spooky161
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add spooky161's blog to your web]
Links
 

 

เวียตนามกับเดอะแก๊งค์ - ตอนที่ 2 (9-16/7/2006)

โรงแรมที่ฮอยอัน (ชื่อว่า Pho Hoi Riverside Hotel) สำหรับคืนนี้อยู่ติดแม่น้ำต้องข้ามสะพานไปแต่ไม่ไกลจากเมืองเก่าฮอยอันมากแค่เดินข้ามสะพานมาก็ถึง



คืนนี้พวกเราก็เลยเปิด Lonely Planet หาร้านอาหารแนะนำแล้วก็ได้มาร้านนึง ไม่ผิดหวังจริงๆอาหารที่นี่อร่อยทุกอย่างโดยเฉพาะ White Rose (มันเหมือนเกี๊ยวปลาราดน้ำจิ้ม) เฝอก็อร่อย หลังจากไม่ได้กินอะไรอร่อยๆที่ฮานอยเลยมาถึงนี่เลยกินซะให้หายอยาก หลังทางเสร็จก็เดินเที่ยวอีกแล้ว เดินไปก็หลงไปถามทางจนกลับมาที่เมืองเก่าแล้วก็เดินๆๆๆๆดูโน่นดูนี่ กว่าจะกลับเข้าโรงแรมก็เกือบห้าทุ่มอีกแล้ว

วันนี้เป็นวันสบายๆไม่รีบร้อนมาก วันนี้เราจะเที่ยวเมืองเก่าฮอยอันกัน ด้วยความที่อยากจะเที่ยวให้ทั่วก็เลยเช่าจักรยานแต่เล่งเล้งดันขี่จักรยานไม่เป็นก็เลยต้องเหมาสามล้อให้แทน ตามแผนที่วางไว้เราก็จะซื้อตั๋วชุดซึ่งจะเข้าชมบ้านโบราณ วัด หรือพิพิทธภัณฑ์ในฮอยอันได้ 5 ที่ ที่แรกที่เราไปก็คือร้านปักรูป



แล้วเราก็ไปต่อกันที่ Fujian Assembly Hall ที่นี่มีโชว์ดนตรีให้ดูด้วยแต่แสดงเป็นรอบต้องกะเวลาให้ดี









เสร็จจากที่ๆสองเราก็เปลี่ยนแผนไปเที่ยวทะเลกันก่อนดีกว่าแล้วค่อยกลับมาเที่ยวในเมืองต่อ ต้องปั่นจักรยานไป 4 กม. (เป็นอะไรที่ทรมานสุด ร้อนก็ร้อนแดดนี่ซัดซะจนแขนไหม้ แถมปวดตูดอีกต่างหาก)



พอมาถึงชายหาด Cau Dai ก็สั่งอาหารทะเลมากินกัน เทียบกับที่ฮานอยที่นี่อาหารทะเลถูกมากๆ แล้วก็มีบริการนวดฝ่าเท้าด้วยค่าบริการไม่แพงมาก



พักผ่อนได้ที่ก็กลับมาลุยต่อ ปั่นจักรยานกลับเข้าเมือง ทำไมขากลับมันทรมานกว่าขาไปก็ไม่รู้ กลับมาในเมืองได้ก็เที่ยวต่อกันเลย ที่ๆ3 วัด Quan Cong





สะพานญี่ปุ่น



บ้านเก่า Tan Ky



แล้วก็เดินดูร้านรวงต่างๆในเมืองก่อนกลับเข้าโรงแรม








 

Create Date : 29 สิงหาคม 2549    
Last Update : 29 สิงหาคม 2549 20:56:05 น.
Counter : 390 Pageviews.  

เวียตนามกับเดอะแก๊งค์ - ตอนที่ 1 (9-16/7/2006)

และแล้วทริปเที่ยวแบบสาวๆก็ถือกำเนิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง หลังจากผ่านไปหนึ่งปีเต็ม ถ้าจะว่าไปทริปนี้ที่เกิดขึ้นได้ก็เพราะแอร์เอเชียดันจัดโปรโมชั่นตั๋วฟรีเมื่อปลายธ.ค.ปีที่แล้ว พวกเราเห็นก็ไม่รอช้าหลังจากตัดสินใจชวนพวกพ้องซักพักก็เป็นอันตกลงที่จะเดินทางกันเดือนก.ค. จองบินขาไปลงฮานอยค่าตั๋วฟรีตแต่จ่ายภาษีอะไรอีกนิดหน่อยเบ็ดเสร็จ 650 บาทสำหรับค่าตั๋ว ขากลับก็ใช้กลับรถเอาจะได้ไปเที่ยวเวียตนามกลางด้วย



แล้วเวลาก็ผ่านไปไวเหมือนโกหก วันที่ 9 ก.ค. พวกเราเหล่าสาวๆก็นัดรวมตัวกันที่ดอนเมืองตอน 5.30 น. ออกจะแปลกใจนิดๆที่คราวนี้แต่ละคนหิ้วกระเป๋ากันมาใบนิดเดียวสงกะสัยกะไปแตกลูกแตกหลานที่นั่น พอทุ่มนึงเครื่องก็ออก แล้วเราก็มาถึงฮานอยเกือบๆ 3 ทุ่ม โรงแรมที่จองไว้เค้าก็จัดรถมารับให้ คราวนี้ไม่ลำบากเท่าไหร่มาถึงก็เข้าโรงแรมเลย ถนนที่ผ่านมาระหว่างทางเต็มไปด้วยผู้คนร้านขายอาหารตามฟุตบาทนี่ขนาด 3 ทุ่มกว่าแล้วยังจอแจอยู่เลย ออกจะแปลกใจนิดๆที่ฮานอยตอนกลางคืนกลับดูวุ่นวาย พอมาถึงห้องที่เราจองไว้แบบนอนได้ 6 คน (คือมีเตียงใหญ่ 1 และเตียงเดี่ยว 3) เค้าจะคิดเรา $40 เราก็เอ๊ะจะโดนพวกเวียตนามฟันซะแล้วมั๊งเนี่ยเพราะก่อนมาก็มีคนเตือนกันไว้เยอะว่าถ้ามานี่ไม่โดนฟันถือว่ามาไม่ถึง เราก็ไม่ยอมดิก็ตอนเราจองคุยกันไว้ที่ $30 เหรียญ ด้วยความรอบคอบเราก็เลยไปเอา e-mail ที่เราพิมพ์และเอาติดมาด้วยให้เค้าดู เค้าก็เลยยอมเราเพราะจริงๆราคาในเว็ปเค้าขึ้นไปแล้ว เราก็เลยได้ห้องมาในราคาแสนถูกตกคนละ 200 บาทต่อคืน



