สุภารัตถะ บล็อก
Group Blog
 
All Blogs
 

เที่ยวไปด้วยกายทิพย์

ไปก็อปมาจากเว็บคู่มือฝึกจิตของ อ.ยุทธพงษ์ แสงอรุณกุศล หลังจากไปเที่ยวบล๊อกคุณไกลบ้านมา จริงๆ เคยอ่านในหนังสือแล้ว แต่นี่สบายเลยไม่ต้องพิมพ์เอง

ข้าน้อยมีความประสงค์จะฝึกถอดจิตเพื่อพิสูจน์โลกวิญญาณจะได้เป็นเครื่องเตือนสติเตือนใจให้ข้าน้อยไม่ประมาทในชีวิต ขอให้ท่านโปรดกรุณาแผ่พลังจิตบารมี ช่วยเสริมให้ข้าน้อยสามารถที่จะถอดจิตได้ โดยมีสติระลึกได้รู้สึกตัวตลอดเวลา ขอความตั้งใจนี้จงสำเร็จด้วยเทอญฯ ”

กระผมอธิษฐานเสร็จ
ก็กราบพระอีกครั้ง แล้วลงมือฝึกถอดจิต หลับตาแผ่เมตตาอุทิศกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรอโหสิกรรม

ตั้งแต่มาที่วัดเขาวังนี้ 7 วันแล้ว
กระผมก็ฝึกเพ่งมองกึ่งกลางระหว่างคิ้วมาโดยตลอด
จนถึงวันสุดท้ายนี้ก็เป็นไปด้วยดี

กระผมฝึกเพ่งมองไปที่กึ่งกลางระหว่างคิ้วทั้งลืมตาและหลับตา จนรู้สึกเหมือนกับเป็นตะคิวที่กึ่งกลางระหว่างคิ้วตึงๆอยู่ตลอดเวลาทั้งลืมตาและหลับตา

กระผมประคองจิตให้สบายๆไม่เครียด
แล้วนั่งลงในท่าขัดสมาธิ เท้าขวาทับเท้าซ้าย
และรวบรวมความรู้สึกนึกคิดทั้งหมดมาเพ่งมองที่กึ่งกลางระหว่างคิ้วแบบสบายๆกระผมนั่งสมาธิเป็นชั่วโมงๆ จนรู้สึกว่า ขาชามากจนปวด ปวดมากจนเจ็บแปลบๆขึ้นมาถึงเอว กระผมใช้จิตเข้าจ่อพิจารณาว่า อาการขาชาเจ็บปวดนี้ไม่ได้เจ็บที่ใจ เราไม่สนใจอาการที่เกิดกับกายเนื้อนี้ กายสักแต่ว่ากาย ไม่เกี่ยวกับใจ ต่อมาอาการปวดมากขึ้นจนสุดท้ายก็หายปวดเอง

ในเวลาเดียวกัน ในส่วนความรู้สึกของกระผมยังคงมองไปที่กึ่งกลางระหว่างคิ้ว
จนรู้สึกว่ามีอาการหนักหน่วงเหมือนเป็นตะคิว เข้าจับเป็นก้อนหมุนไชเข้าไปกึ่งกลางระหว่างคิ้ว เสียวจนรู้สึกศีรษะจะทิ่มไปข้างหน้า จนกระผมนั่งต่อไปไม่ได้
กระผมจึงตัดสินใจตั้งสติให้มั่นไว้กับการมองกึ่งกลางระหว่างคิ้ว แล้วค่อยๆ เปลี่ยนอิริยาบถจากท่านั่งเป็นท่านอน โดยค่อยๆเหยียดแขน ขา เอนตัวลงนอน

เพียงศีรษะถึงหมอนได้เดี๋ยวเดียว
อาการตะคิว ที่จับเป็นก้อนไชเข้าไปกึ่งกลางระหว่างคิ้วได้ไชลึกเข้าไปๆอาการไชลึกๆนั้น รู้สึกเหมือน “ วืดๆๆ ” อาการไชลึกๆนี้ ไชลึกเข้าไปทีหนึ่ง กลุ่มก้อนที่หมุนไชนี้ก็พ่นกระแส ปราณอุ่นเข้าไปนิดหนึ่ง อาการอย่างนี้รู้สึกอยู่ตลอดเวลา

