นักมายากลคัมแบ็ค
นานแค่ไหนกันนะที่สาวกสิงห์บลูส์ ไม่ได้ยลการเริงระบำบนฟลอร์หญ้าอันวิจิตร จากการรังสรรค์ด้วยปลายสตั๊ดของนักมายากลเลือดสีน้ำเงินจากลอนดอนตะวันออกตัวเล็กๆคนนี้"โจเซฟ จอห์น โคล"ชื่อนี้อาจจะไม่กระดิกรูหูแฟนบอลทั่วไปเท่าไรนัก แต่หากเรียกนักมายากลที่แพรวพราวด้วยทริก และกลลูกหนังอันมหัศจรรย์บนสนามหญ้าคนนั้น ด้วยอีกชื่อที่สั้นและกระชับกว่าว่า "โจ โคล" เชื่อว่าแฟนบอลทั่วไปน่าจะรู้จักนักมายากลตัวเล็กๆคนนี้เป็นอย่างดีแน่นอน ถึงแม้จะไม่ใช่แฟนเชลซีก็ตาม
สมการใหม่สิงห์บลูส์ [นิวนิโก้ + นิวมิช่า = สมดุล]
ว่าจะละเลงคีย์บอร์ดถึงความเปลี่ยนแปลงของกุญแจอีกสองดอกในทีมเชลซีอย่าง "นิโกล่าส์ อเนลก้า" กับ "มิชาเอล บัลลัค" มาหลายครั้งแล้วนะครับ แต่ยังหาโอกาสเหมาะๆไม่ได้ซักที แต่หลังจากเกมยุโรป ที่สิงห์บลูส์จัดการโด๊ปดีหมีมาบำรุงขวัญและกำลังใจ เพื่อลบเลือนความพ่ายแพ้เมื่อเกมสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมเลยได้โอกาสในการหล่นมุมมองของสองคีย์แมนทั้งสองไปพร้อมๆกับชัยชนะของทีมในคราวเดียวกันเลยเพราะฟอร์มการเล่นของทั้งสองคนนั้น มันเข้าตาและน่ากระแทกคีย์บอร์ดถึงจริงๆ ถึงแม้ว่า "ซาโลมอน กาลู" ดาวยิงที่ชอบทำหน้าเหมือนจะร้องไห้อยู่ตลอดเวลา (แถมยังนิยมใส่ยูนิฟอร์มของเชลซีแบบ "เด๊ปๆ" อีกต่างหาก) จะทำตัวน่ารักน่ากระทบมือดังๆ พร้อมกับยกนิ้วโป้งมือและเท้า (ในบางโอกาส) ด้วยการงัดจุดสามห้าเจ็ด แม็กนั่ม ขึ้นมาลั่นใส่หมีจากสเปนถึงสองเม็ดซ้อนๆ ก็จริง แต่เบื้องลึกเบื้องหลังของความสำเร็จในการล้มหมีแบบมีคลาสของมือปืนโกต ดิวัวร์ รายนี้ คือความสมดุลที่เกิดขึ้นจากปลายสตั๊ดของแผงมิดฟิลด์ในระบบไดมอนด์ ผสมผสานกับต้นคริสต์มาสแบบหลวมๆต่างหาก ที่ช่วยขับและส่งให้กาลูดูหล่อขึ้นกว่าเพื่อนๆในเกมนี้แบบชนิดที่ว่าน่าได้ "แฮตทริก-ฮีโร่" กันไปในหลายๆจังหวะเลยทีเดียว "มิชาเอล เอสเซียง" ในบทบาทของฐานเพชร และแกนกลางของต้นคริสต์มาส ขนาบข้างด้วย "ซุปเปอร์แฟรงค์" และ "ไกเซอร์น้อย" ขณะที่ยอดเพชรถูกตกแต่งด้วย "เดโก้" และ "นิโก้ อเนลก้า" ตามแต่จังหวะของเกมจะพาไป โดยไม่ต้องสนใจว่าทั้งสองคนนี้แท้จริงแล้วถูกส่งลงเล่นเป็นมิดฟิลด์ตัวรุก หรือกองหน้ากันแน่ โดยเฉพาะอดีตของเด็กดื้อที่ชื่อ "นิโก้ อเนลก้า" ซึ่งดูเหมือนว่าหอกเฟร้นช์ในวันนี้เติบโต และเป็นผู้ใหญ่ที่เข้าใจกลไกของเกมลูกหนังมากกว่าสมัยละอ่อนมากมาย