เช้าวันรุ่งขึ้นตื่นแต่เช้าเลยเพราะวันนี้จะไปฮาลองเบย์ ซื้อทัวร์จากโรงแรมมาในราคา $19 ต่อคน ประมาณ 7.30 น. รถเค้าก็มารับ ทั้งทัวร์มีกันแค่ 8 คนเอง มาเที่ยวฮาลองเบย์นี่เหนื่อยหน่อยเพราะต้องนั่งรถตั้งเกือบ 4 ชม.จากฮานอย



พอมาถึงเค้าก็ให้เราลงเรือลำเบ้อเริ่มแต่มีกันแค่ 8 คน จริงๆฮาลองเบย์ก็ไม่มีไรมากนั่งเรือชมวิวกับไปถ้ำ



เรือมันก็พาล่องไปเรื่อยๆก็จะเจอหมู่บ้านชาวประมงพอมาถึงที่นี่ก็เที่ยงพอดี เค้าก็จอดให้เราเลือกซื้ออาหารทะเลที่ชาวบ้านขายมากินบนเรือได้แต่ก็ไม่มีใครสั่งซักคน เพราะในทริปก็มีอาหารให้อยู่แล้วแถมอาหารที่เค้าทำให้กินบนเรือก็เยอะดีแล้วรสชาติก็พอกินได้



พอกินเสร็จไกด์เค้าก็ถามว่าเราจะนั่งเรือลำเล็กไปดูถ้ำมั๊ยแต่อันนี้ต้องจ่ายค่าเรือเองคนละประมาณ 60 บาทได้ พวกเราก็เออมาแล้วเข้าก็ได้ แต่คิดผิดชัดๆไม่เห็นมีไรเลยแถมร้อนอีกต่างหาก แต่ถ้ำจริงๆที่อยู่ในโปรแกรมเป็นอีกถ้ำนึงซึ่งเรือใหญ่เค้ากำลังจะพาไป ระหว่างทางก็จะผ่านสัญลักษณ์ของที่นี่ เค้าบอกมันเป็นไก่แต่เราว่ามันเหมือนหมาจูบกันมากกว่า



เรือใหญ่ก็พาเรามาถึงถ้ำ 2 ถ้ำตามโปรแกรม มันต้องเดินบันไดขึ้นไปหน่อย พอออกจากถ้ำแรกก็จะมีทางแยกๆไปถ้ำที่ 2 แต่พวกเราไม่ไปหรอกร้อนจะตายแล้ว



กว่าจะกลับถึงฮานอยก็ทุ่มนึงพอดี รถเค้าก็มาส่งเราหน้าโรงแรม วันนี้มีเรื่องตื่นเต้นนิดหน่อยโรงแรมเค้าไปรับตั๋วเครื่องบินที่จองไว้ให้ (ตั๋วจากฮานอยไปดานัง) แล้วเค้าแจ้งว่าชื่อเพื่อนคนนึงที่เราจองไว้มันผิดออกตั๋วแล้วด้วยเปลี่ยนไม่ได้ต้องเลื่อนไฟล์ทอย่างเดียว เราก็ตายแล้วเลื่อนไม่ได้นะเพราะถ้าเลื่อนต้องตัดโปรแกรมเที่ยวฮอยอันออกวันนึง (ในใจร้องบอกไม่เอาฉันไม่ยอม) ก็เลยบอกเค้าว่าทำไมไม่แจ้งเปลี่ยนชื่อล่ะ เค้าบอกเอเยนต์บอกทำไม่ได้ เราก็งงดิเกิดมาไม่เคยเจอไม่ให้เปลี่ยนชื่อ เราก็เลยบอกเค้าโทรไปที่สายการบินให้หน่อยเดี่ยวคุยเอง พอคุยกับเจ้าหน้าที่สายการบินเค้าก็บอกทำได้ก็เลยส่งเรื่องต่อให้พนักงานโรงแรมเค้าคุยต่อให้แล้ววันพรุ่งนี้เค้าก็จะไปทำเรื่องเปลี่ยนให้ เราเลยบอกเค้าไปว่าเอเยนต์ที่เค้าใช้น่ะสงสัยไม่อยากช่วยเหลือ บริการไม่ดีเลยให้เปลี่ยนเหอะ

เสร็จจากเคลียเรื่องยุ่งๆ เพื่อไม่ให้เสียเวลาเราก็ไปเดินเล่นกันต่อเลย เดินไปที่ทะเลสาบเพื่อไปซื้อตั๋วดูหุ่นกระบอกน้ำสำหรับพรุ่งนี้แต่อดเพราะตั๋วรอบที่จะดูหมด ก็เลยหาไรกินแถวนั้นแล้วก็ช็อปปิ้ง มาที่นี่ก็ต้องซื้อเป้ north face สิ ก็เดินมันอยู่แถวๆทะเลสาบนั่นแหละ เดินต่อเป้จนร้านปิดเกือบๆเที่ยงคืนถึงได้กลับโรงแรม (วันนี้ปวดทีนมาก)