ไชลึกเข้าไปจนทะลุถึงตำแหน่งท้ายทอย ที่อยู่ด้านหลังที่ตั้งของตำแหน่งก้านสมอง กระแสปราณอุ่นพุ่งเป็นทางเดียวกันเลย ตั้งแต่หน้าผากทะลุไปจนถึงท้ายทอย กระแสปราณอุ่นจากกึ่งกลางระหว่างคิ้วพุ่งทะลุไปถึงท้ายทอย แล้วก็ดูดกลับออกผ่านสองข้างขมับมาผสมที่กึ่งกลางระหว่างคิ้วอีก อาการกระแสปราณอุ่นวิ่งหมุนเป็นวงกลมนี้ กระผมมีสติระลึกรู้เท่าทันปัจจุบันอยู่ตลอดเวลา และทำใจเป็นกลางๆ ไม่ได้ดีใจจนเสียอารมณ์ไป

อาการขณะนี้
เป็นอาการตามที่ครูอาจารย์เขียนไว้ในตำราว่า “ ขณะนี้ กายทิพย์พร้อมที่จะแยกออกจากกายเนื้อแล้ว ”

แต่กายทิพย์ก็ทำไมยังแยกไม่ออก
ก็ต้องปฏิบัติไปตามตำราที่สอนต่อว่า..............

“ ให้ตั้งจิตสำนึกความรู้สึกอีกชั้นหนึ่งไว้ที่ตำแหน่ง ตรงท้ายทอย (ก้านสมอง ) แล้วดีดถีบส่งไปยังกลุ่มก้อนกายทิพย์ ” (เป็นการส่งกำลังใจเหมือนเป็นการสร้างกำลังพลังจิตเข้าไปตบที่ท้ายทอยอีกชั้นหนึ่ง) ทันใดนั้นเอง

ร่างกายทิพย์ (มีความรู้สึกเป็นตัวเอง) ถูกแรงดีดเหวี่ยงขึ้นไปบนท้องฟ้า กายทิพย์กระผมลืมตาขึ้นมาเห็นกายทิพย์มีหน้าตารูปร่างเหมือนกับกายเนื้อทุกอย่างพุ่งลอยไปในอวกาศ

(ต่อที่คอมเม้นท์ 1)




 

Create Date : 12 เมษายน 2548    
Last Update : 14 เมษายน 2548 10:46:19 น.
Counter : 2472 Pageviews.  

ฝึกถอดกายทิพย์ขณะนอน

เรื่องนี้ค่อนข้างไสยศาสตร์นิดหน่อย ไม่เหมาะกับคนกลัวผีด้วย...
เพราะบรรดาผีๆ ผู้หวังดี จะมาช่วยดีงก็ได้ เคยได้ยินคนเค้าเล่านะ ถ้าขี้เกียจก็หลับไปเลยก็แล้วกัน...

การฝึกถอดกายทิพย์ขณะนอน
จากอาจารย์กอบเกียรติ กายทิพย์โลกวิญญาณ


๑.ให้นอนหลับในท่านอนหงายปล่อยตัวตามสบาย ไม่ซ้อนเท้ากัน แล้วกำหนดลมหายใจเข้าและออก ให้รู้สึกลมหายใจเข้าและออกยาว และให้ฝึกรู้ลมหายใจตอนหยุด ให้ละเอียดคำว่าละเอียดหมายถึง เบานุ่ม ไม่กระแทกกระทั้น นำไปกำหนดรู้ในเวลาตื่นอยู่ด้วย ทำให้มากที่สุดเท่าที่นึกได้

