Das Gesicht eines Menschen erkennst du im Licht, seinen Charakter im Dunkeln.
Group Blog
 
All blogs
 

c2-Land เมื่ออัลกอฮอล์ครองเมือง

อยากจะมาเล่าโทษของการดื่มสุราให้ฟัง ดิฉันคิดว่าคงเกือบจะทุกคนที่กำลังอ่านอยู่นี้รู้อยู่เต็มอกว่า การเสพเครื่องดื่มของเมานั้นเป็นการผิดศีลห้าเพราะมันทำให้สติสำปะชัญญะไม่เข้าที่เข้าทางดังปรกติ
แต่บางคนอาจแย้งในใจว่า หลังเลิกงานหรือคืนวันหยุดสุดสัปดาห์กับการพบปะสังสรรค์กับเพื่อนฝูงถ้าไม่มีเหล้ามันก็ไม่สนุก
ความเห็นนี้ก็มีความจริงปนอยู่ ดิฉันไม่เถียงค่ะเพราะตัวดิฉันเองเวลาไปเที่ยวบาร์กับเพื่อน ถ้าไม่มีอัลกอฮอล์ คุยกันไม่ถึงชั่วโมงก็เริ่มเซ็งเพราะไม่รู้จะสรรค์หาเรื่องอะไรมาคุยดี ีเทียบกับเวลาหลังจากที่ดื่ม cocktail ไปสักพักไม่ได้ หัวข้อสนทนากับเพื่อนๆจะไหลทยอยมาเป็นชุดๆจนต้องเหลือบดูนาฬิกาบ่อยๆเพราะไม่อยากพลาดรถไฟคันสุดท้าย

ถ้าจะเอาหลักคำสอนในพระพุทธศาสนามาอ้าง ทุกอย่าง work ด้วยหลักสายกลาง
ดังนั้นดิฉันจึงคิดเป็นการส่วนตัวว่า การดื่มของมึนเมาถ้ารู้จักบันยะบันยังย่อมไม่บั่นทอนสุขภาพของร่างกาย


หลายๆคนถ้าได้ยินคำว่า"ประเทศเยอรมันหรือมิวนิค" คำว่า"เบียร์หรือOctoberfest" คงเป็นสิ่งที่นึกได้เป็นสิ่งแรก ที่จริงคนที่นี่เค้ามีวัฒนธรรมการดื่มเบียร์เหมือนคนญี่ปุ่นดื่มชาเขียวนั่นแหละค่ะ สมัยก่อนคนประเทศนี้เค้าก็เลี้ยงชีพด้วยการเกษตร ด้วยความที่สภาวะอากาศที่นี่เป็นเมืองหนาวการปลูกพืชผลทางการเกษตรเป็นไปได้เฉพาะฤดูร้อนเท่านั้น
แค่สองถึงสามเดือนในปีนึงที่อุณหภูมิสูงกว่า25องศา(ไม่รวมภาวะโลกร้อนนะ) แถมโดยกรรมพันธ์คนเยอรมันก็ถูกสร้างให้มาชินกับอากาศหนาว เวลาที่อากาศร้อนพวกเค้าจะเหงื่อออกเยอะกว่าคนเมืองร้อนอย่างเราๆท่านๆ สำหรับคนที่เคยขึ้นเครื่องบินจากเมืองไทยมาเที่ยวยุโรปแล้วเจอ Jackpot
ได้เพื่อนร่วมทางหัวทองแล้วคงจะนึกอออก ว่าฝรั่งเวลาเหงื่อออกแล้วเหม็นแค่ไหน
สมัยดิฉันมาอยู่ที่นี่ใหม่ๆ ก่อนออกจากบ้านเวลาหน้าร้อนต้องพกยาดมมาด้วยเวลาขึ้นรถ ไม่ใช่เพราะกลัวเมารถแต่กลัวจะหมดสติเวลากลางทางเพราะทนความเหม็นไม่ไหว

กลับมาเข้าเรื่องต่อ สำหรับคนที่นี่เบียร์จึงเป็นเครื่องดื่มที่เหมาะกับสภาพอากาศเพราะในฤดูร้อน วิตามินและเกลือแร่จะช่วยทดแทนส่วนที่เสียไปจากเหงื่อ ในฤดูหนาวการดื่มเบียร์จะช่วยสร้างความอบอุ่นให้กับร่างกายและสร้างพลังงาน(1g Alcohol=9 กิโลแคลอรี่) อาจารย์ที่โรงเรียนเคยเล่าให้ฟังว่า สมัยก่อนเด็กคนไหนร้องโยเย พ่อแม่จะเอา Schnulli

