เป็นสุขอยู่ในอู่แห่งทะเลบุญอันกว้างใหญ่.......

คนที่ชอบอนุโมทนาบุญกับคนที่ชอบอนุโมทนาบาปจะมีผลอย่างไร - หลวงพ่อตอบปัญหา

โดย พระภาวนาวิริยคุณ (เผด็จ ทัตตชีโว)
เรียบเรียงจากรายการหลวงพ่อตอบปัญหา ทาง DMC

Q1: คนที่ชอบอนุโมทนาบุญกับคนที่ชอบอนุโมทนาบาปจะมีผลอย่างไร?
Q2: ลูก สาวเป็นคนรักบุญกลัวบาปชอบสวดมนต์เช้าเย็นแต่การงานทางโลกไม่ทำถ้าทำแบบนี้ จะได้บุญหรือไม่และจะอบรมอย่างไรจึงจะทำให้เขาคิดได้?

คำถาม: กราบนมัสการหลวงพ่อค่ะ คนที่ชอบอนุโมทนาบุญกับคนที่ชอบอนุโมทนาบาป อยากทราบว่าจะมีผลอย่างไรเจ้าคะ

คำตอบ: อนุโมทนา บุญก็ได้บุญ อนุโมทนาบาปก็ได้บาป อนุโมทนาคือดีใจด้วย ยินดีด้วย สนับสนุน เห็นชอบตาม เราเห็นใครทำบุญ เราก็อนุโมทนาบุญด้วย ดีใจด้วย ซึ่งเป็นทั้งความชื่นใจที่เกิดกับตัวเอง แล้วก็เป็นการให้กำลังใจกับคนที่เขาทำบุญหรือทำความดีนั้น ให้มีกำลังใจทำความดียิ่งๆ ขึ้นไป ตรงนี้ดีแน่

ส่วนโมทนาบาป หรืออนุโมทนาบาป คือดีใจด้วยในการที่คนอื่นทำความชั่ว คนที่เราไม่ค่อยจะรักเขา ไม่ค่อยชอบหน้าเขาอยู่ด้วย พอเขาตกทุกข์ได้ยาก เขาถูกคนอื่นรังแก แล้วเราไปดีใจด้วย ไปสมน้ำหน้าด้วย เป็นการโมทนาบาปเข้าไปเต็มที่เลย เขาก็มีโอกาสได้บาปไปกับเขาด้วย

การที่ใครคนใดคนหนึ่งเห็นเขาทำความชั่ว เห็นเขาได้รับความเดือดร้อนก็ตาม แล้วไปโมทนา เช่นพวกที่ค้ายาเสพย์ติด โดยกฎหมายก็มีโทษว่าต้องประหารชีวิตด้วย พอประกาศทางหน้าหนังสือพิมพ์ขึ้นมา ว่าราชายาเสพย์ติดคนนี้ถูกศาลตัดสินประหารชีวิตให้ยิงเป้า เพราะทำความเดือดร้อนให้กับสังคมมาก ถ้าปล่อยให้มีชีวิตอยู่ต่อไป ก็จะต้องมีคนติดยาเสพย์ติดเดือดร้อนกันทั่วบ้านทั่วเมือง เพราะฉะนั้นต้องประหารชีวิต หลายคนก็เลย สาธุ ดีแล้ว สมน้ำหน้า สมควรตาย

ชาวโลกส่วนใหญ่ไม่รู้ว่า การโมทนาบาป ที่คนสาธุกันทั่วเมือง หารู้ไม่ว่า ได้โมทนาบาปเข้าไป ยินดีต่อการที่จะมีคนถูกฆ่า ในแง่ของทางโลก เราอาจจะมองว่าถูกแล้ว เพราะทำความชั่วมาเยอะ สมควรถูกฆ่า

จริงๆแล้ว เราก็ไม่ได้เป็นผู้สร้างชีวิต ไม่ได้เนรมิตชีวิตใครขึ้นมาได้ เพราะฉะนั้นใครก็ไม่มีสิทธิ์ไปฆ่าใคร เมื่อเกิดการฆ่าขึ้นมา เราไม่พูดในแง่ของกฎหมาย แต่เราพูดถึงในแง่กฎของวัฏสงสาร ไม่มีใครมีสิทธิ์ที่จะฆ่าใคร เมื่อไปฆ่าใครเข้า บาปก็เกิด เมื่อเราโมทนาต่อการที่เกิดบาปนั้น เราก็พลอยได้บาปไป เพราะทันทีที่เห็นดีเห็นงามกับการทำบาปนั้นๆ ใจของเราก็จะขุ่น เมื่อใจของเราขุ่นตอนตายก็จะมีทุคติเป็นที่ไป เพราะฉะนั้นการที่ใครโมทนาบาปขึ้นมา ใจของตัวเองก็ขุ่นมัวทันที

และตัวของเราเอง ได้เพาะเชื้อของการขาดความเมตตากรุณาตามไปด้วย คนที่ถูกประหารนั้นมีเชื้อขาดความเมตตากรุณาต่อเพื่อนร่วมโลก จึงค้ายาเสพย์ติด วันนี้เขาถูกฆ่า เพราะว่าเขาทำความผิดนั้นตามกฎหมาย เราก็ดีใจ สมน้ำหน้า หารู้ไม่ว่าเรากำลังเพาะเชื้อขาดความเมตตากรุณากับสัตว์โลกอีกเช่นกัน ถ้าใจเราขุ่นอย่างนี้ เขาฟ้องว่าจะชาตินี้ชาติไหนก็ตาม เราก็พร้อมที่จะทำบาปคล้ายๆ เขา เพราะใจเรามีเชื้อแห่งความขุ่นเกิดขึ้นแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้น เราได้เพาะนิสัยจับแง่คิดไม่เป็น หารู้ไม่ว่า การที่คนใดคนหนึ่งไปทำเรื่องร้ายๆ จนกระทั่งถูกโทษประหารนั้น อันที่จริงใช่ว่าเขาอยากจะเลว เขาอยากเป็นคนดี แต่ปัญญาเขา มีน้อย เพราะใจเขาขุ่นหมองมาแล้วตั้งแต่เกิด เขาเลยคิดว่าการค้ายาเสพย์ติดอย่างนั้นดีแล้ว พอเราไปฆ่าเขาเข้า หรือโมทนาบาปต่อการที่เขาถูกฆ่า หารู้ไม่ว่านี่ก็ไม่ใช่การแก้ไขคนๆ นั้น เพราะตายแล้วเขายังต้องไปเกิดต่ออีก ถึงคราวเขาต้องกลับมาเกิดในโลกมนุษย์อีกครั้ง ใจเขาก็ยังขุ่นเหมือนเดิม แล้วเขาก็ยังก่อเวรก่อกรรมเหมือนเดิมอีก

แต่ถ้าจะให้เขาเลิกก่อเวรก่อกรรมไม่ไปค้ายาเสพย์ติดต่อ ก็มีทางเดียว ต้องสอน ให้เขารู้บุญรู้บาปให้ได้ตั้งแต่ชาติ ไม่อย่างนั้นก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรกับเขาเลย แก้ไขเขาก็ไม่ได้ เขาก็จะเลวเหมือนเดิม เราก็ได้แต่ความสะใจไปเท่านั้นเอง แล้วก็ได้บาปติดไป

เพราะฉะนั้น “โมทนาบาป” อย่าไปทำเลย บางครั้งที่มีการตายหมู่ที่ไหน ท่านผู้มีธรรมไปตรวจดูแล้ว เกิดการตายหมู่ที่ไหน พวกหนึ่งที่ไปตายหมู่ร่วมกับเขาด้วย คือพวกที่เคยไปฆ่าคนอื่นไว้ อีกพวกหนึ่งคือพวกที่โมทนาบาป สนับสนุนให้เขาเกิดการฆ่ากัน ถึงเวลาเขาเลยต้องมาตายด้วยกัน นี่คือฤทธิ์ของโมทนาบาป เพราะฉะนั้นอย่าไปโมทนาบาปกับใคร เมื่อได้ข่าวการ ตัดสินประหารชีวิต ก็แค่ให้รับรู้ว่า เป็นกรรมของสัตว์โลก ทำยังไงก็ได้อย่างนั้น อย่างมากก็ทำใจอย่างนี้ วางอุเบกขาลงไป เชื้อบาปไม่เกิดกับเรา

ตรงกันข้าม ถ้าทราบว่าใครทำบุญ รีบโมทนาบุญด้วย ใจของเราจะได้เปิดออกมา จะได้สดได้ชื่น แล้วก็มีกำลังใจที่จะทำความดีตามเขามาด้วย คนที่เราโมทนาเขาก็มีกำลังใจจะทำความดีให้ยิ่งๆ ขึ้นไปด้วย แล้วทั้งเขาทั้งเราคงได้ไปสร้างบุญร่วมกันในภายภาคหน้าอีก จะชาตินี้ชาติไหนก็มีแต่ว่าจะเอาบุญไปต่อบุญ จะเอาความดีไปต่อความดี อย่างนี้น่าโมทนา

คำถาม: ลูกสาวของผมเป็นคนรักบุญ กลัวบาป ตื่นเช้ามาก็สวดมนต์ทำวัตรเช้า แล้วก็นอนต่อจนสายเกือบเที่ยง เย็นก็สวดมนต์ทำวัตรเย็น แล้วก็นั่งดูทีวีจนดึก การงานทางโลกก็ไม่รับผิดชอบ ต้องให้พ่อแม่ดูแลอยู่ ทั้งที่เขาก็อายุมากแล้ว ไม่ทราบว่าทำตัวแบบนี้จะได้บุญหรือไม่ และควรจะอบรมอย่างไร ถึงจะทำให้เขาได้คิดค่ะ