๒.ขณะนอนเมื่อหลับตาลงหลังจากกำหนดรู้ลมหายใจระยะหนึ่งแล้ว ให้วาดภาพว่ามีร่างกายเรานอนเหนือขึ้นไปประมาณ ๒ เมตร (ถ้าจะเปรียบเหมือนกายเรานอนบนเตียงชั้นล่าง แต่กายที่วาดขึ้นนอนอยู่บนเตียงชั้นบนเหนือขึ้นไป) มีรูปร่างเหมือนกับตัวเรา พยายามใส่รายละเอียดในร่างนั้น วาดรอบร่างนั้น ถ่ายเทความรู้สึกจากร่างที่นอนขึ้นไปร่างบน และถ่ายเทร่างบนลงสู่ร่างที่นอนสลับไปสลับมา ขณะเดียวกันให้ทำความรู้สึกลมหายใจไปด้วย (ถ้ากำหนดลมหายใจไม่ชำนาญ อย่าเพิ่งถ่ายความรู้สึกขึ้นลง เพราะอาจทำให้เราไปบีบรัดลมหายใจ ทำให้อึดอัด ควรฝึกลมหายใจจนกายเบาก่อน จึงฝึกถ่ายความรู้สึก)

๓.เมื่อทำสักระยะแล้วให้กำหนดภาพของเราให้เป็นร่างสีขาว นอนหงายสูงขึ้นไป ซ้อนขึ้นไป จนสุดหูลูกตา(หมายถึงขณะนอนหลับตาอยู่) และฝึกถ่ายความรู้สึกขึ้นไปสู่กายบนสุดนั้นให้ทำอยู่อย่างนี้ วันใดที่ใจสงบที่สุด เมื่อนอนทำ วันนั้นจะถอดได้ แต่ก่อนถอดครั้งแรกนั้นเราต้องฝ่าความตาย ต้องคอยถามตัวเราว่ายินดีจะฝ่าความตายเหมือนเราขาดใจตายอย่างนั้นแหละ ต้องจำไว้ว่า การถอดกายทิพย์จากการนอนนี้ต้องอาศัยการฝึกลมหายใจเป็นหลัก เพราะฉะนั้นต้องฝึกลมหายใจทุกอิริยาบถตลอดเวลาที่นึกได้

ผู้มีราตรีเดียวเจริญ พระพุทธองค์มักทรงเรียกบุตรของพระองค์ผู้กำหนดกัมมัฏฐานแม้ขณะนอนหลับว่า ผู้มีราตรีเดียวเจริญเพราะว่า เมื่อทำมากๆเข้า กายนี้หลับแต่บางทีเรารู้สึกเหมือนตื่นอยู่ตลอดเวลา แท้ที่จริงแล้วกายทิพย์นั้นไม่จำเป็นต้องหลับ ในโลกสวรรค์นั้นไม่มีหลับเนื่องด้วยไม่ต้องใช้กายที่เปื่อยเน่านี้ เพราะกายนี้ต้องเสื่อมและต้องพักฟื้นทุกวัน ในโลกวิญญาณนั้นบางสถานที่มีแต่ความเพลิดเพลิน ยิ่งอยู่นานยิ่งหนุ่มสาวขึ้น มิได้แก่ลงเหมือนในโลก บางท่านมีแสงสว่างออกจากกายมาก ไปที่ไหนแสงมาก่อน บางทีถ้ามาเยี่ยมเราผู้ปฏิบัติอยู่ขณะนอนนั้นแม้เราหลับอยู่เหมือนกับสว่างไสวไปหมด กายทิพย์ของผู้ปฏิบัตินั้นส่วนใหญ่จะมีแสงแล้วแต่ภูมิแห่งสมาธิที่ทำมาก่อน





 

Create Date : 10 เมษายน 2548    
Last Update : 10 เมษายน 2548 20:13:34 น.
Counter : 9098 Pageviews.  