อเนลก้าในเกมนี้ (ที่จริงต้องบอกว่าในซีซั่นนี้มากกว่า) เลือกที่จะถ่างออกด้านข้างและคอยเคลื่อนที่ไปมานอกกรอบเขตโทษระยะไม่เกิน 30 หลาแบบอิสระเสรีเอามากๆ เรียกว่าเหมือนเป็นหน้าต่ำกลายๆเลยล่ะครับแถมยังแล่บไปที่ริมเส้นทางฝั่งซ้ายเพื่อคอยประสานงานกับแอชลี่ย์ โคล อยู่แบบถี่ยิบทีเดียวในช่วงครึ่งแรกผิดกับตอนที่งัดข้อกับอัฟราม แกรนท์ สมัยย้ายมาใหม่ๆชนิดหน้ามือเป็นหลังเท้า จะบอกว่าเพราะลุงแกรนท์นั้นขาดบารมีที่คอยกำราบเด็กดื้ออย่างนิโก้ ก็คงไม่ผิดนักทั้งๆที่แกรนท์นี่เองนะครับ ที่เป็นคนเซ็นสัญญากับมือปืนอาร์ตตัวพ่อ (ต้นฉบับความอาร์ตในยุคมิลเลนเนียม) มาจากโบลตัน ด้วยค่าตัวราวๆ 15 ล้านปอนด์มาเองกับมือ เพื่อทดแทนการขาดหายไปของดิดิเย่ร์ ดร็อกบา ที่ติดภารกิจกลับไปรับใช้ชาติในศึกอแฟริกัน เนชั่นส์ คัพ (ซึ่งมันกำลังจะกลับมาหลอกหลอนเชลซีอีกครั้งในช่วงมกราคมนี้) ตอนนั้น แกรนท์ใช้งานอเนลก้าที่ริมเส้นทั้งทางฝั่งซ้ายและขวาอยู่บ่อยๆ จนเจ้าตัวบ่นกระปอดกระแปดว่าทำให้ศักยภาพในความเป็นมือปืนอันเอกอุของเขาลดลงไปแถมยังจวกอีกดอกด้วยว่า เหตุที่เขายิงจุดโทษพลาดในนัดชิงชปล. ปีนั้น ก็เป็นเพราะแกรนท์นี่แหละครับ ที่ยัดเยียดให้เขายิง ทั้งๆที่เพิ่งลงสนามได้ไม่กี่นาทีเองด้วยซ้ำเรียกว่าฉายแววของเด็กดื้อที่พร้อมจะป่วนทีมเหมือนสมัยไปป่วนอาร์เซน่อล, มาดริด รวมไปถึงเปแอสเช อีกครั้ง จะว่าไป อเนลก้าในตอนนั้นก็เหมือนระเบิดเวลาที่พร้อมจะตูมตามใส่มือคนที่ถือได้ทุกวินาทีนั่นแหละครับจนกระทั่งการมาถึงสแตมฟอร์ด บริดจ์ของ "กุส ฮิดดิ้งค์" นั่นแหละครับ ที่ช่วยปรับเปลี่ยนทัศนคติแบบเด็กที่ไม่รู้จักโตของเขา ให้ก้าวไปสู่อีกขั้นของยอดนักเตะ ผมว่าไม่มีใครกล้าปฏิเสธถึงพรสวรรค์ของนิโก้หรอกนะครับอเนลก้านั้นเป็นกองหน้าที่มีทั้งความเร็ว และความคมกริบฝังติดอยู่ที่ปลายสตั๊ดมาตั้งแต่กำเนิด เช่นเดียวกับ "ความก้าวร้าว" และ "ความมีโลกส่วนตัวสูง" ที่ทำให้เขากลายเป็นตัวป่วนไปในสายตาของเพื่อนร่วมทีมทุกทีมที่เขาย้ายไปร่วมสังคายนาค้าแข้งด้วยมาตลอดโดยจะเห็นได้ว่า อเนลก้าแทบไม่มีเพื่อนสนิทกับทีมที่เคยร่วมค้าแข้งมาก่อนเลยซักคนเดียว ซึ่งน่าจะบ่งบอกถึงความน่าคบของเขาได้ในระดับหนึ่ง (ha)
Death ball - Dead Chelsea