คำตอบ: เรื่อง นี้ฟังดูแล้วเหมือนเป็นความผิดของลูก แต่ว่าไม่ใช่หรอก เป็นความผิดของพ่อแม่มากกว่าที่เลี้ยงลูกไม่เป็น ปล่อยให้ลูกเป็นคนเอาแต่ใจตัวเองมาตั้งแต่เล็ก ไม่เคยสอนให้ลูกรับผิดชอบตัวเองเท่าที่ควรจะเป็น ไม่สอนให้ลูกรับผิดชอบช่วยเหลือตัวเอง ไม่เคยสอนให้ลูกมีวินัย ทั้งในเรื่องเวลา และเรื่องของการเงินการงาน ความผิดที่เล่ามาทั้งหมด มันเป็นความผิดของคนที่เป็นพ่อแม่ ส่วนลูกสาวที่มีนิสัยอย่างที่ว่ามานั้น เขาเป็นผลแห่งความผิดพลาดที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทำเอาไว้

ใช่ว่าจะซ้ำเติมคนที่เป็นพ่อแม่นะ แต่ว่าคนที่เป็นพ่อแม่ก็จะต้องรู้ตัวก่อน ว่านี่เป็นความผิดของเรา เพราะความที่ไม่รู้ว่าคนเรานั้น จะต้องประกอบด้วย ๒ อย่าง คือจะต้องมีความรู้ มีความสามารถ ที่จะรับผิดชอบเลี้ยงตัวเองให้ได้ เป็นประการที่ ๑. จะเรียกว่าเป็นความเก่งก็ได้

ประการที่ ๒. จะต้องมีความดีอยู่ในตัวด้วย อย่างน้อยก็จะต้องไม่ทำความเดือดร้อนให้ใคร ในการไม่ผิดศีล หรือไม่เอาเปรียบใคร อย่างนี้ก็เรียกว่ามีความดี

คุณมองความเก่งและความดีของคนไม่ออก เพราะฉะนั้นคุณก็เลี้ยงลูกแบบปล่อยปละละเลย วันนี้คุณจึงต้องมารับกรรมนั้น ลูกคุณอาจจะมีลอกเลียนความดีบางอย่างได้จากคุณ เช่นคุณเป็นอย่างที่คุณเล่ามา เด็กก็เลยคิดว่าสวดมนต์ก็ดีนะ แต่การสวดมนต์ที่ลูกคุณสวดนั้น จริงๆ แล้วก็สวดแบบไม่รู้คำแปล ไม่รู้ความหมายของการสวดมนต์ เขาคิดว่าได้บุญ แต่ความหมายก็ไม่รู้ ความมุ่งหมายก็ไม่รู้ คำแปลก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นมนต์ที่เขาสวดนั้น คงเป็นแค่บ่นๆ ว่าๆ ไปอย่างนั้น ถามว่าพอจะได้บุญอะไรไหม เขาคงไม่ได้หรอก

คุณเองก็เข้าใจผิด ว่าการทำอย่างนั้นเป็นการสวดมนต์ที่ถูกต้องแล้ว เพราะฉะนั้น การสวดมนต์ของลูกของคุณ ก็ไม่แน่นักว่าจะได้บุญหรือเป็นบุญ คุณบอกว่าลูกของคุณรักบุญกลัวบาป อาตมาไม่แน่ใจ เขาน่าจะพอมีบ้างในความมีเมตตากรุณา อาจจะมีอยู่ในใจบ้าง คือไม่ฆ่ามดฆ่าปลวก แต่ว่าในความเมตตากรุณาอันนั้น เขาอาจจะยังมีอย่างอื่นแฝงอยู่ อาจเป็นแค่การแสดงความเมตตากรุณาเป็นฉากหน้า แต่ลึกๆ ก็คือขี้เกียจทำงาน แล้วก็บอกว่าอันนั้นก็บาป อันนี้ก็บาป ก็เลยไม่ทำ

เพราะฉะนั้น ก็ต้องบอกคุณว่า วันนี้คุณได้รับผลกรรมของการปล่อยปละละเลยในการเลี้ยงลูก ไม่สนใจว่าการเลี้ยงลูกที่ถูกที่ควรจะต้องทำอย่างไร แล้วก็ความเป็นมนุษย์ของเรานั้นอยู่ตรงไหน คุณอาจจะเข้าวัด แต่คุณไม่ได้ปฏิบัติธรรม คือเข้าไปตามธรรมเนียม แต่ไม่ได้เข้าวัดเพื่อศึกษาธรรมะ คุณก็เลยเลี้ยงลูกไม่เป็น

การเลี้ยงลูกให้เป็น จะต้องรู้ว่า ความเป็นคนดีนั้น มันอยู่ที่การเป็นคนมีความรับผิดชอบ มีอะไรบ้าง
๑. รับผิดชอบต่อความเป็นมนุษย์ของตนเอง ด้วยศีล ๕ ข้อ
๒. รับผิดชอบต่อเศรษฐกิจ หรือความเป็นอยู่ของตัวเอง ด้วยการตั้งใจทำมาหากิน ทำงานทำการ ต้องไม่จมอบายมุขด้วย และอบายมุขข้อที่ร้ายมากๆ แต่คนมองไม่ออก คือความเกียจคร้านการงาน ซึ่งเป็นอบายมุขที่สาหัสของมนุษย์ เพราะว่ามนุษย์ยังต้องกินต้องใช้ เมื่อขี้เกียจทำการงาน แต่ว่ายังต้องกิน จะทำให้เขาเอาเปรียบคนอื่นได้
๓. รับผิดชอบต่อสังคม ไม่ยอมให้เกิดความลำเอียงขึ้นมา ถ้าเห็นความลำเอียงเกิดขึ้นที่ไหน ต้องหาทางแก้ไข

ตั้งแต่ลูกของคุณยังเล็กๆ คุณมองภาพคนดีไม่ออกว่า คนดีจะต้องมีความรับผิดชอบอย่างน้อย ๓ ประการนี้ คุณก็เลยไม่รู้ และอาจไม่แน่ใจว่าคุณมีข้อประพฤติปฏิบัติอย่างไรกับคุณพ่อคุณแม่ของคุณ ถ้าคุณได้ทำตัวอย่างที่ดีจริง คือข้อปฏิบัติที่คุณทำกับคุณพ่อคุณแม่ของคุณ ปฏิบัติได้ดีจริง ดูแลท่านอย่างดี รับใช้ท่านอย่างดี ลูกของคุณเขาก็น่าจะได้ตัวอย่างจากคุณ แต่เท่าที่คุณเล่ามา ลูกของคุณไม่มีแววอย่างนั้นเลย ก็แสดงว่าเป็นไปได้ที่คุณเองก็มีเชื้อของความไม่รับผิดชอบต่อพ่อแม่ ต่ออาชีพการงานของคุณเท่าที่ควรจะเป็นมาก่อน

อย่างไรก็ตาม วันนี้เป็นสิ่งที่คุณเองก็เริ่มได้ ในการแก้ไขคนนั้น ไม่ว่ากรณีไหน มีหลักง่ายๆ อยู่ ๒ ข้อ คือ
๑. ควบคุมเวลาให้ได้
๒. ควบคุมการเงินให้ได้
ถ้าควบคุม ๒ อย่างนี้ได้ คุณแก้ไขนิสัยลูกสาวคุณได้ แก้ไขเวลา โดยการควบคุมเวลาในการกิน นอน ตื่น ทำงาน คุมให้ได้ ถ้าลูกสาวของคุณไม่ทำตามนั้น ต้องมีบทลงโทษ

ประการที่ ๒. มีวินัยทางด้านการเงิน ถ้าไม่ทำงานก็ไม่ได้เงิน เพราะการที่เรากำหนดวินัยด้านเวลากับด้านการเงิน ก็เท่ากับเป็นการกำหนดความรับผิดชอบต่อตัวเองในเบื้องต้น รับผิดชอบต่อเศรษฐกิจ เขาก็เลยกลายเป็นคนมีความรับผิดชอบต่อสังคมไปด้วยในตัว คุณรีบกำหนดมาตรการเรื่องเวลา เรื่องการบริหารเวลาให้ตัวของคุณเองด้วย ให้ลูกของคุณที่จะต้องมาร่วมในการกำหนดเวลาเหล่านี้ด้วย แล้วคุณจะแก้ไขลูกของคุณได้




 

Create Date : 24 ธันวาคม 2553   
Last Update : 24 ธันวาคม 2553 22:44:57 น.   
Counter : 600 Pageviews.  

สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ควรบูชา

การได้ อัตภาพเป็นมนุษย์ เป็นการได้สิ่งที่ประเสริฐ ยิ่งกว่าการได้สมบัติใดๆในโลก เพราะมนุษยสมบัติเป็นอุปกรณ์สำคัญ ที่จะทำให้เราได้โลกุตรสมบัติ คือ การบรรลุมรรคผลนิพพาน ถ้าเราสร้างบุญกัน เต็มที่ บุญก็จะติดตามตัวเราไปข้ามภพข้ามชาติ จนกว่าจะได้บรรลุจุดหมายปลายทางของชีวิต และในระหว่างที่เรามีชีวิตอยู่ เราจะไม่พลัดตกไปในอบายภูมิ จะมีสุคติภูมิเป็นที่ไป เพราะฉะนั้นให้เร่งรีบสั่งสมบุญกันให้เต็มที่ ทำความดีให้ได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะบุญใหญ่ ที่เกิดจากการเจริญสมาธิ(Meditation)ภาวนา ฝึกฝนใจให้หยุดนิ่ง เป็นสิ่งสำคัญยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด ที่เราจะต้องรีบลงมือปฏิบัติทันที

มีวาระพระบาลีที่พระสาครเถระกล่าวไว้ว่า

“ผู้ใดพึงบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ เป็นนายกของโลก ยังดำรงพระชนมชีพอยู่ก็ดี พึงบูชาพระบรมธาตุแม้ประมาณเท่าเมล็ดพันธุ์ผักกาด แม้พระองค์ท่านนิพพานแล้วก็ดี เมื่อจิตอันเลื่อมใสของผู้นั้นเสมอกัน บุญก็มีผลมากเสมอกัน เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงทำสถูปบูชาพระบรมธาตุของพระชินเจ้าเถิด”

พระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า หรือพระธาตุของพระอรหันต์ทั้งหลาย จะมีลักษณะที่พิเศษกว่ากระดูกของมนุษย์ทั่วๆไป เพราะพระอริยเจ้าเหล่านั้นท่านบำเพ็ญภาวนา กลั่นกายวาจาใจ ธาตุธรรมเห็น จำ คิด รู้ ในตัวของท่านให้บริสุทธิ์ตลอดเวลา จนอาสวกิเลสทั้งหลายหลุดล่อนไปจากใจ นอกจากใจจะใสสะอาดแล้ว กาย และพระอัฐิธาตุของท่านซึ่งเป็นธาตุหยาบๆ ที่ประกอบด้วยธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ก็พลอยบริสุทธิ์ไปด้วย เมื่อสังขารร่างกายถูกเผาไป พระบรมธาตุของท่านจึงมีความบริสุทธิ์เหมือนดอกมะลิตูม หรือใสเหมือนแก้วมุกดาที่เจียรไนแล้ว หรือเหมือนจุณทองคำหลงเหลือให้ผู้มีบุญได้เห็น

* เนื่องจากพระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทรงมีพระชนม์เพียง ๘๐ ชันษาก็ดับขันธปรินิพพาน เพราะฉะนั้น พระองค์จึงดำริว่า ศาสนาของเรายังไม่แพร่หลายไปไกล เมื่อเราปรินิพพานแล้ว มหาชนถือเอาพระบรมธาตุ แม้ขนาดเท่าเมล็ดพันธุ์ผักกาดทำเจดีย์บูชาด้วยจิตเลื่อมใส จะมีสวรรค์เป็นที่ไปในเบื้องหน้า

เพราะฉะนั้น เมื่อพุทธบริษัททั้ง ๔ ได้ทำการประชุมเพลิงพระสรีระของพระพุทธองค์แล้ว พระบรมสารีริกธาตุ ๗ อย่าง คือ พระเขี้ยวแก้วทั้ง ๔ พระรากขวัญ ๒ และพระอุณหิส จะไม่กระจัดกระจายไปไหนจะอยู่รวมกัน ส่วนพระบรมสารีริกธาตุนอกนั้นกระจัดกระจายกันไป มีขนาดเล็กเท่าเมล็ดพันธุ์ผักกาด ขนาดกลางเท่าเมล็ดข้าวสารหักกลาง ขนาดใหญ่มีขนาดเท่าเมล็ดถั่วเขียวหักกลาง ซึ่งหลายๆ ท่านคงเคยเห็นพระบรมสารีริกธาตุเหล่านั้นมาบ้างแล้ว

ในพระบาลีได้บันทึกไว้เกี่ยวกับการปฏิบัติ ต่อพระบรมสารีริกธาตุของพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า หลังจากที่ได้เสร็จสิ้น การประชุมเพลิงพระสรีระของพระพุทธองค์แล้ว เหล่ามัลลกษัตริย์ต่างรวบรวมพระบรมสารีริกธาตุมาบูชา ส่วนกษัตริย์จากเมืองต่างๆ พากันยกทัพมาขอเพื่อนำไปสักการบูชาบ้าง กษัตริย์ทั้ง ๘ เมือง ที่ยกทัพมาในสมัยนั้น ได้แก่ พระเจ้าอชาตศัตรูจากแคว้นมคธ กษัตริย์ลิจฉวีเมืองเวสาลี เจ้าศากยะเมืองกบิลพัสดุ์ กษัตริย์ถูลีเมืองอัลลกัปปะ กษัตริย์โกลิยะเมืองรามคาม พราหมณ์ผู้ครองเมืองเวฏฐทีปะ พวกเจ้ามัลละเมืองปาวา และพวกเจ้ามัลละเมืองกุสินารา

เมื่อโทณพราหมณ์ได้ฟังเรื่องการวิวาทของกษัตริย์แต่ละเมืองแล้ว ก็ดำริว่า การทะเลาะกันถึงขั้นต้องทำสงคราม เพื่อแย่งชิงพระบรมสารีริกธาตุนั้น เป็นการไม่สมควรยิ่ง จึงได้กล่าวสุนทรวาจาทำการไกล่เกลี่ย และตกลงกับพระราชาแต่ละเมืองว่า จะแบ่งพระบรมธาตุให้ไปบูชากันทั้งหมด กษัตริย์ทุกองค์จึงยินยอม

โทณพราหมณ์ สั่งให้เปิดรางทอง และทำการแบ่งพระบรมสารีริกธาตุออกเป็น ๘ ส่วน ให้กษัตริย์ทุกๆ พระองค์ ส่วนตนเองได้ถือโอกาสขณะที่ทุกคนเผลอ หยิบฉวยพระเขี้ยวแก้วเบื้องขวาเก็บไว้ในระหว่างผ้าโพก เจ้าเมืองแต่ละพระองค์ได้ไปองค์ละ ๒ ทะนานพอดี รวมเป็น ๑๖ ทะนาน ขณะโทณพราหมณ์กำลังแบ่งพระบรมสารีริกธาตุ ท้าวสักกะจอม เทพสำรวจดูก็ทรงรู้ว่า โทณพราหมณ์ฉกเอาพระเขี้ยวแก้วไป จึงเสด็จลงจากเทวโลก อธิษฐานอาราธนาพระเขี้ยวแก้วให้เคลื่อนจากผ้าโพกมาประดิษฐานในผอบทองคำ จากนั้นทรงนำไปประดิษฐานไว้ ณ พระจุฬามณีเจดีย์ในเทวโลก พระอินทร์ไม่ได้ขโมย แต่ได้มาด้วยพุทธานุภาพ เพราะพระบรมสารีริกธาตุนี้สมควรกับผู้มีบุญในสวรรค์

ครั้นพราหมณ์แบ่งพระบรมสารีริกธาตุแล้วไม่เห็นพระเขี้ยวแก้ว แต่เพราะตนฉกเอาโดยกิริยาของขโมย จึงไม่กล้าถามใครๆ ได้แต่คิดตำหนิตนเอง ที่ไม่สามารถรักษาพระเขี้ยวแก้วไว้ได้ มองเห็นเพียงทะนานทองคำที่ใช้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ จึงขออนุญาตนำทะนานนั้นไปบูชา

ส่วน เจ้าโมริยะเมืองปิปผลิวัน ได้สดับว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานในเมืองกุสินารา จึงทรงส่งทูตไปหาพวกเจ้ามัลละเมืองกุสินารา เพื่อขอพระบรมสารีริกธาตุของพระผู้มีพระภาคเจ้าบ้าง จะได้นำกลับไปประดิษฐาน เพื่อให้มหาชนได้สักการบูชา จะได้มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง มีสวรรค์เป็นที่ไปในเบื้องหน้า

เนื่องจากโทณพราหมณ์ได้แบ่งพระบรมสารีริกธาตุไปหมดแล้ว เหลือแต่พระอังคารเท่านั้น พวกทูตมาแล้วก็ไม่ยอมให้เสียเที่ยว คิดว่าดีกว่าไม่ได้อะไรกลับไป จึงชักชวนกันกวาดพระอังคารกลับไปบูชา สรุปแล้ว พระสถูปบรรจุพระบรมสารีริกธาตุในสมัยแรกๆ มี ๘ แห่ง รวมที่บรรจุทะนานทอง และพระสถูปบรรจุพระอังคารจึงเป็น ๑๐ แห่ง เมื่อกษัตริย์แต่ละพระองค์ทรงอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุกลับไปแล้ว ต่างทำการก่อสร้างพระสถูปเจดีย์ และทำการฉลองกันตลอด ๗ วัน ๗ คืน

** อานิสงส์ในการบูชาพระบรมสารีริกธาตุ ไม่ใช่ของพอดีพอร้าย ถ้าบูชาด้วยจิตเลื่อมใสกันจริงๆ จะบังเกิดเป็นอานิสงส์ใหญ่ เหมือนตัวอย่างของ พระสปริวาริยเถระ เมื่อท่านได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ และได้ระลึกชาติไปดูภาพการสร้างบารมีใน อดีตของตัวท่านว่า ได้สั่งสมบุญอะไรไว้บ้างจึงทำให้ได้บรรลุพระอรหัต ท่านได้พบว่าตัวท่านเคยบำเพ็ญบุญ ในศาสนาของพระพุทธเจ้ามาหลายพระองค์ โดยเฉพาะในยุคสมัยของพระปทุมุตตรพุทธเจ้า ท่านได้เกิดเป็นบุตรมหาเศรษฐีประจำเมือง

