เป็นสุขอยู่ในอู่แห่งทะเลบุญอันกว้างใหญ่.......

อิ่มแล้วง่วงทำสมาธิไม่ได้ แก้อย่างไรดีหนอ !!........สุขภาพนักสร้างบารมี

บาง...คนรับกินอาหารเสร็จแล้วก็..ง่วง!!

....ถ้านั่งสมาธิ(Meditation)ก็จะสัปหงก..

สาเหตุ...ที่สำคัญคือ ดื่มน้ำน้อยเกินไปหรือรับประทานอาหารมากไปจนไม่มีช่องว่างสำหรับน้ำ ทำให้อาหารในกระเพาะข้นมาก ยากต่อการย่อยพระ สัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนไว้ว่า ทุกครั้งที่รับประทานอาหารให้เตือนตนว่า อีก ๔ – ๕ คำจะอิ่มให้หยุดเสีย แล้วก็ดื่มน้ำเข้าไปสักแก้วหนึ่ง ใครก็ตามขณะที่รู้สึกว่าอีก ๔ – ๕ คำจะอิ่มความจริงคืออิ่มแล้ว เพราะอาหาร ๔ – ๕ คำที่เรารู้สึกว่า ยังขาดอยู่นั้นกำลังเดินทางไม่ถึงกระเพาะ ในทันทีที่ถึงกระเพาะ รู้สึกอิ่มพอดี บางคนพอพบกับข้าวที่อร่อยถูกปาก ทั้งที่อิ่ม แล้ว ยังขอแถมอีก ๔-๕ คำ



นั่นแสดงว่า...

เมื่อ..ดื่มน้ำแล้ว ก็เกินไปตั้ง ๙คำ ๑๐คำ

ทำไม..พระองค์ จึงทรงสอนเช่นนั้น ทั้งนี้ก็เพื่อให้มีที่ว่างในกระเพาะและลำไส้พอที่น้ำจะแทรกเข้าไปได้ อาหารก็จะเหลวลงซึ่งจะช่วยให้การบีบตัวของกระเพาะและลำไส้ได้สะดวก ไม่ต้องออกแรงมาก ร่างกายจึงไม่เพลีย ไม่ล้า การย่อยอาหารดำเนินไปได้โดยง่าย อิ่มแล้วไม่ง่วง นั่งสมาธิก็ไม่สัปหงก



สาเหตุของการขาดน้ำ

สาเหตุ...ที่ร่างกายของคนเราขาดน้ำที่พบบ่อยๆ คือ
๑. ไม่ทราบกลไกและความสำคัญของน้ำ ที่มีต่อร่างกายแต่ละระบบ จึงดื่มน้ำน้อย ทำให้ไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย

๒. ความพลั้งเผลอ เมื่อต้องไปทำงานอยู่กลางแดด หรือถูกลมโกรก หรืออยู่หน้าพัดลมนานๆ หรืออยู่หน้าเตาไฟ แม้ดื่มน้ำในปริมาณเท่ากับในเวลาปกติ ก็ทำให้ร่างกายขาดน้ำได้

๓. ไม่ได้ ออกกำลังกายเป็นประจำ กล้ามเนื้อและพังผืดจึงหดเกร็งอยู่ตลอดเวลา ทำให้การดูดซึมน้ำได้ไม่ดี แม้จะดื่มน้ำเข้าไปมาก็ดูดซึมได้น้อย จึงเก็บน้ำไม่อยู่ ขับถ่ายออกเร็วและปัสสาวะถี่เข้า ทำนองเดียวกับดินที่ไม่ได้พรวน ย่อมดูดซึมน้ำที่ราดลงไปได้น้อย รดลงไปมากเท่าไรก็ไหลไปที่อื่นหมด ร่างกายจึงขาดน้ำ