คืนให้แล้วนะครับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดสำหรับตำแหน่งจ่าฝูงที่พลพรรคปีศาจสามง่ามหน้าตาโรคจิต ครอบครองซะจนคุ้นเคย จนชาวบ้านแถบๆแมนเชสเตอร์ (ฝั่งสีแดง) สามารถเรียกได้แบบไม่ละอายเลยว่าเป็น "เจ้าของ" พื้นที่สัมปทานตรงนี้ผมเชื่อว่าก็คงไม่มีใครกล้าเสนอหน้าคัดค้านแต่อย่างใดทั้งๆที่เมื่อสองสัปดาห์ก่อนเบรคทีมชาติ พลพรรคสิงห์บลูส์แอนด์โค อุตส่าห์แอบปีนไปนั่งบนหัวแถวของตารางอันหนาวเหน็บนี้มาได้แล้วเชียว ด้วยการเปิดถ้ำขย้ำหงส์แดงได้แบบน่ากระแทกมือดังๆให้แต่การณ์กลับกลายเป็นว่า พอออกจากรังไปฟัดกับคู่แข่งสายพันธุ์สิงห์ด้วยกันอย่าง "แอสตัน วิลล่า" เชลซีที่น่าเกรงขามเมื่อสองอาทิตย์ก่อน ก็แปรเปลี่ยนจากพญาราชสีห์เขี้ยวลากดิน เป็นแมวเหมียวผู้โดนน็อคนิ่มๆด้วยท่าไม้ตายระดับอัพเปอร์คัต ของสิงห์ผยองซะอย่างนั้นแถมสองหมัดที่สิงห์ผยองอัพเปอร์ คัต..อัพเปอร์ คัต อัดใส่สิงห์บลูส์นั้น ถ้าจะให้เปรียบ ก็คงคล้ายๆกับสาวน้อยหน้าตาพอดูได้คนหนึ่ง ที่ยอมกลับไปคืนดีกับแฟนหนุ่มเพลย์บอยรูปหล่ออีกครั้ง โดยหลงเชื่อและหวังว่าหนุ่มคนนั้นจะกลับตัวกลับใจแต่สุดท้ายก็โดนหลอกเจาะไข่แดงที่จุดเดิมๆอีกเป็นครั้งที่สองแบบแสบสันต์และทุกข์ระทมทรวงเป็นที่สุดแถวบ้านผมเค้าด่า เอ้ย! เค้าเรียกว่า "เจ็บแล้วไม่จำ" ขอรับเชลซีก็ไม่ต่างอะไรกับสาวน้อยหน้าตาพอดูได้คนนั้นทั้งๆที่ในครึ่งแรก คนเสื้อน้ำเงินทั้งหลายก็เห็นทนโท่อยู่แล้วว่า "เดดบอล" หรือ "เซตพีซ" หรือใครจะเรียกอะไรก็ตามแต่สะดวกรูปากของแอสตัน วิลล่า นั้น ขีดความอันตรายของมันถูกบรรจุอยู่ในระดับ "ฆ่าล้างโคตร" เลยทีเดียวซึ่งลิเวอร์พูล และ "อดีตนักเตะยอดเยี่ยมของลีกบราซิล" อย่างลูคัส เลว่า แสดงให้เห็นมาแล้วในช่วงต้นฤดูกาลแต่ไหง พอเริ่มเขี่ยบอลมาในครึ่งหลัง เชลซีก็ยังอุตส่าห์ละเลย และเผลอเรอจนปล่อยให้ "เจมส์ คอลลินส์" วิ่งเข้ามาปลิ้นตาข่ายของพวกเขาสำเร็จ ด้วยการเข้าทำแบบเดิมๆให้เจ็บจี๊ดในหัวใจเล่นๆอีกหนแถมหมัดเด็ดคราวนี้ กลับกลายเป็นหมัดน็อคไปในท้ายที่สุดอีกต่างหากไม่แปลกเลยครับ ที่เราจะได้เห็น "กัปตัน จอหน์" ตะโกนแหกปากร้องหาแกงฟัก กับคัสตาร์ด (หรือบัสตาร์ดก็ไม่แน่ใจ) ที่ก้นตาข่ายแบบเดือดดาลขนาดนั้นเพราะหลังจากที่ภาพรีเพลย์วิ่งกลับมาฉายและแฉให้ดู เราจะเห็นว่าจังหวะที่เสียประตูที่สองนั้น มีเพียงเจทีคนเดียว ที่วิ่งตามประกบนักเตะของวิลล่าแบบตามไปถึงบ้านอยู่แค่คนเดียวขณะที่ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา กับมิชาเอล เอสเซียง ที่ยืนว่างเป็นคนไร้คู่แบบคริส หอวัง ในภาพยนตร์เรื่อง "รถไฟฟ้า มาหานะเธอ" กลับเลือกที่จะขึ้นคาน ยอมเป็นโสดไม่ดื้นรนหาคนประกบ จนเป็นเหตุให้ให้เจ้ายักษ์ปักหลั่นที่รูปร่างไม่ใช่น้อยๆอย่าง คอลลินส์ วิ่งตะบึงห้อหน้าตั้งมาจากนอกเขตโทษ ก่อนจะเข้ามาโถมขวิดลูกเตะมุมเข้าไปจมก้นตาข่ายแบบโทษใครไม่ได้จริงๆนอกจากโทษตัวเอง!!!โดนอัพเปอร์ คัต แบบสองหมัดเน้นๆแบบนี้ จ่าฝูง (ในเวลานั้น) ก็เล่นเอาเป๋ห่าวไปเหมือนกันการขาดหายไปของไกเซอร์น้อย ส่งผลให้แดนกลางของเชลซีประสิทธิภาพถดถอย ทั้งในด้านการทำลายล้าง และการสกัดกั้นการรุกรานของคู่แข่ง ไปในระดับหนึ่ง เลยนะครับเพราะที่ผ่านมา เราจะเห็นได้ว่าบัลลัคในซีซั่นนี้ เป็นหนึ่งในกุญแจสำคัญ 4 ดอกในระบบไดมอนด์ของเชลซีร่วมกับ แลมพาร์ด, เดโก้ และเอสเซียงเลยทีเดียวหลักฐานที่ผ่านๆมาก็คือ ตลอดเวลาที่กัปตันด๊อยช์ลันด์คนนี้วิ่งโชว์กล้ามบึ้กๆในสนามนั้น เขาคอยช่วยให้งานทางด้านกราบของโบซิงวา และเกมตรงกลางของทีมที่รับผิดชอบโดยเอสเซียง เกิดอะไรซักอย่างที่เรียกว่า "สมดุล" ไม่ว่าจะเป็นเกมที่ออกไปแพ้วีแกน, ชนะอาโปเอล นิโคเซียแบบไม่น่าประทับใจ หรือกระทั่งในนัดล่าสุดนี้เชลซีไม่มีแม้กระทั่งเงาของบัลลัคอยู่ในสนามเลยซักเกมเดียวปรากฏว่าผลที่ออกมาคือความพ่ายแพ้แบบไม่น่าเกิดถึงสองนัด กับชัยชนะที่ไม่ค่อยรื่นรมย์อีกหนึ่งนัดแต่คงจะเป็นการแก้ตัวที่มักง่ายไปไม่น้อย หากจะกล่าวโทษ และบอกว่าพวกเขาเสียตำแหน่งจ่าฝูงเพราะนักเตะที่ขาดหายไปเพียงคนเดียวความเป็นจริงที่เกิดขึ้นก็คือ เชลซีนั้น "ประเมิน" และ "ประมาท" ทีมอย่างวิลล่าต่ำเกินไปต่างหาก
เชื่อมั่นในสิงห์บลูส์ กับนายหัวอันเชลอตติ
ก่อนจะเริ่มละเลงคีย์บอร์ด ฝอยถึงชัยชนะของเชลซีที่ยัดเยียดให้กับคนเสื้อแดงเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา ผมขออนุญาตยิ้มกว้างๆ, ยกนิ้วโป้งมือขึ้นมาระดับอก พร้อมๆกับรำลึกความหลังสมัยเรียนด้วยการเยวให้กับบรรดาขุนแข้งเสื้อน้ำเงินแบบลูกเสือสามัญรุ่นใหญ่ซักสามดอกเน้นๆว่า "เยี่ยมจริงๆ เยี่ยมจริงๆ เยี่ยมจริงๆ" ผมนั่งดูเกมซุปเปอร์ ซันเดย์ ที่วันอาทิตย์ถูกฉาบย้อมด้วยสีน้ำเงินนี้ ที่ร้านข้าวต้มโต้รุ่งในซอกหลืบของจังหวัดอุทัยธานีตั้งแต่ประมาณ 3 ทุ่มกว่าๆ โดยถือเอาเคล็ด (ที่ไม่ขัดยอก) ว่าถ้าเกมไหนเชียร์เชลซีแล้วละเลยการสวมใส่เครื่องแบบสีน้ำเงินที่ปักตราสิงโตสีน้ำเงินตรงหน้าอก ถ้าหากวันนั้นเชลซีเกิดพบกับหายนะในผลการแข่งขันขึ้นมา ตัวผมเองจะรู้สึกผิดบาปราวกับเป็นต้นเหตุแห่งความย่อยยับของเชลซียังไงยังงั้นเลยล่ะครับ คราวนี้ก็เช่นกันถึงแม้ว่าเมื่อวันศุกร์ ผมจะมีงานด่วนต้องออกจากกรุงเทพฯตั้งแต่บ่าย เพื่อไปดูงานที่อุทัยธานีจนถึงวันจันทร์ก็จริง แต่เสื้อผ้าที่ถูกจับยัดใส่กระเป๋าเดินทางสีดำของผม ไม่เคยที่จะลืมกวักมือเรียกเสื้อสีน้ำเงินของอาดิดาส ให้เดินทางออกต่างจังหวัดด้วยกันเลยซักครั้ง ผมออกจากบ้านพัก (ที่บริษัทจัดไว้ให้ ซึ่งไม่มีเคเบิล ฮ่วย!) ตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่เลิกงาน แต่กว่าจะหาร้านอาหารที่มีถ่ายทอดฟุตบอลแบบสดๆให้ดู ก็ปาเข้าไปร่วมๆสองถึงสามขั่วโมงก่อนจะมาสะดุดกับร้านริมทาง ที่มีลักษณะเหมือนเพิงหมาแหงน (ตอนผมไป ผมไม่ได้แหงนมองนะครับ ^-^) ขนาดไม่เล็กแต่ก็ไม่ใหญ่มากมาย ผมจึงตัดสินใจฝังหนอกตัวเองไว้ที่ร้านนี้ เพื่อเฝ้าเชียร์ทีมรัก โดยหารู้ไม่ว่า ผมตกไปอยู่ใน "ดงเด็กหงส์" เข้าซะงั้น เสื้อสีน้ำเงินเด่นของผม มันโดดเด้งราวกับน้องเอมมี่ ที่ซุกสาหร่ายทะเลไปแอบกิน ในงานประกาศผลรางวัลตุ๊กตายางทองคำยังไงยังงั้นเลยล่ะครับสายตาของคนในร้านที่มีไม่ต่ำกว่าสิบชีวิต มองมาที่ผม พร้อมๆกับรอยยิ้มที่มุมปากบ้าง ขมวดคิ้วฉงนระคนฉงายบ้าง ตาเยิ้มเหมือนเห็นสาวแรกแย้มบ้างล่ะ (คาดว่าคงเป็นเพราะฤทธิ์ของ "หงส์ทอง") แต่อะไรคงไม่น่าตกอกตกใจเท่ากับ เห็น "เฟร์นานโด ตอร์เรส" เดินมารับออเดอร์ขอรับ !!!เป็นตอร์เรสในเวอร์ชั่นผมสีเขียวว่าน่าตกใจแล้ว เสื้อลิเวอร์พูลที่ใส่อยู่มันชวนให้น่าตระหนกตกใจยิ่งกว่าเสียอีก ก็ผมดันสะเออะไปแอบเห็นปีที่ก่อตั้งสโมสรลิเวอร์พูล จากสัญลัษณ์ของสโมสรที่อกเสื้อ มีการเปลี่ยนจากปีค.ศ. "1892" เป็น "1982" ซะงั้น หนำซ้ำยี่ห้อ "adidas" ยังอุตส่าห์มีการรีแบรนด์ดิ้งใหม่เป็น "adidos" ไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ถ้าไม่ใช่คนขี้จับผิดอย่างผม รับรองว่าคุณๆ หรือใครๆก็คงไม่ทันได้สังเกตเห็นแน่ๆ ฉับพลัน ก็ทำให้ผมนึกถึงวลีของบอ บู๋ ที่ชอบเอาใช้บ่อยๆว่า"คนไทย ถ้าตั้งใจทำอะไร ก็ไม่แพ้ชาติใดในโลก" ขึ้นมาตะหงิดๆทันที หลังจากผมสั่งอาหารไปได้ซักพัก ใบหน้าที่จิ้มลิ้มของตอร์เรส (ตัวจริง) ในทีวีก็ถูกยิงมาจากอังกฤษ พร้อมๆกับนายประตูมือสองของเชลซีนาม "เอ็นริเก้ ฮิลาริโอ" ที่ถูกส่งลงสนามแทนนายประตูมือกาวตัวจริงอย่างปีเตอร์ เช็ค ที่จับได้ใบแดงจากเกมแพ้วีแกน อย่างที่ทราบๆกัน (นั่นสิ อย่างที่ทราบๆกัน แล้วผมจะบอกอีกทำไมวะครับ?) พอกล้องจับไปที่สองคนนี้ที่ยืนอยู่ข้างๆกันในอุโมงค์เท่านั้นแหละครับ เสียงของคนเสื้อแดงที่ร้านนี้กระชุ่นเป็นทำนองเพลงอะไรสักเพลง อย่างน่ารักฟังทันทีว่า"โดนนนนน โดนนนนแล้วล่ะ" สารภาพว่าบางห้วงอารมณ์ผมก็แอบคิดอย่างเด็กหงส์คนนั้นเหมือนกันนะครับแต่ด้วยประโยคที่ว่า "สถานการณ์ สร้งวีรบุรุษ" ของกวีคนไหนซักคนนั้น ทำให้ผมยังมีความเชื่อมั่นในตัวของนายด่านจากแดนฝอยทองคนนี้อยู่ลึกๆ (ถึงลึกที่สุด) แล้วประโยคจากกวีข้างต้น ก็ยิ่งตอกลิ่มย้ำให้เห็นว่าประโยคนั้น ไม่ใช่เพียงถ้อยคำที่เลื่อนลอยแต่อย่างใด ฮิลาริโอ ลงเล่นด้วยความมั่นอกมั่นใจ พร้อมๆกับความกระหายในการแสดงฝีมือ หลังจากต้องตกอยู่ในร่วมเงาของปีเตอร์ เช็ค มาตลอดหลายปีหลัง การออกมาตัดบอล หรือแม้แต่การอ่านเกมที่ดีจนน่าได้เกรดเอของเขา ช่วยทำให้เพื่อนๆในทีมรู้สึกอุ่นใจ และสามารถเล่นได้แบบไม่ต้องกังวลมากนัก และยิ่งเวลาผ่านไปเรื่อยๆ ก็ยิ่งทำให้ฮิลาริโอเพิ่มพูนความมั่นอกมั่นใจมากขึ้น ยังผลให้ความมั่นใจนั้นกระทบชิ่งมาถึงคู่เซนเตอร์ฮาล์ฟ และเพื่อนร่วมทีมจนเกิดความสบายใจไร้กังวล ก่อนจะหาทางสร้างเกมกดดันคู่ต่อสู้ได้แบบอร่อยเหาะมากขึ้น เมื่อเวลาผ่านไป เด็ดที่สุดเห็นจะเป็นช็อตที่บินไปปัดลูกฟรีคิกของริเอร่าที่แอบลักไก่ในช่วงท้ายครึ่งแรก สำหรับชอตนั้น ผมถือเป็นมาสเตอร์พีซ และเป็นกุญแจสำคัญดอกหนึ่ง ที่ทำให้เชลซีพบกับชัยชนะในเกมนี้เลยนะครับ ในเมื่อเชลซีไม่เสียประตูไปก่อน บอกตรงๆเลยว่าช่วงพักครึ่ง ผมค่อนข้างมั่นใจในการแก้เกมของอันเชลอตติในระดับหนึ่งเลยทีเดียว
สะดุดลาติกส์ แต่ช่วยสะกิดคาร์เล็ตโต้
"มีกับเค้าเหมืนกันนี่ เชลซี!!!"ขออนุญาตเปิดหัวด้วยประโยคฮาๆ ของคุณแมวเพชรจากสตาร์ซอคเกอร์หน่อยนะครับหลังจากที่คนเสื้อน้ำเงิน ปล่อยให้สาวกทีมอื่นๆเกิดอัคคีภัยในดวงตา กับผลงาน "ไม่เอา...