เมื่อพระบรมศาสดาดับขันธปรินิพพานแล้ว มหาชนได้เก็บพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธองค์ไว้ และช่วยกันสร้างมหาเจดีย์เพื่อประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ อุบาสกแก้วท่านนี้ได้ร่วมบริจาคทรัพย์ เพื่อสร้างเรือนครอบพระเจดีย์ด้วยแก่นไม้จันทน์ อีกทั้งได้สักการบูชาพระสถูปนั้น ด้วยจิตที่เลื่อมใสศรัทธาจนตลอดชีวิต ด้วยบุญกุศลนั้น ทำให้ท่านท่องเที่ยวไปในเทวโลก และมนุษยโลก ได้เสวยสมบัติใหญ่ในโลกทั้งสอง

ครั้นมาในยุคสมัยของพระพุทธเจ้าของเรา ท่านได้จุติจากสวรรค์ลงมาเกิดเป็นบุตรเศรษฐีผู้ใจบุญ เมื่ออายุครบบวชก็ตัดสินใจออกบวชด้วยศรัทธา บวชได้ไม่นานสามารถทำใจให้หยุดนิ่งได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ และเมื่อระลึกถึงบุพกรรมนี้ ท่านบังเกิดความปีติโสมนัส ถึงกับเปล่งอุทานว่า

“ด้วยอานิสงส์ที่เราได้บูชาพระสถูป ด้วยไพรทีไม้จันทน์ในครั้งนั้น ในภพที่เราเกิดทั้งที่เป็นเทวดาหรือ มนุษย์ เราไม่เห็นความที่เราเป็นผู้ต่ำทรามเลย ในกัปที่ ๑,๕๐๐ จากกัปนี้ เราได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๘ ครั้ง ทรงพระนามว่าสมัตตะ คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว คำสอนของพระพุทธเจ้า เราได้ทำเสร็จแล้ว”

จากเรื่องนี้ จะเห็นได้ว่า อานิสงส์ของการบูชาพระผู้มีพระภาคเจ้าแม้จะทรงพระชนม์อยู่ หรือดับขันธปรินิพพานไปนานแล้วก็ตาม ผลบุญไม่ ต่างกันเลย เพราะพระพุทธเจ้าเป็นอจินไตย ผลบุญของผู้บูชาพระพุทธเจ้าจึงเป็นอจินไตย คือ คำนวณบุญกันไม่ถูกว่า จะได้บุญมากมายเพียงไร เหมือนเม็ดฝนที่ตกลงในจักรวาลที่ไม่มีลมพายุ ยากที่จะคำนวณได้ว่ามีปริมาณเท่าใด

เพราะฉะนั้น ให้ทุกท่านหมั่นบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยการปฏิบัติบูชา และอามิสบูชา สำหรับท่านใดที่มีพระธาตุหรือพระบรมสารีริกธาตุ ให้เก็บรักษาบูชาด้วยความเคารพ ครั้งใดที่เห็นพระธาตุที่ใสบริสุทธิ์แล้ว จะได้เกิดกำลังใจที่จะชำระกาย วาจา ใจของเราให้ใสบริสุทธิ์ยิ่งๆ ขึ้นไป ชีวิตของเราจะได้มีสุคติเป็นที่ไป และใจของเราจะถูกยกให้สูงขึ้นไปเรื่อยๆ จนกว่าจะบรรลุจุดสูงสุดของชีวิต คือ ได้บรรลุมรรคผลนิพพานกันทุกคน

พระธรรมเทศนาโดย: พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)

* มก. อรรถกถามหาปรินิพพานสูตร เล่ม ๑๓ หน้า ๔๖๐

** มก. สปริวาริยเถราปทาน เล่ม ๗๑ หน้า ๔๘๗




 

Create Date : 23 ธันวาคม 2553   
Last Update : 23 ธันวาคม 2553 23:42:55 น.   
Counter : 726 Pageviews.  

มงคลที่ ๑๔ ทำงานไม่คั่งค้าง - ทุ่มเทสร้างบารมี..ธรรมะเพื่อประชาชน Dhamma for People

มงคลที่ ๑๔

ทำงานไม่คั่งค้าง
ทุ่มเทสร้างบารมี

ท่านทั้งหลายจงเห็นความเกียจคร้าน ว่าเป็นภัย และเห็นการปรารภความเพียร ว่าเป็นความปลอดภัย แล้วปรารภความเพียรกันเถิด นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย

เมื่อบุคคลปรารภจะทำอะไรแล้ว พึงกระทำสิ่งนั้นให้สำเร็จ ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้ เพราะสิ่งเหล่านี้จะถ่วงความเจริญก้าวหน้าในชีวิตของเรา เหมือนดินพอกหางหมู ไม่เกิดประโยชน์อันใด ควรที่เราจะเร่งรีบขวนขวายทำงานให้สำเร็จสมบูรณ์ จะได้เป็นอุปนิสัยติดตัวเราไปข้ามภพข้ามชาติ เมื่อตัดสินใจจะทำอะไรต่อไป จะได้ไม่ต้องมาห่วงหน้าพะวงหลัง เพราะเรายังมีงานหลักที่เป็นงานสำคัญกำลังรอเราอยู่ งานหลักที่แท้จริงนั้น คือ การทำใจหยุด ใจนิ่ง เป็นกรณียกิจที่สำคัญ ควรที่เราจะต้องหมั่นทำภาวนา ให้เข้าถึงพระรัตนตรัย ซึ่งเป็นสรณะที่พึ่งที่ระลึกของพวกเราให้ได้

พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ใน ขุททกนิกาย อปทาน ว่า

"โกสชฺชํ ภยโต ทิสฺวา วิริยารมฺภญฺจ เขมโต
อารทฺธวิริยา โหถ เอสา พุทฺธานุสาสนี

ท่านทั้งหลายจงเห็นความเกียจคร้าน ว่าเป็นภัย และเห็นการปรารภความเพียร ว่าเป็นความปลอดภัย แล้วปรารภความเพียรกันเถิด นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า ทั้งหลาย"

เราเกิดมาสร้างบารมี ต้องทุ่มเททั้งชีวิตจิตใจ เพื่อสร้างบุญกุศล เพราะการเกิดมาเป็นมนุษย์นั้นแสนยาก เมื่อเรารู้เป้าหมายของชีวิตแล้ว ควรสลัดความเกียจคร้านออกจากใจ เร่งรีบทำความดีสั่งสมบุญให้เต็มที่ ชีวิตจะได้ปลอดภัย เพราะเวลาในโลกนี้มีน้อย เราต้องใช้เวลาที่มีอยู่ให้คุ้มค่ามากที่สุด เพื่อที่เราจะได้บุญบารมีเพิ่มมากขึ้น และบุญนี้จะเป็นปัจจัยให้เราประสบความเจริญรุ่งเรืองต่อไปในภายภาคเบื้องหน้า

*ดังเช่นพระบรมโพธิสัตว์เจ้าของเรา เมื่อครั้งเสวยพระชาติเป็นพระราชา พระนามว่า มหาสีลวราช ในเมืองพาราณสี พระองค์ไม่เคยว่างเว้นจากการทำความดี แม้จะมีอุปสรรคมากเพียงใด ก็ไม่เคยสนใจ มุ่งหน้าทำความดีเรื่อยไป พระองค์ทรงเป็นพระธรรมราชา ได้สร้างโรงทานไว้ ๖ แห่งรอบเมือง ทรงบริจาคทานอยู่เป็นนิตย์ ทรงรักษาศีล รักษาอุโบสถศีลเป็นประจำ

ครั้งนั้น มีอำมาตย์คนหนึ่งได้ทำความผิดไว้ จึงถูกพระราชาขับไล่ออกจากเมือง เขาได้ไปรับราชการอยู่ที่แคว้นโกศล และทูลยุยงพระเจ้าโกศลว่า "ราชสมบัติในกรุงพาราณสี ประดุจ ดังรวงผึ้งที่ไม่มีตัวผึ้ง พระราชาก็อ่อนแอ ควรที่เราจะยึดราชสมบัตินั้นไว้" พระเจ้าโกศลจึงทดลองส่งทหารไปสืบดู โดยแสร้งทำเป็นไปลักขโมยในกรุงพาราณสีถึง ๓ ครั้ง

พวกสายสืบทั้งหมดถูกทหารของพระเจ้ากรุงพาราณสีจับตัวไว้ได้ทุกครั้ง เมื่อถูกส่งตัวเข้าไปในวัง แทนที่พระราชาจะลงโทษ กลับพระราชทานทรัพย์ให้ และปล่อยตัวออกมา พวกสายสืบจึงกลับมารายงานพระเจ้าโกศลว่า กองกำลังของฝ่ายตรงข้ามอ่อนแอจริงๆ ทำให้พระเจ้าโกศลหลงเชื่อสนิท แต่ความเป็นจริง ในกรุงพาราณสีมีอำมาตย์กว่า ๑,๐๐๐ นาย ที่เก่งกล้าสามารถ ถ้าพระราชาทรงปรารถนา พวกเขาสามารถไปยึดราชสมบัติทั่วชมพูทวีปมาถวายพระเจ้าสีลวราชได้โดยไม่ยาก เลย