จุ่มเบียร์แล้วให้ยัดใส่ปากลูก แล้วเด็กโยเยก็จะหลับสบาย พ่อแม่ก็มีเวลาไปทำอย่างอื่น

ดิฉันฟังแล้วก็ยังอึ้งกิมกี่ไปเลยค่ะ

จะว่าไปแล้วกฎหมายที่นี่ก็ค่อนข้างจะแฟร์สำหรับเรื่องนี้ถ้าเทียบกับที่อเมริกา วัยรุ่นอายุตั้งแต่สิบหกปีสามารถซื้อเบียร์ตามร้านอาหาร, supermarket หรือ Biergartenได้ แต่เครื่องดื่มที่มีเปอร์เซนต์อัลกอฮอล์สูงอย่างพวกเหล้า วิสกี้หรือวอดก้าจะซื้อได้เมื่ออายุเกินสิบแปดปีเท่านั้น

คราวที่แล้วอ่านคอลัมน์ในนิตยาสารข่าวฉบับหนึ่งที่ทำโพลสอบถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผลออกมาว่าเด็กวัยรุ่นส่วนใหญ่ที่นี่ดื่มเครื่องอัลกอฮอล์ก่อนที่จะมี sex ครั้งแรก
ส่วนมากจะเริ่มจากการดื่ม"Alcopops,น้ำอัดลมผสมอัลกอฮอล์" แล้วก็จะไต่ระดับความแรงกับปริมาณไปเรื่อยๆ แล้วเรื่องมันมีอยู่ว่าตั้งแต่ปีที่แล้วมี trend ของ flatrate party มาจากอังกฤษ นั่นคือคุณไปเที่ยวในบาร์คุณจ่ายที่ counter เงินจำนวนหนึ่งสมมติว่ายี่สิบยูโร เมื่อจ่ายเงินแล้วคุณจะดื่มเท่าไหร่ก็ได้แล้วแต่จะปรารถนา ผลก็ออกมาว่า ตอนเช้าของวันหยุดสุดสัปดาห์จะเป็นช่วงเวลาหนึ่งที่วุ่นวายในหน่วยเหตุฉุกเฉิน (Notaufnahme)ของหลายๆโรงพยาบาลเพราะมีคนไข้ที่ถูกส่งนำตัวเข้าการรักษา
เนื่องจากดื่มมากเกินไปและเสี่ยงต่ออาการ shock เพราะอัลกอฮอล์เป็นพิษ?(Alkoholvergiftung)
บางคนถึงกับเป็นแขกประจำที่ถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาลบ่อยครั้งจนนับไม่ถ้วน

แพทย์ที่นี่จึงแนะนำคนไข้เหล่านี้ส่วนมากให้เลิกดื่มอัลกอฮอล์หรือที่เรียกในศัพย์พิเศษของโรงพยาบาลว่า C2-Entzug คนไข้จะเข้าพักรักษาตัวในโรงพยาบาลเป็นเวลาอย่างน้อยสองอาทิตย์ ช่วงระยะเวลานี้คนไข้จะได้รับยาที่ช่วยชดเชยความต้องการของอัลกอฮอล์ของร่างกาย อาจจะยากที่เข้าใจสักหน่อยสำหรับคนที่ไม่ใช่คนแวดวงเดียวกันกับดิฉัน
ขออธิบายละกัน แบบย่อๆ
หากคนไหนดื่มเหล้าทุกวัน ร่างกายก็จะปรับตัวให้ชินกับระดับของอัลกอฮอล์ในเลือด วันไหนไม่ได้ดื่มร่างกายก็จะเรียกร้อง Alcohol kick มีอาการสั่น(tremor) หัวใจเต้นแรง (Tachykardie) ม่านตาขยายกว้าง คลื่นไส้ ไม่อยากกินข้าว ภาวะจิตใจถ้าไม่ depressive ก็aggressive (ที่เจอมาส่วนมากจะอย่างหลัง)
เพื่อช่วยฟื้นฟูอาการเหล่านี้คนไข้ก็จะได้รับยากลุ่ม Clomethiazol หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ Distraneurin หรือ Distra