เช้าวันรุ่งขึ้นตื่นแต่เช้าอีกแล้ว วันนี้ไปเที่ยว Tam Coc หรือที่เค้าเรียกกันว่าฮาลองบก ก็ซื้อทัวร์กับโรงแรมนั่นอีกน่ะแหละ ไปที่นี่นั่งรถใกล้หน่อยประมาณชั่วโมงกว่าๆ ในโปรแกรมก็มีไปเที่ยววัดก่อน 2 วัด จริงๆเป็นวัดที่เค้าสร้างให้ฮ่องเต้กับภรรยาเค้า





เสร็จจากวัดก็มาถึงฮาลองบกซะที ที่นี่ก็ต้องนั่งเรือพายเข้าไป ก็แบบชมวิวภูเขาข้างทาง ก็ได้บรรยากาศดี อากาศไม่ค่อยร้อนมาก แต่ที่ไหนได้ขากลับฝนดันตก ตกหนักด้วยเรือเค้าเลยต้องพายไปจอดให้พวกเราขึ้นไปยืนหลบฝนกัน ไอ้เราก็กลัวกระเป๋ากล้องเปียก ก็ยืนหลบฝนจนซาซักพักแล้วก็รออาม่าเค้าวิดน้ำออกจากเรือเสร็จก็ค่อยพายเรือกลับมา แต่ก็เพราะฝนตกนี่แหละที่ทำให้ได้บรรยากาศไปอีกแบบ







กลับมาถึงโรงแรมเกือบๆห้าโมงเย็น ก็หาไรกินวันนี้กินดีหน่อยกินอาหารทะเลแต่รู้สึกแพงโคตรขนาดเป็นร้านบนฟุตบาทนะเนี่ย ที่บ้านเราถูกกว่าเยอะแถมอร่อยกว่าด้วยแต่ไม่รู้ทำไมพอมาต่างแดนก็ต้องขอลองหน่อย กินเสร็จไม่อิ่มอีกต่างหากเลยข้ามมาฝั่งตรงข้ามสั่งเฝอมา 2 กับปาท่องโก๋ตบเข้าไปอีก อิ่มพอดี แล้ววันนี้ก็ช็อปปิ้งอีก ก็เดินวนไปๆมาๆมาโผล่ตรงข้างทะเลสาบอีกแล้วและก็เจอร้านขายเป้อีกแล้วและก็เลยซื้อเป้กันอีกแล้ว อะไรกันเนี่ยมาฮานอยไม่ได้ทำไรเลยนอกจากซื้อเป้ กลับถึงโรงแรมก็เกือบเที่ยงคืนเหมือนเมื่อวาน

วันนี้ตื่นแต่เช้าอีกแล้ว ต้องรีบไปสุสานลุงโฮบวกกับเที่ยวในฮานอยให้เสร็จในช่วงเช้าเพราะมีไฟล์ทตอนบ่าย 2 บินต่อไปดานัง ก่อนอื่นถ่ายรูปโรงแรมไว้เป็นที่ระลึกก่อน



ที่สุสานลุงโฮเค้าไม่ให้เอากล้องกับกระเป๋าเข้า ก็เลยได้แต่ถ่ายข้างนอกมานิดเดียวเอง แต่ที่นี่ให้บรรยากาศดีมากๆ ลุงโฮดูเป็นคนใจดี ใครจะนึกว่าร่างที่นอนอยู่คือศพจริงๆ แต่ทหารที่นี่ดุเชียวไม่ให้พูดไม่ให้ยิ้ม พอออกจากที่ตั้งแสดงศพลุงโฮก็เดินต่อเข้ามาเป็นบ้านลุงโฮกับที่ทำงาน เสียดายเค้าไม่ไห้เอากล้องเข้ามา



เราก็นั่งแท็กซี่มาที่โบสถ์ St. Joseph Cathedral มาถ่ายรูปนิดหน่อยแล้วก็เดินเล่น



แถวถนนเส้นนี้ส่วนใหญ่ขายของน่ารักกระจุ๊กกระจิ๊ก ทำเอาพวกเราเสียเวลาช็อปปิ้งไปเยอะเหมือนกัน



ร้านอาหารที่นี่ส่วนใหญ่ก็เป็นแบบยองๆเหลาซะทั้งนั้น ก็ได้อารมณ์ดี



ฮานอยยามเช้าที่คลาคล่ำไปด้วยรถมอไซต์ มาที่นี่วันแรกๆงงกับการเดินข้ามถนนมากๆ คือมอไซต์มันมาจากทุกทางเลย โดนมันบีบแตรใส่ตั้งหลายรอบแต่พอหลังๆก็เริ่มชินเริ่มหลบหลีกได้สบาย



หลังจากเดินจนเหนื่อยก็มาแวะร้านกาแฟด้วยความที่อยากกินกาแฟสด เห็นร้านนี้อยู่ริมทะเลสาบดูได้บรรยากาศดี



พอเที่ยงเราก็กลับมาที่โรงแรมมาเก็บกระเป๋า แล้วก็เรียกแท็กซี่ไปสนามบินแต่ไม่ใช่เดินทางกลับบ้านแต่จะไปเวียตนามกลางต่างหาก พวกเราบินมาถึงเมืองดานังตอนบ่ายๆ รถโรงแรมก็มารับ แต่คืนนี้เราจะไม่นอนที่ดานังแต่จะไปนอนที่ฮอยอันเพราะจากที่อ่านๆมาเค้าบอกดานังไม่มีอะไรให้เที่ยว




 

Create Date : 29 สิงหาคม 2549    
Last Update : 29 สิงหาคม 2549 20:40:57 น.
Counter : 557 Pageviews.  

