Once a Blues, Always a Blues.
 
 

นักมายากลคัมแบ็ค

นานแค่ไหนกันนะ
ที่สาวกสิงห์บลูส์ ไม่ได้ยลการเริงระบำบนฟลอร์หญ้าอันวิจิตร จากการรังสรรค์ด้วยปลายสตั๊ดของนักมายากลเลือดสีน้ำเงินจากลอนดอนตะวันออกตัวเล็กๆคนนี้
"โจเซฟ จอห์น โคล"


ชื่อนี้อาจจะไม่กระดิกรูหูแฟนบอลทั่วไปเท่าไรนัก
แต่หากเรียกนักมายากลที่แพรวพราวด้วยทริก และกลลูกหนังอันมหัศจรรย์บนสนามหญ้าคนนั้น ด้วยอีกชื่อที่สั้นและกระชับกว่าว่า "โจ โคล"
เชื่อว่าแฟนบอลทั่วไปน่าจะรู้จักนักมายากลตัวเล็กๆคนนี้เป็นอย่างดีแน่นอน ถึงแม้จะไม่ใช่แฟนเชลซีก็ตาม



ทั้งนี้ก็เพราะ โจ โคล จัดเป็นนักฟุตบอลอังกฤษที่ฉีกขนบของชนชาตินี้อย่างสิ้นเชิงเลยนะครับ
นักมายากลตัวจิ๋วคนนี้ยักไหล่ให้กับการเข้าทำแบบทื่อๆ ไร้ศิลปะของศาสตร์ลูกหนังชั้นสูงตามแบบฉบับอิงลิชชน สิ่งที่โจอี้สนใจและใส่ใจยามลงไปเริงระบำบนฟลอร์หญ้าก็คือ ทำอย่างไรก็ได้ให้มายากลติดปลายสตั๊ดของเขาออกมาหวือหวา วิจิตรตระการตา และเรียกเสียงฮือฮาครางกระเส่าจากผู้ชมได้มากที่สุดต่างหาก

ไม่แปลกเลยครับ ที่การเป็นเอนเตอร์เทนเนอร์ของเขา จะเป็นที่รักใคร่และหลงใหลของสาวกสิงห์บลูส์และผู้พบเห็นทุกคน
กระทั่งเจ้านายคนใหม่อย่าง อันเชลอตติเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

คาร์เล็ตโต้ดูจะถูกอกถูกใจกับมายากลของโคลจิ๋ว มากพอๆกับผลการแข่งขันที่ออกมาถล่มทลายเกินคาด
หลักฐานก็คือภาพที่เฮียแก ยืนสวมกอดกับโจ โคลในช่วงท้ายเกมแบบชื่นมื่นภาพนั้นไงล่ะครับ

มันเป็นภาพที่สะท้อนอะไรหลายๆอย่างในทีม รวมไปถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างเจ้านายกับลูกน้อง
ชนิดที่เรียกความอบอุ่นใจแก่บรรดากองเชียร์ได้ไม่น้อยเลย (หลังจากช่วงหลังๆ แฟนเชลซีมักกังวลเรื่องผู้จัดการทีมมากพอๆกับผลการแข่งขัน)

โจ โคลกับบทบาทหัวเพชร ในระบบไดมอนด์เข้าท่าและทรงประสิทธิภาพไม่หยอกเลยนะครับ
และผมเองก็เชื่อว่าน่าจะทำให้อันเชลอตติมีตัวเลือกในการจัดทีมให้หลากหลายมากขึ้น

ด้วยความที่โจ โคลมีความสามารถในการทะลุทะลวง และมีความหวือหวาสูง
ไม่แปลกเลยที่มายากลของโคลน้อยจะสามารถเรียกนักเตะของแบล็คเบิร์นให้เข้าไปรุมขอลายเซ็นได้อย่างน้อยสองคน
นั่นก็เท่ากับว่าเป็นการเปิดช่องว่างให้กับเพื่อนร่วมทีมคนอื่นๆ มีพื้นที่ในการเข้าทำมากขึ้น
ซึ่งคนที่ได้ประโยชน์สูงสุด เห็นจะไม่พ้นแฟรงค์ แลมพาร์ด จอมทัพหมายเลข 8 ของทีมคนนั้นนั่นเอง

ไม่ใช่เพราะว่าสองประตูที่เขาทำได้ในเกมนี้เท่านั้นที่เป็นเครื่องยืนยันถึงความเชื่อข้างต้น
แต่เป็นเพราะว่า เกมนี้แลมพาร์ดหาช่องในการยิงไกลได้มากขึ้นกว่าทุกๆเกมต่างหาก ผมเลยคิดเองเออเองว่าโคลน้อย คืออีกหนึ่งความสมดุลในระบบไดมอนด์ แถมยังเข้ามาทำให้เชลซีมีมิติในเกมรุกมากขึ้นกว่ามาลูด้ามากมาย



ขณะที่การเข้าทำของเชลซีก็ดูหลากหลายและเข้าขากันมากขึ้นกว่าช่วงต้นฤดูกาลเยอะเลยนะครับ
ไดมอนด์ของอันเชลอตติเริ่มตีตัวออกห่างจากคำว่า "ไดมั่ว" ไปหลายกิโลแม้วแล้ว อีกทั้งกองกลางของทีมเริ่มรู้จักหน้าที่ของตัวเองกันทุกคน กระทั่งโจ โคลที่พึ่งกลับมาสู่ทีมก็ยังสามารถปรับตัวเข้ากับระบบได้ลงตัวเร็วกว่าที่คาดไว้มาก

ยิ่งคู่กองหน้าของทีม ผมว่ายิ่งเล่นยิ่งรู้หน้าที่และรู้ใจกันมากขึ้น
ไม่ได้อวยจนเกินจริง แต่สังเกตุกันมั้ยครับว่าเวลาที่ดร็อกบา หรือ อเนลก้าถ่างไปรับบอลริมเส้นทีไร
คู่ขาของตัวเองจะกลับไปยืนประจำตำแหน่งที่บริเวณจุดนัดพบทันที!

ขออนุญาตกรอเทปกลับไปให้ดูกันอีกรอบก็ได้ เพื่อยืนยันความเชื่อส่วนบุคคลของผม
เกมกับเบิร์นลี่ย์ ดร็อกบาฉีกไปที่ริมเส้นขวา แล้วเปิดไปที่จุดนัดพบให้อเนลก้าเข้าฮอส
เกมกับฟูแล่ม ผลัดกันยิง ผลัดกันจ่าย จากการเจาะเข้าทำตรงกลาง
เกมกับลิเวอร์พูล เดอะ ดร็อกเปิดจากริมเส้นฝั่งซ้ายให้อเนลก้าใช้กฏยิงประตูทีมเก่า
ล่าสุด เกมกับแบล็คเบิร์นนี่อีกครั้งที่อเนลก้าเปิดเข้าไปที่จุดนัดพบให้ดร็อกบา แต่ชิเว่ต์สกัดพลาดเข้าประตุตัวเองไปเสียก่อน
ถึงดร็อกบาจะไม่ได้ยิงเอง แต่มันเกิดขึ้นจากการเข้าทำที่ซักซ้อมกันมาเป็นอย่างดีนะครับ

เรื่องดีๆอีกเรื่องของเชลซีจากเกมถล่มแบล็คเบิร์น ก็เห็นจะเป็นการที่อันเช่ส่งแบ็คขวาขวัญใจน้ามูลงมาเคาะสนิมในช่วงเวลาที่เหมาะสม เช่นเดียวกับกล้าที่จะให้โอกาสเด็กน้อยวัยขบเผาะอย่าง "เจฟฟรี่ บรูม่า" กับ "ดาเนี่ยล สตอร์ริดจ์" ลงมาเก็บเลเวลเพื่อวันข้างหน้าอีกด้วย

บอกตรงๆว่า "สมาคมคนรักเด็ก" อย่างผม ถูกใจการเปลี่ยนตัวของอันเชลอตติในวันนั้นมากๆ

เพื่อนๆรู้มั้ยครับ ว่าตอนที่ผมเห็นเทอร์รี่ กับ เอสเซียงคอยประคองบรูม่านั้น
ตัวผมเองนึกถึงวันที่เทอร์รี่ประเดิมชุดใหญ่ใหม่ๆเลยล่ะครับ

ตอนนั้นเทอร์รี่มีเดอไซญี่เป็นพี่เลี้ยง กองหลังจากฝรั่งเศสที่พกดีกรีแชมป์โลกติดตัวมาด้วยนั้น คอยยืนชี้นิ้วสั่งให้เจ้าหนูเทอร์รี่ในวัยขบเผาะวิ่งเข้าไปคุมคน คอยบงการให้เด็กหนุ่มคนนั้นกล้าเข้าปะทะ และคอยถ่ายทอดวิทยายุทธในการป้องกันประตูให้แบบไม่มีหวงวิชาเลย
เทอร์รี่ในวันเสาร์ที่ผ่านมา ก็เป็นเหมือนเดอไซญี่ในวันนั้นเปี๊ยบเลย

ขณะที่สตอร์ริดจ์ ก็ได้รับการสนับสนุนจากดร็อกบาอยู่ที่หน้าประตูแบล็คเบิร์น
ชอตที่สตอร์ริดจ์ยิงไปตรงตัวโรบินสันนั้น ผมแอบสังเกตุเห็นดร็อกบาปรบมือให้กำลังใจกองหน้าจากแมนฯซิตี้รายนี้ด้วย
เรียกว่าเป็นอีกภาพที่แฟนเชลซีเห็นแล้ว อดฝันถึงทีมสปิริตในยุคมูรินโญ่ไม่ได้

บรรยากาศในค็อปแฮมตอนนี้ อะไรๆก็ดูเป็นสีชมพูไปซะหมดเลย
ไม่ว่าจะเป็นการกลับมาของโจ โคลเอย, ฟอร์มที่กำลังขึ้นของคู่ศูนย์หน้าเอย, การหาที่ลงให้กับบัลลัคได้เสียที, ประตูของแลมพาร์ดที่ขยับไปแตะหลัก 132 เทียบเท่ากับตำนานของทีมอย่าง จิมมี่ กรีฟส์ และอยู่อันดับห้า ในทำเนียบดาวยิงสูงสุดตลอดกาลของสโมสร หรือแม้แต่การกลับไปอยู่บนหัวตารางอันแสนจะหนาวเหน็บ (แต่ก็ยินดีนะ) อีกครั้ง