พระเจ้าโกศลจึงยกกองทัพจะไปยึดเมืองพาราณสี เหล่าอำมาตย์ของพระเจ้าพาราณสีต่างขออาสาจะไปจับพระเจ้าโกศลมาลงโทษ แต่ได้รับการทัดทานจากพระราชา เพราะพระองค์ไม่อยากให้เสียเลือดเนื้อ ทรงยอมที่จะสละราชบัลลังก์เพื่อความผาสุกของพสกนิกร ในที่สุด พระเจ้าโกศลจึงสั่งจับพระเจ้าสีลวราชพร้อมทั้งอำมาตย์ เอาไปฝังที่ป่าช้าผีดิบ ให้โผล่แต่ศีรษะขึ้นมา พระราชาทรงให้โอวาทแก่ทุกคนว่า "อย่าไปผูกพยาบาทใคร ทำใจให้สงบ ให้แผ่เมตตากับศัตรูทุกคน"

ข้าราชบริพารต่างทำตามโอวาทของพระองค์ เพราะเชื่อในคุณธรรมของพระราชาว่า จะไม่มีอันตรายเกิดขึ้นกับพระองค์อย่างแน่นอน

ครั้นตกดึก พวกสุนัขจิ้งจอกออกมาหากินที่ป่าช้า เมื่อพระเจ้าสีลวราชและบริวารเห็น ก็ตะเพิดไล่พร้อมๆ กัน ทำให้พวกสุนัขจิ้งจอกตกใจวิ่งหนีไป แต่เมื่อเหลียวกลับมา มองไม่เห็นใครติดตามมา จึงเข้าไปใหม่ ก็ถูกตะเพิดไล่ออกมาอีก เป็นอย่างนี้ถึง ๓ ครั้ง สุนัขจิ้งจอกจึงรู้ว่า คนเหล่านี้ถูกฝังอยู่ในหลุมขยับเขยื้อนไม่ได้ จึงเข้าไปใหม่อีกครั้ง ตัวจ่าฝูงกระโดดเข้าไปก่อน หมายจะขย้ำพระศอของพระราชา พระองค์ทรงใช้ความว่องไวเอาคางกดที่คอของมันลงกับพื้นดินไว้แน่น มันร้องและดิ้นตะกุยดินเป็นการใหญ่

ฝูงสุนัขจิ้งจอกได้ยินเสียงของจ่าฝูง ก็รู้ว่ามีอันตรายเกิดขึ้น ต่างพากันหนีเอาตัวรอดไปหมด เมื่อดินรอบๆ พระศอของพระราชาหลวมแล้ว พระองค์จึงค่อยปล่อยมันไป และถอนตนเองขึ้นจากหลุมได้ จากนั้นพระองค์รีบช่วยอำมาตย์ทั้งหมดให้ขึ้นจากหลุมด้วย

คืนนั้น มียักษ์ ๒ ตน ทะเลาะกันเรื่องแบ่งซากศพ ต่างตกลงกันไม่ได้ เมื่อเห็นพระเจ้าสีลวราชผู้ทรงทศพิธราชธรรมประทับอยู่ใกล้ๆ จึงพากันไปเข้าเฝ้าพระองค์ และกราบทูลให้ช่วยแบ่งซากศพ พระองค์ตรัสว่า "ตอนนี้ร่างกายของเรายังไม่สะอาด ขอให้เราได้ชำระล้างร่างกายก่อน"

ยักษ์ทั้งสองจึงไปเอาน้ำอบและผ้าสาฎกชุดใหม่มาถวาย จากนั้นพระราชาตรัสว่า ตอนนี้พระองค์กำลังหิว ยักษ์ก็รีบไปนำพระกระยาหารมาถวาย พระราชารับสั่งให้ไปเอาพระขรรค์มาให้ และผ่าศพที่ยักษ์นำมาเป็นสองส่วนแบ่งให้ยักษ์เท่าๆ กัน

เมื่อยักษ์กินอิ่มแล้ว ก็ทูลถามว่าจะให้ช่วยอะไรพระองค์ได้บ้าง พระราชาจึงรับสั่งให้ยักษ์พาพระองค์ไปที่ห้องบรรทมของพระเจ้าโกศล และให้พาหมู่อำมาตย์ทั้งหมดกลับบ้าน ซึ่งยักษ์ทั้งสองทำตามทุกอย่าง เมื่อพระเจ้าสีลวราชเสด็จเข้าไปในห้องบรรทมของพระเจ้าโกศล เอาปลายพระขรรค์วางแนบพระอุทรของพระเจ้าโกศล ซึ่งกำลังบรรทมหลับ พระองค์รู้สึกตัวตื่นขึ้นด้วยความตกพระทัยกลัวตาย ทูลอ้อนวอนให้พระเจ้าสีลวราชไว้ชีวิตด้วย

พระเจ้าสีลวราชทรงเป็นพระธรรมราชา มีพระหฤทัยประกอบด้วยความเมตตา ได้ตรัสเล่าความจริงทั้งหมด ทรงไว้ชีวิตพระเจ้าโกศล และให้อภัยทุกอย่าง พระเจ้าโกศลทรงรำพึงว่า "แม้ แต่ยักษ์ที่กินเลือดเนื้อมนุษย์ ยังรู้ถึงคุณของพระองค์ แต่หม่อมฉันเป็นมนุษย์แท้ๆ ยังไม่รู้ซึ้งถึงคุณของพระองค์ผู้สมบูรณ์ด้วยศีลเลย ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป หม่อมฉันจะไม่ประทุษร้ายพระองค์อีก" ทรงทำสัตย์ปฏิญาณ และกราบทูลขอขมากับ พระเจ้าสีลวราช

รุ่งเช้า พระเจ้าโกศลให้บรรดาเสนามาตย์ พราหมณ์ คฤหบดีทุกหมู่เหล่า มาประชุมกัน และประกาศสรรเสริญคุณของพระเจ้าสีลวราชท่ามกลางบริษัทนั้นอีกครั้ง จากนั้นพระองค์ทรงลงอาญาอำมาตย์ผู้ยุยงให้พระองค์ต้องมาเข่นฆ่าผู้อื่น แล้วเสด็จกลับแคว้นโกศล

เราจะเห็นว่า หากมีศีลบริสุทธิ์ คือ มีความบริสุทธิ์ทั้งกาย วาจา ใจ แม้ในภาวะวิกฤติ ก็สามารถเปลี่ยนเป็นโอกาสได้ โดยเฉพาะผู้ที่มีความเมตตาปรารถนาดีต่อบุคคลอื่นด้วยความบริสุทธิ์ใจ แม้อมนุษย์ยังคุ้มครองรักษา เหมือนพระบรมโพธิสัตว์ ท่านพ้นภัยพาลทั้งหลายมาได้ ด้วยอาศัยความบริสุทธิ์ และ บุญบารมีของตัวท่าน ความบริสุทธิ์จะยั้งหยุดสิ่งที่ไม่ดี หรือ คนไม่ดีที่จะมาประทุษร้ายเรา จะช่วยเปลี่ยนจากดำให้เป็นขาว จากความมืดเป็นความสว่าง ถ้าใจเราบริสุทธิ์จริงๆ

เพราะฉะนั้น เราต้องมีหัวใจดุจเดียวกับพระโพธิสัตว์ เมื่อคิดจะทำอะไรที่ดีงาม จะต้องทำให้สำเร็จให้ได้ มีกำลังเรี่ยวแรง มีสติปัญญา มีความเพียรเท่าไร ก็ทุ่มเทให้เต็มที่ อย่าไปมัวมองดูปัญหา หรืออุปสรรคที่ทำให้กำลังใจถดถอย แต่จงมองดูอานิสงส์ใหญ่ที่จะเกิดขึ้น กำลังใจของเราจะได้สูงส่งตลอดเวลา และทุ่มให้สุดตัว ผังแห่งการทำจริง ก็จะติดตัวเราไปตลอด

เราจะพบแต่คำว่า สำเร็จ คำว่าไม่สำเร็จ ไม่ได้ จะไม่มีในใจของพวกเรานักสร้างบารมี โดยเฉพาะการฝึกฝนใจให้หยุดนิ่งเพื่อให้เข้าถึงพระธรรมกาย เป็นสิ่งที่ต้องเพียรพยายามเรื่อยไป เพราะธรรมกายเป็นเป้าหมายของชีวิตที่แท้จริง ขอให้พวกเราตั้งใจปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงพระธรรมกายให้ได้กันทุกคน

พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)

*มก. มหาสีลวชาดก เล่ม ๕๖ หน้า ๖๐




 

Create Date : 22 ธันวาคม 2553   
Last Update : 22 ธันวาคม 2553 21:12:26 น.   
Counter : 496 Pageviews.  