ชุมพร (21/04/2006)

เที่ยวคราวนี้เรามีแขกรับเชิญพิเศษมาจากลำปาง ถือว่าเป็นวันดีคราวหนึ่งที่เจ้ญี่ปุ่นมีโอกาสได้ไปเที่ยวด้วยกัน โปรแกรมคราวนี้ก็ 3 วัน 2 คืน ไปพักที่ชุมพรคาบาน่า ขับรถก็ประมาณ 6 ชม.ก็ถึงชุมพรแล้ว ไม่ยากเท่าไหร่ วันแรกไม่ได้ทำไรมากเพราะกว่าจะถึงก็เย็นๆแล้ว ตอนกลางคืนเราจะมีออกไปตกหมึกกัน ด้วยความที่กลัวจะไม่มีไรกินบนเรือเลยแวะซื้ออาหารทะเลสดๆที่ตลาดทะเลไทยตรงมหาชัยก่อนออกจากกรุงเทพ พอไปถึงที่ชุมพรคาบาน่า (อยู่หาดทุ่งวัวแล่น) ก็ให้รีสอร์ทเค้าเอาอาหารทะเลไปย่างให้แล้วเอาขึ้นเรือไปกินด้วย

เรือไปตกหมึกออกตอนทุ่มนึง ทุกคนก็พร้อม ยังดูกระตือรือร้นกันอยู่เพราะไม่เคยไปตกมาก่อน



วิธีการตกก็ไม่ยากเท่าไหร่ เค้าใช้แสงสีเขียวๆที่เรือเป็นตัวล่อ แล้วก็เอาเอ็นหย่อนลงไปถือกระตุกๆแล้วพอมันงับตะขอก็ตกขึ้นมา ดูเหมือนง่ายแต่ต้องใช้ความอดทนมากๆ กลุ่มป้าๆอย่างพวกเราทนทำไรอย่างนี้นานๆไม่ค่อยได้ ตกได้ 2 ตัวก็พอละ

รูปนี่เป็นหนึ่งใน 2 ตัวที่ตกได้


พอขี้เกียจตก พวกเราก็แวบไปนั่งดาดฟ้าเรือ นั่งๆนอนๆกินแรงคนอื่น ส่วนกลุ่มอื่นเค้าก็ตกกันไป (ทำไมขยันกันอย่างนี้นะ) ผ่านไป 2 ชม. ก็ได้เวลาพี่คนเรือเค้าก็เอาปลาหมึกที่ตกได้มาย่างให้กิน แหะๆตก 2 ตัวแต่กินไป 2 จาน (กินแรงสุดๆ) สี่ทุ่มเราก็กลับเข้าฝั่งพร้อมกับเวลาอาหารทะเลที่ซื้อมาจากมหาชัย ตอนอยู่บนเรือได้กินแต่กุ้งเพราะมันกินลำบากเลยไม่ได้แกะปูกิน พอกลับมาก็ให้ครัวเค้าอุ่นให้อีกที เป็นมื้อที่ประทับใจอีกมื้อหนึ่งเพราะปูกับกุ้งตัวใหญ่มากๆแถมอร่อยด้วย

เช้าวันรุ่งขึ้นพวกเราก็มีโปรแกรมไปสน็อคเกิลที่เกาะง่ามน้อยเกาะง่ามใหญ่ นั่งเรือใหญ่ออกมา 40 นาทีก็ถึงเกาะง่ามใหญ่



เกาะที่นี่ไม่มีชายหาดเป็นเกาะหินที่โผล่ขึ้นมา ที่นี่จะเป็นเกาะที่มีทำสัมปทานรังนก ถ้าไม่มากับรีสอร์ทนี้ก็ไม่มีโอกาสได้เข้ามาสน็อคเกิลแถวนี้หรอกเพราะเค้าไม่อนุญาติ



บ้านคนงานที่เฝ้ารังนกที่นี่



แล้วก็ได้เวลาดำน้ำกัน



ก๊วนแก๊งค์กับพี่ไกด์



ที่เกาะง่ามใหญ่นี่เป็นดงของดอกไม้ทะเล แต่ด้วยความที่น้ำมันลึกปะการังจะไม่ค่อยมีสีสรรเท่าไหร่





ตอนเย็นๆเราก็ไปไหว้กรมหลวงชุมพรอยู่แถวปากน้ำชุมพร เราก็แวะทานอาหารร้านลุยแถวนั้น เป็นร้านที่รีสอร์ทแนะนำมา รสชาติก็ดีแต่อาหารทะเลไม่สะใจเท่ากับที่เราหิ้วมาเมื่อวาน จบวันนี้ด้วยความอิ่มอีกแล้ว

วันกลับพวกเราก็แวะไปหาดบ้านกรูด เพราะเป็นทางผ่าน น้ำทะเลที่นี่สีฟ้าใสสวยเชียว มาที่นี่ก็ต้องแวะขึ้นพระธาตุตามระเบียบ



ด้านหลังของพระธาตุ



บ๊ายบายกับทริปเที่ยวชุมพรแบบสบายๆ




 

Create Date : 07 พฤษภาคม 2549    
Last Update : 7 พฤษภาคม 2549 13:15:23 น.
Counter : 1778 Pageviews.  