๔. ดื่มน้ำเย็นจัด ตามธรรมดาถ้าร่างกายของเราไม่เจ็บป่วยแม้จะดื่มน้ำเย็นก็มักไม่เป็นปัญหา แต่เมื่อใดที่ร่างกายอ่อนแอถ้าดื่มน้ำที่เย็นจัดโดยเฉพาะน้ำที่ใส่น้ำแข็ง หรือน้ำในตู้เย็นเข้าไปแล้วก็จะทำให้กล้ามเนื้อ กระเพาะ และลำไส้หดเกร็ง จึงดูดซึมได้ไม่ดีเพราะฉะนั้น พอดื่มน้ำเย็นจัดไม่ถึง ๕ นาที น้ำที่ดื่มเข้าไปน้ำที่ดื่มเข้าไปส่วนใหญ่ก็จะถูกขับออกมาเป็นปัสสาวะ ร่างกายจึงขาดน้ำไปโดยปริยาย

๕. เมื่อต้องเดินทางไปต่างประเทศ ในช่วงฤดูหนาวที่มีอากาศเย็นมาก ซึ่งมีอากาศแห้งอยู่แล้ว หากต้องพักอยู่ในห้องที่ใช้เครื่องทำความร้อน (Heater) จึงทำให้ร่างกายยิ่งขาดน้ำบางครั้งถึงกับทำให้เส้นเลือดฝอยแตก เลือดกำเดาออก



จาก

อิ่มแล้วง่วงทำสมาธิไม่ได้ แก้อย่างไรดีหนอ !!






Free TextEditor







 

Create Date : 05 มกราคม 2554   
Last Update : 5 มกราคม 2554 23:26:16 น.   
Counter : 720 Pageviews.  

รายการโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา 25 ธ.ค.53 (ตอนพิเศษ) ทบทวนพิธีบวชอุบาสิกาแก้วหน่ออ่อนหนึ่งล้านคน

โครงการบวชอุบาสิกาแก้วหน่ออ่อนหนึ่งล้านคน เพื่อฟื้นฟูพระพุทธศาสนาให้กลับมาเฟื่องฟูเหมือนย้อนยุคพุทธกาล



//video.dmc.tv/media/the_dream_replay/531225-บวชอุบาสิกาแก้วหนึ่งล้านคน.wmv.html





 

Create Date : 04 มกราคม 2554   
Last Update : 4 มกราคม 2554 17:35:25 น.   
Counter : 479 Pageviews.  

ถวายภัตตาหารครั้งใด มีอานิสงส์ยิ่งใหญ่ที่สุด?

ก่อนที่พระบรมโพธิสัตว์จะตรัสรู้
นางสุชาดาได้นำข้าวมธุปายาสใส่ถาดทอง
มาถวายด้วยความเคารพเลื่อมใส
ในลักษณะมหาบุรุษที่สง่างาม
มีผิวพรรณผุดผ่องเหมือนดั่งเทวดา

ข้าวมธุปายาสของนางเป็นพระกระยาหาร
ของพระบรมโพธิสัตว์ก่อนตรัสรู้
และทำให้ ทรงอิ่มอยู่ได้ถึง 49 วัน
ซึ่งต่อมาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า

การถวายบิณฑบาต (ภัตตาหาร) ก่อนตรัสรู้
และการถวายบิณบาตรมื้อสุดท้าย
ก่อนเสด็จดับขันธปรินิพพาน
มีอานิสงส์ยิ่งใหญ่กว่าบิณฑบาตอื่นๆ ยิ่งนัก

ต่อมาภายหลัง
นางสุชาดาได้ทราบว่า
หลังจากที่พระบรมโพธิสัตว์ฉันข้าวมธุปายาส
ที่นางถวาย แล้วได้ตรัสรู้เป็น
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
นางก็เกิดความปีติอย่างยิ่ง

//www.dmc.tv/pages/buddha_biography/knowledge-biography-of-Lord-Buddha-02.html




 

Create Date : 03 มกราคม 2554   
Last Update : 3 มกราคม 2554 14:32:53 น.   
Counter : 646 Pageviews.  

ชนะครั้งที่ ๑ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า (ตอนที่ ๒ ชนะพญามาร)




ชนะครั้งที่ ๑ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
(ตอนที่ ๒ ชนะพญามาร)

โอกาสที่หาได้ยากที่สุดในการสร้างบารมีของ สรรพสัตว์ทั้งหลาย คือ โอกาสที่ได้อัตภาพเป็นมนุษย์ แม้หมู่สัตว์เหล่าอื่นอีกเป็นจำนวนมาก ล้วนปรารถนาจะได้เกิดเป็นมนุษย์เช่นพวกเรา เพราะเป็นโอกาสดีโอกาสเดียวที่สามารถสั่งสมบุญบารมี ได้อย่างเต็มที่ เมื่อเราได้ในสิ่งที่ได้โดยยากเช่นนี้แล้ว ควรจะต้องใช้โอกาสนี้ให้เกิดประโยชน์มากที่สุด โดยต้องรู้จักประคับประคองตัวของเราให้ดำเนินชีวิตอยู่บนเส้นทางแห่งความดี เส้นทางแห่งบุญ ชีวิตจึงจะมีคุณค่า เพราะบุญเท่านั้น ที่จะช่วยปกป้องคุ้มครองตัวของเราให้ปลอดภัยจากภัยทั้งหลาย ทั้งภัยในชีวิต ภัยในอบายและภัยในสังสารวัฏ โดยเฉพาะบุญที่เกิดจากการเจริญสมาธิ(Meditation)ภาวนา จะทำให้เส้นทางไปสู่อายตนนิพพานของเราสะดวกสบายยิ่งขึ้น จะถึงที่หมายโดยปลอดภัยและรวดเร็ว

มีพุทธพจน์ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ใน ขุททกนิกาย ธรรมบท ว่า

“เราแสวงหานายช่างผู้กระทำเรือน เมื่อไม่ประสบ จึงได้ท่องเที่ยวไปในสงสารมิใช่น้อย การเกิดบ่อยๆ เป็นทุกข์ ดูก่อนนายช่างผู้กระทำเรือน เราเห็นท่านแล้ว ท่านจักไม่ได้กระทำเรือนอีกต่อไป ซี่โครงทั้งหมดของท่านเราหักเสียแล้ว ยอดเรือนเราก็กำจัดแล้ว จิตของเรา ถึงวิสังขารคือพระนิพพานแล้ว เราได้ถึงความสิ้นตัณหาแล้ว ดังนี้”

นี้เป็นพุทธอุทานที่ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสไว้ เป็นปฐมพุทธพจน์ หลังจากชนะพญามารและเหล่าเสนามาร และได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณที่ใต้ควงไม้ศรีมหาโพธิ์ ซึ่งหลวงพ่อได้เล่าไว้เมื่อคราวที่แล้วว่า เมื่อพญามารยกพลมามืดฟ้ามัวดิน เพื่อแย่งชิงรัตนบัลลังก์ และขัดขวางการตรัสรู้ธรรมของพระพุทธองค์ เทวดาและพรหมทั้งหลายเห็นเช่นนั้น ต่างพากันหวาดกลัว ขนลุกขนพองไปตามๆกัน รีบหลบหนีเอาตัวรอดไป ทิ้งพระโพธิสัตว์ไว้เพียงลำพัง ดังเทพบุตรที่นั่งอยู่ในวิมานอันว่างเปล่า

*พระอรรถกถาจารย์ได้พรรณนาไว้ว่า “ขณะที่พญามารและพระโพธิสัตว์กำลังต่อสู้กันอยู่ อุกกาบาตได้ตกลงโดยรอบ ทิศทั้งหลายต่างมืดมัวด้วยควัน แผ่นดินแม้ไม่มีใจก็เหมือนมีใจ ถึงความพลัดพรากเหมือนหญิงสาวพลัดพรากจากสามี เหมือนเถาวัลย์ต้องลมพัดแรง มหาสมุทรก็มีนํ้าปั่นป่วน แม้น้ำทั้งหลายไหลทวนกระแส ลำต้นไม้ต่างๆ คดงอ พายุร้ายพัดไปรอบๆ มีเสียงอึกทึกครึกโครม ความมืดที่ปราศจากดวงอาทิตย์ก็เลวร้าย สัตว์ร้ายท่องไปในกลางหาว ส่วนหมู่ทวยเทพทั้งหลายเห็นมารประสงค์จะประหารพระมหาสัตว์ ผู้เป็นเทพยิ่งกว่าเทพทั้งปวง ต่างพากันเอ็นดูและส่งเสียงคอยเป็นกำลังใจอยู่ห่างๆ”