อย่างไรชื่อว่าเป็นมนุษย์





เทศน์โดยหลวงพ่อพุธ ฐานิโย


๑. มนุสสมนุสโส กายเป็นมนุษย์ จิตใจก็เป็นมนุษย์
๒. มนุสสติรัจฉาโน กายเป็นมนุษย์ แต่ใจเป็นเดรัจฉาน
๓. มนุสสเทโว กายเป็นมนุษย์ แต่ใจเป็นเทวดา
๔. มนุสสเปโต กายเป็นมนุษย์ แต่ใจเป็นเปรต

กายเป็นมนุษย์จิตใจเป็นมนุษย์ โดยปกติแล้วมนุษย์เป็นผู้มีจิตใจสูง มนะแปลว่าใจ อุษย์หรืออุสโส แปลว่า สูง ฉะนั้น มนุษย์จึงแปลว่า ผู้มีจิตใจสูง สูงกว่าสัตว์เดรัจฉาน มนุษย์นี้เป็นสิ่งสูงสุด เป็นผู้มีปัญญาเฉลียวฉลาด ผู้สามารถใช้ความฉลาดนั้นไม่มีอะไรเหนือมนุษย์ มนุษย์ทำได้ทุกอย่าง มนุษย์สามารถสร้างได้แม้กระทั่งพระพุทธเจ้า พระพรหม เทพ เปรต อสุรกาย ทั้งสัตว์เดรัจฉาน อยู่ในตัวมนุษย์นี้ทั้งนั้น

เมื่อพูดถึงตัวของมนุษย์ เรามีกาย มีรูปร่างเป็นมนุษย์ เราทดสอบดูจิตใจของเราเองว่าเราเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์หรือไม่ โดยนิสัยของมนุษย์จะต้องมีความเมตตา มีความปรารถนาดีต่อมนุษย์และสิ่งมีชีวิตด้วยกัน นี้เป็นประการหนึ่ง

มนุษย์มีความปรารถนาที่จะช่วยปลดเปลื้องความทุกข์ยากลำบากให้คนอื่นและสัตว์อื่น นี้เป็นคุณสมบัติของมนุษย์ เมื่อสรุปแล้วมนุษย์ผู้มีศีล ๕ สมบูรณ์เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ที่สุดในโลก ใครก็ตามมีศีลมีธรรม มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา มีความรัก ความปรารถนาดีในเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ผู้นั้นร่างกายเป็นมนุษย์ ใจก็เป็นมนุษย์สมบูรณ์ ตามหลักพระศาสนาท่านว่า ศีล ๕ คือ มนุษยธรรม คือธรรมที่ทำบุคคลให้เป็นมนุษย์





 

Create Date : 07 เมษายน 2548    
Last Update : 7 เมษายน 2548 15:57:16 น.
Counter : 1357 Pageviews.  

กำเนิด.. ม นุ ษ ย์



กำเนิดมนุษย์
ตัดต่อและเรียบเรียงจากหนังสือ ธรรมธาตุ ธรรมชาติแห่งสรรพสิ่ง ของท่าน ไชย ณ พล

สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับอยู่ ณ พระวิหารบุพพาราม เป็นปราสาทของนางวิสาขามิคารมาตา พระองค์ตรัสกับท่านวาเสฏฐะและท่านภารทวาชะว่า

“ดูกร วาเสฏฐะและภารทวาชะ มีสมัยบางครั้งบางคราวโดยล่วงระยะกาลยืดยาวช้านานที่โลกนี้จะพินาศ เมื่อโลกนี้พินาศอยู่ โดยมากเหล่าสัตว์ย่อมเกิดในอาภัสสรพรหม สัตว์เหล่านั้นได้ความสำเร็จด้วยใจ ปิติเป็นอาหาร มีรัศมีซ่านออกจากกาย สัญจรไปในอากาศ อยู่ในวิมาน สถิตอยู่ในภพนั้นสิ้นกาลช้านาน

มีสมัยบางคราวโดยระยะยืดยาวช้านานที่โลกนี้จะกลับเจริญ เมื่อโลกนี้กำลังเจริญอยู่ โดยมากเหล่าสัตว์พากันจุติ(ตาย)จากชั้นพรหมลงมาเป็นอย่างนี้(มนุษย์) เดิมทีสัตว์นั้นสำเร็จด้วยใจ มีปิติเป็นอาหาร มีรัศมีซ่านออกจากกายตนเอง สัญจรไปได้ในอากาศ อยู่ในวิมานอันงาม