เรียกว่าการบ้านข้อใหญ่ๆของเชลซี อันเชลอตติทยอยแก้โจทย์ยากๆไปได้หลายข้อแล้วนะครับ
แต่ก็ยังไม่สามารถบอกได้เต็มปากเต็มคำเท่าไหร่ว่า เฮียแกจะพาเชลซีไปไกถึงไหนในฤดูกาลของพรีเมียร์ ลีกที่ความหฤโหดยืนกวักมือเรียกอยู่ในทุกๆเดือน

โจทย์ข้อต่อไปของพี่แจ้ ถือว่ายากเอาการเลยทีเดียว (ขออนุญาตมองข้ามเกมกับโบลตันไปเลยนะครับ)
เมื่อกุนซือหน้าเครียด (แต่น้อยกว่าเฮียมู) จะต้องรอรับโจทย์จากอาจารย์ใหญ่ของพรีเมียร์ลีก อย่าง "เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน" ที่เดินทางจากแมนเชสเตอร์มาทดสอบถึงลอนดอนในวันที่ 8 พ.ย.นี้

เมื่อนั้นแหละครับ
ถึงจะเริ่มบอกได้เต็มปากเต็มคำว่า "คาร์โล อันเชลอตติ" คือคนที่ "ใช่" สำหรับเชลซีหรือเปล่า?





 

Create Date : 12 พฤศจิกายน 2552   
Last Update : 12 พฤศจิกายน 2552 12:18:31 น.   
Counter : 563 Pageviews.  


สมการใหม่สิงห์บลูส์ [นิวนิโก้ + นิวมิช่า = สมดุล]

ว่าจะละเลงคีย์บอร์ดถึงความเปลี่ยนแปลงของกุญแจอีกสองดอกในทีมเชลซีอย่าง "นิโกล่าส์ อเนลก้า" กับ "มิชาเอล บัลลัค" มาหลายครั้งแล้วนะครับ แต่ยังหาโอกาสเหมาะๆไม่ได้ซักที

แต่หลังจากเกมยุโรป ที่สิงห์บลูส์จัดการโด๊ปดีหมีมาบำรุงขวัญและกำลังใจ เพื่อลบเลือนความพ่ายแพ้เมื่อเกมสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมเลยได้โอกาสในการหล่นมุมมองของสองคีย์แมนทั้งสองไปพร้อมๆกับชัยชนะของทีมในคราวเดียวกันเลย
เพราะฟอร์มการเล่นของทั้งสองคนนั้น มันเข้าตาและน่ากระแทกคีย์บอร์ดถึงจริงๆ

ถึงแม้ว่า "ซาโลมอน กาลู" ดาวยิงที่ชอบทำหน้าเหมือนจะร้องไห้อยู่ตลอดเวลา (แถมยังนิยมใส่ยูนิฟอร์มของเชลซีแบบ "เด๊ปๆ" อีกต่างหาก) จะทำตัวน่ารักน่ากระทบมือดังๆ พร้อมกับยกนิ้วโป้งมือและเท้า (ในบางโอกาส) ด้วยการงัดจุดสามห้าเจ็ด แม็กนั่ม ขึ้นมาลั่นใส่หมีจากสเปนถึงสองเม็ดซ้อนๆ ก็จริง

แต่เบื้องลึกเบื้องหลังของความสำเร็จในการล้มหมีแบบมีคลาสของมือปืนโกต ดิวัวร์ รายนี้
คือความสมดุลที่เกิดขึ้นจากปลายสตั๊ดของแผงมิดฟิลด์ในระบบไดมอนด์ ผสมผสานกับต้นคริสต์มาสแบบหลวมๆต่างหาก ที่ช่วยขับและส่งให้กาลูดูหล่อขึ้นกว่าเพื่อนๆในเกมนี้แบบชนิดที่ว่าน่าได้ "แฮตทริก-ฮีโร่" กันไปในหลายๆจังหวะเลยทีเดียว

"มิชาเอล เอสเซียง" ในบทบาทของฐานเพชร และแกนกลางของต้นคริสต์มาส ขนาบข้างด้วย "ซุปเปอร์แฟรงค์" และ "ไกเซอร์น้อย" ขณะที่ยอดเพชรถูกตกแต่งด้วย "เดโก้" และ "นิโก้ อเนลก้า" ตามแต่จังหวะของเกมจะพาไป โดยไม่ต้องสนใจว่าทั้งสองคนนี้แท้จริงแล้วถูกส่งลงเล่นเป็นมิดฟิลด์ตัวรุก หรือกองหน้ากันแน่

โดยเฉพาะอดีตของเด็กดื้อที่ชื่อ "นิโก้ อเนลก้า" ซึ่งดูเหมือนว่าหอกเฟร้นช์ในวันนี้เติบโต และเป็นผู้ใหญ่ที่เข้าใจกลไกของเกมลูกหนังมากกว่าสมัยละอ่อนมากมาย

อเนลก้าในเกมนี้ (ที่จริงต้องบอกว่าในซีซั่นนี้มากกว่า) เลือกที่จะถ่างออกด้านข้างและคอยเคลื่อนที่ไปมานอกกรอบเขตโทษระยะไม่เกิน 30 หลาแบบอิสระเสรีเอามากๆ เรียกว่าเหมือนเป็นหน้าต่ำกลายๆเลยล่ะครับ
แถมยังแล่บไปที่ริมเส้นทางฝั่งซ้ายเพื่อคอยประสานงานกับแอชลี่ย์ โคล อยู่แบบถี่ยิบทีเดียวในช่วงครึ่งแรก
ผิดกับตอนที่งัดข้อกับอัฟราม แกรนท์ สมัยย้ายมาใหม่ๆชนิดหน้ามือเป็นหลังเท้า

จะบอกว่าเพราะลุงแกรนท์นั้นขาดบารมีที่คอยกำราบเด็กดื้ออย่างนิโก้ ก็คงไม่ผิดนัก
ทั้งๆที่แกรนท์นี่เองนะครับ ที่เป็นคนเซ็นสัญญากับมือปืนอาร์ตตัวพ่อ (ต้นฉบับความอาร์ตในยุคมิลเลนเนียม) มาจากโบลตัน ด้วยค่าตัวราวๆ 15 ล้านปอนด์มาเองกับมือ เพื่อทดแทนการขาดหายไปของดิดิเย่ร์ ดร็อกบา ที่ติดภารกิจกลับไปรับใช้ชาติในศึกอแฟริกัน เนชั่นส์ คัพ (ซึ่งมันกำลังจะกลับมาหลอกหลอนเชลซีอีกครั้งในช่วงมกราคมนี้)

ตอนนั้น แกรนท์ใช้งานอเนลก้าที่ริมเส้นทั้งทางฝั่งซ้ายและขวาอยู่บ่อยๆ จนเจ้าตัวบ่นกระปอดกระแปดว่าทำให้ศักยภาพในความเป็นมือปืนอันเอกอุของเขาลดลงไป
แถมยังจวกอีกดอกด้วยว่า เหตุที่เขายิงจุดโทษพลาดในนัดชิงชปล. ปีนั้น ก็เป็นเพราะแกรนท์นี่แหละครับ ที่ยัดเยียดให้เขายิง ทั้งๆที่เพิ่งลงสนามได้ไม่กี่นาทีเองด้วยซ้ำ
เรียกว่าฉายแววของเด็กดื้อที่พร้อมจะป่วนทีมเหมือนสมัยไปป่วนอาร์เซน่อล, มาดริด รวมไปถึงเปแอสเช อีกครั้ง

จะว่าไป อเนลก้าในตอนนั้นก็เหมือนระเบิดเวลาที่พร้อมจะตูมตามใส่มือคนที่ถือได้ทุกวินาทีนั่นแหละครับ
จนกระทั่งการมาถึงสแตมฟอร์ด บริดจ์ของ "กุส ฮิดดิ้งค์" นั่นแหละครับ ที่ช่วยปรับเปลี่ยนทัศนคติแบบเด็กที่ไม่รู้จักโตของเขา ให้ก้าวไปสู่อีกขั้นของยอดนักเตะ

ผมว่าไม่มีใครกล้าปฏิเสธถึงพรสวรรค์ของนิโก้หรอกนะครับ
อเนลก้านั้นเป็นกองหน้าที่มีทั้งความเร็ว และความคมกริบฝังติดอยู่ที่ปลายสตั๊ดมาตั้งแต่กำเนิด เช่นเดียวกับ "ความก้าวร้าว" และ "ความมีโลกส่วนตัวสูง" ที่ทำให้เขากลายเป็นตัวป่วนไปในสายตาของเพื่อนร่วมทีมทุกทีมที่เขาย้ายไปร่วมสังคายนาค้าแข้งด้วยมาตลอด
โดยจะเห็นได้ว่า อเนลก้าแทบไม่มีเพื่อนสนิทกับทีมที่เคยร่วมค้าแข้งมาก่อนเลยซักคนเดียว ซึ่งน่าจะบ่งบอกถึงความน่าคบของเขาได้ในระดับหนึ่ง (ha)



แต่บิ๊กกุสนั้น จัดว่าเป็นกุนซือที่มากทั้งบารมี และจิตวิทยา ในระดับอ๋องไม่แพ้เฮียมู หรือเซอร์ อเล็กซ์ซักเท่าไหร่
นั่นจึงทำให้เด็กหัวดื้ออย่างเขา ยอมปรับเปลี่ยนทัศนคติในการทำงานกับเพื่อนร่วมทีม จากการเล่นเพื่อตัวเองและเล่นตามแบบฉบับ "ช่างมัน ฉันไม่แคร์" ของเขา มาเป็นการยอมลดบทบาทของตัวเองเพื่อทำงานหนักช่วยทีม เหมือนเพื่อนคนอื่นๆ

ผลที่ได้รับก็คือตำแหน่ง "รองเท้าทองคำ" เป็นครั้งแรกในอาชีพการค้าแข้งของเขาเมื่อซีซั่นที่แล้ว
จากการพยายามปั้นและดันให้ของเพื่อนๆเชลซีในวันปิดฤดูกาลกับซันเดอร์แลนด์ ซึ่งอเนลก้าสารภาพว่าปลื้มและขอขอบคุณเพื่อนๆทุกคนมากๆ

ผลพวงจากการปรับเปลี่ยนทัศนคติในการเล่นเพื่อทีมมากขึ้นของเขา กระทบชิ่งมาถึงอันเชลอตติที่สามารถทำงานกับอเนลก้า และดร็อกบาง่ายขึ้นเป็นกอง
ส่งผลให้ทั้งคู่กำลังทำผลงานติดลมบนอยู่ในเวลานี้ยังไงล่ะครับ

ทางฟากฝั่ง "ไกเซอร์น้อย" นั้นเล่า เพื่อนๆมองเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงอะไรของเขาบ้างขึ้นรึเปล่า?

