มมีทีเด็ดจากปลายสตั๊ดทั้งใกล้-ไกล ของเมอร์ฟี่ นักเตะเชลซีจึงถูกกำชับไม่ให้เสียฟาวล์ในระยะทำการเด็ดขาด อีกทั้ง "การพักไปกับบอล" ตามแบบฉบับของมูรินโญ่ ก็ถูกนำมาใช้อีกครั้งหลังอันเชลอตติ เข้ามาดูแลจัดการทีม "การพักไปกับบอล" คือเทคนิคการพักเหนื่อยระหว่างเกมการแข่งขัน โดยไม่ต้องออกมานั่งที่ข้างสนาม โดยหลักการนี้เหมาะกับทีมที่อุดมไปด้วยผู้เล่นวัยเลขหลัก 3 แต่มากด้วยเกรดบอล (อย่างเชลซี) ซึ่งอันเชลอตตินำมาถ่ายทอดให้กับนักเตะเชลซีอีกครั้งได้อย่างมีประสิทธิภาพไม่แพ้สมัยมูรินโญ่เลย ทั้งนี้ ทั้งนั้น นี่พึ่งจะเป็นการลั่นกลองรบเท่านั้นฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ก็เหมือนหนังชีวิต ต้องรอดูกันยาวๆ เพียงแค่การออกสตาร์ทได้ดี นอกจากช่วยเรื่องกำลังใจแล้ว คะแนนที่ได้ก็ถือว่ามีค่ามากพอเมื่อถึงช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ การไล่เก็บคะแนนกับทีมระดับกลางถึงล่างให้ได้เยอะที่สุดอย่างที่เฮียอันเช่กำลังทำอยู่ ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีนะครับ ถึงแม้ว่าเชลซียังไม่เจอบททดสอบที่เป็นของจริงอย่างที่ใครต่อใครเค้าว่ากันแต่ภาพรวมเท่าที่เห็น เชลซีก็ยังไม่เข้าที่เข้าทางเหมือนกับบิ๊กโฟร์ทีมอื่นนั่นน่ะแหล่ะครับแต่ศักยภาพของนักเตะและการแก้เกมของกุนซือต่างหาก คือสิ่งที่ทำให้เชลซีเก็บสะสมคะแนนเข้าบัญชีพรีเมียร์ลีกมากกว่าทีมอื่นๆ (ยกเว้นสเปอร์ส) ถึงบางคนจะปรามาสเชลซีว่าเจอแต่ของปลอมแต่ผมชอบครับ ที่เจอของปลอมแล้วเก็บ 3 แต้มเต็มๆไปเรื่อยๆ เพราะเมื่อถึงเวลาเจอของจริงจะเสียแต้มบ้าง ก็ยังมีแต้มที่ตุนจากของปลอมเอาไว้มาช่วยได้ไม่น้อยเลยนะครับ.