ไม่แพ้" ในช่วงเดือนแรกของฤดูกาลมาพอสมควร ก็ถึงคราวของสิงโตชราที่ต้องเดินออกจากสนามในสภาพของผู้ปราชัยกับเค้าบ้างเสียทีพร้อมๆกับการถูกเจ้าของจ่าฝูงตัวจริงอย่าง "แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด" เค้ามาทวงคืนไปจากมืออีกต่างหากแต่ผมว่าอะไรก็ไม่ร้าย เท่ากับการที่ "ปีเตอร์ เช็ค" ดวงแตกจับได้ใบแดงจากโถของ "ฟิล ดาวด์" ที่ทำเอาแฟนเชลซีหลายๆคน "Feel Down" ไปตามๆกัน(จังหวะนั้น สารภาพว่าแอบเปลี่ยนชื่อฟิล ดาวด์ เป็น "คุณวรนัส" ไปหลายครั้งเหมือนกัน)นั่นหมายความว่า เกมวัดกึ๋นนัดแรกของเชลซีและอันเชลอตติในฤดูกาลนี้ (ดวลกับ ลิเวอร์พูล)จะปราศจากยีราฟใส่หมวก ลงยืนตระหง่านสร้างความเชื่อมั่นแก่กองเชียร์หน้าปากประตูอย่างแน่นอน(พูดแล้วก็ยิ่งให้รู้สึกหงุดหงิดอีตาฟิล ดาวด์ขึ้นมาอีกครั้ง เพราะจังหวะนั้น เฮียแกจะสมนาคุณด้วยใบเหลือง ผมว่าก็ไม่น่าเกลียดนะ แต่นี่พี่ท่านตะโกนว่า "ออฟ" มาแต่ไกลเลย "ฟัก ออฟ" ซิไม่ว่า)ขณะเดียวกัน จะมามัวนั่งก่นด่าคุณวรนัส เอ้ย! มิสเตอร์ฟิล ดาวด์ อย่างเดียวก็ใช่ที่เพราะจากรูปเกมที่ปรากฏต่อสายตาธารกำนัลนั้น เชลซีอดีตจ่าฝูงก็ไม่ได้ดีเด่กว่าเดอะ ลาติกส์ ซักเท่าไหร่หนำซ้ำ ยังออกแนวขี้เหร่เนะ จนแทบอยากจะเบือนหน้าหนี เสียด้วยซ้ำไปวีแกนในเกมนี้ ดูมีความมุ่งมั่นมากกว่าเชลซีอย่างเห็นได้ชัดอาจเป็นเพราะว่าเล่นในบ้านด้วยส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนหนึ่งซึ่งสำคัญมากๆ ผมมองว่าเป็นเพราะคนหน้าตาเคร่งเครียดที่ยืนสั่งการข้างสนามนาม "โรแบร์โต้ มาร์ติเนซ" ครับมาร์ติเนซสั่งให้ลูกทีมไม่ต้องยำเกรงอาคันตุกะมากดีกรีแต่อย่างใดเดอะ ลาติกส์ อาศัยการเพรสซิ่งเร็ว และลูกหนักๆเข้าเล่นงานแดนกลางรูปเพชรของเชลซี จนงอมพระรามงามไส้ ทำอะไรไม่คล่อง ต้องรีบออกบอล พอเจอเข้าบอลซ้อน เข้าจี้ทีละสองคน ก็ทำเอาเอสเซียง กับมิเกล ต้องส่งบอลคืนหลัง หรือโดนบีบจนส่งบอลผิดพลาดกันอยู่ตลอดเวลา ก่อนที่ไดมอนด์ของเชลซีจะโดนบดทำลายตรงจุดยุทธสาสตร์ไปเรียบร้อยโรงเรียนวีแกนอย่างเบ็ดเสร็จ ทันทีที่ไตตรัส บรัมเบิ้ล ทำประตูขึ้นนำ เพราะมันหมายถึงแท็คติคของพวกเขาได้ผล และช่วยทำให้พวกเขาเล่นง่ายมากขึ้น พอๆกับโยนความอึดอัดและความกดดันไปให้ผู้มาเยือนไปแบกรับจนหลังแอ่นกันเอาเองแถวบ้านผมเรียกว่า "เข้าแก็ป" ครับหนำซ้ำการต่อบอลที่เร็วและค่อนข้างแม่นยำของวีแกน ยังเป็นด่านการตรวจคนเข้าเมืองชั้นเยี่ยม ที่คอยหยุดยั้งและชะลอการหลั่ง...