ก็แหละสมัยนั้น จักรวาลนี้แลเป็นน้ำทั้งสิ้น มืดมนไม่เห็นอะไร ดวงจันทร์และอาทิตย์ยังไม่ปรากฏ ดวงดาวนักษัตรทั้งหลายยังไม่ปรากฏ กลางวันกลางคืนยังไม่ปรากฏ เดือนฤดุและปียังไม่ปรากฏ เพศชายหญิงยังไม่ปรากฏ สัตว์(มนุษย์)ทั้งหลาย ถึงซึ่งเพียงว่าสัตว์เท่านั้น

…ครั้นต่อมาโดยล่วงระยะเวลากาลยืดยาวช้านาน เกิดง้วนดินลอยอยู่บนน้ำทั่วไป …ถึงพร้อมด้วยสี กลิ่น รส มีสีคล้ายเนยใส มีรสอร่อย ดุจรวงน้ำผึ้งเล็กอันหาทานมิได้ฉันนั้น ในคราวสัตว์พยายามปั้นง้วนดินให้เป็นคำๆ ด้วยมือ รัศมีกายของสัตว์เหล่านั้นก็หายไป เมื่อรัศมีกายหายไปแล้ว ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ก็ปรากฏ ..ดาวนักษัตรทั้งหลายก็ปรากฏ กลางวันกลางคืน เดือนฤดูปีก็ปรากฏ ด้วยเหตุนี้ โลกจึงกลับเจริญขึ้นมาอีก”

ครั้นเหล่าสัตว์บริโภคง้วนดิน ร่างกายก็แกร่งกล้ามีผิวพรรณแตกต่างกันไป พวกผิวพรรณงามดูถูกพวกผิวพรรณไม่งาม ความทระนงตัวปรารภผิวพรรณเป็นปัจจัย ง้วนดินก็หายไป พวกเหล่าสัตว์ต่างก็บ่นถึงว่า รสดีจริง รสดีจริง. ..ก็เกิดมีกะบิดิน เหล่าสัตว์บริโภคกะบิดิน ร่างกายก็แกร่งกล้ามีผิวพรรณแตกต่างกันไป พวกผิวพรรณงามดูถูกพวกผิวพรรณไม่งาม กะบิดินก็หายไป ..ก็เกิดเครือดิน เหตุการณ์การดูหมิ่นและทะนงตนซ้ำอยู่ดังนี้ เมื่อเครือดินหายไป จึงเกิดข้าว เมื่อเหล่านั้นบริโภคข้าว ก็เกิดมีเพศหญิงเพศชาย เมื่อต่างเพ่งดูกันก็เกิดความกำหนัด จึงสมสู่กัน

เดิมที มนุษย์ต่างกันที่สภาวะจิต อวัยวะเพศยังไม่ปรากฏ เสวยปิติเป็นอาหาร อวัยวะเพศเกิดขึ้นเมื่อเริ่มเสื่อมลงและมีผัสสะแรงกล้ามากแล้ว แต่สัญชาตญานในการดำรงตน จึงดิ้นรนสร้างสิ่งใหม่จำลองตนออกมาใหม่ เมื่อมีลูกพ่อแม่ผู้กำลังเสื่อมจึงปลูกฝังความปรารถนาของตนให้กับลูก

เมื่อเกิดกามจึงมีความเกียจคร้านเกิดขึ้น มนุษย์จึงเริ่มสะสม สร้างบ้านเรือน และรู้จักเก็บกักตุน เมื่อมีการเก็บกักตุน จึงมีความขาดแคลนเกิดขึ้น สัตว์ทั้งหลายไปเก็บเอาข้าวสาลีมาคราวเดียวเพื่อสี่วันบ้าง แปดวันบ้าง แล้วพูดว่า แม้อย่างนี้ก็ดีเหมือนกันท่านผู้เจริญ

เมื่อเกิดความขาดแคลนจึงเกิดมีการครอบครอง มีการแบ่งเขตแดนปันข้าวสาลีกัน เมื่อมีการครอบครอง ความเห็นแก่ตัวจึงปรากฏ นอกจากส่วนของตน ยังไปเก็บเอาส่วนของคนอื่น และมีการประทุษร้ายกัน