วันนี้ก็มีคนไข้คนหนึ่งถูกส่งมารักษาที่ ward อายุอานามก็ไม่ต่างจากดิฉันไปเท่าไหร่นัก ทุกครั้งที่ดิฉันเดินเข้าไปในห้อง พอเค้าเห็นหน้่าดิฉันก็จะถามทันที "พยาบาล Distra?" ดิฉันก็พยายามอธิบายว่า เค้าเพิ่งได้รับยาเมื่อไม่ถึงชั่วโมงมานี้จะจ่ายให้อีกอันเป็นอันตรายต่อระบบหายใจ ระบบไหลเวียนโลหิตและ blah blah blah คนไข้บอกว่าเค้าทนไม่ไหวต่ออาการ "เสี้ยนยา?" ดิฉันเลยถามว่า "ปรกติคุณดื่มวันละเท่าไหร่" เค้าบอกมาว่า "ว้อดก้าวันละสองขวด"!!!!
จากนั้นเข้าก็ถามหาDistra ดิฉันก็บอกว่า "ต้องไปปรึกษากับหมอเวรก่อน แล้วดิฉันไม่ได้ชื่อ Distra นะ" เอ้อ.. ชื่อไทยเพราะๆที่พ่อแม่ดิฉันตั้งให้มาไม่ยอมเรียก จะมาเปลี่ยนชื่อให้อีกนี่มันน่า...ไหมล่ะคุณ




 

Create Date : 16 กันยายน 2550    
Last Update : 19 กันยายน 2550 15:22:40 น.
Counter : 432 Pageviews.  

หมอฟัน Kieferchirurg

คงมีหลายๆคนที่กำลังอ่าน blog อยู่นี่ที่กลัวหมอฟันหรือไม่ชอบไปหาหมอฟัน
ดิฉันก็เป็นหนึ่งในนั้นแหละค่ะ เมื่อก่อนตอนสมัยที่ยังอาศัยอยู่กับครอบครัวคนเยอรมันที่นี่ ส่วนด้านหน้าของบ้านเค้าเปิดเป็นคลินิคหมอฟัน หลังเลิกเรียนบางวันเค้าก็ยังเปิดบริการอยู่ เวลาเดินผ่านแล้วได้ยินเสียงกรอฟันแล้วขนหัวลุกเกรียวยิ่งกว่าเจอผีอีกค่ะ brrrr....รู้สึกยังกะมีใครเอาเครื่องมือช่างมาเจาะกรอในกราม

เมื่อสามเดือนที่แล้วดิฉันมีปัญหาเรื่องเหงือกอักเสบตรงบริเวณที่ฟันคุดงอก ทำยังไงก็ไม่หายสักทีเลยไป search ในเน็ตดูแล้วก็เจอข้อมูลที่น่าสนใจว่า ปัญหาเหงือกอักเสบธรรมดาหากทิ้งละเลยไว้อาจจะก่อให้เกิดโรค Periodontosis ได้
เวรกรรม..เอาเข้าแล้วสิ คราวนี้ดิฉันจึงจำเป็นต้องไปหาหมอฟันที่เปิดคลินิคอยู่ใกล้บ้าน
หลังจากที่โทรไปหมอก็บอกให้มาพบในวันรุ่งขึ้นเพราะอาจเป็นเหตุเร่งด่วน(Notfall)เพราะการอักเสบเรื้อรังใน
ช่องปากอาจจะเสี่ยงต่อ Myokarditis หรือการอักเสบของกล้ามเนื้อหัวใจได้ (ไม่รู้โยงไปได้ไงไกลนัก) หลังจากที่หมอฉาย X-Ray ออกมาแล้วก็พบว่าสาเหตุของเหงือกอักเสบเป็นเนื่องมาจากฟันคุดจริงๆและลักษณะที่ฟันคุดงอกหมอฟันธรรมดา
ไม่สามารถผ่าถอนออกได้ เค้าเลยจะทำเรื่องส่งไปให้หมออีกคนหนึ่งที่เชี่ยวชาญด้านนี้ซึ่งเป็น Kieferchirurg หรือ Oral surgeon
หนึ่งอาทิตย์หลังจากนั้นดิฉันก็ได้นัดผ่าฟันจากท่านหมอ Kieferchirurg