ทะเลตรัง (06/04/2006)

แล้วการท่องเที่ยวเล็กๆก่อนสงกรานต์ของเราก็มาถึง จริงๆตั้งใจจะมาเที่ยวเกาะไหงกับเกาะรอกตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว แต่ติดทริปอื่นซะก่อนเลยต้องเลื่อนมาปีนี้แทน การเดินทางก็ไม่ลำบากมากนั่งรถทัวร์มาถึงตรังนี่ก็ 7 โมงเช้าพอดี รถตู้ที่รีสอร์ทเค้าก็มารับพร้อมกับพาไปกินกาแฟ ขนมจีบและหมูย่างเมืองตรัง ถ้ามาตรังแล้วไม่มากินร้านขนมจีบหมูย่างร้านนี้ก็เหมือนมาไม่ถึง (ไม่รู้ชื่อร้านแต่จะอยู่เยื้องๆกับท่ารถบขส. ถามคนที่นั่นใครๆก็รู้จัก) แล้วเราก็ซัดกันไปมื้อใหญ่หลังจากเมื่อคืนไม่ได้กินไรเลย เพราะติดประชุมกว่าจะขอออกมาได้รีบบึ่งแท็กซี่มาเกือบตกรถ พอทานเสร็จก็ได้เวลาเดินทางมาที่ท่าเรือปากเม็ง จากนี่เราจะนั่งเรือไปเกาะไหงใช้เวลาประมาณ 40 นาที



แล้วเราก็ออกเดินทางตอน 10 โมง



มาถึงเกาะไหงตอน 11 โมง ที่ๆเราจะพักอยู่ติดหาดแต่มีคลองเล็กๆกั้นชื่อ Coco Cottage





ที่รีสอร์ทนี่มีไฟ 24 ชม. สัญญาณโทรศัพท์มือถือชัดแจ๋วไม่ต้องกลัวขาดการติดต่อจากโลกภายนอก (แต่ใครจะอยากให้ติดต่อล่ะ) แอร์จะมีเฉพาะบ้านแบบ Beachfront เท่านั้นแล้วก็จะเปิดตั้งแต่ 4 โมงเย็น ถึง 8 โมงเช้า ช่วงที่ไปอากาศร้อนมากไม่มีลมเลยแดดก็แรงมากๆ ทำให้ไม่อยากทำอะไรทั้งนั้นนอกจากนอน



บริเวณชายหาดก็จะมีม้านั่งเล็กๆ 3-4 มุมให้นั่งอาบแดด ส่วนใหญ่เสร็จฝรั่งหมดเพราะคนไทยมาไม่ทันแย่งพวกนี้นั่ง แถมร้อนอีกตะหากใครจะบ้ามานั่งนอกจากพวกฝรั่ง



หรือจะเลือกนั่งๆนอนๆอาบแดดหน้าบ้านพักก็ได้ ก็ร่มกว่ามานั่งที่ชายหาดนิดนึง นิดเดียวจริงๆนะ



อีกมุมนึงที่พอนั่งดับร้อนได้ก็มุมร้านอาหาร โดนแดดอยู่ดี แต่มีส่วนในร่มด้วย เราก็เลือกนั่งในร่มดิโคตรจะร้อนขนาดนี้



พอบ่าย 3 พวกเราก็ออกไปเที่ยวทะเลตรังกัน ช่วงที่เราไปมีแต่กลุ่มวัยรุ่นไทยไปจอยด้วยกัน รวมๆกับพวกเราก็เป็น 8 คน ทั้งรีสอร์ทก็มีคนไทยกันอยู่แค่นี้แหละ นอกนั้นก็เป็นพวกฝรั่งที่เค้ามาค้างที่นี่กันก่อนหน้าแล้ว รวมๆแล้วก็เงียบสงบดี ส่วนวัยรุ่นกลุ่มที่ไปเจอกันนี่ส่วนใหญ่ก็ทำงานกันหมดแล้วและก็รักสงบก็จะต่างคนต่างเลือกพักผ่อนมุมใครมุมมัน ค่อนข้างเป็นส่วนตัว เงียบสงบเหมาะแก่การมาพักผ่อนจริงๆ

ที่ๆเราจะไปเที่ยวกันก็คือทะเลตรังประกอบไปด้วย เกาะมุก (ถ้ำมรกต) เกาะเชือก แล้วก็เกาะม้า แต่ละที่อยู่ห่างจากเกาะไหงไปไม่ไกลมองไปก็เห็น ที่ถ่ายมานี่คือถ่ายมาจากเกาะไหง ส่วนเกาะที่อยู่ทางซ้ายของภาพคือเกาะม้า ที่ๆใครๆก็ว่ามีปะการังสวยที่สุดเพราะมีปะการังหลากสี แต่ช่วงที่ไปน่าเสียดายที่น้ำขุ่น แล้วไปตอนเย็นแล้วแดดไม่ค่อยมีเลยมองไม่ค่อยเห็นเท่าไหร่



ตอนที่เข้าถ้ำมรกตก็ไม่ได้เอากล้องลงไปเพราะกลัวเปียกน้ำ คนอื่นๆในทริปเลยพลอยไม่ได้เอากล้องเข้าไปด้วยเพระกล่องที่ทางไกด์เค้าเตรียมไว้ให้ใส่กล้องเพื่อลอยน้ำเอาเข้าไปในถ้ำเราเห็นว่ามันแอบมีน้ำเข้าไปด้วย ถึงแม้เค้าจะใส่ถุงดำไว้อีกชั้นก็เหอะ เราเลยบอกอย่าเอากล้องไปเลย คนอื่นๆก็เลยพลอยไม่ได้เอาเข้าไปด้วย (ใครจะกล้าเสี่ยงล่ะ กล้องตัวใหม่นะยะ แต่ดูคนอื่นเค้าออกจะเสียดายนิดๆ) ที่เค้าเรียกถ้ำนี้ว่าถ้ำมรกตก็เพราะตอนจะออกจากถ้ำ (ขากลับออกมา) น้ำที่กระทบกับแสงแดดตรงปากทางมีสีเขียวดุดดั่งมรกตสวยเชียว