พระบรมโพธิสัตว์รู้ว่า กำลังผจญกับศัตรูที่ไม่มีใครในภพสามจะปะทะได้ จึงนึกถึงแต่กำลังบารมี ๓๐ ทัศ ที่สั่งสมมานับภพนับชาติไม่ถ้วน ให้มาเป็นธรรมาวุธอันวิเศษเป็นเกราะแก้วคุ้มกันภัย และเอาชนะศัตรูที่มาข่มขู่อยู่เบื้องหน้า ขณะนั้นเองพญามารได้บันดาลให้ฝนถ่านสีแดงร้อนแรงราวกับไฟนรก แต่เมื่อตกลงมาก็กลับกลายเป็นทิพยมาลาบูชาพระมหาบุรุษ พญามารจึงบันดาลให้ฝนชนิดต่างๆ ตกลงจากอากาศ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องประหาร ถ่านไฟ ไฟนรก ฝนทราย ฝนโคลนและฝนน้ำกรด แต่ก็ไม่สามารถทำอันตรายใดๆ ได้

เมื่อพญามารไม่อาจทำอันตรายมหาบุรุษด้วยฤทธิ์ของตนได้ ก็โกรธมาก เร่งไพร่พลให้ไปจับพระมหาบุรุษมาประหารให้ได้ ตัวพญามารเองก็ไสช้างคิรีเมขล์เข้าไปยังต้นโพธิ์ ประกาศว่า “ดูก่อนสิทธัตถะ ท่านจงลุกขึ้นจากบัลลังก์นี้ รัตนบัลลังก์นี้ไม่ควรแก่ท่าน ควรแก่เราต่างหาก” พวกเสนามารพากันโห่ร้องรับกันลั่นไปทั่วภพสาม พระมหาบุรุษตรัสว่า “รัตนบัลลังก์นี้ บังเกิดขึ้นด้วยบุญของเรา หาได้เกิดเพราะบุญของท่านไม่ เพราะฉะนั้น เราจะไม่ยอมลุกเด็ดขาด”

พญามารขู่ว่า “ท่านไม่รู้จักกำลังของเรา เรามีพหลโยธามากมาย มีอาวุธครบครัน ส่วนตัวท่านนั้นมีเพียงลำพังคนเดียว ยังกล้ามาลองดีกับเราอีก” พระมหาบุรุษตรัสตอบว่า “ดูก่อนมาร แม้ตัวท่านก็ไม่รู้กำลังของเรา เราได้บำรุงเลี้ยงไพร่พลไว้มากมาย มีอาวุธพร้อมมือ เพราะฉะนั้น เราจึงไม่กลัวท่าน บารมี ๓๐ ทัศ นี้เป็นโยธาของเรา” พระโพธิสัตว์ตรัสต่อว่า “พยานที่รู้เห็นการกระทำของเราไม่มี แต่พื้นดินอันหาวิญญาณมิได้นี้เป็นพยานของเรา เราได้สร้างมหาทานบารมีไว้ในสมัยเป็นพระเวสสันดรถึง ๗ ครั้ง”

พระองค์ได้เอ่ยอ้างมหาทานบารมีที่เคยสั่งสมไว้ แล้วทรงชี้นิ้วพระหัตถ์ขวาลงไปที่แผ่นดิน ลมและน้ำที่รองแผ่นปฐพีซึ่งหนา ๑,๐๑๔,๐๐๐ โยชน์ ก็ไหวก่อน จากนั้นมหาปฐพี ซึ่งหนา ๒๔๐,๐๐๐ โยชน์ ไหวขึ้น ๖ ครั้ง เสมือนรับรองพระดำรัสของพระองค์ น้ำซึ่งเกิดจากอานุภาพแห่งมหาทานบารมีของพระโพธิสัตว์ ได้หลั่งล้นท่วมท้นเสนามารทั้งหลาย มหาปฐพีปั่นป่วนกัมปนาท มหาเมฆร้องครืนปานภูเขาจะถล่มทลาย พญามารเห็นเช่นนั้น รู้สึกอัศจรรย์ใจ ครั่นคร้ามในพระเดชานุภาพ เทพเทวาต่างพากันประโคมดนตรีลือลั่นทั่วจักรวาล