นับตังแต่วันที่มิช่า งัดข้อเพื่อขอยิงลูกฟรีคิกกับ ดร็อกบาแบบน่าอาย ถึงขนาดเอสเซียงแทบอยากจะเอาเสื้อเชลซีคลุมหัวเล่นบอลในวันต่ออายุการลุ้นแชมป์รีเมียร์ลีกปี 2008 วันนั้นแล้ว
จอมทัพของด๊อยช์ลันด์กล้ามโตคนนี้ มีพัฒนาการทางด้านมนุษยสัมพันธ์นอกสนามกับเพื่อร่วมทีมดีมากขึ้นทั้งในระดับสโมสร และในทีมชาติเลยนะครับ

ทอร์สเท่น ฟริงคส์ อดีตเพื่อนร่วมทีมชาติ เคยกล่าวกับนิตยสาร "คิกเกอร์" เมื่อไม่นานมานี้ว่า
"แต่ก่อนมิช่า จะมีบทบาทที่เป็นผู้นำเฉพาะในสนามเท่านั้น แต่นอกสนาม เขาแทบไม่สื่อสารกับรุ่นน้องหรือคนอื่นๆเลย นั่นทำให้เขาคงสถานะ "ผู้นำ" ได้แค่ในผืนหญ้าเท่านั้น"

"แต่ตอนนี้มิช่าดูเหมือนว่าเขากำลังมีการสื่อสารกับเพื่อนร่วมทีมมากขึ้น ระหว่างนั่งรถบัสหรือในสนามซ้อม เขาพูดคุยกับเพื่อนๆมากกว่าแต่ก่อนอย่างเห็นได้ชัด"
ฟริงคส์พูดถึงการพัฒนาด้านการเป็นผู้นำของมิช่าต่อว่า

"นั่นทำให้เขาเป็นที่ยอมรับ และกลายเป็นผู้นำของทัพนักเตะด๊อยช์ได้สมบูรณ์แบบทั้งในและนอกสนาม ซึ่งมันส่งผลดีต่อทีมชาติเยอรมันของเรามากๆ"

ขณะที่ความสัมพันธ์ของเขากับเดอะ ดร็อก ก็ดูจะไม่มีอะไรในกอไผ่มากมายเหมือนที่ใครหลายคนพยายามสร้างรอยร้าวให้ทั้งคู่
ภาพที่สองกัปตันของสองชาติจากต่างทวีป (โกต ดิวัวร์ กับ เยอรมัน) ยืนสวมกอดกันภายใต้เสื้อตราสิงโตสีน้ำเงิน มีให้เห็นอยู่เป็นประจำหลังจากไม่ใครก็ใครซักคนทำประตูได้

ในส่วนของการเล่นในเชลซีซีซั่นนี้ บัลลัคผู้มีรูปร่างบะลั่กกั้ก กำยำสมกับเป็นผู้นำของด๊อยช์ลันด์คนนี้ ก็มีทัศนคติในการทำงานหนักเพื่อทีมที่ดีขึ้นไม่แพ้อเนลก้าเลยนะครับ
เห็นได้จากการที่เขาคือผู้ถือกุญแจหนึ่งในสี่ดอก ของระบบไดมอนด์ที่สำคัญมากๆในจุดยุทธศาสตร์บริเวณกลางสนามของเชลซี

บัลลัคคนนี้นี่แหละครับ ที่ช่วยอุดรูรั่วของเกมริมเส้นทางฝั่งขวายามที่โบซิงวา, อิวาโนวิช หรือเบลเลตติ ปล่อยให้บอลทะลักมาทางกราบแบบตั้งตัวไม่ทัน

มิช่าคอยเป็นตัวสกรีนบอลทางริมเส้นฝั่งขวาได้ยอดเยี่ยมมากๆเลยนะครับ ขณะเดียวกันเวลาที่เอสเซียงเดินขึ้นหน้า รูโหว่ตรงกลางที่ทิ้งไว้ ก็เป็นกัปตันด๊อยช์ลันด์คนนี้อีกนั่นแหละครับ ที่วิ่งเอากล้ามโตๆเข้ามาช่วยชะลอไม่ให้บอลทะลุไปถึงคู่เซนเตอร์เร็วจนเกินไป

เรียกว่าวันไหนบัลลัคลงสนามในระบบไดมอนด์แล้วล่ะก็ แฟนๆเชลซีไม่ต้องห่วงเลยครับว่าใครจะลงเล่นในตำแหน่งแบ็คขวา เพราะไม่ว่าใครจะลงมาเล่น พื้นที่ตรงนั้นก็จะมีบัลลัคคอยยืนเป็นด่านตรวจคนเข้าเมืองให้ เรียกว่าปล่อยให้วิงแบ็คเดินเกมได้แบบสบายใจกันไปเลย



ภาพรวมของเกมควักตับไตไส้พุงหมีเมื่อคืนนี้ ไม่มีอะไรน่าพูดถึงมากเท่าไหร่นะครับ
เพราะมันเกิดจากระบบของเชลซีที่เหนือกว่า บวกกับความเปื่อยยุ่ยเป็นกระดาษชำระโดนน้ำของแอตเลติโก มาดริด สกอร์ที่ออกมาถึงดูน่าตกตะลึงพึงเพริดอย่างนั้น
ในความเป็นจริง เชลซียังมีจุดอ่อนอยู่ที่แบ็คขวาเหมือนทุกๆปี แต่ระบบที่อันเชลอตติใช้นี้ อย่างน้อยๆก็ช่วยให้มิดฟิลด์ทางฝั่งขวาลงมาช่วยอุดและปกปิดแผลตรงนี้ได้มากทีเดียว

และอีกสิ่งที่บอกได้เป็นอย่างดีก็คือ สมการใหม่ของสิงห์บลูส์ที่ผมร่ายมาซะยาวเหยียดนี้
นิวนิโก้ + นิวมิช่า จะเป็นกุญแจที่สำคัญพอให้เชลซีเอาตัวรอดในช่วงที่แอฟริกัน เนชั่นส์ คัพมาลักพาตัวคีย์แมนแดนแอฟริกาของเราไปหลายหน่อทีเดียว

แต่นั่นเป็นแค่ความเชื่อส่วนตัวของผมนะครับ
การปรับเปลี่ยนทัศนคติเล่นเพือทีมและทำงานหนักเพื่อเชลซีมากขึ้นของทั้งคู่ เป็นแค่สัญญาณดีๆที่บอกว่าสปิริตภายในทีมไม่ได้ถูกขโมยหายไปไหน ถึงแม้จะประสบกับความพ่ายแพ้ไปแล้วถึงสองนัดก็ตาม

ไม่มีดร็อกบา เชลซียังอุตส่าห์เอาตัวรอดมาได้จากคลาส และการเติบโตขึ้นทางความเข้าใจเกมลูกหนังของอเนลก้า และผมเชื่อว่านิโก้จะมาสามารถเป็นที่พึ่งของเชลซียามไม่มีเดอะ ดร็อกได้

แต่ถ้าไม่มีเอสเซียงล่ะ?
สังหรณ์ของผมบอกว่าบัลลัคจะเป็นคำตอบที่สมดุลของคำถามที่ชวนระทึกนี้

สังหรณ์ของผมจะเป็นอะไรที่คิดเองเออเองรึเปล่า?
มกราคมปีหน้า...คำตอบยืนรออยู่ที่เสื้อหมายเลข 13 แล้วครับ.




 

Create Date : 12 พฤศจิกายน 2552   
Last Update : 12 พฤศจิกายน 2552 12:13:39 น.   
Counter : 511 Pageviews.  


Death ball - Dead Chelsea

คืนให้แล้วนะครับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
สำหรับตำแหน่งจ่าฝูงที่พลพรรคปีศาจสามง่ามหน้าตาโรคจิต ครอบครองซะจนคุ้นเคย จนชาวบ้านแถบๆแมนเชสเตอร์ (ฝั่งสีแดง) สามารถเรียกได้แบบไม่ละอายเลยว่าเป็น "เจ้าของ" พื้นที่สัมปทานตรงนี้
ผมเชื่อว่าก็คงไม่มีใครกล้าเสนอหน้าคัดค้านแต่อย่างใด

ทั้งๆที่เมื่อสองสัปดาห์ก่อนเบรคทีมชาติ พลพรรคสิงห์บลูส์แอนด์โค อุตส่าห์แอบปีนไปนั่งบนหัวแถวของตารางอันหนาวเหน็บนี้มาได้แล้วเชียว ด้วยการเปิดถ้ำขย้ำหงส์แดงได้แบบน่ากระแทกมือดังๆให้
แต่การณ์กลับกลายเป็นว่า พอออกจากรังไปฟัดกับคู่แข่งสายพันธุ์สิงห์ด้วยกันอย่าง "แอสตัน วิลล่า"

เชลซีที่น่าเกรงขามเมื่อสองอาทิตย์ก่อน ก็แปรเปลี่ยนจากพญาราชสีห์เขี้ยวลากดิน เป็นแมวเหมียวผู้โดนน็อคนิ่มๆด้วยท่าไม้ตายระดับอัพเปอร์คัต ของสิงห์ผยองซะอย่างนั้น