คนนี้คือไกด์ของเรา เป็นทั้งไกด์เป็นทั้งเด็กเสิรฟ์ที่รีสอร์ท แต่ดูแลพวกเราดีมาก ออกจะเป็นเด็กขี้อายนิดๆด้วย ชื่อของน้องคือน้องโอม



แล้วก็มาสน็อคเกิลต่อที่เกาะเชือก ที่นี่ปลาก็เยอะพอใช้ได้แต่ไม่ค่อยหลากหลายเท่าไหร่



หลังจากเที่ยวทะเลตรังเสร็จก็กลับมาถึงรีสอร์ทเย็นๆพอดี ต่างคนต่างถ่ายรูปรอบๆรีสอร์ทกันไป



เมฆตั้งเค้ามาแล้ว คืนนี้ฝนตกแน่ๆ แล้วคืนนั้นฝนก็ตกจริงๆ



ที่นี่เค้ามีบาร์ไว้ให้นั่งดื่มเหมือนกัน แถมเปิดเพลงได้ดีทีเดียว ราคาเครื่องดื่มก็พอๆกับผับดีๆในกรุงเทพ แต่อาหารที่นี่อร่อยมาก 6 มื้อที่ฝากท้องไว้ที่นี่ประทับใจทุกมื้อ



เช้าวันรุ่งขึ้น พวกเรากลุ่มคนไทยที่ซื้อทัวร์ไปเกาะรอกก็มาถึงที่นี่กัน เกาะรอก น้ำใสมากๆ



ตามโปรแกรมเราต้องไปเกาะรอกนอก และเกาะรอกใน แต่อย่าถามเลยนะว่าอันไหนรอกนอกอันไหนรอกในเพราะขนาดไกด์เค้ายังบอกเลยว่าคนที่นี่บางคนยังเรียกสลับกันเลย

เกาะรอกถ่ายจากจุดชมวิว



หาดทรายที่เกาะรอกจะทั้งขาวทั้งเนียนละเอียด ไม่เหมือนที่เกาะไหงที่จะหยาบกว่าแล้วไม่ขาวด้วย





นายแบบของเรานอนลอยดูปะการัง



ที่เกาะรอกด้วยความที่น้ำใส หาดจะลาดลงไปจึงมีปะการังสมบูรณ์อยู่เยอะแล้วก็อยู่ให้เห็นใกล้ๆด้วย แต่ข้อดีของเกาะไหงก็คือ หาดจะลาดลงแล้วดิ่งลงเป็นเหวลึก ทำให้บริเวณที่เราสน็อคเกิลจะสามารถเห็นฝูงปลาขนาดใหญ่ และก็หลากหลาย บางทีอาจเจอปลาแปลกๆที่ไม่สามารถเห็นได้ตามน้ำตื้นๆทั่วไปซึ่งอาศัยอยู่ตามเขตน้ำลึกแต่หลุดว่ายขึ้นมา ถ้าคนที่ชอบดูปลาจะติดใจในเกาะไหงมากกว่า

ความใสของน้ำทะเลที่เกาะรอก


วันรุ่งขึ้น เราก็ออกจากเกาะแต่เช้าเพื่อมาเที่ยวต่อในตัวเมืองตรัง มาถึงตัวเมืองก็ได้เวลาไปจัดการซื้อของตามที่มีคนที่บ้านสั่งมามากมาย ที่ต้องแวะที่แรกนี่เลยตลาดเก่า เป็นที่ๆมีของจากหาดใหญ่มาขายมากมาย ที่ต้องแวะนี่เพราะว่าแม่สั่งให้มาขนเสื้อทางใต้เพื่อไปขายที่บ้านช่วงสงกรานต์ แม่โทรมาสั่งทางร้านเค้าไว้แล้ว เรามีหน้าที่มาจ่ายเงินแล้วก็ขนกลับ โชคดีเอาคนขนส่วนตัวมาด้วยเลยไม่ลำบากเท่าไหร่

เสร็จแล้วก็ไปซื้อขนมเปี๊ยที่โรงแรมธรรมรินทร์ธนาเจ้าอร่อย อันนี้พี่สาวสั่งไว้ ขนมเปี๊ยไส้เผือก อาหร่อยซู้ดยอด

หลังจากนั้นก็เหมารถ ไปเที่ยวถ้ำเลเขากอบ ต้องนั่งรถจากตัวเมืองไปเกือบ 30 ก.ม. ถ้ำเลเข้าได้ทางเดียวคือนั่งเรือเข้าไป ระยะทางประมาณ 2 ก.ม. ค่าเรือก็ 200 บาทต่อลำ



เผอิญมีพี่ผู้หญิงคนนึงเค้าชวนให้ไปแชร์เรือกับเค้า คุยไปคุยมาเค้าทำงานอยู่ตึกข้างๆกันนี่เอง แล้วก็ได้รู้จักเพื่อนใหม่อีกคน

พอเข้าไปในถ้ำบางจุดต้องพายเรือ บางจุดก็ต้องเดิน





อันนี้เค้าเรียกลอดท้องช้าง เพราะมันเหมือนเท้าช้าง



ส่วนนี่เค้าเรียกม่านเจ้าสาว เค้าเชื่อกันว่าใครลอดแล้วถ้าไม่มีคู่ก็จะเจอคู่(ลอดรูตรงกลาง) ถ้ายังไม่ได้แต่งงานก็จะได้แต่งงาน (ต้องลอดรูซ้าย) ส่วนใครที่อยากมีกิ๊กก็ให้ลอดรูทางขวา ไม่รู้จริงเปล่าแต่ก็ลอดรูซ้ายไปแล้ว ฮ่าๆ

ก่อนกลับก็แวะกลับมาที่ตัวเมืองอีกที แล้วก็แวะไปกินข้าวที่ร้านแกงส้ม พวกสามล้อเค้าแนะนำมาว่าร้านนี้อร่อย แล้วก็เดินไปซื้อขนมเค้กเมืองตรังที่ร้านปวีณา เห็นคนมุงเยอะๆเลยอดซื้อตามไม่ได้ พอตอนหลังถึงเพิ่งรู้ว่าร้านนี้มีชื่อ ก็จบทริปนี้แบบแบกของกินกลับบ้านเต็มไปหมด




 

Create Date : 09 เมษายน 2549    
Last Update : 10 เมษายน 2549 20:18:18 น.
Counter : 1181 Pageviews.  