ทันใดนั้นเอง อสนีบาตฟาดเปรี้ยงลงมา หมู่มารทั้งหลายต่างตื่นตระหนกตกใจกลัวบุญญานุภาพของพระมหาบุรุษ แม้ช้างคิรีเมขล์ก็ไม่อาจยืนต้านทานกระแสนํ้าได้ถึงกับคุกเข่าล้มลง มารที่นั่งบนคอช้างคิรีเมขล์ก็ตกลงมาที่แผ่นดิน แม้พวกเสนามารทั้งหมดต่างกระจัดกระจายไปในทิศใหญ่ทิศน้อย เหมือนรำแกลบที่กระจายไปทั่ว พญามารเกรงพระเดชาบารมี รีบหลบหนีไปซ่อนเร้นด้วยความเสียใจ ที่พ่ายแพ้พระบรมโพธิสัตว์ ถึงกระนั้นก็อดชมเชยพระบรมโพธิสัตว์ไม่ได้ว่า “บุคคลใดในโลกและเทวโลก ที่จะเสมอด้วยพระองค์ไม่มี พระองค์จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ผู้มีอานุภาพ มีเดชครอบงำสรรพสัตว์ทั้งหลาย จะขนหมู่สัตว์ผู้ชาญฉลาดให้ข้ามพ้นโอฆะได้ บรรลุฝั่งมหานฤพานอันเกษมในคราวนี้แน่นอน”

เราจะเห็นว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราชนะมารและเสนามาร ตั้งแต่ยังไม่ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เมื่อทรงชนะมารแล้ว พระองค์บำเพ็ญเพียรโดยมิย่อท้อ ในเวลาปฐมยามทรงบรรลุบุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติในหนหลังได้ว่า ในชาติก่อนพระองค์เกิดที่ไหน เป็นอะไร มีชื่อและโคตรอย่างไร เป็นต้น ในเวลามัชฌิมยามทรงบรรลุ จุตูปปาตญาณ รู้การจุติและอุบัติของสัตว์ทั้งหลายว่า สัตว์นั้นทำกรรมอะไร ตายแล้วไปเกิดที่ไหน ในเวลาปัจฉิมยามทรงบรรลุอาสวักขยญาณ ตรัสรู้อริยสัจ ๔ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานแล้ว

ความอัศจรรย์หลายๆ อย่างได้บังเกิดขึ้น คือ โลกันตนรกกว้าง ๘,๐๐๐ โยชน์ ในระหว่างจักรวาลทั้งหลาย ไม่เคยสว่างแม้ด้วยแสงอาทิตย์ ๗ ดวง กลับมีแสงสว่าง มหาสมุทรลึก ๘๔,๐๐๐ โยชน์ ที่เคยมีรสเค็มกลายเป็นน้ำจืด แม่นํ้าทุกสายพร้อมกันหยุดไหล อัจฉริยภูตธรรมมากมายได้ปรากฏขึ้น


พวกเทพยดาเห็นพญามารแตกพ่ายไป ต่างชื่นชมแซ่ซ้องสาธุการ กล่าวสรรเสริญพระคุณเป็นการใหญ่ว่า “พระสิทธัตถะเป็นมหาบุรุษที่ชนะพญามารได้ ควรที่ชาวโลกจะน้อมเศียรลงกราบบูชาพระองค์ ผู้เที่ยงแท้ที่จะเป็นพระบรมศาสดาของมนุษย์และ เทวาทั้งหลาย”