แถมสองหมัดที่สิงห์ผยองอัพเปอร์ คัต..อัพเปอร์ คัต อัดใส่สิงห์บลูส์นั้น
ถ้าจะให้เปรียบ ก็คงคล้ายๆกับสาวน้อยหน้าตาพอดูได้คนหนึ่ง ที่ยอมกลับไปคืนดีกับแฟนหนุ่มเพลย์บอยรูปหล่ออีกครั้ง โดยหลงเชื่อและหวังว่าหนุ่มคนนั้นจะกลับตัวกลับใจ
แต่สุดท้ายก็โดนหลอกเจาะไข่แดงที่จุดเดิมๆอีกเป็นครั้งที่สองแบบแสบสันต์และทุกข์ระทมทรวงเป็นที่สุด

แถวบ้านผมเค้าด่า เอ้ย! เค้าเรียกว่า "เจ็บแล้วไม่จำ" ขอรับ

เชลซีก็ไม่ต่างอะไรกับสาวน้อยหน้าตาพอดูได้คนนั้น
ทั้งๆที่ในครึ่งแรก คนเสื้อน้ำเงินทั้งหลายก็เห็นทนโท่อยู่แล้วว่า "เดดบอล" หรือ "เซตพีซ" หรือใครจะเรียกอะไรก็ตามแต่สะดวกรูปากของแอสตัน วิลล่า นั้น ขีดความอันตรายของมันถูกบรรจุอยู่ในระดับ "ฆ่าล้างโคตร" เลยทีเดียว
ซึ่งลิเวอร์พูล และ "อดีตนักเตะยอดเยี่ยมของลีกบราซิล" อย่างลูคัส เลว่า แสดงให้เห็นมาแล้วในช่วงต้นฤดูกาล

แต่ไหง พอเริ่มเขี่ยบอลมาในครึ่งหลัง เชลซีก็ยังอุตส่าห์ละเลย และเผลอเรอจนปล่อยให้ "เจมส์ คอลลินส์" วิ่งเข้ามาปลิ้นตาข่ายของพวกเขาสำเร็จ ด้วยการเข้าทำแบบเดิมๆให้เจ็บจี๊ดในหัวใจเล่นๆอีกหน
แถมหมัดเด็ดคราวนี้ กลับกลายเป็นหมัดน็อคไปในท้ายที่สุดอีกต่างหาก

ไม่แปลกเลยครับ ที่เราจะได้เห็น "กัปตัน จอหน์" ตะโกนแหกปากร้องหาแกงฟัก กับคัสตาร์ด (หรือบัสตาร์ดก็ไม่แน่ใจ) ที่ก้นตาข่ายแบบเดือดดาลขนาดนั้น

เพราะหลังจากที่ภาพรีเพลย์วิ่งกลับมาฉายและแฉให้ดู เราจะเห็นว่าจังหวะที่เสียประตูที่สองนั้น มีเพียงเจทีคนเดียว ที่วิ่งตามประกบนักเตะของวิลล่าแบบตามไปถึงบ้านอยู่แค่คนเดียว

ขณะที่ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา กับมิชาเอล เอสเซียง ที่ยืนว่างเป็นคนไร้คู่แบบคริส หอวัง ในภาพยนตร์เรื่อง "รถไฟฟ้า มาหานะเธอ" กลับเลือกที่จะขึ้นคาน ยอมเป็นโสดไม่ดื้นรนหาคนประกบ จนเป็นเหตุให้ให้เจ้ายักษ์ปักหลั่นที่รูปร่างไม่ใช่น้อยๆอย่าง คอลลินส์ วิ่งตะบึงห้อหน้าตั้งมาจากนอกเขตโทษ ก่อนจะเข้ามาโถมขวิดลูกเตะมุมเข้าไปจมก้นตาข่ายแบบโทษใครไม่ได้จริงๆ
นอกจากโทษตัวเอง!!!

โดนอัพเปอร์ คัต แบบสองหมัดเน้นๆแบบนี้ จ่าฝูง (ในเวลานั้น) ก็เล่นเอาเป๋ห่าวไปเหมือนกัน

การขาดหายไปของไกเซอร์น้อย ส่งผลให้แดนกลางของเชลซีประสิทธิภาพถดถอย ทั้งในด้านการทำลายล้าง และการสกัดกั้นการรุกรานของคู่แข่ง ไปในระดับหนึ่ง เลยนะครับ
เพราะที่ผ่านมา เราจะเห็นได้ว่าบัลลัคในซีซั่นนี้ เป็นหนึ่งในกุญแจสำคัญ 4 ดอกในระบบไดมอนด์ของเชลซีร่วมกับ แลมพาร์ด, เดโก้ และเอสเซียงเลยทีเดียว

หลักฐานที่ผ่านๆมาก็คือ ตลอดเวลาที่กัปตันด๊อยช์ลันด์คนนี้วิ่งโชว์กล้ามบึ้กๆในสนามนั้น เขาคอยช่วยให้งานทางด้านกราบของโบซิงวา และเกมตรงกลางของทีมที่รับผิดชอบโดยเอสเซียง เกิดอะไรซักอย่างที่เรียกว่า "สมดุล"

ไม่ว่าจะเป็นเกมที่ออกไปแพ้วีแกน, ชนะอาโปเอล นิโคเซียแบบไม่น่าประทับใจ หรือกระทั่งในนัดล่าสุดนี้
เชลซีไม่มีแม้กระทั่งเงาของบัลลัคอยู่ในสนามเลยซักเกมเดียว
ปรากฏว่าผลที่ออกมาคือความพ่ายแพ้แบบไม่น่าเกิดถึงสองนัด กับชัยชนะที่ไม่ค่อยรื่นรมย์อีกหนึ่งนัด

แต่คงจะเป็นการแก้ตัวที่มักง่ายไปไม่น้อย
หากจะกล่าวโทษ และบอกว่าพวกเขาเสียตำแหน่งจ่าฝูงเพราะนักเตะที่ขาดหายไปเพียงคนเดียว
ความเป็นจริงที่เกิดขึ้นก็คือ เชลซีนั้น "ประเมิน" และ "ประมาท" ทีมอย่างวิลล่าต่ำเกินไปต่างหาก



โดยปกติแล้วนะครับ "เครื่องหมายการค้า" ของเชลซีตั้งแต่ยุครานิเอรี่เป็นต้นมาแล้วนั้น คือ "เกมโต้กลับ" ไม่ใช่ "เกมรุกที่สะเด็ดสะเด่าเร้าอารมณ์" อย่างที่เสี่ยหมีสรรหาข้ออ้างมาขับไล่มูรินโญ่ออกจากทีมไปเมื่อปี 2007

เชลซีในยุคอันเชลอตติเองก็เช่นกัน
เทรดมาร์คของเขาในการคุมมิลานก็คือการค่อยๆยึดพื้นที่ในแดนกลาง และจู่โจมด้วยการสวนกลับเร็ว

แต่ในเกมกับวิลล่านั้น พอเชลซีได้ประตูขึ้นนำ พวกเขากลับใจร้อนเลือกที่จะเปิดเกมแลกกับวิลล่าแบบหมัดต่อหมัด ถ้าเป็นมวยก็คงต้องบอกว่า "แลกหมัด" กันไปเลย อะไรทำนองนั้น
ซึ่งความจริงแล้ว ไม่มีความจำเป็นเลยครับ แค่เชลซีใจเย็นๆ แล้วตั้งการ์ดรอหาโอกาสสวนกลับเพื่อปิดเกมแบบงามๆ เหมือนนัดที่เจอลิเวอร์พูล แค่นั้นงานของพวกเขาก็จะไม่ยากเกินไป

ซึ่งมุมมองของผมเองมองว่า ผิดวิสัยและไม่ค่อยเหมาะกับสถานะของเชลซีในการเป็นทีมเยือนเลยแม้แต่น้อย
เชลซีเล่นดีกว่าวิลล่านะครับ อีกทั้งโอกาสในการเข้าทำ โดยเฉพาะเมื่อดูจากสถิติที่ยิงเข้ากรอบนั้นของเชลซีสูงถึง 26 ครั้งเลยทีเดียว ขณะที่วิลล่ายิงเข้ากรอบแค่ 5 ครั้ง
แต่อุตส่าห์ไปกองที่ก้นตาข่ายถึง 2 ลูก

ขณะที่บางคนบอกว่าเป็นเพราะแบรด ฟรีเดล ผีเข้า
แต่สำหรับผม กลับรู้สึกว่ามือปืนของเชลซีแต่ละคนยิงไปตรงตัวฟรีเดลมากกว่า ทั้งมาลูด้าเอย อเนลก้าเอย เดโก้เอย กับจังหวะที่ตะลิ๊ดติ๊ดชึ่ง ทำชิ่งทะลุเข้าเขตโทษกันไปนั้น ถ้ามีใครซักคนยิงออกซ้ายออกขวาบ้าง
เอาหัวอ้ายทิดเป็นประกันเลยครับว่า "กระจุย"

ระบบไดมอนด์ผมสังเกตุและรู้สึกเอาเองว่าในครึ่งแรกนั้น นักเตะเริ่มเข้าใจในหมากนี้มากขึ้นในทุกๆเกมที่ลงเล่น โดยเฉพาะหลังจากที่ได้ประตูขึ้นนำ เราได้เห็นการต่อบอลที่เร็วและแม่นยำมากขึ้น การพาสแอนด์มูฟ และการเคลื่อนที่เพือไปรับบอลระหว่างกันและกันของนักเตะเชลซี เริ่มดูดี และเนียนตามากขึ้น
แต่ในเมื่อผลลัพธ์ที่ออกมาเป็นเชลซีแพ้ ผู้คนก็จะเริ่มสงสัยในระบบไดมอนด์กันทันทีอย่างเลี่ยงไม่ได้

สารภาพและก้มหน้ายอมรับครับ ว่าจุดอ่อนของระบบนี้อยู่ที่เกมริมเส้นนี่แหละครับ
สังเกตุมาหลายนัดแล้ว ว่าเวลาเชลซีเจอกับทีมที่มีปีกความเร็วสูง หรือมีความรอบจัดเมื่อไหร่
อัมพาตจะเริ่มเกาะกินที่เกมทางกราบทันที