เมื่อมีอธรรมปรากฏ จึงต้องมีสมมุติผู้พิทักษ์ธรรมเกิดขึ้น จึงมีราชาเกิดขึ้น ตัดสินผู้กระทำผิด
เมื่อมีบาปเกิดขึ้น จึงมีผู้ลอยบาป บำเพ็ญบุญเกิดขึ้น พวกสมณะจึงเกิดขึ้นเพราะรังเกียจในบาปนั้น เป็นผู้ยินดีในบุญ

ส่วนราชา หรือจอมจักรพรรดิผู้ทรงคุณธรรม ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุข ท้าวเธอสั่งสอนรัชทายาท ก่อนปลงเกศาออกผนวช อยู่เช่นนี้อีกยืดยาวเป็นเวลาช้านาน จนถึงกาลสมัยที่ผู้นำบกพร่อง จึงเกิดความขัดสน เมื่อเกิดความขัดสนจึงเกิดขโมย เมื่อเกิดขโมยจึงเกิดบทลงโทษ เมื่อเกิดบทลงโทษ จึงเกิดอาวุธขึ้น
เมื่อการทำชั่วปรากฏ อายุและผิวพรรณก็เสื่อมลง อายุขัยมนุษย์จาก 80,000 ปี จึงเหลือ 40,000 ปี 20,000 ปี 10,000 ปี 5,000 ปี 2,000-2,500 ปี 1,000 ปี 500 ปี 200-250 ปี 100 ปี (พระพุทธเจ้าผู้มีนามว่าพระสมณโคดม บังเกิดเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ที่สี่ แห่งยุคภัทรกัปป์)

ลำดับแห่งความเสื่อมจนถึงสมัยมนุษย์มีอายุต่ำสุด เมื่อมนุษย์มีอายุ 10 ปี เด็กหญิงมีอายุ 5 ปี จักสมควรมีสามีได้ รสเหล่านี้คือ เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย และเกลือ จักอันตรธานไปสิ้น หญ้ากับแก้(วัชพืชอย่างหนึ่ง) จักเป็นอาหารอย่างดี กุศลกรรมบท 10 จักหายไปสิ้น อกุศลกรรมบท 10 จักรุ่งเรือง

เมื่อมนุษย์มีอายุ 10 ปี เขาจักไม่มีจิตคิดเคารพยำเกรง ว่านี่แม่ นี่พ่อ นี่ป้า นี่น้า นี่อา นี่ภรรยาของอาจารย์ นี่ภรรยาของท่านที่เคารพทั้งหลาย สัตว์โลกจักถึงความสมสู่ปะปนกันไปหมด เสมือนแพะ ไก่ สุกร สุนัข สุนัขป่า ฉะนั้น สัตว์เหล่านั้นจักเกิดความอาฆาต คิดจะฆ่าอย่างแรงกล้าในกันและกัน มารดากับบุตรก็ดี บุตรกับบิดาก็ดี น้องหญิงกับพี่ชายก็ดี ถึงความพินาศของมนุษย์

ครั้งนั้น สัตว์เหล่านั้นบางพวกคิดอย่างนี้ว่า เราอย่าฆ่าเขา และใครๆ ก็อย่าฆ่าเรา เราควรเข้าไปตามป่าหญ้าสุมทุมป่าไม้ ระหว่างเกาะ ซอกเขา มีรากไม้และผลไม้เป็นอาหารเลี้ยงชีวิตอยู่ เมื่อล่วงไปเจ็ดวัน จึงออกจากป่า ระหว่างเกาะ ซอกเขา พบเห็นกัน ต่างสวมกอดกันและกัน ร้องดีใจว่าท่านยังมีชวิตอยู่หรือ

มนุษย์เริ่มสำนึกได้ มีความคิดสมาทานธรรมที่เป็นกุศล งดจากปาณาติบาต เจริญขึ้นด้วยอายุบ้าง วรรณะบ้าง เมื่อคุณธรรมเจริญขึ้น อายุและวรรณะของมนุษย์ก็เจริญขึ้นตามลำดับ..เขาเหล่านั้นจักปฏิบัติชอบในมารดา บิดา สมณะ พราหมณ์ อ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ในตระกูล จักสมาทานในกุศลนี้แล จนถึงมนุษย์มีอายุได้ 80,000 ปี จักมีพระพุทธเจ้าองค์ใหม่บังเกิดขึ้น..