ไหลของเกมรุกเชลซี (เว้นวรรคได้วรนัสมากเลยผม) ไม่ให้มีโอกาสทะลุทะลวง หรือดันขึ้นสูงเพื่อบีบพื้นที่กดดันพวกเขาเลยทว่า ในช่วงเวลาหนึ่ง เชลซีก็เหมือนกำลังจะแอบปีนขึ้นมาจากหลุมได้อีกครั้งแล้วนะครับหลังจากอันเชลอตติ คิดเร็ว ทำเร็ว โดยการเปลี่ยนเอามิเกล ซึ่งดูแล้วไม่น่าจะถูกโฉลกกับแผนรูปเพชรออก แล้วส่งคนที่เก๋าเกม และมีประสบการณ์ในเกมที่อึดอัดแบบนี้อย่าง "ชูเลียโน่ เบลเลตติ" ลงมาเล่นแทนตอนนั้น รูปเกมของเชลซีเริ่มลงตัวมากขึ้นเรื่อยๆ จนเลยเถิดไปภึงประตูตีเสมอ หากไม่มีใบแดงของปีเตอร์ เช็ค ที่มาเปลี่ยนตอนจบของหนังเรื่อง "ฟื้นมาจากหลุม ภาค 4" ที่กำลังถ่ายทำโดยอันเชลอตติเสียก่อน เชื่อว่าเชลซีจะยังคงรักษาสถิติ "ไม่เอา...ไม่แพ้" เอาไว้ได้อย่างน้อยๆอีกนัดแต่ลึกๆในใจ ผมเองก็อยากเห็นเชลซี "แพ้เป็น" ก่อนเจอกับลิเวอร์พูลนะครับเพราะที่ผ่านมา ถึงแม้เชลซีจะชนะจนเคยตัวก็จริงแต่ผมว่า ในรายละเอียดหลายๆอย่างที่อันเชลอตติใส่ลงไประบบไดมอนด์นี้ ยังมีจุดบกพร่องอยู่หลายจุดอาทิการใช้วิงแบ็คเข้าทำเกมรุกทางกราบ หากแมตช์ไหนคู่ต่อสู้ที่จับไม่ได้ไล่ไม่ทัน ก็ไม่เป็นไรหรอกครับแต่ในเกมกับวีแกน เราคงได้เห็นแล้วว่า หากคู่ต่อสู้รู้วิธีรับมือ เกมบุกของทีมก็ตื้อเอาการเลยทีเดียว แถมเผลอๆเจอสวนตูมเดียวหนักๆ ก็อาจจบเห่เอาง่ายๆซะอีกแต่กระนั้นผมก็ยังมองว่าเป็นเรื่องดีมากๆ ที่มาร์ติเนซช่วยชี้ทางให้อันเชลอตติ มองเห็นถึงจุดบอดยามที่วิงแบ็คถูกจับตายก่อนที่จะต้องรับมือลิเวอร์พูล ที่ฟอร์มกำลังร้อนได้ที่เลยทีเดียวขณะที่ช่วงเวลาฮันนีมูนของอันเชลอตติ กับผลงานมาสเตอร์พีซถึงเวลาต้องยุติลงจากนี้ไป โค้ชอิตาเลียนที่มีความละม้ายคล้ายพี่แจ้ ก็กำลังเดินหน้าเข้าสู่การทำงานที่จริงจังมากยิ่งขึ้นปัญหานักเตะเจ็บ, แบน เริ่มกวักมือเรียกหาระบบการเล่นที่หากวันนึงไม่เวิร์ค นักเตะไม่แฮบปี้ อันเชลอตติจะแก้ไขยังไงไหนจะเกมยุโรป ที่เสี่ยหมีหมายมั่นปั้นมือกับเขาเอาไว้มากและที่สำคัญไม่แพ้กัน ก็คือเกมกับบิ๊กโฟร์! สาเหตุสำคัญข้อนึงที่ทำให้บิ๊กฟิลโดนเด้งก่อนเวลาอันควร ก็คือสถิติอันย่ำแย่ยามพบกับบิ๊กโฟร์นี่แหละครับ ดังนั้น หากอันเชลอตติยิ่งโชว์กึ๋นในการชนกับบิ๊กโฟร์มากเท่าไหร่ ผมเชื่อว่ายิ่งทำให้อันเชลอตติทำงานได้ง่าย และสามารถซื้อใจนักเตะรวมทั้งเสี่ยหมีได้มากขึ้นเท่านั้น(ไม่เชื่อเดี๋ยวลองจับตาดูปฏิกิริยาของนักเตะและเสี่ยหมีหลังเกมกับลิเวอร์พูลได้เลย)ฤดูกาลผ่านไปแล้ว 7 นัดก็จริงแต่การทำงานที่โหดหินของอันเชลอตติ และการผจญภัยในฤดูกาลแห่งความคาดหวังของเชลซี พึ่งจะเริ่มต้นเท่านั้นเองครับ.