เวลาที่ยัง หรือ อักบอนลาฮอร์ รวมไปถึงมิลเนอร์ ขึ้นเกมมาทางริมเส้นทีไร หัวจิตหัวใจของแฟนเชลซีทุกคน ผมเชื่อว่าคงเต้นระส่ำราวกับเห็นมิยาบิมายืนส่งสายตาเย้ายวนโดยปราศจากอาภรณ์ห้อหุ้มกายที่หัวเตียงทุกที

ในส่วนของแอชลี่ย์ โคล ไม่มีปัญหาเลยครับ สำหรับระบบนี้
แต่กับโบซิงวา และอิวาโนวิช ตัวสแตนด์บายนี่ซิครับ ที่อาจมีปัญหา
แน่นอนว่าโบซิงวานั้นอาจมีเกมรุกที่เป็นจุดขาย แต่เรื่องเกมรับยังคงอยู่ในเครื่องหมายคำถามตัวเบ้อเริ่มเลยนะครับ
ส่วนอิวาโนวิชนั้น ก็เด่นที่เกมรับ ส่วนเกมบุกเนี่ย ปีนึงขอยิงลิเวอร์พูลทีมเดียวก็พอ :)

วิลล่าเลือกเจาะที่ทางฝั่งขวาของเชลซีแบบวันเวย์ โดยพยายามหาทางหลีกเลี่ยงแอชลี่ย์ โคล ให้ได้มากที่สุด
ยิ่งในช่วงเวลาที่อิวาโนวิชลงมาแทนโบซิงวาด้วยแล้ว สังเกตุเห็นเลยนะครับว่าอิวาโนวิชนั้นใช้โควตาเกมที่ดีที่สุดเกมนึงในฤดูกาลของเขาไปในนัดที่เจอลิเวอร์พูลไปแล้ว
ในช่วงเวลานึง ตอนที่อิวาโนวิชวิ่งไล่กวดแอชลี่ย์ ยัง ผมเห็นแล้วอดสงสารแบ็คหน้าหวานของสาวๆจริงๆ

อีกจุดที่อยากตำหนิคนเป็นกุนซือบ้างก็คือ เรื่องการเปลี่ยนตัวนี่แหละครับ
ปกติอันเชลอตติจะเป็นคนที่แก้เกมในครึ่งหลังได้ดีในระดับหนึ่ง โดยมีหลักฐานจากหลายๆเกมในฤดูกาลนี้ให้เห็น ไม่ว่าจะเป็นเกมที่พลิกกลับมาทุบหัวแมวดำ, ไล่ตีหม้อของสโต๊ค หรือแม้แต่เกมล่าสุดที่ขย้ำลิเวอร์พูลนั่นก็ใช่
เรียกว่าแกเป็นคนที่ค่อนข้าง "คิดเร็ว ทำเร็ว"

แต่เกมนี้ อันเชลอตติลงมือเปลี่ยนตัวผู้เล่นได้ช้ามากๆเลยนะครับ
เชลสกี้ส์หลายๆคน หรือแม้แต่ผู้บรรยายเกมทางทีวีของอังกฤษยังพูดกันอยู่เลยว่า เมื่อไหร่ที่เชลซีจะส่งนักเตะที่มีคุณสมบัติในการทะลุทะลวงอย่างโจ โคล, ชีร์คอฟ หรือกาลู ก็ได้ให้ลงมาเพื่อช่วยจุดประทุไฟในแดนกลาง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่ทีมต้องการความเปลี่ยนแปลง ยามเมื่อการเข้าทำตีบตันอย่างนั้น

เพราะหลังจากที่โดนวิลล่าอัพเปอร์ คัต ลูกนั้น
เชลซีครองบอลบุกได้ไม่ต่อเนื่องเอาเสียเลยครับ บุกอยุ่ดีๆ โดนสวนกลับจนเกือบพังพาบเอาก็หลายครั้ง โดยเฉพาะลูกที่คาริวยิงเข้าฮอสแบบเฉือนๆลูกนั้น ถ้าคาริวคมกริบกว่านี้ซักนิดส์
รับรองได้เลยครับว่าเชลซีตายสนิท ศิษย์ส่ายหน้าแน่ๆ

อันเชลอตติ ต้องรีบมองหาแผนบี แผนซี ไว้ตั้งแต่เนิ่นๆได้แล้วนะครับ
เพราะระบบไดมอนด์ที่ใช้ เป็นบอลที่หาทางจับได้ไม่ยากเลย หากคู่ต่อสู้เตรียมตัวมาดี อย่างวีแกน กับ วิลล่าที่แสดงให้เห็นมาแล้ว
การได้ตัวริมเส้นที่ฝีเท้าไว้วางใจได้กลับคืนสู่สนามอย่างโจ โคล, ชีร์คอฟ น่าจะเป็นอีกแนวทางให้อันเชลอตติลองหันกลับไปลอง 4-3-3 บ้างในบางโอกาส

เพราะถึงนักเตะในทีมจะให้ความร่วมมือกับไดมอนด์ของเขามากก็จริง
แต่ต้องไม่ลืมนะครับ ว่านักเตะชุดนี้ไม่ใช่ของเขา แต่เป็นของกุนซือหน้าเครียดคนเก่าอย่าง "มูรินโญ่"

เพราะฉะนั้น ถ้าหากไดมอนด์เริ่มอุดตันทางการจู่โจม และโดนจับทางได้เมื่อไหร่
4-3-3 ของเฮียเครียด ก็เป็นตัวเลือกฉุกเฉินของเชลซีได้ทุกเมื่อนะครับ เพราะว่านักเตะคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว

อันเชลอตติมีเวลาให้ผิดพลาดไม่มากนะครับ
ถึงแม้แฟนๆจะคอยสนับสนุน เจ้าของยังพอใจในผลงาน นักเตะจะให้ความร่วมมือกันอยู่
แต่ฟุตบอลกลมๆ ไม่เคยมีอะไรแน่นอน มันพร้อมจะกลิ้งหลุนๆไปได้ตลอดเวลา

ยิ่งถ้ารัสเซียตกรอบเพลย์ออฟเมื่อไหร่
แล้วอันเชลอตติยังไม่สามารถแก้ปัญหาในการป้องกันเซตพีซ, การยืนระยะรักษาตำแหน่งจ่าฝูงไว้ให้นานที่สุด, การรับมือกับอาการบาดเจ็บของคีย์แมน หรือแม้แต่ยังไม่สามารถหาทางออกให้กับอาวุธอันตรายของเชลซีอย่าง "แลมพาร์ด" ให้สามารถปล่อยของได้เหมือนทุกๆปีล่ะก้อ
เก้าอี้ของเฮียแกคงร้อนวาบๆ ไม่ต่างอะไรกับบิ๊กฟิลกุนซือคนก่อนซักเท่าไหร่หรอกนะครับ

ยิ่งกุส ฮิดดิ้งค์ เคยหยอดคำหวานเอาไว้ว่าหลงใหลบรรยากาศของฟุตบอลอังกฤษ
พอๆกับที่สนิทสนมกับเจ้าของทีมและเป็นที่รักของนักเตะเป็นทุนเดิมอยู่แล้วเนี่ย
แค่คิดก็สยดสยองแทนพี่แจ้แกแล้วล่ะครับ พี่น้อง.





 

Create Date : 12 พฤศจิกายน 2552   
Last Update : 12 พฤศจิกายน 2552 12:07:40 น.   
Counter : 796 Pageviews.  


เชื่อมั่นในสิงห์บลูส์ กับนายหัวอันเชลอตติ

ก่อนจะเริ่มละเลงคีย์บอร์ด ฝอยถึงชัยชนะของเชลซีที่ยัดเยียดให้กับคนเสื้อแดงเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา
ผมขออนุญาตยิ้มกว้างๆ, ยกนิ้วโป้งมือขึ้นมาระดับอก พร้อมๆกับรำลึกความหลังสมัยเรียนด้วยการเยวให้กับบรรดาขุนแข้งเสื้อน้ำเงินแบบลูกเสือสามัญรุ่นใหญ่ซักสามดอกเน้นๆว่า


"เยี่ยมจริงๆ เยี่ยมจริงๆ เยี่ยมจริงๆ"

ผมนั่งดูเกมซุปเปอร์ ซันเดย์ ที่วันอาทิตย์ถูกฉาบย้อมด้วยสีน้ำเงินนี้ ที่ร้านข้าวต้มโต้รุ่งในซอกหลืบของจังหวัดอุทัยธานีตั้งแต่ประมาณ 3 ทุ่มกว่าๆ โดยถือเอาเคล็ด (ที่ไม่ขัดยอก) ว่าถ้าเกมไหนเชียร์เชลซีแล้วละเลยการสวมใส่เครื่องแบบสีน้ำเงินที่ปักตราสิงโตสีน้ำเงินตรงหน้าอก ถ้าหากวันนั้นเชลซีเกิดพบกับหายนะในผลการแข่งขันขึ้นมา ตัวผมเองจะรู้สึกผิดบาปราวกับเป็นต้นเหตุแห่งความย่อยยับของเชลซียังไงยังงั้นเลยล่ะครับ

คราวนี้ก็เช่นกัน
ถึงแม้ว่าเมื่อวันศุกร์ ผมจะมีงานด่วนต้องออกจากกรุงเทพฯตั้งแต่บ่าย เพื่อไปดูงานที่อุทัยธานีจนถึงวันจันทร์ก็จริง แต่เสื้อผ้าที่ถูกจับยัดใส่กระเป๋าเดินทางสีดำของผม ไม่เคยที่จะลืมกวักมือเรียกเสื้อสีน้ำเงินของอาดิดาส ให้เดินทางออกต่างจังหวัดด้วยกันเลยซักครั้ง

ผมออกจากบ้านพัก (ที่บริษัทจัดไว้ให้ ซึ่งไม่มีเคเบิล ฮ่วย!) ตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่เลิกงาน แต่กว่าจะหาร้านอาหารที่มีถ่ายทอดฟุตบอลแบบสดๆให้ดู ก็ปาเข้าไปร่วมๆสองถึงสามขั่วโมง
ก่อนจะมาสะดุดกับร้านริมทาง ที่มีลักษณะเหมือนเพิงหมาแหงน (ตอนผมไป ผมไม่ได้แหงนมองนะครับ ^-^) ขนาดไม่เล็กแต่ก็ไม่ใหญ่มากมาย ผมจึงตัดสินใจฝังหนอกตัวเองไว้ที่ร้านนี้ เพื่อเฝ้าเชียร์ทีมรัก โดยหารู้ไม่ว่า