อีกครั้งกับแม่ฮ่องสอน (17/12/2005)

การมาเที่ยวแม่ฮ่องสอนอีกครั้งเป็นเหมือนภาคต่อจากคราวที่แล้ว อะไรที่ยังไม่ได้เที่ยวเมื่อคราวที่แล้วคราวนี้ก็ว่าจะต้องไปให้ได้ หนึ่งในนั้นก็คือการไปเที่ยวหมู่บ้านรวมไทยที่ปางอุ๋ง แต่คราวนี้จะไม่ได้เน้นเที่ยวชมสถานที่ต่างๆเพราะไม่ได้เช่ารถบวกกับปีที่แล้วไปมาหมดแล้ว คราวนี้เลยกะแค่เปลี่ยนบรรยากาศกับเที่ยวสบายๆ

คราวนี้เปลี่ยนจากนั่งเครื่องจากกรุงเทพมาเป็นนั่งรถทัวร์แทนเสร็จแล้วก็มาที่สนามบินเพื่อมานั่งเครื่องต่อเพื่อไปลงแม่ฮ่องสอนหลังจากปีที่แล้วที่ต้องนั่งรถเกือบ 6 ชม. ปีนี้เลยแบบขี้เกียจละ ไปเครื่องดีกว่า

ฝั่งตรงข้ามสนามบิน (เยื้องๆนิดนิง) จะมีร้านกาแฟอร่อยอยู่เจ้านึง มาทีไรต้องแวะประจำ กาแฟที่นี่อร่อยมากๆ ร้านชื่อลีลาวดี คอฟฟี่ แกลลอรี่



แล้วเราก็ออกเดินทางไปแม่ฮ่องสอนกัน



พอมาถึงแม่ฮ่องสอนก็บ่ายโมงพอดี เราก็แวะไปทานข้าวที่ร้านเฟิร์น ติดใจรสชาติจากคราวที่แล้ว จากนั้นก็รอรถสองแถวจนถึงบ่ายสามเพื่อขึ้นไปที่หมู่บ้านรวมไทย คืนนี้เราจะนอนกันที่นั่น

หมู่บ้านรวมไทยตั้งอยู่ในบริเวณอ่างเก็บน้ำในโครงการพระราชดำริซึ่งอยู่บนเขา อากาศจะเย็นตลอดทั้งปี

ทางเข้าอ่างเก็บน้ำ



วิวโดยรวม



ในบริเวณอ่างเก็บน้ำจะมีบ้านพักให้เช่าเป็นของทหารเรียกว่ารวมไทยเกส์ตเฮาส์ ราคาก็ไม่แพงไม่กี่ร้อยบาทเท่านั้น





บ้านพัก





วิวที่อ่างเก็บน้ำ จะมีศาลาให้นั่งเล่นด้วย





ที่นี่จะมีต้นสนเต็มไปหมด



มีแพให้พายออกไปชมวิวเล่นด้วย (แต่จริงๆเหมือนพายออกไปสูบบุหรี่มากกว่า) คนเรือบอกขี้เกียจไปไกล ขี้เกียจพายกลับ



แล้วก็หมดวันไปกับการอ่านหนังสือกับชมวิว

วันรุ่งขึ้นพวกเราก็เดินออกมาที่หมู่บ้านกันเพื่อมากินกาแฟ ที่นี่ได้ชื่อว่ามีกาแฟสดๆจากต้นให้กิน เราก็มาที่นี่กันเลย บ้านคุณลุงปาละ



ต้นกาแฟ





วิธีการทำกาแฟก็มีดังนี้
1. เอาเม็ดกาแฟที่เด็ดออกมาจากต้น มาตำๆๆๆๆ เพื่อให้ได้เม็ดที่อยู่ข้างในออกมา





2. เอาเม็ดข้างในที่ได้มาไปตากแห้ง ก็จะได้ออกมาหน้าตาอย่างนี้



3. แล้วก็เอาไปคั่ว จะออกมาเป็นเม็ดดำๆแบบที่เราๆเคยเห็นกัน

เสร็จแล้วก็เอามาแพ็คขาย



เอามาชงกินก็กลิ่นหอมดี



บ้านชาวบ้านที่อยู่แถวนั้น





หลังจากกินกาแฟเสร็จแล้วเราก็กลับมาที่อ่างเก็บน้ำเพื่อจัดกระเป๋าเตรียมเดินทางไปปาย พอได้เวลา 11 โมง พี่สองแถวที่นัดไว้ก็มารับ ขาลงเขาคราวนี้มีชาวบ้านนั่งกันมาเต็มคันรถ ทั้งข้าวของกับคนต้องอัดๆกันลงมา บางคนก็ต้องโหน สนุกดี

พอมาถึงถนนใหญ่ได้พี่โชเฟอร์เค้าก็ดักรถเมล์ที่จะวิ่งไปปายให้พวกเรา เราต้องรีบออกจากสองแถวเพื่อไปขึ้นรถเมล์ เกือบลืมจ่ายตังค์พี่เค้าแน่ะ

