|
โรคเก่ายังไม่ทันหาย โรคใหม่ก็เข้ามาแทรก
เมื่ออาทิตย์ก่อนๆ เราจะรู้สึกปวดหัวตุบๆ คิดว่าเพราะมันร้าวมาจาก คอ โรคที่จากรถชน มันก็จะเป้นบางทีไปปวดคอ ปวดหัวได้ เพราะว่ามันต่อเนื่องกัน
อาทิตย์ก่อนอีกเช่นกัน เราก็อัดเสียงอ่าน พอเขาเอาไฟล์เสียงขึ้นเวบ เราก็ไปฟังๆดู ก็รู้สึกว่า เอ๊ะ ทำไมเสียงเรามันบี้ๆ แปลกๆ คือปกติก็เป็นคนเสียงขึ้นจมูกอยู่แล้วนะ แต่คราวนี้มันบี้มากๆ เหมือนคนคัดจมูกอะ
วันอาทิตย์ไปเดินเที่ยวในห้าง ก็ปวดมากเลย สงสัยว่าจะเดินมากไป พอมาวันธรรมดาๆ ก็มีมากขึ้น แล้วก็เริ่มๆปวดหัวคิ้ว ปวดจมูกด้วย
เราก็เสิร์ชๆตามฟอร์ม เดาว่าไม่เป็นไมเกรน ก็ไซนัสอักเสบ แบบเราไม่มีน้ำมูกมาก แต่มีเสลดๆเคลือบๆในคอ (หากกินข้าวอยู่แล้วมาอ่านก็ขออภัย) แล้วรุจมูกข้างนึงมันก็รู้สึกจะตันๆ และปวดมากๆเลยอะ
เมื่อวานก้พยายามนัดหมอ โทรไปรพ.ในเนทเวิร์คทั้งสองสาขา ก็ปรากฏว่าคิวเต็มหมด หมอประจำของเราก็คิวเต็มถึงยี่สิบเก้าสิงหา อะไรจะยุ่งขนาดนี้ เราก็เซ็งมาก ตอนหลังเลยโทรไปสาขาที่สาม ก็ได้นัดหมอซะที น้องที่รู้จักกันที่เรียนหมอบอกว่า หนูเจอคนมา มีพี่นี่แหละที่เข้าถึงหมอได้ยาก คือป่วยทีกว่าจะได้รักษา กว่าจะได้เจอหมอ มันยากผิดปกติน่อ
ไปหาหมอวันนี้ หมอก็บอกว่าเป็นไซนัส เลยให้ยามากิน กลัวมาก เพราะกลัวว่าถ้ามันเป็นไซนัสจากเชื้อรา แล้วเดี๋ยวมันขึ้นสมอง แงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง
แฟนบอกว่าคิดมาก เดี๋ยวก็หาย เบื่อจังเลยน่อ ไปยิมก็ไม่ได้ อ่านหนังสือก็ไม่ได้อ่านเท่าไร จะได้เรียนมั้ยเนี่ย
คุยกับแม่ แม่ก็บอกว่า เพราะว่าดูแลตัวเองไม่ดีพอ ให้ไปซื้ออุปกรณ์มากินน้ำผัก น้ำแครอท ให้กินนมอุ่นทุกวันก่อนนอน ประมาณว่าตอนเด็กๆเราก็ป่วยบ่อย แต่กินยังงี้แล้วมันแข็งแรง แม่ก็เลยคิดว่าต้องให้กลับไปกินแบบตอนเด็กๆอีก
แต่ช่วงนี้ร่างกายเราก็ healthy (ไม่นับโรครถชน) เพราะว่าไปยิมสม่ำเสมอมาเกือบเดือนแล้วนะ ทำไมมันมาป่วยน่อ แสดงว่าเป็นอนัตตา บังคับไม่ได้ของแท้

Create Date : 18 สิงหาคม 2550 | | |
Last Update : 18 สิงหาคม 2550 12:06:13 น. |
Counter : 447 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
รูปทรงฉมฉ่วน แคล่วคล่อง ว่องไว
ฝึกกายบริหาร ทุกวัน ร่างกายแข็งแหร่ง ฝึกกายบริหาร ทุกวัน ร่างกายแข็งแหร่ง
เพลงนี้ใครๆก็น่าจะเคยร้อง ตอนออกกำลังกายหน้าเสาธง (เราร้องตอนอนุบาลน่ะ) เป็นความจริง จริงๆเลยนะที่ว่า ฝึกกายบริหาร ทุกๆวัน แล้วร่างกายจะแข็งแรง
เมื่อก่อนเราเป็นนักกีฬาอึดถึก รูปร่างเรามีกล้ามขึ้นง่ายมาก (เป็นพวก mesomorph) เป็นพวกกระดูกใหญ่ ดูผอมแต่น้ำหนักมากเพราะหนักกระดูก แต่ว่ารูปร่างแบบนี้ ถ้าอ้วนก็จะน่าเกลียดมากเลย และ gain fat ได้ง่ายกว่ารูปร่างประเภทอื่นๆ
สมัยเรียนเราก็ไม่ใช่คนอ้วน แม้จะกินเยอะ เยอะจริงๆ (ตอนนี้ก็ยังกินเยอะอยู่) สมัยเรียนป.โท เราอยู่ลอนดอน ก็กินเยอะ แต่ก็เดินเยอะ เพราะเมืองมันน่าเดิน น้ำหนักขึ้นมาโลกว่าๆเท่านั้นเอง จนกระทั่ง...ต้องย้ายตามสามีมาที่อเมริกา ในเมืองที่อากาศไม่ดีเลยจริงๆ เราก็ไม่ค่อยได้ออกไปไหน อยู่แต่บ้าน นอน กลิ้งเกลือก ทำให้ระบบ metabolism รวนเร ไปตรวจพบว่าเราเป็น hypothyroid แบบที่มันเป็นยีนส์ แต่ตอนแรกมันไม่ออกอาการ hypothyroid นี่คือ metabolism ต่ำ ทำให้อ้วน แม้ว่าจะกินไม่เยอะก็จะอ้วน (แถมนี่ เรากินใช่ว่าจะน้อย...)
ช่วงปีต่อมา เราก็ออกกำลังอย่างหนัก หนักจริงๆ แต่ไม่ได้จำกัดอาหาร ก็เลยทำให้คุมน้ำหนักให้คงที่ได้ (ออกกำลังขนาดตอนนั้น จริงๆควรจะผอมลง น้ำหนักลดด้วยซ้ำ) และทำให้ maintain hormone level ได้ ไม่ต้องพึ่งยาไทรอยด์มาก
สองสามปีต่อมา ย้ายมาอีกเมืองหนึ่ง(ปัจจุบัน) เราออกกำลังกายน้อยมากๆ (ไม่ได้ออกกำลังก็ว่าได้) น้ำหนักก็พุ่งพรวด พรวด พรวดดดดด จนตอนนี้ เราหนักเท่าเพื่อนที่ท้องหกเดือน ติ้ววววว
หลังจากรถชน ไปทำกายภาพบำบัด เราก็สำเหนียกเสียทีว่า เราควรจะต้องทำให้ร่างกายแข็งแรงกว่านี้อย่างจริงจัง และลดหน้าท้อง จริงๆแล้ว เมื่อคอและหลังเราบาดเจ็บ วิธีการรักษาคือจะต้องให้กล้ามเนื้อส่วนอื่นๆมาทำหน้าที่ช่วยแบ่งเบาภาระ ของกระดูกสันหลังส่วนคอและหลัง (ถ้าไม่ผ่าตัด)
กล้ามเนื้อสว่นนั้นคือ ไตรเสบ ไบเสบ และส่วนสะบัก ที่จะช่วยคอ เป็นเรื่องที่เราไม่เคยรู้มาก่อนเลยนะนี่ กล้ามเนื้อหน้าท้อง(ไม่ใช่ส่วนsix packนะ)แต่เป็นหน้าท้องตรงสะดือ กับ สะโพก และก้น จะช่วยกระดูกหลัง อันนี้ยังพอนึกภาพออกว่าจะช่วยยังไง
เอมี่ ที่เป็นนักกายภาพ ก็ช่วยจัดโปรแกรมให้ ก็จะมีท่าออกกำลังต่างๆ (ไว้จะแสกนมาให้ดู) และนอกจากนี้ ตัวเราเองก็ต้องมีวินัยที่จะออกกำลังโดยรวมให้ร่างกายแข็งแรง ไม่อย่างนั้นจะหายช้ามากๆๆ
เราก็ไปว่ายน้ำ โดยที่ว่ายไปก็ต้องยืดกล้ามเนื้อไปด้วย เรายังวิ่งไม่ได้เพราะกระเทือนมาก ดังนั้นก็ต้องใช้ eliptical แทน จักรยานยังไม่ควรขี่ เพราะการขี่ก็ต้องใช้การนั่ง การนั่งจะไม่ดีต่อคอและหลังเท่าไร (แต่เมื่อวานเราก็ขี่จักรยานแหละ แต่ขี่แวบเดียว ซึ่งไม่ดีเลย เพราะวันนี้ก็ทำให้เจ็บหลังนิดๆ)
ถ้าเรารักษาร่างกายให้แข็งแรงมาเรื่อยๆ ตอนทีรถชน อาจจะอาการไม่หนักเท่านี้ ปีหน้าเราวางแผนจะเข้าโรงเรียน เราก็ต้องรักษาร่างกายให้แข็งแรง จะได้ทำงานได้หลายชั่วโมง และอ่านหนังสือดึกๆได้
ตอนนี้เราก็ออกกำลังกายแบบเบาๆมาเกือบสองเดือนแล้ว และก็อาทิตย์ที่ผ่านมาเริ่มออกแบบจริงจังขึ้น ต้องสู้ต่อไป

Create Date : 04 สิงหาคม 2550 | | |
Last Update : 4 สิงหาคม 2550 9:58:27 น. |
Counter : 308 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
วันที่ชีวิตเปลี่ยน...
ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค. ชีวิตเราก็เปลี่ยนไป... (พูดเหมือนคนจะมีลูกมั้ยคะ? )
ที่เปลี่ยนไปก็เพราะว่า เราประสบอุบัติเหตุรถชน(ไม่มาก) ทำให้ร่างกายเปลี่ยนแปลงไปเลยล่ะค่ะ

วันนั้น บริษัทส่งเรากับเพื่อนร่วมงานไปtrain เรื่องสินค้าตัวใหม่ ก็เลยcarpool ไปกับเพื่อน ขากลับก็นั่งรถกลับมา เพื่อจะไปเอารถของเราที่จอดอยู่ที่บ้านเพื่อน
ตอนที่รถชนนั้น รถของเพื่อนกำลังจะ merge เข้ากับถนนหลัก รถที่ตามหลังมาเขาก็หันไปมองถนนหลัก ไม่ได้มองข้างหน้า เขาก็คิดว่า รถเพื่อนขับออกไปแล้ว เขาก็เหยียบเต็มที่เลย
ผลคือ...มาชนกับท้ายรถของเพื่อนเข้าอย่างจัง ความเร็วของรถก็ไม่มากหรอกค่ะ ประมาณ 30mile/hr แต่เราน่ะ หัวกระแทก คือ เมื่อรถชนท้าย แรงจะทำให้รถเคลื่อนไปข้างหน้า แต่ตัวเราก็อยู่กับที่ มันก็เลยเหมือนหัวกับคอ ถูกดึงกระชากไปข้างหลัง
หัวเราไม่ได้ติดกับพนักรองศีรษะ ก็เลยรุ้สึกเหมือนหัวฟาดกับพนักอย่างแรง (แรงจริงๆ คือเรามึนตื้อไปเลย) เรียกว่า Whiplash
จุดนี้สำคัญมาก หากใครนั่งรถ อย่าให้หัวออกห่างจากพนักรองเกิน 2.5 นิ้วนะคะ
ระหว่างนั้นก็ลงมาเจรจา เคลียร์ แลกเปลี่ยนข้อมูลเรื่องประกันรถ เพื่อนเราบอกว่า จะเรียกตำรวจดีมั้ย จะได้มีหลักฐาน แต่อีกฝ่ายนึง เขาเป็นคนดำ อายุประมาณยี่สิบกว่าๆเท่านั้นเอง และก็ดูคงไม่มีเงินมากเท่าไร ถ้าเรียกตำรวจ คนที่ชนก็จะต้องเสียค่าปรับประมาณ $500 และต้องไปลงเรียนขับรถ(เป็นวิธีการลงโทษของที่นี่)
อย่ากระนั้นเลย ก็ตกลงกันเองได้แล้วก็แล้วไป
ตอนเย็น เราก็มีอาการปวดหัว คลื่นไส้ ด้วยความที่วิตกจริตอยู่แล้ว ก็คิดไปต่างๆนานาว่า จะเลือดคั่งในสมองมั้ยนะ จะตายมั้ย ยังไม่ได้ตอบแทนพ่อแม่เลย ยังมีอะไรมากมายที่ยังไม่ได้ทำ ยังทำไม่สำเร็จ ตายไปจะไปอบายหรือเปล่า etc... _ _ _
หลังจากนั้นสองสามวัน อาการก็ดีขึ้น หายปวดหัว แต่เริ่มมาปวดคอ ปวดหลัง แขนซ้าย ขาซ้าย อ่อนแรง มีอาการปวดแขนขาตามมา ลักษณะเหมือนเวลาเราโดนเข็มฉีดยา แล้วของเหลวถูกแรงดันเข้าไปใต้ผิวของเรา ก็จะปวดๆ ก้จะรู้สึกปวดอย่างนั้น เป็นแนวริมขอบแขนและขา บางครั้งยืนเฉยๆไม่ได้ทำอะไร หรือเดินธรรมดาๆ ก็เป็นเหน็บขึ้นมา
ช่วงนั้นเราไม่อยากนอนเลย เพราะการนอนก็ทรมาณ ทำให้รู้สึกว่า สังขารก็ทุกข์นะ อิริยาบถแต่ละอันก็ไม่ได้ทำให้เราสุขได้ ไม่มีอะไรสุขถาวรทุกข์ถาวร บังคับไม่ได้
เราก็หาข้อมูลตามอินเตอร์เนท อ่านแล้วตรงกับโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท เราไปหาหมอของเราเอง หมอบอกว่าเป็นอย่างนั้นแหละ เลยให้ยามาเป็นเสตียรอยด์ แก้อาการอักเสบของหมอนรองที่บวมออกมาโดนเส้นประสาท และก็ให้ไปกายภาพบำบัด
แต่บริษัทนายจ้างบอกว่า นี่เป็นอุบัติเหตุในหน้าที่ ก็จะให้เราไปรักษากับหมอของเขา เราก็เลยย้ายไปรักษากับหมอใหม่ที่เป็นหมอเฉพาะทาง เขาก็ไม่คิดว่าเราเป็นโรคนี้ แต่ให้ตรวจร่างกายหลายอย่าง และทำ Nerve Conduction/EMG ออกมาว่าเส้นประสาทปกติ
ด้วยความว้าวุ่นใจว่า ตกลงเราเป็นอะไรกันแน่ ก็เลยลองถามๆหมอคนไทยที่รู้จักกันบ้าง ถามหมอในเวบบอร์ดของไทยบ้าง คุณหมอท่านนึงบอกว่า เป็น faucet syndrome ที่เกิดจาก Whiplash Injury
แต่ว่า ไม่ว่าจะเป็น หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทคอ/หลัง หรือจะเป็น faucet syndrome เราก็ต้องรักษาเป็นหลายๆเดือน หรือเป็นปี โดยการกินยา ทำกายภาพบำบัด และหมั่นออกกำลังกายให้แข็งแรง ดูแลตัวเองให้ดี จัดการท่าทางบุคลิกให้ถูกต้องในการ ยืน เดิน นั่ง นอน ทำกิจกรรมต่างๆก็ต้องระมัดระวัง
อย่างน้อยถ้ายังไม่หาย ก็อย่าให้เป็นมากขึ้นถึงกับต้องผ่าตัด ผ่าตัดหลังเราไม่กลัวเท่าผ่าตัดคอตรงส่วนคอนะคะ
แล้วจะเขียนเล่าตอนต่อไปนะคะ เกี่ยวกับเรื่องการดูแลตัวเอง สำหรับเรื่องโรคกระดูกสันหลัง โดยอ้างอิงข้อมูลจากแหล่งต่างๆที่ได้อ่าน และจากบุคคลต่างๆที่สอนเรา(หมอของเรา นักกายภาพบำบัด และญาติที่เป็นโรคทางนี้)
Create Date : 24 มิถุนายน 2550 | | |
Last Update : 24 มิถุนายน 2550 2:14:00 น. |
Counter : 347 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|
Location :
[Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]

|
Although I am an architect by trainning, I consider myself as a designer focusing on educational aspects and had joined many organizations and programmes.
My interests in education has been supported by my family. I hope to use my design ability to enhance the learning experience of people especially children.
|
|
|
|
|
|
|