 

Create Date : 05 เมษายน 2548    
Last Update : 14 เมษายน 2548 10:45:31 น.
Counter : 1370 Pageviews.  

ฝึกดูออร่าระดับพื้นฐาน

มาฝึกดูแสงออร่า (รัศมีกาย) ระดับพื้นฐาน
แบบว่าก็อปเขามาอีกที

อ้างอิงจากกระทู้
//www.pantip.com/
cafe/wahkor/topic/X3358129/X3358129.html

1. วางฝ่ามือคว่ำลงบนกระดาษสีขาว กางมือออก
2. สร้างความสงบในจิตใจ ให้ผ่อนคลายจากอารมณ์ต่าง ๆ
3. หลับตา สร้างนิมิตว่าเรากำลังวางฝ่ามือลงบนกระดาษ รอบ ๆ ตัวมีออร่าสีขาวคลุมอยู่ทั้งหมด
4. ลืมตา เพ่งลงไปที่ฝ่ามือ สร้างนิมิตเป็นจุดสีขาวระหว่างนิ้วโป้งและนิ้วชี้ เพ่งสักพัก จะเห็นแสงสีขาวสว่างเรื่อ ๆ รอบ ๆ ฝ่ามือ
5. ค่อย ๆ เกิดแสงสีต่าง ๆ ขึ้นแทนที่แสงสีขาวนั้น ให้พยายามเพ่งดูว่ามีแสงสีอะไรบ้าง ออร่ามีลักษณะอย่างไร
6. ถ้าแสงเริ่มจางให้พักสายตาแล้ว เริ่ม (4) ใหม่
หมายเหตุ วิธีการนี้เป็นระดับที่ง่ายที่สุด และเป็นพื้นฐานของนักดูออร่าทุกคน ถ้าใครเห็นออร่าเป็นสีอะไรบอก จกขท. ด้วยนะครับ ผมคิดว่าน่าจะเห็นได้ทุกคน ผมขอมอบให้ทุกท่านในห้องเรื่องลึกลับ เป็นวิทยาทานสัก 1 วิธีครับ
ในการนี้ ผมขอความกรุณา คุณตาที่สามด้วยนะครับสำหรับวิธีการเห็นออร่าของทั้งร่างกายซึ่ง เป็นระดับที่สูงกว่ามาก

เมื่อชำนาญแล้วก็ฝึกขั้นต่อไป..

การมองออร่าที่ศีรษะคนจะต้องใช้วิธีการที่แตกต่างออกไปครับ และต้องเชี่ยวชาญการมองออร่าที่มือก่อน ขอเรียนว่าผมไม่ใช่คนงมงายแต่ถือว่าเป็นเรื่องวิทยาศาสตร์ทางจิตที่มีคนเคยศึกษากันมาก่อน และผมก็เป็นวิศวกรที่มีปริญญาหลายใบรับรองครับ ถือว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์เต็มตัวจริง ๆ วิธีการที่จะนำเสนอก็คือวิธีการที่ง่ายที่สุด นั่นคือ การเพ่งนิมิตสามเหลี่ยมสมบูรณ์ หมายถึง การกำหนดจุดที่จะต้องเพ่งสามจุดด้วยกัน เริ่มต้นจาก