มาถึงปายเราก็มาพักที่เกสต์เฮาส์ที่เดิม สิบสองพันนา แต่คราวนี้อะไรก็เปลี่ยนไปมาก อย่างแรกเลยคือบรรยากาศที่ปายที่แตกต่างจากปีที่แล้ว เนื่องจากปีที่แล้วมาปลายฝนต้นหนาวทุกที่ๆไปจะเป็นสีเขียวไปหมด ทุกอย่างจะดูสดชื่น แต่คราวนี้ทุกอย่างดูแห้งแล้งไปหมด นั่นเนื่องมาจากเป็นฤดูหนาวกับพิษจากน้ำท่วม 2 ครั้งใหญ่ที่ผ่านมา บ้านเรือนต้นไม่เสียหายยับเยิน

ปีนี้น้ำท่วมปายหนักที่สุด ครั้งแรกมาตอน 12 ส.ค. วันแม่พอดี กับอีกครั้งนึงไล่มาตอนเดือน ก.ย. เห็นพี่เค้าว่าน้ำท่วมถึง 2 เมตร และทุกจุดโดนหมด

สภาพเกสต์เฮาส์ที่มาถึง เหมือนบ้านพักติดทะเลเลยเพราะไม่มีต้นไม้ซักกะต้นมีแต่ทราย แถมแม่น้ำที่เคยไหลผ่านหน้าบ้านก็เปลี่ยนทิศไปซะไกลเลย ลองมาดูภาพเปรียบเทียบปีที่แล้วกับปีนี้กัน

ถ่ายจากมุมเดียวกัน

ปีที่แล้ว


ปีนี้


ไม่มีซากสะพานไม้ให้เห็น แม่น้ำที่เคยวิ่งตัดหน้าบ้านตอนนี้กระเถิบไปไกลจนแทบจะเป็นชายหาด เอาไว้วิ่งเล่นได้สบาย

ปีที่แล้ว


ปีนี้


ไม่มีเงาของต้นไม้ต้นนี้


ถึงแม้สิบสองพันนาจะเปลี่ยนไปยังไงก็ตามแต่ด้วยการบริการของพี่ๆที่นี่ เสน่ห์ของปายกับที่นี่ก็ยังคงมีอยู่อย่างเต็มเปี่ยม (พี่มดกะพี่เอม พวกเราจะเอาใจช่วยให้พี่ๆฟื้นฟูที่นี่ให้กลับมาเหมือนเดิมนะคะ แล้วปีหน้าเราจะแวะมาใหม่)

วันรุ่งขึ้นเราก็ขี่มอไซค์เที่ยวกัน ที่ที่มาที่แรกคือที่กองเลน หรือ ปายแคนย่อน แต่ไปไม่ถึงเพราะไม่กล้าเดินไป ทางจริงๆแล้วต้องเดินขึ้นเนินไป 200 เมตร แต่มันจะมีทางบางส่วนที่เป็นทางแคบชัน บวกกับลมที่พัดมาปะทะร่างกาย ทำให้เกิดความรู้สึกว่าไม่กล้าเดินกลัวตก แล้วแถมถ้าตกลงไปก็คงไม่มีคนรู้เพราะมันอยู่ในป่าไม่มีคนซักกะคน เลยตัดใจกลับดีกว่า

ทางแคบที่ว่า (ดูในรูปอาจไม่น่ากลัว แต่จริงๆแล้วมันสูงกว่าพื้นล่างมากๆ)



แล้วเราก็ไปแช่น้ำร้อนกันที่เดิม ท่าปายสปาแคมปิ้ง พอขับมาเรื่อยๆก็มาเจอที่นี่ เกสต์เฮาส์ที่เพิ่งเปิด มีบ้านอยู่บนต้นไม้สามหลัง ราคาไม่แพง 700 บาท





จากนั้นเราก็ไปที่ศูนย์วัฒนธรรมยูนาน



ทางเข้าจะเต็มไปด้วยกองหิน พี่เค้าบอกว่าตรงนี้เมื่อก่อนเป็นบ้านคน แต่น้ำท่วมที่ผ่านมาน้ำป่ามันพัดเอาหินพวกนี้ไหลมาจากบนภูเขา





มาคราวนี้ได้เพื่อนใหม่มาอีกกลุ่ม เผอิญพักที่เดียวกันพอตกกลางคืนสาวๆสองคนในกลุ่มเค้าก็ชวนพวกเราให้มานั่งดื่มด้วยกัน กลุ่มเค้ามีกันสองสาวกับอีกหนึ่งหนุ่มพวกเราก็เลยย้ายโต๊ะมานั่งคุยกัน แล้วก็มีพี่มดกับพี่เอม (พี่ๆที่ดูแลเกสต์เฮาส์ที่นี่) มาร่วมแจมด้วย เป็น 2 คืนที่สนุกดีได้ทั้งเพื่อนใหม่ และได้ฟังเรื่องราวต่างๆมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องน้ำท่วม เรื่องไร้สาระ หรือแม้แต่เรื่องที่ไม่ควรนำมาพูดนอกวงเหล้า เป็นความประทับใจที่คราวหน้าคงต้องกลับมาอีก กับที่นี่สิบสองพันนา

อีกเรื่องนึงที่ไม่พูดถึงคงไม่ได้ มาปายทีไรต้องแวะมากินที่นี่ทุกที ร้านน้องเบียร์ อาหารเป็นแบบง่ายๆพวกข้าวซอย แกงต่างๆ แต่อร่อย




 

Create Date : 24 ธันวาคม 2548    
Last Update : 7 พฤษภาคม 2549 13:20:41 น.
Counter : 817 Pageviews.  

1  2  3  4  
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.