ผมตกไปอยู่ใน "ดงเด็กหงส์" เข้าซะงั้น

เสื้อสีน้ำเงินเด่นของผม มันโดดเด้งราวกับน้องเอมมี่ ที่ซุกสาหร่ายทะเลไปแอบกิน ในงานประกาศผลรางวัลตุ๊กตายางทองคำยังไงยังงั้นเลยล่ะครับ
สายตาของคนในร้านที่มีไม่ต่ำกว่าสิบชีวิต มองมาที่ผม พร้อมๆกับรอยยิ้มที่มุมปากบ้าง ขมวดคิ้วฉงนระคนฉงายบ้าง ตาเยิ้มเหมือนเห็นสาวแรกแย้มบ้างล่ะ (คาดว่าคงเป็นเพราะฤทธิ์ของ "หงส์ทอง")

แต่อะไรคงไม่น่าตกอกตกใจเท่ากับ เห็น "เฟร์นานโด ตอร์เรส" เดินมารับออเดอร์ขอรับ !!!
เป็นตอร์เรสในเวอร์ชั่นผมสีเขียวว่าน่าตกใจแล้ว เสื้อลิเวอร์พูลที่ใส่อยู่มันชวนให้น่าตระหนกตกใจยิ่งกว่าเสียอีก

ก็ผมดันสะเออะไปแอบเห็นปีที่ก่อตั้งสโมสรลิเวอร์พูล จากสัญลัษณ์ของสโมสรที่อกเสื้อ มีการเปลี่ยนจากปีค.ศ. "1892" เป็น "1982" ซะงั้น หนำซ้ำยี่ห้อ "adidas" ยังอุตส่าห์มีการรีแบรนด์ดิ้งใหม่เป็น "adidos" ไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ถ้าไม่ใช่คนขี้จับผิดอย่างผม รับรองว่าคุณๆ หรือใครๆก็คงไม่ทันได้สังเกตเห็นแน่ๆ

ฉับพลัน ก็ทำให้ผมนึกถึงวลีของบอ บู๋ ที่ชอบเอาใช้บ่อยๆว่า
"คนไทย ถ้าตั้งใจทำอะไร ก็ไม่แพ้ชาติใดในโลก" ขึ้นมาตะหงิดๆทันที

หลังจากผมสั่งอาหารไปได้ซักพัก ใบหน้าที่จิ้มลิ้มของตอร์เรส (ตัวจริง) ในทีวีก็ถูกยิงมาจากอังกฤษ พร้อมๆกับนายประตูมือสองของเชลซีนาม "เอ็นริเก้ ฮิลาริโอ" ที่ถูกส่งลงสนามแทนนายประตูมือกาวตัวจริงอย่างปีเตอร์ เช็ค ที่จับได้ใบแดงจากเกมแพ้วีแกน อย่างที่ทราบๆกัน (นั่นสิ อย่างที่ทราบๆกัน แล้วผมจะบอกอีกทำไมวะครับ?)

พอกล้องจับไปที่สองคนนี้ที่ยืนอยู่ข้างๆกันในอุโมงค์เท่านั้นแหละครับ เสียงของคนเสื้อแดงที่ร้านนี้กระชุ่นเป็นทำนองเพลงอะไรสักเพลง อย่างน่ารักฟังทันทีว่า
"โดนนนนน โดนนนนแล้วล่ะ"

สารภาพว่าบางห้วงอารมณ์ผมก็แอบคิดอย่างเด็กหงส์คนนั้นเหมือนกันนะครับ
แต่ด้วยประโยคที่ว่า "สถานการณ์ สร้งวีรบุรุษ" ของกวีคนไหนซักคนนั้น ทำให้ผมยังมีความเชื่อมั่นในตัวของนายด่านจากแดนฝอยทองคนนี้อยู่ลึกๆ (ถึงลึกที่สุด)

แล้วประโยคจากกวีข้างต้น ก็ยิ่งตอกลิ่มย้ำให้เห็นว่าประโยคนั้น ไม่ใช่เพียงถ้อยคำที่เลื่อนลอยแต่อย่างใด

ฮิลาริโอ ลงเล่นด้วยความมั่นอกมั่นใจ พร้อมๆกับความกระหายในการแสดงฝีมือ หลังจากต้องตกอยู่ในร่วมเงาของปีเตอร์ เช็ค มาตลอดหลายปีหลัง
การออกมาตัดบอล หรือแม้แต่การอ่านเกมที่ดีจนน่าได้เกรดเอของเขา ช่วยทำให้เพื่อนๆในทีมรู้สึกอุ่นใจ และสามารถเล่นได้แบบไม่ต้องกังวลมากนัก และยิ่งเวลาผ่านไปเรื่อยๆ ก็ยิ่งทำให้ฮิลาริโอเพิ่มพูนความมั่นอกมั่นใจมากขึ้น ยังผลให้ความมั่นใจนั้นกระทบชิ่งมาถึงคู่เซนเตอร์ฮาล์ฟ และเพื่อนร่วมทีมจนเกิดความสบายใจไร้กังวล ก่อนจะหาทางสร้างเกมกดดันคู่ต่อสู้ได้แบบอร่อยเหาะมากขึ้น เมื่อเวลาผ่านไป

เด็ดที่สุดเห็นจะเป็นช็อตที่บินไปปัดลูกฟรีคิกของริเอร่าที่แอบลักไก่ในช่วงท้ายครึ่งแรก
สำหรับชอตนั้น ผมถือเป็นมาสเตอร์พีซ และเป็นกุญแจสำคัญดอกหนึ่ง ที่ทำให้เชลซีพบกับชัยชนะในเกมนี้เลยนะครับ

ในเมื่อเชลซีไม่เสียประตูไปก่อน บอกตรงๆเลยว่าช่วงพักครึ่ง ผมค่อนข้างมั่นใจในการแก้เกมของอันเชลอตติในระดับหนึ่งเลยทีเดียว



ครึ่งแรกมีไฮไลท์ของการแก้ลำกันของสองผู้จัดการทีมจอมวางแผนอยู่แบบจะๆสองสามครั้ง
เอล บอส แห่งเมอร์ซี่ยไซด์ ออกจะยิ้มแก้มปริทันทีที่รู้ว่าอิวาโนวิชได้ลงไปประจำการในเกมทางกราบฝั่งขวา พอๆกับที่ศึกษาเชลซีภายใต้การคุมทีมของอันเชลอตติมาดีพอสมควร
หลักฐานก็คือ การจู่โจมแบบไม่เกรงอกเกรงใจเจ้าบ้านตั้งแต่นกหวีดเริ่มทำงาน พร้อมๆกับเจาะไปที่เสี่ยเจ้าของบ่อน้ำมันอย่างอิวาโนวิช

ไม่ว่าจะเป็นเจอร์ราร์ดเอย ริเอร่าเอย อินซัวเอย ต่างผลัดกันมาแวะเวียนขอเติมน้ำมันที่ปั๊มของอินาโนวิชกันอย่างสนุกสนาน ชนิดที่ไกเซอร์น้อย กับ เอสเซียงร้านข้างๆ ต้องลงมาช่วยอิวาโนวิชรับแขกกันอยู่บ่อยๆ

แต่เอล บอส และนักเตะลิเวอร์พูลไม่รู้หรอกครับ ว่าวันนี้ปั๊มของอิวาโนวิชเค้าปิดบริการเร็วกว่าปกติ
อิวาโนวิชเปิดบ่อน้ำมันให้นักเตะหงส์เดินมาขุดเล่นกันได้แค่ช่วง 10 นาทีแรกเท่านั้น ก่อนจะค่อยๆตั้งหลักและปิดบริการก่อนเวลา พร้อมๆกับเดินทางขึ้นเหนือไปเจาะบ่อน้ำมันทางฝั่งซ้ายของลิเวอร์พูลอย่าง "เอมิลิอาโน่ อินซัว" คืนชนิดทบต้นทบดอก

เชลซีใช้การดึงเกมช้าในช่วงกลางครึ่งแรก เพื่อถอยมาตั้งเกมของตัวเอง ก่อนจะค่อยๆอาศัยการต่อบอลจากเท้าต่อเท้าที่เร็วและค่อนข้างแม่นยำ เข้าเจาะลิเวอร์พูลอยู่หลายต่อหลายครั้ง
ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา และนิโก้ อเนลก้า ไม่มีใครไปยืนค้ำเพื่อกดดันกองหลังลิเวอร์พูลเลยซักคน แต่มือปืนทั้งสองหน่อ กลับเลือกที่จะสลับกันฉีกออกไปด้านข้าง เพื่อถ่างแนวรับของลิเวอร์พูลมากกว่า

ซึ่งยังไม่ได้ผลเท่าไหร่หรอกครับ
แต่เริ่มมองเห็นเค้าลางของการเข้าทำที่พอจะเป็นไกด์ในจังหวะต่อๆไปได้บ้างแล้ว

หลักฐานก็คือในนาทีที่ 25 ที่อเนลก้าถ่างไปรับบอลทางริมเส้นก่อนโยนระเบิดเข้าไปตรงกลาง ให้เดอะ ดร็อก โถมเข้ามาเปิดแผลที่ซ่อนอยู่ของลิเวอร์พูล ถึงแม้จะเบาเกินไป แต่ก็เริ่มทำให้เชลซีมองเห็นแล้วว่าจุดอ่อนของลิเวอร์พูลในซีซั่นนี้อยู่ที่คู่เซนเตอร์ตรงกลางจริงๆ
โดยเฉพาะลูกกลางอากาศ

เชลซีในครึ่งแรกเน้นเข้าทำแบบฉาบฉวย แล้วใช้ลูกกกลางอากาศเข้าโจมตีลิเวอร์พูล
การดึงเช็งเพื่อขอลูกฟรีคิกบริเวณริมเส้นมีให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็นลูกโหม่งของบัลลัค หรืออิวาโนวิชในช่วงท้ายครึ่งแรก
แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่สามารถหาทางเผด็จศึกได้ซะที