ขอเชิญทุกท่าน เปิดศักราชใหม่แห่งปี อยู่ธุดงค์สร้างบารมี ณ วัดพระธรรมกาย

สสส. แถลงข่าวสวดมนต์ข้ามปี

สสส. ร่วมกับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ พร้อมเครือข่าย เชิญชวนพุทธศาสนิกชนร่วมสวดมนต์ข้ามปีเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตนเอง สังคม และประเทศชาติ

สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือ สสส. ร่วมกับสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ พร้อมเครือข่าย จัดงานแถลงข่าว “สวดมนต์ข้ามปี เริ่มต้นดี ชีวิตดี ในปีใหม่” ณ อาคารมหาเจษฎาบดินทร์ วัดยานนาวา กรุงเทพมหานคร เพื่อขยายแนวคิดและรณรงค์ให้ประชาชนชาวไทยได้ร่วมสวดมนต์ ในช่วงคืนวันที่ 31 ธันวาคม 2553 ถึงวันที่ 1 มกราคม 2554 ในช่วงเทศกาลปีใหม่ที่จะถึงนี้ ซึ่งในงานแถลงข่าวครั้งนี้ได้รับความเมตตาจาก พระพรหมวชิรญาณ กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าอาวาสวัดยานนาวา เป็นประธานสงฆ์ พร้อมทั้งได้กล่าวถึงการสวดมนต์ว่า ชาวพุทธได้สวดมนต์มาตั้งแต่อดีตกาล แต่จะเป็นลักษณะของการต่างคนต่างทำ ซึ่งโครงการนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นให้ชาวพุทธมาทำความดีด้วยการสวดมนต์ร่วมกัน

ด้าน ทันตแพทย์กฤษดา เรืองอารีย์รัชต์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ กล่าวในงานแถลงข่าวว่า จากการสำรวจข้อมูลกลุ่มตัวอย่าง 4, 000 คน ที่เข้าร่วมงาน “สวดมนต์ปีใหม่ ชีวิตใหม่ ไร้แอลกอฮอล์” ของสำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้าในปี 2552 จาก 37 วัด ใน 30 จังหวัดทั่วประเทศ พบผู้เข้าร่วมกิจกรรมส่วนใหญ่มาเป็นครอบครัว เป็นหญิง 46. 3 % ชาย 53.7 % ทั้งนี้ประชาชน 99.5% ยืนยันจะมาร่วมงานสวดมนต์ในปีใหม่อีก ซึ่งจากข้อมูลในเบื้องต้นจะสังเกตได้ว่า ประชาชนในปัจจุบันได้เริ่มให้ความสำคัญและสนใจในพระพุทธศาสนามากขึ้น ส่วน นายอำนาจ บัวศิริ ผู้อำนวยการสำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม กล่าวว่า ตนจะนำเรื่องการสวดมนต์ข้ามปี ที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เสนอเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมมหาเถรสมาคม เพื่อให้มีมติสนับสนุนให้วัด 3 หมื่นกว่าแห่งทั่วประเทศ จัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี เพื่อสร้างความเป็นสิริมงคลให้กับตนเอง สังคม และประเทศชาติ ต่อไป


ขอเชิญทุกท่าน
เปิดศักราชใหม่แห่งปี อยู่ธุดงค์สร้างบารมี
ณ วัดพระธรรมกาย จ.ปทุมธานี




 

Create Date : 21 ธันวาคม 2553   
Last Update : 21 ธันวาคม 2553 17:46:11 น.   
Counter : 548 Pageviews.  

เครือข่ายคนดี สำคัญอย่างไร ทำไมถึงต้องสร้าง - หลวงพ่อตอบปัญหา

เครือข่ายคนดี สำคัญอย่างไร ทำไมถึงต้องสร้าง - หลวงพ่อตอบปัญหา


โดย พระภาวนาวิริยคุณ (เผด็จ ทัตตชีโว)
เรียบเรียง จาก รายการหลวงพ่อตอบปัญหา ทาง DMC

Q1: เครือข่ายคนดี สำคัญอย่างไร ทำไมถึงต้องสร้าง?
Q2: พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงให้หลักในการสร้างเครือข่ายคนดีเอาไว้อย่างไรบ้าง?
Q3: คำแนะนำในการสร้างเครือข่ายคนดี?

คำถาม:กระผม ขอกราบเรียนถามพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อบอกว่าให้ช่วยกันสร้างเครือข่ายคนดี อยากให้พระเดชพระคุณหลวงพ่ออธิบายว่ามันสำคัญอย่างไร ทำไมถึงต้องสร้างด้วยครับ

คำตอบ:ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนนะว่า คำว่าเครือข่ายคนดีนี้ มาจากคำว่า กัลยาณมิตตา คือ การคบคนดีเป็นเพื่อนคบคนดีเป็นมิตร โดยตัวเนื้อหาสาระแล้ว พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงสอนเอาไว้ว่า ในการที่เราจะประกอบอาชีพใดๆก็ตาม ถึงแม้เราจะมีความสามารถในการทำการค้าการขาย ในการประกอบธุรกิจต่างๆ จะเก่งอย่างไรก็ตาม เรามีความจำเป็นจะต้องสร้างจะต้องมีคนดีเป็นเพื่อนเอาไว้เยอะๆ เพราะฉะนั้น เครือข่ายคนดีในที่นี้ก็หมายถึงการมีคนดีเป็นเพื่อนเยอะๆ ตีประเด็นนี้ก่อนนะ

เครือข่ายคนดี คือ อะไร

เครือข่ายคนดี คือ การมีเพื่อนเป็นคนดีเยอะๆ

สำคัญอย่างไร

สำคัญ เพราะว่าเราก็จะได้ซึมซับเอาความดีจากรอบทิศมาได้เยอะๆ ทีนี้ พูดง่ายๆ ในวันหนึ่งวันหนึ่ง เราหมดเวลาไปกับการทำมาหากินเยอะ ส่วนว่าความรู้ความดี โดยเฉพาะธรรมะของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่จะเอามาใช้ปรับปรุงตัว เอามาปราบกิเลสน่ะ เราแทบไม่ค่อยจะมีเวลาไปค้นคว้าพระไตรปิฎกมาอ่านกันเลย เวลาจะไปวัด ยังหากันไม่ค่อยได้ แล้วจะทำอย่างไรล่ะ จะให้ความดีมาถึงบ้าน มีทางเดียว คบคนดีเป็นมิตรเยอะๆ

เพราะฉะนั้น ถ้าถามว่า ความสำคัญของการสร้างเครือข่ายคนดี หรือการมีคนดีเป็นเพื่อนเยอะๆ มันอยู่ตรงไหน

คำตอบ คือ อยู่ตรงที่ว่ายิ่งสร้างมามากเท่าไหร่ ความดีก็ไหลเข้าตัวเข้าบ้านเรามากเท่านั้นนั่นเอง ความสำคัญมันอยู่ตรงนี้

ไม่สร้างได้หรือไม่

คำตอบ คือ ไม่ได้ เพราะเป็นธรรมดาว่าถึงเราไม่สร้างเครือข่ายคนดี ก็จะต้องมีคนมาหาเรา มาคบเราอยู่ดี เพราะอะไร…เพราะเป็นธรรมชาติว่าคนเรานั้น มันอยู่ลำพังคนเดียวในโลกไม่ได้ เพราะฉะนั้น ทำอย่างไร...ก็พึ่งกันสิ เราอยู่คนเดียวไม่ได้หรอก ทักษะในด้านเหล่านี้ทั้งหมดไม่พอในชีวิตของเรา เมื่อเป็นอย่างนี้เราก็แค่ประกอบอาชีพหารายได้เข้ามา แล้วก็เอาเงินของเรานั่นแหละ เอาเงินนั้นเอาไปแลกเอาไปเปลี่ยนเป็นปัจจัยมาหล่อเลี้ยงชีวิต

ทีนี้ความจำเป็นมันมี อยู่ว่า เราจำเป็นจะต้องพึ่งเขาแล้ว เมื่อต้องพึ่งกันอย่างนี้แหละ มันจึงเกิดเพื่อนขึ้นมาโดยธรรมดา เพื่อนโดยธรรมชาติ เช่น ไปซื้อข้าวซื้อของกัน คุ้นกัน มันก็ต้องเป็นเพื่อนกัน อยู่บ้านใกล้เรือนเคียงคราวป่วยคราวไข้มันก็ยังต้องพึ่งกัน แต่เพราะการพึ่งกันนี่แหละ มันต้องระวังนะ ในโลกนี้มีทั้งคนดีและคนเลว เมื่อมันมีทั้งคนดีและคนเลว แล้วรวมทั้งมีทั้งของปลอมและของแท้ แล้วจะทำอย่างไรล่ะ…จึงจะได้แต่ของแท้ๆของดีๆไม่ใช่ของเก๊ของปลอมของเทียม ก็ต้องได้มาจากคนดีที่เราคบนั่นแหละ

ความรู้ความดีทั้งหลาย แหล่ ก็ต้องเอามาจากคนดีที่เราคบนั่นแหละ ถ้าเราไม่รีบเลือกคบคนดี ไปคบคนชั่วเข้าล่ะนะ โจรมันก็จะเข้ามา เอาของปลอมมาให้เรา สื่อสารเอาของเก๊ๆมาให้เรา ผลสุดท้ายเราเลยอยู่ท่ามกลางคนชั่วคนพาล โดยเราไม่รู้ตัว หรือเรากลายเป็นไม่มีทางเลือก เกิดขึ้นมาก็บ้านนี้เมืองนี้ โจรเต็มเมืองแล้ว เราไม่มีทางเลือก อย่างที่ปัจจุบันนี้เราก็บ่นกันว่า โจรเต็มบ้านเต็มเมือง คอรัปชั่นกันเต็มบ้านเต็มเมือง เด็กนักเรียนก็ยกพวกตีกันเต็มบ้านเต็มเมือง แก๊งยาเสพติดก็เต็มบ้านเต็มเมือง