แต่ก่อนวันผ่าตัดดิฉันก็ได้ทำความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงด้วยการไปถามเพื่อนๆที่โรงเรียนที่ผ่านประสบการณ์
์นี้มาแล้วว่ามันเป็นอย่างไร
เสียงตอบมามีแต่แนวลบอย่างเช่น
"mai..มันเป็นอะไรที่เจ็บปวดมาก ถึงแม้ฉันจะทานยา Dormicum(ยาที่ช่วยระงับความกลัวของผู้ป่วยก่อนผ่าตัด:Prämedikation หลังจากกินยานี้แล้วจะรู้สึกเหมือนเมาหัวราน้ำ จำความไม่ได้)ก่อน OP แต่มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ฉันยังจำได้ทุกอย่างทุกขั้นตอน แถมตอนที่หมอพยายามจะดึงฟันออก ฟันซี่เจ้ากรรมดันมาหักอีก หมอเลยต้องแคะ เขี่ยอยู่นานกว่าจะเสร็จ"
เพื่อนอีกคนหนึ่งเข้ามาสมทบว่า
"ใช่ๆ หลังจากที่ยาชาหมดฤทธ์ความเจ็บปวดจะเพิ่มเป็นทวีคูณ เลือดไหลไม่หยุดไปเป็นวัน กรามจะบวมป่องน่าเกลียด กินอะไรก็ไม่ได้ไปเป็นอาทิตย์"
ท้ายสุดความคิดเห็นนี้เจ๋๋๋งมาก
"ถ้าฉันต้องผ่าฟันคุดอีกทีฉันจะให้หมอวางยาสลบ"

แล้วความคิดนี้ก็ตามมาหลอกหลอนตอนที่ดิฉันนอนรอให้ยาชาออกฤทธ์ในคลินิคหมอวันนั้น หัวใจสั่นเต้นแรงเหงื่อออกพลั่กเต็มไปหมด ก่อนลงมือผ่าตัดหมอคงสังเกตุเห็นความกลัวเลยถามว่า "มี mp3 ไหม จะเอามาฟังระหว่างผ่าตัดก็ได้นะ"
โชคดีค่ะที่วันนั้นดิฉันพก ipod ไป แต่มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรได้มากนักเพราะเสียงเครื่องมือหมอดังสนั่นไปหมด

ใครที่เคยนอนเก้าอี้หมอฟันนานๆก็จะคงรู้สึกเหมือน"อยู่บนเขียง" ไม่รู้จะหลับตาหรือว่าลืมตาดี ดิฉันตอนนั้นไม่รู้จะจ้องดูอะไรดีค่ะก็มีแต่เพดานสีขาวกับตาสีฟ้าเหมือนน้ำทะเลของหมอ
ตอนเริ่ม OP ก็พอทนได้อยู่หรอกค่ะ แต่ตอนถึงฟันซี่ปัญหาที่หมอต้อง"เลื่อย"ออกเป็นสองส่วนก่อนถึงจะดึงด้วยมือหนึ่งสุดกำลัง
และอีกมือหนึ่งก็กดหน้าผากดิฉันอย่างสุดแรงจนต้องร้องโอ้ยออกมา (ก็หมอไม่ได้ฉีดยาชาที่หน้าผากนี่)


ก่อนจะเย็บหมอก็ถามว่าต้องการ AU= Arbeitsunfaehigkeitsbescheinigung(ใบที่ต้องไปยื่นที่ทำงานหลังจากการลาป่วยอย่างน้อยสามวัน)ไหม
ไหม ตอนนั้นปากดิฉันก็บวมไปหมดเพราะฤทธ์ของยาชา กำลังจะตั้งใจตอบหมอก็พูดตัดทันทีว่า
"ตอนนี้อย่าเพิ่งพูด หมอต้องเย็บแผลก่อน" เอ้า! แล้วจะถามทำไมเนี่ย


วันถัดไปกรามของดิฉันก็บวมจริงๆอย่างที่เพื่อนเล่าให้ฟังเหมือนยังกะคนเป็นโรคคางทูมหรือจะเปรียบให้น่ารัก
ก็เหมือนหนูแฮมสเตอร์ ่ด้วยความที่กลัวจะตามเพื่อนที่โรงเรียนไม่ทันเลยตัดสินใจไปเรียนหลังจากการลาป่วยแค่สองวัน ตอนขึ้นรถไฟมีแต่คนมองแปลกๆพร้อมกับทำหน้าครุ่นคิด สงสัยเค้าจะคิดว่าดิฉันนำโรคคางทูมจากอาเซียมาแพร่ระบาดที่มิวนิคนี่แน่ๆ




 

Create Date : 14 กันยายน 2550    
Last Update : 14 กันยายน 2550 0:32:42 น.
Counter : 713 Pageviews.  

ข่าวด่วน ข่าวเด็ด Breaking news Bayern 3

สวัสดีค่าชาว BlogGang!

มาอยู่ต่างบ้านต่างเมืองตั้งนาน ก็มีบางคร้งบางคราที่เจอกับเรี่องขำขันที่อยากจะเล่าให้เพื่อนๆชาว BlogGang ฟังบ้าง หลังจากที่เพื่อนเยอรมันขำจนตกโต๊ะกาแฟไปหลายรายแล้ว(ที่จริงเก็บเอาไว้หากินตั้งนาน)
Also...auf geht's

คนเยอรมันนี่ขึ้นชื่อลือชามากกับการรักธรรมชาติ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมออกเพิ่มขึ้นทุกปีเหมือนรอยตีนกาของนายกหญิง Frau Merkel ที่จะสังเกตุได้ทุกครั้งที่เธอปรากฎโฉมทางโทรทัศน์

ปรกติในข่าวทางวิทยุช่วงสุดท้ายจะมีการประกาศความเคลื่อนไหวบนท้องถนน เพราะที่ Munich นี่ โดยเฉพาะช่วง rush hour รถก็จะติดเหมือนที่กรุงเทพบ้านเรานั่นแหละ
แต่สภาพการจราจรจะแย่มากขึ้นหากมีปรากฎการณ์พิเศษเช่น อุบ้ติเหตุ การดักจับผู้ที่ขับขี่เร็วกว่ากำหนด หรือว่าสิ่งกืดขวางบนท้องถนน

ช่วงตอนเวลา 5 โมงเย็นประกาศโฆษกสาวด้วยสำเนียงไบร์ริช [bayerisch]ว่า ถึงท่านผู้ที่กำลังขับขี่อยู่บนทางด่วนสาย A388 ที่จะออกไปเมือง Regensburg โปรดใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษเพราะมีครอบคร้วเป็ดกำลังเดินข้ามถนน และทางเจ้าหน้าที่กำลังติดต่อกับพนักงานดับเพลิง[Feuerwehr,ที่ต้องทำทุกอย่างเมื่อเกิดเหตุด่วน] ให้ช่วยสมาชิกครอบเป็ดให้พ้นจากอันตรายจากการถูกเหยียบ

15 นาทีหลังจากนั้น เธอก็ประกาศข่าวด่วนอีกครังว่า จากรายงานที่ได้รับจากพนักงานดับเพลิง การกู้ภัยเป็นไปอย่างยากลำบาก ทางเจ้าหน้าท่ีจำเป็นต้องทำการปิดถนนสาย A388 ผู้ที่กำลังจะตรงไปเส้นทางนี้ให้อ้อมไปใช้เส้นทางอื่น

ทีกับเรื่องอย่างนี้ไม่เห็นมีใครโทรไปด่าศูนย์กู้ภ้ยเลยถ้าเปรียบกับเวลาเขาปิดถนนบางเส้นหน้าหนาว
เพราะหิมะที่ตกหนักและเจ้าหน้าที่กวาดหิมะไม่ทันและถนนลื่นเกินไป อาจเป็นต้นเหตุของอุบัติเหตุได้

Ja mai, wenn ein Auto kaputt ist, zahlt die Versicherung, aber eine Waldente hat doch gar keine Versicherung!

นั่นคือคำบอกเล่าของผู้ฟังทางบ้านที่อยากแสดงความคิดเห็น
แปลก็จะความว่า ถ้าหากรถเสีย เวลาซ่อมจ่ายประกันค่าเสียหายแต่เป็ดไม่มีประกัน

ก็แล้วใครอยากจะทำประกันกับเป็ดล่ะคะ





 

Create Date : 02 กันยายน 2550    
Last Update : 2 กันยายน 2550 23:34:21 น.
Counter : 556 Pageviews.  

1  2  3  

schornstein
Location :
Berlin Germany

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Es gibt keinen Weg zum Glück. Das Glück selbst ist der Weg!
Friends' blogs
[Add schornstein's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.