อย่างที่เกริ่นไว้แล้วครับ ว่าส่วนตัวผมเองนั้นค่อนข้างเชื่อมือในการแก้เกมของอันเชลอตติในช่วงพักครึ่งระดับหนึ่ง

หมากกลในครึ่งหลังของเชลซี ออกมาในรูปแบบของการสั่งให้ลูกทีมยึดพื้นที่ในแดนกลางให้ได้แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ใช้จอมทัพจาก 4 ชาติกดลูคัส กับมาสเคราโน่ ไม่ให้เดินเกมขึ้นหน้าได้สะดวก เพราะนั่นหมายความว่า "กัปตัน จี" ของเด็กหงส์ต้องลงมาต่ำเพื่อร่วมสังฆกรรมเกมกลางสนามมากกว่าเดิม ส่งผลให้น้องตอร์ของแม่ยกสาวๆ ค่อยๆหายหน้าหายตาหล่อๆไปจากกล้องทีวีอยู่บ่อยครั้ง

4 ขุนพลในแดนกลางของเชลซี ที่ถือกำเนิดจาก 4 ชาติอย่าง เอสเซียง, บัลลัค, แลมพาร์ด และเดโก้นั้น ทำงานในจุดยุทธศาสตร์ได้ดีมากๆ สลับกันเติมเกมรุก ผลัดกันช่วยเกมรับ อีกทั้งสายตาการผ่านบอล และความสามารถในการออกบอลแบบ "ฆ่ากันให้ตายไปข้าง" ของพวกเขายังอยู่ในระดับที่สามารถกดกองหลังและวิงแบ็คของลิเวอร์พูล ไม่ให้เติมเกมขึ้นมาตามดำเนินสะดวกเลยตลอดช่วงต้นครึ่งหลัง

คู่มือปืนในแดนหน้า ยังคงวิ่งพล่านทำทาง ฉีกคู่เซนเตอร์ให้แยกออกจากกันให้มากที่สุด
โดยเฉพาะดร็อกบา ที่กี่ปีๆ ก็ยังคงเป็นของแสลงของลิเวอร์พูลไม่มีเสื่อมคลาย จังหวะฉีกไปรับบอล จังหวะปะทะ เดอะดร็อก เล่นงานจนสเคอร์เทล ที่ได้รับหน้าที่ให้ตามประกบงอมพระรามจนแทบจะงามไส้เลยทีเดียว

เชลซีเพรสซิ่งเร็ว จนลิเวอร์พูลตั้งเกมของตัวเองไม่ได้
และนั่นก็เป็นจุดเริ่มของความหายนะ ที่นำมาสู่ประตูแรกของเชลซีในเกมนี้ครับ


มาสเคราโน่ที่ปีนี้ฟอร์มดร็อปลงไปมากๆ อาจจะใจลอยไปอยู่ที่คัมป์ นู ตามขี้ปากชาวบ้านเค้าจริงๆก็ได้
กัปตันอาร์เจนตินา เสียบอลจากการเพรสซิ่งเร็วของเชลซีที่กลางสนาม ก่อนจะโดนการเข้าทำที่เด็ดขาดของเชลซี ด้วยการต่อบอลแค่ไม่กี่จังหวะ

ก่อนจะไปจบลงที่ความแข็งแกร่งของเดอะ ดร็อก และความคมกริบของนิโก้ เมื่อเกมเดินทางมาครบหนึ่งชั่วโมงพอดิบพอดี



ประตูของอเนลก้าทำให้เชลซีเริ่มผ่อนคลาย พอๆกับผ่อนเกมลงไปเองจนเกินพอดีไปหน่อย
ลิเวอร์พูลเริ่มตั้งลำกลับมาสู่เกมด้วยการอาศัยช่องจากจุดยุทธศาสตร์กลางสนาม ที่เชลซีถอนลงไปลึก จนมาสเคราโน่ มีพื้นที่ในการเก็บบอลจังหวะสองให้เจอร์ราร์ด นำไปเสกเวทมนต์บนปลายสตั๊ดต่อเอาเอง

ตอร์เรสที่โดนจับตาย จนกระดิกไม่ออกในชั่วโมงแรก เริ่มที่หาทางฉีกมารับบอลและคายพิษสงได้บ้าง
แต่สุดท้ายก็ยังโดนเทอร์รี่ กับคาร์วัลโญ่ เก็บกินเรียบวุธ

หากใครได้ดูเกมที่ลิเวอร์พูลแพ้ฟิออเรนติน่า กับเกมที่แพ้เชลซีเกมนี้ จะสามารถสังเกตเห็นถึงความเหมือนได้ถึงบางอย่างที่คล้ายคลึงกันของทั้งสองเกม
เชลซีพอได้ประตูขึ้นนำ ก็กางตำรา "คาเตนัชโช่" ออกมาใช้เหมือนที่ฟิออเรนติน่าเล่นงานลิเวอร์พูลทันที

ลิเวอร์พูลดูผิวเผินเหมือนจะได้โอกาสในการตีเสมอ จากการยึดเกมกลางสนามมากขึ้นก็จริง
แต่มองให้ลึกลงไป ช่องในการเข้าทำของลิเวอร์พูลเหลือน้อยมากๆเลยนะครับ

หงส์แดงถูกบีบให้ออกไปเริ่มนับหนึ่งในการเข้าทำจากริมเส้นเสียเป็นส่วนใหญ่ นั่นก็เท่ากับว่าเป็นการยบั่นทอนศักยกภาพบอลรุกของเตอร์ราร์ด กับตอร์เรสไปแล้วในตัว
ลิเวอร์พุลได้แต่ใช้การโยนเข้ากลาง เพื่อหวังลูกโหม่งจากตอร์เรส หรือไม่ก็บอลจังหวะสองจากมิสไซล์ของกัปตันจี
ซึ่งเชลซีก็เก็บกินได้หมด จนลิเวอร์พูลเริ่มตีบตันทางไอเดีย ยิงไกลออกไปแบบไม่ได้ลุ้นอยู่หลายๆครั้งในช่วง 10 นาทีสุดท้าย

ถึงแม้เชลซีจะอยู่ภายใต้อุ้งมือของอันเชลอตติก็จริง
แต่อย่าลืมนะครับ ว่าแผนผังการมูฟเม้นท์ การเคลื่อนที่ในการรับ-รุก การยืนตำแหน่งในการป้องกันประตู ของผู้เล่นเชลซีนั้น ถูกมูรินโญ่ฝังหนอกเอาไว้ในเอ็นร้อยหวายของนักเตะพวกนี้ไว้หมดแล้ว


ดังนั้น ขอแค่เชลซีได้ผู้จัดการทีมที่มีฝีมือในการจัดการ บริหารความพอใจของซุปเปอร์สตาร์ในทีมให้อยู่หมัดได้ เรื่องการเดินหน้าเพื่อขอเอี่ยวล่าแชมป์รายการต่างๆไปจนโค้งสุดท้ายนั้น ไม่ใช่เรื่องยากเลย
เนื่องจากศักยภาพของพวกเขามีกันอยู่เต็มเหนี่ยวอยู่แล้ว

ประตูที่สองของมาลูด้า ไม่มีอะไรมากนอกจากเป็นการตอกย้ำหัวหมุดของ "คาเตนัชโช่" เพื่อปิดเกมแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดของเชลซีในเกมใหญ่ๆอย่างนี้
พอๆกับเป็นการปิดประตูในการคัมแบ็คของลิเวอร์พูลไปในตัวด้วย

หลังจากเชลซีพ่ายแพ้วีแกน พร้อมๆกับฟอร์มการเล่นที่ย่ำแย่ในเกมเยือนอาโปเอล นิโคเชีย
ทำให้หลายๆคนเริ่มตั้งข้อสงสัยในทีมสปิริต หรือแม้แต่การทำทีมของอันเชลอตติว่ามาถูกทางหรือเปล่า?
พี่แจ้จะถูกเด้งก่อนเวลาเหมือนบิ๊กฟิลอีกมั้ย? และที่สำคัญคือพี่แจ้เนี่ย "เก่ง" จริงหรือเปล่า?

ถึงนาทีนี้ผมก็ยังคงบอกไม่ได้หรอกครับว่าอันเชลอตติแกเก่งจริงหรือเปล่า?
แต่การออกสตาร์ทในมินิ ลีก กับบิ๊กโฟร์ด้วยชัยชนะเหนือลิเวอร์พูล ทีมที่มีเกมรุกสะเด็ดสะเด่าเร้าอารมณ์ที่สุดในซีซั่นด้วยคลีนชีตแบบนี้ มีแต่จะทำให้ผู้เล่นในทีมยอมรับอันเชลอตติมากขึ้นเรื่อยๆ

สำคัญสุดคือ ต่อให้อันเชลอตติแกจะเก่งจริง หรือเก่งไม่จริงอย่างไร
เชลซีจะต้องไม่เสียผู้จัดการทีมไปก่อนจบฤดูกาลเด็ดขาด ต่อให้ทีมเจอช่วงเป๋ห่าวอย่างไรก็ตาม

ทั้งผม, ทั้งเพื่อนๆเชลสกี้ส์, ทั้งนักเตะสิงห์บลูส์
และที่สำคัญทีมผู้บริหารของเสี่ยหมี ต้องให้โอกาสอันเชลอตติและบรรดาสตาฟฟ์ในทีมทั้งหมด ทำงานไปจนจบฤดูกาล เชลซีนับหนึ่งใหม่ในระหว่างฤดูกาลมามากพอแล้วครับ
ถ้าจะต้องนับหนึ่งใหม่อีกครั้ง ขอเป็นหลังฟุตบอลโลกไปเลยดีกว่า

เราต้องเชื่อมั่นในตัวนักเตะ และต้องเชื่อมั่นในนายหัวคนใหม่คนนี้ให้มากที่สุด (ถึงจะมีบางอย่างขัดใจกันไปบ้าง)
แต่เมื่อความเชื่อมั่นเดินทางมาทำความรู้จักกับเราเมื่อไหร่ อุปสรรคข้างหน้า ก็ไม่น่ายากเกินข้ามผ่านนะครับ.





 

Create Date : 12 พฤศจิกายน 2552   
Last Update : 12 พฤศจิกายน 2552 12:44:12 น.   
Counter : 988 Pageviews.  