แล้วทำอย่างไรล่ะ…จะทนอยู่เฉยๆหรือว่ามาช่วยกันแก้

ทนอยู่เฉยๆชาตินี้ก็เหี่ยวลงไปทุกวัน ลูกหลานเกิดมาในภายหน้าก็ลำบากหนักเข้าไปอีก

แต่ถ้าลงมือสร้างเครือ ข่ายคนดีเสียตั้งแต่วันนี้ ประกอบอาชีพอะไรเป็นล่ำเป็นสันได้เงินมาแล้ว เงินส่วนนั้นแหละ เอามาสร้างเครือข่ายคนดี เป็นเงินในการรับแขกในการต้อนรับแขก ในการที่จะไปคบค้าสมาคมกับคนอื่น ใครเป็นคนดีอยู่ที่ไหนเราก็ไปคบกันถึงนั่น ในที่สุดแล้ว มันกลายเป็นว่าเป็นการเอาความดีไปแลกกันกับคนในสังคม ความดีที่เรามีอยู่ก็เอาไปแลกกับเขา ใครมีดีอะไรก็มาแลกกับเรา ความดีที่เราได้มาจะฆ่าความไม่ดีที่มีอยู่ในเราให้หมดไป ความดีที่เรามีแจกไปให้คนอื่น ก็จะไปฆ่าความไม่ดีของคนอื่นให้มันหมดไป

เมื่อแจกความดีเพื่อไป ฆ่าความเลวกันอย่างนี้เรื่อยๆ คนดีมันก็จะเกิดเพิ่มขึ้นในบ้านในเมืองเยอะๆ และคนหนึ่งที่จะพลอยดีตามไปเป็นหมู่เป็นคณะด้วยล่ะ คือ ใคร

คำตอบ คือ เรา รวมทั้งลูกหลานของเรา บริวารว่านเครือเนื้อหน่อของเรา

ตกลง การสร้างเครือข่ายคนดี กลายเป็นการสร้างสังคมดีขึ้นมา มันดีทั้งการเพิ่มพูนศีลธรรมให้ กับตัวเองและคนรอบข้าง ให้กับสังคม ดีทั้งในการประกอบอาชีพที่จะได้ไม่มีการบีบกันทางด้านการค้า ไม่มีการทำลายกันทางด้านธุรกิจ ดีทั้งในแง่ในออฟฟิศในที่ทำงานเองนั่นแหละ เลื่อยขาเก้าอี้กันไม่มี หักหลังกันไม่มี ไม่ต้องมากินน้ำใบบัวบกกันล่ะนะ

การสร้างเครือ ข่ายคนดีมีความสำคัญ มีความจำเป็นอย่างนี้ อยู่ที่ไหน ทำมาหากินได้ ก่อนจะเอามากิน แบ่งงบไปสร้างเครือข่ายคนดี แล้วโลกนี้จะเจริญ เราก็เจริญ ทุกคนเจริญหมด ด้วยคำว่า เครือข่ายคนดี หรือ กัลยาณมิตตา

คำถาม:พระเดชพระคุณหลวงพ่อครับ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงให้หลักในการสร้างเครือข่ายคนดีเอาไว้อย่างไรบ้างครับ

คำตอบ:คว้าหัวใจเลยเชียวนะ...หลักในการสร้างเครือข่ายคนดี มีย่อๆอยู่สี่คำ คือ ให้ ให้ ให้ แล้วก็ ให้...ชัดเจนดีไหม

หลักในการสร้างเครือข่ายคนดีนั้น เนื่องจากคนทุกคนมีความพร่องอยู่ในใจ จำไว้ก็แล้วกัน แม้เราเองก็มีความพร่องอยู่ในใจ แต่ละคนพร่องในเรื่องอะไรบ้าง

พร่องประการที่หนึ่ง คือ พร่องสมบัติ ทรัพย์สมบัติ มันไม่ค่อยจะพอกันทั้งนั้นแหละ มันจึงต้องทำมาหากิน ทำมาค้าขายกันตลอดชีวิตนั่นแหละ ทำมันทำไม…ทำเอามากิน ทำเอามาใช้นั่นแหละนะ ทรัพย์สมบัติมันพร่อง นี่เป็นธรรมชาติของคนจึงต้องประกอบอาชีพกันตลอดชีวิต

พร่องประการที่สอง กำลังใจมันพร่อง ไม่ ว่าเราจะเก่งกาจแค่ไหน ทำงานไปแล้ว มันก็เจออุปสรรคบ้างเป็นธรรมดา เมื่อไปเจออุปสรรคเข้า ถ้าแค่บ้างมันก็แล้วไป แต่พอเจอหนักๆเข้า กำลังใจมันก็ชักถอยๆถดๆไปล่ะนะ เมื่อกำลังใจถดถอยไป กำลังใจมันพร่องไป มันก็ต้องหามาเติม กำลังใจมันคอยจะพร่อง ดูนักกีฬาก็แล้วกัน เล่นกีฬาแล้วไม่มีกองเชียร์เล่นไม่สนุกหรอก ไม่เชื่อนะ คุณลองไปวิ่งคนเดียวดูก็แล้วกัน ไม่มันหรอก มันต้องมีกองเชียร์ แล้วก็ต้องมีคนแข่งด้วย กำลังใจมันพร่องก็ต้องมีคนคอยเชียร์กันบ้าง นี่เป็นตัวอย่างนะ

พร่องประการที่สาม พร่องความรู้ความสามารถ โถ...คนเราเกิดมาพร้อมกับความโง่ มารู้ มาเรียนรู้ ทีหลังทั้งนั้น เพราะฉะนั้น ต่อให้มีอายุเป็นพันปีด้วย เรียนความรู้ในโลกนี้ไม่หมด มันคอยจะพร่องอยู่ตลอดเวลา ยิ่งงานก้าวหน้าความรู้ยิ่งตามไม่ทันงาน ทำอย่างไรล่ะ…มันก็ต้องหาคนมาเติมความรู้ความสามารถให้ นี่เป็นตัวอย่างนะ

พร่องประการที่สี่ พร่องความปลอดภัย ทำงานไปทำงานไป ระวัง...ความปลอดภัยมันไม่ได้ ถ้าเด่นนัก...เดี๋ยวเถอะ จงทำดีแต่อย่าเด่นจะเป็นภัย ไม่มีใครอยากเห็นเราเด่นเกิน มันไม่ปลอดภัยเสียอีกแล้ว หรือเรามันย่ำแย่อยู่ ภัยมันยิ่งบีบหนักเข้าไปอีก ไม่เก่งก็ภัยเยอะ เก่งจัดนักก็ภัยเยอะ ทำอย่างไรล่ะจึงจะปลอดภัย...นั่นแหละๆความปลอดภัยมันพร่องไป มันจึงต้องหามาเติมให้เต็มจนกระทั่งภัยมันหมดไป

เพราะฉะนั้น คบกัลยาณมิตร ถึงคราวทรัพย์มันขาดมือ ปันกันได้มันก็ต้องปันกัน พวกจะตายแล้วก็ไม่ช่วยกันนี่ไม่รู้จะคบกันไปทำไม สายสัมพันธ์มันก็ขาดผึงไป กาวใจมันไม่มี

กาวใจประการแรก คือ สมบัติส่วนที่เขาขาดมือนั่นแหละ มันก็ต้องไปช่วยไปจุนเจือกันไป

กาวใจประการที่สอง กำลังใจมันขาด สมบัติน่ะมันมีนะ แต่กำลังใจบางครั้งมันขาดไป แม้แต่มหาเศรษฐีถึงทีก็ยังขาดกำลังใจได้ มันไม่แน่ คราวป่วยคราวไข้ คราวเจออุปสรรค คราวเจอการกระทบกระทั่งในครอบครัวของ ตัวเองนั่นแหละ มันต้องการกำลังใจ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวเถอะ ได้แตกได้สลายกันแน่ ต้องการกำลังใจ พึงจำไว้ก็แล้วกัน สิ่งที่ทอนกำลังใจมนุษย์น่ะ ไม่มีอะไรเกินคำพูดที่แสลงใจ และสิ่งที่เพิ่มพูนกำลังใจให้มนุษย์น่ะ ก็ไม่มีอะไรเกินคำพูดที่เพราะๆ คำพูดที่ให้กำลังใจกัน

กาวใจประการที่สาม มีความรู้มีความสามารถไม่หวงกัน แนะนำอะไรกันได้ก็ให้ ความสามารถอะไรที่มี ทุ่มกำลังกายทุ่มศิลปะเข้าไป ทุ่มเทคโนโลยีไป ช่วยกันได้ มันก็ต้องช่วยกัน ยิ่งประกอบอาชีพเดียวกันยิ่งต้องช่วยกัน ไม่ใช่กีดกันกัน มัวกีดกันกันเองในประเทศ ต่างประเทศเขาเลยรวมกันได้ เขาเลยมาเหยียบเราตาย ร้องอ๊อกๆกันอยู่ทุกวันนี้นั่นแหละ เพราะคนในอาชีพเดียวกันในประเทศไทยไม่จับมือกัน ถ้าจับมือกัน ห้างใหญ่ๆมันเกิดเต็มประเทศ ไม่ต้องให้ห้างใหญ่ๆจากต่างประเทศมาดูดเงินจากเมืองไทยออกไปหรอก ตอนนี้โดนดูด เลือดไหลไม่หยุดอยู่นี่ นี่ถ้าคนไทยจับมือกันได้นะ เลือดมันหยุดไหลไปตั้งนานแล้ว มันอยู่ตรงนี้