การชนะศึกพญามารในครั้งนั้น ถือเป็นชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่เป็นอันดับแรก ในชัยมงคลกถากล่าวว่าเป็นชัยชนะที่แท้จริง เพราะรบกับตัวจริง คือพญามาร ซึ่งมีอานุภาพมาก สามารถบังคับบัญชาได้ทั้งมนุษย์ เทวดา พรหม อรูปพรหม เขาอยู่เหนือวิสัยที่ปุถุชนคนธรรมดาจะไปถึงแม้ด้วยความคิด อย่างไรก็ตาม มีอยู่ที่หนึ่ง ที่เราจะไม่ถูกพญามารบังคับบัญชา คือ ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ที่ตรงนี้เป็นหลุมหลบภัยที่ดีที่สุด เราจะปลอดภัยจากมารทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นกิเลสมาร ขันธมาร อภิสังขารมาร มัจจุมารหรือเทวบุตรมาร ล้วนไม่สามารถบังคับใจเราได้ เพราะฉะนั้น เราจะต้องนำใจมาหยุดนิ่งอยู่ที่ศูนย์กลางกายนี้ให้ได้ตลอดเวลา แล้วเราจะมีสรณะที่พึ่งที่ระลึกอันสูงสุด คือพระรัตนตรัย กระทั่งเป็นผู้มีชัยชนะตลอดกาลนาน



*พุทธประวัติ เล่ม๑ (หลักสูตรนักธรรมตรี)




 

Create Date : 02 มกราคม 2554   
Last Update : 2 มกราคม 2554 13:39:50 น.   
Counter : 928 Pageviews.  

กำหนดการธุดงค์ปีใหม่2554 เชิญสาธุชนทุกท่าน ที่วัดพระธรรมกาย มาสร้างบารมีกัน

กำหนดการธุดงค์ปีใหม่ ปี พ.ศ.2554
Happy New Year 2011

ตั้งแต่วันที่ 30 ธันวาคม ถึง วันที่ 1 มกราคม 2554


วันที่ 30 ธันวาคม

05.00 น. สวดมนต์ทำวัตรเช้า หน้าระเบียง 3
09.00 น. ปฏิบัติธรรม
13.00 น. ปฏิบัติธรรม, ฟังธรรม
15.00 น. วัฒนธรรมคุณยาย -ลงทะเบียนการอยู่ธุดงค์ บริเวณ
ธุรการระเบียง 3, 8
15.30 – 23.00 น. ลงทะเบียนการอยู่ธุดงค์ 1
18.30 น. ทำวัตรเย็น/สมาทานการอยู่ธุดงค์
19.00 น. ชมรายการโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันในฝันวิทยา

วันที่ 31 ธันวาคม

05.00 น. ทำวัตรเช้า/ปฏิบัติธรรม (หน้ารัตนบัลลังก์)
09.30 น. พระราชภาวนาวิสุทธิ์ ประธานสงฆ์ เดินทางมาถึงศูนย์
กลางพิธี - นำบูชาพระรัตนตรัย / นำนั่งสมาธิ(Meditation)
11.00 น. พิธีถวายภัตตาหารเป็นสังฆทาน
13.30 น. พระภาวนาวิริยคุณ ประธานสงฆ์ เดินทางมาถึงศูนย์
กลางพิธี - แสดงธรรม
15.30 น. สืบสานวัฒนธรรมคุณยาย
18.30 น. ทำวัตรเย็น/สมาทานการอยู่ธุดงค์
19.00 น. ชมรายการโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันฯ (หน้ารัตน
บัลลังก์)

วันขึ้นปีใหม่ วันที่ 1 มกราคม

04.30 น ตื่นนอน - สาธุชนผู้มีบุญ ทำความสะอาด อุปกรณ์
05.00 น. สวดมนต์ทำวัตรเช้า และกล่าวคำลาธุดงค์
06.40 น. ตักบาตรวันขึ้นปีใหม่ ปี พ.ศ. 2554 ณ ทิศใต้ของลาน
ธรรม มหาธรรมกายเจดีย์
08.00 น. เสร็จพิธีตักบาตร - เก็บงาน จับฉลากของขวัญปีใหม่
18.30 น. ทำวัตรเย็น/สมาทานการอยู่ธุดงค์ (เวทีระเบียง 3)
19.00 น. ชมรายการโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันฯ (เวทีระเบียง 3)

เชิญสาธุชนทุกท่าน ที่วัดพระธรรมกาย ครับ




 

Create Date : 29 ธันวาคม 2553   
Last Update : 29 ธันวาคม 2553 22:50:28 น.   
Counter : 577 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  

อู่ต่อเรือ
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




นึกแล้วเชียว ว่าต้องเข้ามาดู

555
[Add อู่ต่อเรือ's blog to your web]