สะดุดลาติกส์ แต่ช่วยสะกิดคาร์เล็ตโต้

"มีกับเค้าเหมืนกันนี่ เชลซี!!!"
ขออนุญาตเปิดหัวด้วยประโยคฮาๆ ของคุณแมวเพชรจากสตาร์ซอคเกอร์หน่อยนะครับ


หลังจากที่คนเสื้อน้ำเงิน ปล่อยให้สาวกทีมอื่นๆเกิดอัคคีภัยในดวงตา
กับผลงาน "ไม่เอา...ไม่แพ้" ในช่วงเดือนแรกของฤดูกาลมาพอสมควร
ก็ถึงคราวของสิงโตชราที่ต้องเดินออกจากสนามในสภาพของผู้ปราชัยกับเค้าบ้างเสียที
พร้อมๆกับการถูกเจ้าของจ่าฝูงตัวจริงอย่าง "แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด" เค้ามาทวงคืนไปจากมืออีกต่างหาก

แต่ผมว่าอะไรก็ไม่ร้าย เท่ากับการที่ "ปีเตอร์ เช็ค"
ดวงแตกจับได้ใบแดงจากโถของ "ฟิล ดาวด์" ที่ทำเอาแฟนเชลซีหลายๆคน "Feel Down" ไปตามๆกัน
(จังหวะนั้น สารภาพว่าแอบเปลี่ยนชื่อฟิล ดาวด์ เป็น "คุณวรนัส" ไปหลายครั้งเหมือนกัน)

นั่นหมายความว่า เกมวัดกึ๋นนัดแรกของเชลซีและอันเชลอตติในฤดูกาลนี้ (ดวลกับ ลิเวอร์พูล)
จะปราศจากยีราฟใส่หมวก ลงยืนตระหง่านสร้างความเชื่อมั่นแก่กองเชียร์หน้าปากประตูอย่างแน่นอน
(พูดแล้วก็ยิ่งให้รู้สึกหงุดหงิดอีตาฟิล ดาวด์ขึ้นมาอีกครั้ง เพราะจังหวะนั้น เฮียแกจะสมนาคุณด้วยใบเหลือง ผมว่าก็ไม่น่าเกลียดนะ แต่นี่พี่ท่านตะโกนว่า "ออฟ" มาแต่ไกลเลย "ฟัก ออฟ" ซิไม่ว่า)

ขณะเดียวกัน จะมามัวนั่งก่นด่าคุณวรนัส เอ้ย! มิสเตอร์ฟิล ดาวด์ อย่างเดียวก็ใช่ที่
เพราะจากรูปเกมที่ปรากฏต่อสายตาธารกำนัลนั้น เชลซีอดีตจ่าฝูงก็ไม่ได้ดีเด่กว่าเดอะ ลาติกส์ ซักเท่าไหร่
หนำซ้ำ ยังออกแนวขี้เหร่เนะ จนแทบอยากจะเบือนหน้าหนี เสียด้วยซ้ำไป

วีแกนในเกมนี้ ดูมีความมุ่งมั่นมากกว่าเชลซีอย่างเห็นได้ชัด
อาจเป็นเพราะว่าเล่นในบ้านด้วยส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนหนึ่งซึ่งสำคัญมากๆ
ผมมองว่าเป็นเพราะคนหน้าตาเคร่งเครียดที่ยืนสั่งการข้างสนามนาม "โรแบร์โต้ มาร์ติเนซ" ครับ

มาร์ติเนซสั่งให้ลูกทีมไม่ต้องยำเกรงอาคันตุกะมากดีกรีแต่อย่างใด
เดอะ ลาติกส์ อาศัยการเพรสซิ่งเร็ว และลูกหนักๆเข้าเล่นงานแดนกลางรูปเพชรของเชลซี จนงอมพระรามงามไส้ ทำอะไรไม่คล่อง ต้องรีบออกบอล พอเจอเข้าบอลซ้อน เข้าจี้ทีละสองคน ก็ทำเอาเอสเซียง กับมิเกล ต้องส่งบอลคืนหลัง หรือโดนบีบจนส่งบอลผิดพลาดกันอยู่ตลอดเวลา

ก่อนที่ไดมอนด์ของเชลซีจะโดนบดทำลายตรงจุดยุทธสาสตร์ไปเรียบร้อยโรงเรียนวีแกนอย่างเบ็ดเสร็จ ทันทีที่ไตตรัส บรัมเบิ้ล ทำประตูขึ้นนำ เพราะมันหมายถึงแท็คติคของพวกเขาได้ผล และช่วยทำให้พวกเขาเล่นง่ายมากขึ้น พอๆกับโยนความอึดอัดและความกดดันไปให้ผู้มาเยือนไปแบกรับจนหลังแอ่นกันเอาเอง

แถวบ้านผมเรียกว่า "เข้าแก็ป" ครับ

หนำซ้ำการต่อบอลที่เร็วและค่อนข้างแม่นยำของวีแกน
ยังเป็นด่านการตรวจคนเข้าเมืองชั้นเยี่ยม ที่คอยหยุดยั้งและชะลอการหลั่ง...ไหลของเกมรุกเชลซี (เว้นวรรคได้วรนัสมากเลยผม) ไม่ให้มีโอกาสทะลุทะลวง หรือดันขึ้นสูงเพื่อบีบพื้นที่กดดันพวกเขาเลย

ทว่า ในช่วงเวลาหนึ่ง เชลซีก็เหมือนกำลังจะแอบปีนขึ้นมาจากหลุมได้อีกครั้งแล้วนะครับ
หลังจากอันเชลอตติ คิดเร็ว ทำเร็ว โดยการเปลี่ยนเอามิเกล ซึ่งดูแล้วไม่น่าจะถูกโฉลกกับแผนรูปเพชรออก
แล้วส่งคนที่เก๋าเกม และมีประสบการณ์ในเกมที่อึดอัดแบบนี้อย่าง "ชูเลียโน่ เบลเลตติ" ลงมาเล่นแทน

ตอนนั้น รูปเกมของเชลซีเริ่มลงตัวมากขึ้นเรื่อยๆ จนเลยเถิดไปภึงประตูตีเสมอ
หากไม่มีใบแดงของปีเตอร์ เช็ค ที่มาเปลี่ยนตอนจบของหนังเรื่อง "ฟื้นมาจากหลุม ภาค 4" ที่กำลังถ่ายทำโดยอันเชลอตติเสียก่อน เชื่อว่าเชลซีจะยังคงรักษาสถิติ "ไม่เอา...ไม่แพ้" เอาไว้ได้อย่างน้อยๆอีกนัด

แต่ลึกๆในใจ ผมเองก็อยากเห็นเชลซี "แพ้เป็น" ก่อนเจอกับลิเวอร์พูลนะครับ

เพราะที่ผ่านมา ถึงแม้เชลซีจะชนะจนเคยตัวก็จริง
แต่ผมว่า ในรายละเอียดหลายๆอย่างที่อันเชลอตติใส่ลงไประบบไดมอนด์นี้ ยังมีจุดบกพร่องอยู่หลายจุด

อาทิการใช้วิงแบ็คเข้าทำเกมรุกทางกราบ หากแมตช์ไหนคู่ต่อสู้ที่จับไม่ได้ไล่ไม่ทัน ก็ไม่เป็นไรหรอกครับ
แต่ในเกมกับวีแกน เราคงได้เห็นแล้วว่า หากคู่ต่อสู้รู้วิธีรับมือ เกมบุกของทีมก็ตื้อเอาการเลยทีเดียว
แถมเผลอๆเจอสวนตูมเดียวหนักๆ ก็อาจจบเห่เอาง่ายๆซะอีก

แต่กระนั้น
ผมก็ยังมองว่าเป็นเรื่องดีมากๆ ที่มาร์ติเนซช่วยชี้ทางให้อันเชลอตติ มองเห็นถึงจุดบอดยามที่วิงแบ็คถูกจับตาย
ก่อนที่จะต้องรับมือลิเวอร์พูล ที่ฟอร์มกำลังร้อนได้ที่เลยทีเดียว

ขณะที่ช่วงเวลาฮันนีมูนของอันเชลอตติ กับผลงานมาสเตอร์พีซถึงเวลาต้องยุติลง
จากนี้ไป โค้ชอิตาเลียนที่มีความละม้ายคล้ายพี่แจ้ ก็กำลังเดินหน้าเข้าสู่การทำงานที่จริงจังมากยิ่งขึ้น
ปัญหานักเตะเจ็บ, แบน เริ่มกวักมือเรียกหา
ระบบการเล่นที่หากวันนึงไม่เวิร์ค นักเตะไม่แฮบปี้ อันเชลอตติจะแก้ไขยังไง

ไหนจะเกมยุโรป ที่เสี่ยหมีหมายมั่นปั้นมือกับเขาเอาไว้มาก
และที่สำคัญไม่แพ้กัน ก็คือเกมกับบิ๊กโฟร์!

สาเหตุสำคัญข้อนึงที่ทำให้บิ๊กฟิลโดนเด้งก่อนเวลาอันควร ก็คือสถิติอันย่ำแย่ยามพบกับบิ๊กโฟร์นี่แหละครับ
ดังนั้น หากอันเชลอตติยิ่งโชว์กึ๋นในการชนกับบิ๊กโฟร์มากเท่าไหร่
ผมเชื่อว่ายิ่งทำให้อันเชลอตติทำงานได้ง่าย และสามารถซื้อใจนักเตะรวมทั้งเสี่ยหมีได้มากขึ้นเท่านั้น

(ไม่เชื่อเดี๋ยวลองจับตาดูปฏิกิริยาของนักเตะและเสี่ยหมีหลังเกมกับลิเวอร์พูลได้เลย)

ฤดูกาลผ่านไปแล้ว 7 นัดก็จริง
แต่การทำงานที่โหดหินของอันเชลอตติ และการผจญภัยในฤดูกาลแห่งความคาดหวังของเชลซี
พึ่งจะเริ่มต้นเท่านั้นเองครับ.





 

Create Date : 28 กันยายน 2552   
Last Update : 28 กันยายน 2552 18:04:24 น.   
Counter : 400 Pageviews.  


1  2  3  4  

Extitude
 
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add Extitude's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com