กาวใจประการที่สี่ ก็มีความจริงใจให้กันเสมอต้นเสมอปลาย ถึงคราวพวกได้ดีก็ดีใจด้วย ไม่อิจฉาตาร้อน ประเภท...หนอยแน่ไอ้นี่ มันล้ำหน้าไปกว่าเรา ต้องเลื่อยขาเก้าอี้มันต้องแทงข้างหลังมัน อย่างนี้ไม่ใช่ อย่างนี้ไม่ปลอดภัย แต่ว่าเพื่อนได้ดี เรามีจิตมุทิตาดีใจด้วย เพื่อนเอ๊ย ดีไปเถอะ ตำแหน่งเพิ่มขึ้นดีไปเถอะ ดีใจด้วย แซงไปเลย กำไรมากกว่า เออ...ดีแล้ว ปีหน้าจะได้มาร่วมทุนร่วมหุ้นลงทุนกัน เพื่อนจะได้เป็นเจ้ามือใหญ่ ถือหุ้นใหญ่ก็ไม่ว่ากัน เรากำลังน้อยกำลังทรัพย์น้อยเอาแรงกายเข้าถมเป็นไรไปล่ะ คบกันอย่างนี้

มีสมบัติก็ปันกัน ท่านใช้คำว่า ทาน

ให้คำพูดเป็นกำลังใจกัน คือ ปิยวาจา

มีเรี่ยวแรง มีความรู้ความสามารถ ก็ไม่หวงกัน ก็ให้กันคราวใครขาดแคลน ท่านใช้คำว่า อัตถจริยา

ถึงคราวน่ะ ไม่แทงกันข้างหลัง มีแต่สนับสนุนกัน ทำตัวเสมอต้นเสมอปลาย คือ สมานัตตตา

ให้ ของ ให้คำ ให้กำลังกายกำลังใจ แล้วก็ให้ความปลอดภัย นี้คือคาถาแห่งการสร้างเครือข่ายคนดี แล้วเราจะมีกัลยาณมิตรรอบข้างอย่างที่จะนับจะประมาณมิได้

คำถาม:กระผมกำลังสร้างเครือข่ายคนดีที่เป็นนักธุรกิจ พระเดชพระคุณหลวงพ่อจะมีคำแนะนำอย่างไรบ้างให้ประสบความสำเร็จครับ

คำตอบ:ขอ โมทนาด้วยนะ...ความเดือดร้อนเกี่ยวกับเศรษฐกิจในบ้านเมืองไทยของเราน่ะ อยู่ตรงไหน...อยู่ตรงที่คนไทยหรือนักธุรกิจไทยไม่ค่อยชอบสร้างเครือข่ายกัน เลยกลายเป็นว่าในประเทศไทยที่ผ่านมา นักธุรกิจประเภทเดียวกัน แทนที่จะสร้างเครือข่ายซึ่งกันและกันกลายเป็นว่าฟาดฟันกันเอง ผลสุดท้ายยังไม่มีใครมาทำลายเราเลย เราก็ทำลายกันเองเสียแล้ว แข่งกันตัดราคา ความฉิบหายทางเศรษฐกิจของชาติจึงได้เกิดขึ้น ทำไมเป็นอย่างนั้น เพราะมองเห็นแต่ประโยชน์ส่วนตนเป็นหลัก มันเป็นเรื่องของคนใจแคบ

คนใจแคบสร้างเครือข่ายคนดีไม่ได้...ทำไม

เพราะเขาจะมุ่งแต่ประโยชน์ส่วนตนเป็น หลัก เพราะฉะนั้น การที่คุณโยมคิดจะสร้างเครือข่ายคนดีของนักธุรกิจน่ะ ขอโมทนาด้วยนะ ซึ่งการที่จะทำอย่างนี้ได้ สิ่งสำคัญก็คือ ต้องฝึกให้เป็นคนสายตายาว แต่สายตายาวในที่นี้ไม่ใช่ต้องประกอบแว่นนะ ยาวนั้นให้มองกันให้ข้ามชาติไปเลย อย่ามองกันแค่ใกล้ๆ คือ มองว่าเกิดมาชาตินี้น่ะ เกิดมาเพื่อสร้างบุญสร้างบารมี เกิดมาเพื่อทำความดี เกิดมาเพื่อปราบกิเลสให้หมด ทำพระนิพพานให้แจ้ง

ใน ระหว่างสร้างบุญสร้างบารมีนี้ มันยังต้องกินมันยังต้องใช้ มันก็จะต้องประกอบอาชีพประกอบธุรกิจ เมื่อต้องประกอบอาชีพประกอบธุรกิจ ก็ขอให้มองว่าอันนี้น่ะมันแค่ทางผ่าน มันไม่ใช่เป้าหมายชีวิต มองกันให้ชัดอย่างนี้

การประกอบธุรกิจ ไม่ใช่เป้าหมายชีวิต เป็นแค่ทางผ่านเป็นแค่อุปกรณ์ในการสร้างบารมี อุปกรณ์ในการปราบกิเลสให้ยิ่งๆขึ้นไป เมื่อมองอย่างนี้แล้ว...ใจใหญ่ๆ นั่นแหละใจใหญ่ๆตายาวๆ มองชีวิตว่าเกิดมาสร้างบารมี จากนั้นให้มองว่าครั้งนี้ที่เราทำเครือข่ายธุรกิจนักธุรกิจนี้ มันไม่ใช่รวมแค่เงินทุน แต่มันเป็นเรื่องของการรวมคนดี รวมนักสร้างบารมีมาร่วมกัน เพราะฉะนั้น...

ประการที่หนึ่ง ในเครือข่ายของเรานี้ จะไม่เกี่ยงว่าใครอาชีพอะไร ต่างกันหรือเหมือนกัน ขอให้เป็นสัมมาอาชีวะเป็นพอ คือ ไม่ใช่อาชีพต้องห้าม เช่น อาชีพตั้งซ่อง อาชีพค้าเหล้า อาชีพค้าอาวุธ นี่เราไม่คุยกัน เราจะเอาแต่ผู้ที่ประกอบสัมมาอาชีวะเท่านั้น มาอยู่เป็นเครือข่ายนักธุรกิจ หรือเครือข่ายนักสร้างบารมีกัน

ประการที่สอง ข้อแม้ของเครือข่ายนี้ คือ ผู้ที่เข้ามาเป็นสมาชิกต้องไม่แตะต้องอบายมุข ชัดเจนลงไปเลย

ประการที่สาม แน่ลงไปเลยว่า อยู่ในศีลอยู่ในธรรมกันนะ ถ้าใครไม่รักษาศีลกันล่ะก็เราคงไปด้วยกันไม่ได้หรอก เพราะว่านี่คือเครือข่ายนักสร้างบารมี คือ นอกจากในระหว่างที่ประกอบอาชีพกันไป ช่วยเหลือกันไปนั้น เมื่อมีโอกาสแล้ว สังคมสงเคราะห์ต้องทำ ศาสนาสงเคราะห์ต้องทำ บุญทานอะไร มีโอกาส...ทำ อย่างนี้บุญบารมีเกิดขึ้นตลอดทาง

จากนั้น ก็มองให้ดี เวลาร่วมเป็นองค์กรหรือเครือข่ายกัน ให้มองว่า...

1.เราจะใช้ทรัพย์เป็นทุน อันนี้หนีไม่พ้นนะ พอเป็นเครือข่ายกันแล้วที่จะใช้ทรัพย์ช่วยเหลือกัน

2.เราจะใช้ความรู้ความสามารถเป็นทุน ข้อนี้เราก็ชัดกันอยู่แล้ว เอามาแลก เอามาเปลี่ยนกัน แต่ว่าอย่าลืมเอาความดีทั้งหลายแหล่ที่ต่างคนต่างมี คือ ความรู้ธรรมะ ความสามารถในการปฏิบัติธรรม เทคนิคในการเข้าถึงธรรม เทคนิคในการรักษาศีล ตั้งแต่ทีละวัน ทีละเดือน ทีละพรรษา ทีละปีอย่างไรก็ตามที เทคนิคแห่งการประพฤติปฏิบัติธรรมในแง่มุมต่างๆ เอามารวมเป็นทุนกันไปด้วย เป็นทุนทางด้านอริยทรัพย์นะ ไม่ใช่โลกียทรัพย์

ถ้า เป็นอย่างนี้ เครือข่ายของนักธุรกิจ เครือข่ายของคนดี มันจึงจะมีเต็มแผ่นดิน และเมื่อมันมีเต็มแผ่นดินอย่างนี้แล้ว การรวมทุนกันมันจะไม่ยาก รวมทุนก้อนโตๆกันได้คงไม่ยาก และเมื่อนั้นการที่จะถูกต่างชาติมาบีบมาคั้น มาดูดเอาเงินจากเมืองไทย เลือดไหลทางเศรษฐกิจไม่หยุดจะได้หมดไปเสียที หลวงพ่อขออนุโมทนาด้วยนะ รีบสร้างเร็วๆนะ แล้วให้จำเริญๆเถอะนะ




 

Create Date : 20 ธันวาคม 2553   
Last Update : 20 ธันวาคม 2553 11:25:39 น.   
Counter : 631 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  

อู่ต่อเรือ
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




นึกแล้วเชียว ว่าต้องเข้ามาดู

555
[Add อู่ต่อเรือ's blog to your web]