1. เพ่งจุดขาวบนศีรษะอาสาสมัคร (อย่าเที่ยวไปดูใครที่เขาไม่อาสานะครับ อันตรายมาก และเขาจะหาว่าเราไม่มีมารยาท) สูงขึ้นไปหนึ่งคืบจากศีรษะ สักพัก
2. เลื่อนสายตา เพ่งจุดขาวบนไหล่อาสาสมัครสูงขึ้นไปหนึ่งคืบ (ไหล่ข้างขวาก่อน) สักพัก
3. เลื่อนสายตา เพ่งจุดขาวบนไหล่ซ้ายของอาสาสมัครสูงขึ้นไปหนึ่งคืบ สักพัก
4. เลื่อนสายตากลับมาเพ่งจุดขาวบนศีรษะอาสาสมัครสักพักจะเริ่มมองเห็นแสงสีขาวหุ้มรอบศีรษะอาสาสมัคร
5. แสงสีอื่นจะเริ่มปรากฏขึ้นแทนที่แสงสีขาวให้ท่านสังเกตุว่าแสงดังกล่าวมีลักษณะอย่างไรสีสันเป็นอย่างไรบ้าง
หมายเหตุ ข้อห้ามของวิธีการนี้คือ ห้ามดูคนอื่นที่เขาไม่อาสาหรือไม่ยินยอมเพราะจะเป็นการไร้มารยาทครับ หากทีเผลอก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าไปทำต่อหน้าก็จะเป็นการไม่สมควรอย่างยิ่งครับ

จากคุณ : Son of a Beach - [ 19 มี.ค. 48 22:44:57 ]

ใครเลยขั้นพื้นฐานแล้ว ก็ดูขั้นต่อไปต่อ..

วิธีดูคนทั้งตัว (สำหรับคนที่มีพลังจิตถึงขั้น) ให้ลืมตาเพ่งคนที่มายืนอยู่ตรงหน้าเรา ห่างประมาณ 1.5เมตร แล้วหลับตา กำหนดจิตว่า ตาที่สามที่อยู่ตรงหน้าผาก ได้เปิดขึ้น

ก็จะเห็น แสง ของกายทิพย์ ที่เป็นเงาตัวเรา และเห็นแสงเรืองเป็นสี สาดออกไป เหมือน เรา มองดูหลอดไฟ(กายทิพย์) และ แสงสว่างหลอดไฟที่สาดไปทั่วห้อง นั่น คือ รัศมีกายทิพย์ ที่มี นานา สี แล้วแต่ว่า จิตดีหรือ เลว

ถ้าจิตดี รัศมีกาย จะสวยสดใส ถ้าจิตเลว สีจะสกปรก เหมือนขี้โคลน ดังนั้นเวลาเรามองใคร เราก็รู้เลยว่า คนๆๆนั้นเป็นคนดี หรือคนเลว

และถ้าดู ลักษณะของ รัศมี เช่น ออกมาเป็นแบบขนเม่น แสดงว่าเป็นคนไม่ยอมใครเหมือนเม่นเวลาพองตัว หรือถ้าเป็นแถบแบบสายฟ้าแลบ แปลว่า ให้อยู่ห่างๆๆเราจะเจ็บตัว

หรือเป็นรูปเบ็ดงอ แปลว่า กำลังจะโกงเราเป็นต้น การเห็นลักษณะของออร่า ช่วยในการทำธุระกิจได้ เพราะ เราจะรู้ก่อนเลยว่า เขาจะโกงหรือมาไม้ไหนกับเรา และเขากำลังคิดอะไร กับเรา
แก้ไขเมื่อ 19 มี.ค. 48 04:53:57

จากคุณ : ตาที่สาม - [ 19 มี.ค. 48 04:51:24 ]

เพิ่มเติม




 

Create Date : 03 เมษายน 2548    
Last Update : 3 มิถุนายน 2548 8:54:19 น.
Counter : 2848 Pageviews.  

1  2  3  4  

suparatta
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




..วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร..
..ท่านนาคารชุนะ..
วิภาษวิธี..เกริ่นนำ..ตอนจบ..

๐ สมุดเยี่ยมและบ่นได้..
**ทางลัด**
๐ สารบัญทักทาย(ทั้งหมด)
๐ ชวนคุย&ฟังเพลงปี48(ทั้งหมด)
๐ นอนดูจันทร์..(ส่วนตัว)

**log in หน่อยน่า..



Google.co.th
Friends' blogs
[Add suparatta's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.