ติดตาม twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด

“แจ๊ซ ไฮบริด”นิ่งแน่นเน้นประหยัด

ขณะที่ค่ายรถยนต์ฝรั่งนิยมเครื่องยนต์ดีเซลหรือเบนซินขนาดเล็กติดเทอร์โบเพื่อรีดพลัง และส่งกำลังผ่านเกียร์แบบดูอัลคลัทซ์ ส่วนพวกญี่ปุ่นกลับชอบแนวทางไฮบริดหรือใช้มอเตอร์ไฟฟ้ามาช่วยแบ่งเบาภาระของเครื่องยนต์และส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติแบบCVT ซึ่งทั้งหมดทั้งปวงต่างมุ่งหวังพัฒนาสมรรถนะการขับขี่ พร้อมลดอัตราบริโภคน้ำมัน และปล่อยไอเสียน้อยลง

       แน่นอนว่าไทยซึ่งเป็นตลาดของรถญี่ปุ่น(มาร์เก็ตแชร์รวมกันประมาณ90%) และเป็นฐานการผลิตสำคัญย่อมเดินตามพร้อมรองรับการถ่ายทอดเทคโนโลยียานยนต์มาจากญี่ปุ่น ตามวาระที่ค่ายผู้ผลิตรถยนต์วางแผนไว้

       ถึงวันนี้เมืองไทยกำลังก้าวเข้าสู่ยุคไฮบริดเต็มตัว ซึ่งนำโดยการปูพรมของโตโยต้าที่ขึ้นไลน์ผลิต คัมรี่ และพริอุส พร้อมนำเข้าอัลฟาร์ด และพริอุส ซี มาทำตลาด ตลอดจนรถหรูในเครืออย่างเลกซัสมีไฮบริดเกือบครบทุกตระกูลทั้งLS GS RX CT200h และล่าสุดฮอนด้าเพิ่มทางเลือกให้คนไทยด้วย“แจ๊ซ ไฮบริด” ซึ่งถือเป็นรถไฮบริดรุ่นที่ซื้อได้ง่ายกว่าคันอื่นๆที่กล่าวมา

       จริงๆแล้วฮอนด้าไฮบริดกับคนไทยอาจจะไม่ใช่เรื่องใหม่เสียทีเดียว เพราะเดิมก็เคยขายมาแล้วหลายรุ่นทั้ง ซีวิค อินไซท์ ซีอาร์ซีร์ ผ่านเกรย์มาร์เก็ตรวมถึงบริษัทฮอนด้า ออโตโมบิลเอง (ซีวิค ซีอาร์ซีร์) ส่วน“แจ๊ซ ไฮบริด ใหม่” ที่ขึ้นไลน์ผลิต ณ โรงงานในนิคมอุตสาหกรรมโรจนะ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ดูจะเป็นอะไรที่จริงจังพร้อมส่งสัญญาณในการบุกตลาดไฮบริดเต็มตัว

ด้วยการสนับสนุนของรัฐบาลไทยทั้งในแง่การลงทุน และการเก็บภาษีสรรพสามิตเพียง 10% (ถ้าแจ๊ซรุ่นปกติ รองรับแก็สโซฮอล์ อี20 จะโดนเก็บที่ 25%) ขณะเดียวกันด้วยเทคโนโลยีไฮบริดที่ไม่ซับซ้อน(เมื่อเทียบกับโตโยต้า) ถูกนำมาวางกับรถที่มีพื้นฐานการผลิตเดิมอยู่แล้ว ย่อมส่งผลโดยตรงกับการประหยัดต้นทุน ดังนั้น“แจ๊ซ ไฮบริด”จึงมีราคาที่น่าคบหาเพียง 768,000 บาท

       ทั้งนี้หลักการทำงานระบบไฮบริดของฮอนด้าจะต่างกับโตโยต้าครับ โดยฮอนด้าเป็นแบบ“พาราลเรล”ที่หวังให้มอเตอร์ไฟฟ้าเข้ามาเสริมการทำงานหรือแบ่งเบาภาระของเครื่องยนต์ลงไปบ้างเท่านั้น ส่วนโตโยต้าจะเป็น“ซีรีส์”ผสม“พาราลเรล” ที่เครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าจะสอดผสานการทำงานตลอดเวลา หรือบางจังหวะมอเตอร์จะทำงานหนักกว่าเครื่องยนต์ด้วยซ้ำ

โดยแจ๊ซ ไฮบริด ใหม่ จะใช้เครื่องยนต์ SOHC 4 สูบ 8 วาล์วi-VTEC ขนาด 1.3 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 88 แรงม้าที่ 5,800 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 121 นิวตัน-เมตรที่ 4,500 รอบต่อนาที ผสานการทำงานกับมอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้กำลัง 14 แรงม้า ที่ 1,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 78 นิวตัน-เมตร ที่ 1,000 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่อง CVT

ในส่วนแพกแบตเตอรี่ขนาดเล็กพร้อมชุดควบคุม IPUถูกวางอยู่ใต้พื้นที่เก็บสำภาระด้านท้ายหรือทดแทนยางอะไหล่ที่ถูกยกออกไป(ฮอนด้าจะให้ชุด “ไทร์ ฟิกซ์”อุดรอยรั่วซึมมาให้)

       ด้านมิติตัวถังเท่ากับแจ็ซรุ่นปกติ แต่แต่งให้ต่างด้วยกระจังหน้า กันชนหน้า สีโคมไฟท้าย และล้ออัลลอย 15 นิ้ว ประกบยาง 175/65R15 (แจ๊ซตัวท็อปใช้ล้ออัลลอยด์ 16 นิ้ว ยาง 185/55 R16) ส่วนภายในