spooky161
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add spooky161's blog to your web]
Links
 

 

ตอน 2:สามสาวบ้าตะลุยบาหลี Bali(21/06/2005)

9 โมงเช้าเราก็กลับมาถึงฝั่ง นี่คือ Lovina Beach ที่ขึ้นชื่อว่าทรายเป็นสีดำ ก็ดำจริงๆแหละ



พอ 10 โมง คนขับรถที่ติดต่อไว้ก็มารับ เราตกลงกะเค้าว่าจะเช่าเหมาทั้งวันเป็นเวลา 3 วัน (หนุ่มกว่าที่คิด ตอนหลังมารู้ว่าอายุพอๆกัน) ตกวันละสามแสนรูเปียห์ (ก็ประมาณ 1300 บาทรวมค่าน้ำมันและค่าที่จอดรถแล้ว) โดยเราจะบอกเค้าไว้ก่อนว่าวันนี้เราอยากไปไหนบ้าง คือตกลงเรื่องเส้นทางและสถานที่ท่องเที่ยวกันก่อน คนขับคนนี้ภาษาอังกฤษดีมาก เค้าบอกว่าตอนนี้เค้าทำโทด้านภาษาอังกฤษอยู่ เจอคนนี้เล่นทำเอาพวกเราเสียความมั่นใจเรื่องภาษาไปเลย

ที่แรกที่เราแวะก็คือน้ำตก Gitgit



ต่อมาเราก็มาที่วัด Ulun Danu Bratan อยู่บนทะเลสาบ Bratan อากาศดีแถมสวยมากๆ ที่ติดใจคือสตรอเบอรี่กล่องละ 20 บาท ลูกเบ้อเริ่มแถมหวานอีกต่างหาก



อีกมุมนึง



เที่ยงๆเราก็มานั่งกินบุฟเฟต์ที่ร้านที่มีวิวนาข้าวให้ดู



แล้วก็ไป Royal Family Temple เป็นที่ต่อไป ที่บาหลีนี่สถานที่แต่ละแห่งขับรถไม่ไกลจากกันเท่าไหร่ แล้วที่นี่ก็เป็นเกาะเล็กๆขับรถเที่ยวแค่ไม่กี่วันก็ทั่วแล้ว



อีกมุมนึง



จากนั้นก็ไป Tanah Lot สวยมากๆ เป็นวัดที่ตั้งอยู่บนทะเล เวลาน้ำลงก็สามารถเดินเข้าไปได้ โชคดีวันที่พวกเราไปน้ำลงพอดี



อีกมุมนึง



ร้านขายภาพศิลปะในบริเวณนั้น



ตกกลางคืนพวกเราก็ไปชม Kecak Dance กัน จริงๆมันก็คือเรื่องพระรามนั่นแหละ แต่เราดูแล้วไม่ค่อยเข้าใจต้องให้เพื่อนอีกคนอธิบายให้ฟัง (ไอ้นี่มันเป็นเจ้าแม่ประวัติศาสตร์)



คืนนั้นเราก็มานอนกันที่ Ubud เมืองแห่งวัฒนธรรม



เช้าวันที่ 5 ของการเดินทาง วันนี้เราตื่นแต่เช้า (อีกแล้ว) เพื่อมาเดินเล่นที่ Ubud เดินไปได้ไม่ถึงไหนเลยก็เจอตลาดซะก่อนแล้วก็หมดเวลาไปกับการชอปปิ้ง

พอ 10 โมง พี่คนขับเจ้าเก่าก็มารับวันนี้เราจะต้องไปกันอีกหลายที่ ที่แรก Goa Gajah คนที่นั่นเค้าเรียกว่าถ้ำช้าง



แล้วเราก็ไปที่ Holy Water Spring Temple กัน เป็นบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่คนเค้าใช้อาบกัน



แล้วเราก็เดินทางมาที่ Kintamanee ซึ่งจะมีภูเขาไฟบาตูร์ กับทะเลสาบ พอมาถึงที่นี่เราก็แวะไปที่วัด Ulun Danu Batur กันก่อนเลย ที่นี่พวกเราดันเสียค่าโง่เป็นค่าเช่าโสร่งในราคา100 บาท เจ็บใจจริงๆ



ตอนขาออกจากวัดเราเห็นฝรั่งคู่นึงเค้าลงจากรถแล้วเค้าก็รีบเอาโสร่งมานุ่ง ชาวบ้านที่จะวิ่งมาให้เช่าโสร่งก็ทำท่าบอกว่าไม่ได้โสร่งที่ฝรั่งใช้มันสั้นเกินไป ฝรั่งก็ชี้ไปที่ป้ายที่แปะไว้ คือป้ายมันบอกแค่ให้นุ่งโสร่งแต่ไม่ได้บอกว่าต้องสั้นหรือยาว พวกชาวบ้านก็เลยจ๋อยไป แล้วพวกเอเชียตาดำๆอย่างเราสามคนก็ได้เรียนรู้ว่าพวกพี่ๆแน่มากค่ะ ไว้วันหลังพวกหนูขอจำไปใช้บ้างนะคะ



ทะเลสาบ Batur



ภูเขาไฟ Batur



ก่อนจะไปเที่ยวคราวนี้ พี่ๆที่ออฟฟิศสั่งนักสั่งหนาว่าสละที่นั่นอร่อย ลูกดำๆโตๆ แต่พอพวกเราไปกินไม่เห็นอร่อยเลยแข็งก็แข็งฝาดก็ฝาด ก็เลยได้แต่เก็บรูปมาแต่ไม่ซื้อ (อดไปนะพี่)



แล้วที่ต่อไปพวกเราก็เริ่มฉลาดขึ้นมาบ้าง ที่Besakih Temple พวกเราก็รีบหาซื้อโสร่งมาใส่กัน



ทีนี้เคยอ่านเจอที่นักท่องเที่ยวคนอื่นๆเค้าเตือนไว้ว่าที่นี่จะมีพวกมาเฟียคอยยืนดักอยู่หน้าประตูให้จ้างพวกเค้าเป็นไกด์ พวกเราก็ทำเป็นไม่สนใจ ฟังภาษาอังกฤษไม่รู้เรื่องแล้วเดินเข้าไปเลย พวกเค้าก็เดินตามเข้ามาๆโชว์บัตรว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจหาว่าเราไม่เคารพสถานที่ เราก็ทำเป็นไม่เข้าใจและเดินเข้าไปเลย พอมาถึงใกล้ๆโบสถ์ก็จะมีอีกกลุ่มนึงมาดัก ก็ทำเป็นไม่สนใจอีกจนได้เข้าไปและถ่ายรูปมาได้บางส่วน



จริงๆทีนี่เป็นวัดที่สวยมาก แต่เสียดายที่มีคนมาหากินกับวัดแบบนี้ฃ




 

Create Date : 14 ตุลาคม 2548    
Last Update : 14 ตุลาคม 2548 22:21:25 น.
Counter : 592 Pageviews.  

ตอน 1:สามสาวบ้าตะลุยบาหลี Bali(21/06/2005)

วันแรกของการเดินทาง วันนี้พวกเราก็ทำใจมาอยู่แล้วว่าวันนี้เป็นวันเดินทาง ก็คือต้องเดินทางจริงๆ พวกเรา 3 สาวบ้าเทคออฟออกจากดอนเมืองตอน 10 โมง ประมาณซักบ่ายโมงพวกเราก็มาถึง KL เพื่อมารอต่อไฟล์ทเข้าสุราบายาซึ่งเป็นเมืองๆนึงทางชะวาตะวันออกของอินโด ช่วงที่รอไฟล์ทพวกเราก็แวะไปฟู้ดคอร์ทเพื่อหาอะไรประทังชีวิต โหเห็นอาหารเค้าแล้วน่ากินจังแล้วเราก็ได้ข้าวแกงกะหรี่ไก่กับข้าวผัดจีนมา ไม่ผิดหวังอาหารมื้อนี้อร่อยมากๆ
พอได้เวลาพวกเราก็ไปเช็คอิน เจ้าหน้าที่แจ้งว่าเครื่องดีเลย์ 20 นาที เออ ไม่เป็นไรก็รอมาจะทั้งวันแล้วนี่หว่ารออีกนิดจะเป็นไร พอครบ 20 นาทีก็ได้เวลาขึ้นเครื่อง เครื่องออกตอนเกือบๆ 5 โมงเย็น ลำนี้ทั้งลำมีแต่คนอินโด ตอนอยู่บนเครื่องไอ้เราก็หลับๆตื่นๆ แต่สังเกตอยู่อย่างว่าคนอินโดกินมาม่ากันทั้งลำเลย ไม่มีแถวไหนไม่สั่ง ไอ้เราก็งง อะไรกันวะ กินๆฉี่ๆ มันจะอะไรกันนักหนาทำไมมีเรื่องให้ทำกันเยอะขนาดนี้ พี่ช่วยอยู่เฉยๆกันบ้างได้มั๊ยคะ คือพี่ลุกทีกลิ่นมันก็มาทีน่ะค่ะ พวกหนูนอนไม่ค่อยจะหลับ
กว่าจะไปถึงที่สุราบายาก็ทุ่มนึงพอดี เวลาที่นี่ตลกดีตอนแรกที่ถึง KL เราก็ต้องตั้งเวลาเร็วกว่าเมืองไทย 1 ชม. แต่พอมาถึงสุราบายาเราก็ต้องกลับไปตั้งเวลาให้เท่าเมืองไทยคือช้ากว่า KL 1 ชม. สนามบินที่เมืองนี้ค่อนข้างเล็กเหมือนสนามบินตามต่างจังหวัดบ้านเรา พอผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองออกมาก็มีคนมาถาม taxi taxi แต่เราไม่เอาหรอก เชอะ เรามี hotel pick up ย่ะ
เอ๋แล้วมันอยู่ไหนล่ะเนี่ย ไม่เห็นมีคนมายกป้ายเหมือนบ้านเราเลย ซวยแล้วตูถ้ามันไม่มารับทำไงวะเนี่ย แถวนี้ก็น่ากลัวซะด้วยสิ ซักพักก็ตัดใจโทรไปที่โรงแรมแล้วก็ได้เจอคนขับในที่สุด ค่อยยังชั่วหน้าตาค่อยดูไว้ใจได้หน่อย
แล้วเราก็ออกเดินทางขึ้น Mount Bromo กันเลย นั่งรถประมาณ 3 ชม. เราก็มาถึงโรงแรม Lava View Lodge เกือบๆ 5 ทุ่ม แล้วเราก็เข้านอนเพื่อเก็บแรงไว้วันรุ่งขึ้น



เช้าวันใหม่ (จริงๆก็ไม่เช้าดีนะ) ประมาณ 3.30 น. ก็มี morning call มาปลุกให้ตื่นเพื่อเตรียมตัวขึ้นไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่จุดชมวิวบนยอดเขา Penanjagan เจ้าหน้าที่โรงแรมถามเราว่าจะเช่าเสื้อหนาวมั๊ย ทำไมพี่ช่างรู้เวลาถามดีจริงจริ๊ง หนาวจะตายห่.. ก็ต้องเช่าสิพี่ พอออกมาหน้าห้องก็มีรถจี๊บมาจอดรอพวกเราอยู่แล้ว ไปลุยกันเลย



แล้วเราก็รอๆๆๆๆพระอาทิตย์ขึ้น โธ่เอ๊ยพระอาทิตย์ที่นี่ไม่เห็นขึ้นเป็นดวงๆเลย มาเป็นลำแสง พี่เค้าว่าวันนี้พวกเราโชคดีหมอกไม่เยอะทำให้เห็นภูเขาไฟได้ชัด พอเริ่มมีแสงเท่านั้นแหละ วิวตรงหน้าทำให้พวกเราแทบตะลึง ข้างหน้าพวกเราคือกลุ่มภูเขาไฟจากเทือกเขา Semeru ซึ่งจะมีด้วยกัน 3 ลูก



พวกเราสาวๆก็ถ่ายรูปกันกระจาย เรียกว่ากดแหลก ผลัดกันถ่ายๆอยู่นั่นแหละ ถ่ายอยู่จุดเดียวจน 6 โมงคนอื่นๆเค้าลงจากจุดชมวิวกันไปเกือบหมดแล้ว พอเริ่มรู้สึกตัวว่าคนชักหายพวกเราก็รีบกลับลงมาที่รถจี๊บเพื่อไปต่อที่ปากปล่องภูเขาไฟโบรโม่



รถจี๊บก็พาพวกเรามาถึงจุดที่ต้องเดินเท้าหรือขี่ม้า พี่คนขับเค้าแจ้งว่าอีกประมาณ 1 กิโลก็ถึงบันได้ที่จะปีนขึ้นไปบนปากปล่องภูเขาไฟ เราจะเดินไปหรือขี่ม้าก็ได้เลือกเอา ด้วยความขี้เกียจอิฉันก็เลือกขี่ม้าแต่อีเพื่อนอีกคนดันจะเดิน เออแกจะเดินก็เดินแล้วกันแต่ฉันจะขี่ม้าขอฉันออมแรงไปตะกายบันไดดีกว่า แล้วท้ายที่สุดพวกเรา 3 คนก็ขี่ม้ากันหมด (เหอๆ ดีใจที่คิดถูก เพราะเดินโคตรไกลเลยแถมต้องเดินขึ้นเขาอีกตะหาก)





แล้วเราก็มาถึงบันได้ทางขึ้น ทีนี้ก็ค่อยๆตะกายกันขึ้นไป พอยิ่งขึ้นไปๆเรื่อยๆกลิ่นกำมะถันก็แรงขึ้นๆทุกที ทำเอาแสบจมูกแสบคอกันไปหมด



ท้ายที่สุดเราก็มาถึงปากปล่องภูเขาไฟโบรโม่ อาการแสบจมูกก็ค่อยๆหายไปแต่กลับมีอาการแสบหน้าแทน ตอนแรกก็แปลกใจนึกว่าอากาศหนาวผิวคงแตก ที่ไหนได้มันเป็นเพราะละอองคล้ายฝนที่กระเด็นขึ้นมาจากปากปล่อง เวลาโดนแล้วรู้สึกเจ็บจี๊ดๆเหมือนกะโดนจี้ด้วยเลเซอร์แน่ะ



พอหันมองไปข้างหลังก็จะมีภูเขาอีกลูกนึง อันนี้ไม่ค่อยแน่ใจว่าชื่ออะไรแต่ว่ามันดูอลังการมากๆ



ประมาณซัก 8 โมงพวกเราก็เดินทางกลับมาที่โรงแรม เมื่อคืนมาถึงดึกเลยมองไม่เห็นอะไร แต่มาตอนเช้าถึงเพิ่งรู้ว่าโรงแรมที่เราพักวิวสวยมากๆ รูปนี้เป็นวิวหน้าโรงแรมสามารถมองเห็นภูเขาไฟโบรโม่และทะเลทรายได้เลย



ภาพนี้เป็นวิวหน้า reception



บ้านพัก



พอ 9 โมงเช้าก็ได้เวลาสละฐานที่มั่นเพื่อเดินทางต่อ (เฮ้อ อยากอยู่อีกนานๆ) ตอนขาลงเริ่มได้เห็นวิวข้างทาง บ้านเรือนเค้าน่ารักมากๆ ส่วนใหญ่จะเป็นบ้านชั้นเดียวปลูกติดถนนแล้วก็มีแปลงดอกไม้หรือแปลงผักเล็กๆ



ทุกๆบ้านจะต้องมีผักสวนครัวเป็นของตนเอง



วันนี้เป็นวันธรรมดาพอผ่านหน้าโรงเรียนก็จะมีเด็กยืนเล่นกันเป็นกลุ่มๆ ไม่แน่ใจว่าพักหรือว่าเค้าเรียนนอกสถานที่กันก็ไม่รู้



พวกเราใช้เวลาเดินทางทั้งหมดประมาณ 6 ชั่วโมงกว่าๆโดยรถเช่าเพื่อเดินทางจากโรงแรมที่พักไปท่าเรือเฟอรี่ที่เมือง Ketapang เพื่อเดินทางข้ามไปบาหลี กว่าจะไปถึงท่าเรือก็เกือบ 4 โมงเย็น นั่งรถกันจนตูดบาน พอไปถึงพี่คนขับเค้าก็ใจดีช่วยเป็นธุระสอบถามเรื่องการเดินทางข้ามไปให้ เค้าคงกลัวพวกเราโดนหลอก เรือออกตอน 4 โมงเย็น ใช้เวลาประมาณ 20 นาทีก็ข้ามมาถึงฝั่งบาหลีที่เมือง Gillimanuck พอมาถึงเราก็เดินสอบถามหารถบัสที่จะไป Lovina Beach ที่มั่นต่อไปของพวกเรา คนแถวนั้นพูดภาษาอังกฤษกันไม่ค่อยได้ คนที่พูดได้ก็ดูไม่ค่อยน่าไว้ใจ เฮ้ออยากจะร้องไห้ เหนื่อยก็เหนื่อยร้อนก็ร้อนคุยกันก็ไม่รู้เรื่องแถมแบกของหนักอีกต่างหาก กว่าจะได้ความว่าต้องเดินไปที่ท่ารถแต่รถบัสมันหมดไปแล้วต้องขึ้นสองแถวอย่างเดียว พวกคนขับสองแถวก็ดูไม่ค่อยน่าไว้ใจ จ้องพวกเราอยู่นั่นแหละ ประสบการณ์ตั้งแต่นั่งเรือจนขึ้นสองแถวนี่มันค่อนข้างน่ากลัวเพราะเหมือนมีพวกเราเป็นต่างชาติอยู่กลุ่มเดียว ท้ายที่สุดพวกเราก็ขึ้นไปนั่งรอบนสองแถว ผ่านไป 1 ชม.ยังไม่มีวี่แววว่าจะออกจนเราต้องเดินไปถามว่าเมื่อไหร่จะออก เค้าบอกว่าคนไม่ครบก็ไม่ออกถ้าอยากให้ออกเลยก็ต้องเหมา เออเอากะมันสิผ่านไปอีกซักพักเหมือนฟ้าประทานมีฝรั่งเดินมาคนนึง โหพวกเราดีใจแทบสิ้นสติเหมือนพระเจ้าทรงโปรดให้เค้าไปทางเดียวกันแต่ของเค้าลงกลางทาง ก็ยังดีว้าค่อยอุ่นใจหน่อย พอฝรั่งเดินเข้ามาใกล้ๆพวกเราก็รีบส่งภาษาฟ้องๆๆๆๆใหญ่ว่าเนี่ยรอมาชั่วโมงแล้วไม่ออกซักที ฝรั่งก็ทำท่าเหมือนจะไปจัดการให้เห็นเดินเขาไปคุยไม่รู้คุยไร ซักพักก็เห็นเดินหายไปเข้าห้องน้ำ (ไรวะ) ผ่านไปอีกชั่วโมง (เป็น 2 ชั่วโมงแล้วนะ) มีฝรั่งหลงมาอีกคู่นึง เฮ้อดีใจคู่นี้ลงที่เดียวกับเรา ไอ้เพื่อนดันไปหลุดปากบอกเค้าว่ารู้สึกอุ่นใจจังที่มีพวกคุณอยู่ด้วย (เฮ้อ..อะไรเนี่ย เสร่อเชียวแก) แล้วรถก็ออก ใช้เวลาเดินทางอีก 2 ชม. ก่าๆกว่าจะถึงที่ Lovina ตอนประมาณ 3 ทุ่มกว่าๆ พอพวกเราลงรถก็มีคนของเกสต์เฮาส์มารอรับอยู่ที่หน้าปากซอย พาไปดูห้องซึ่งก็ใหญ่และก็สะอาดสะอ้านดีในราคาแค่ 500 บาท แล้วเราก็ได้เข้านอนตอนเที่ยงคืน ขอบอกว่าเหนื่อยโคตรๆ



วันนี้ตื่นเช้าอีกแล้ว 7 โมงกว่าๆเจ้าของเกสต์เฮาส์เค้าก็มาปลุกให้เตรียมตัวไปดำน้ำ วันนี้ซื้อทริปดำน้ำกะเค้าไว้ตกคนละ 2000 บาท ต่อ 2 ไดฟ์ สถานที่คือ Menjangan Island ตื่นเต้นเล็กน้อยเพราะไม่ได้ดำมา 2 ปีแล้วจากครั้งล่าสุดที่ไปดำตอนสอบ open water หลังจากนั้นก็ไม่เคยไปดำอีกเลย แต่มั่นใจว่าตัวเองทำได้
ตอนอยู่บนเรือ มีฝรั่งคนนึงที่ซื้อทริปไปดำน้ำด้วยกันเค้าลุกขึ้นมาเปลี่ยนชุดดำน้ำ ไอ้เราไม่ได้ตั้งใจหันไปเห็นตูดเค้าพอดีรีบหันหน้ากลับแทบไม่ทัน ปฏิกิริยาแรกคือรีบหันไปดูเพื่อนว่ามันเห็นเปล่า มันบอกว่าหันหน้าหลบทันแต่ตูดพี่แกมีตุ่มแดงๆเหมือนโดนยุงกัดด้วย (นี่ขนาดไม่ได้ตั้งใจดูนะเนี่ย)
และแล้วการดำน้ำวันนี้ก็ผ่านไปได้ด้วยดี ใต้ทะเลที่นี่ปะการังสวยดี เห็นกัลปังหาเต็มเลย ใบใหญ่อย่างกะหูช้าง ส่วนปลาก็พอมีบ้างแต่ไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่หรือโชคไม่ดีไม่ค่อยเจอมั๊ง



วันใหม่ (วันที่ 4 ของการเดินทางแล้ว) วันนี้ต้องตื่นเช้าอีกแล้วเพื่อไปดูปลาโลมา (เฮ้อ...แถวบางปะกงบ้านเราก็มี แต่ต้องถ่อสังขารมาดูถึงนี่) นั่งเรือออกไปชั่วโมงนึงก็ถึงแหล่งมัน



มีปลาโลมาอยู่หลายฝูงเลย บางตัวก็โดดขึ้นมาหมุนควงสว่านให้ดู บางตัวก็แค่ดำผุดดำว่ายพอให้เห็นครีบ



หลังจากนั้นเค้าก็พาเรามาปล่อยอีกที่นึงเพื่อให้ snorkel






 

Create Date : 14 ตุลาคม 2548    
Last Update : 14 ตุลาคม 2548 22:07:11 น.
Counter : 1917 Pageviews.  

1  2  3  4  
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.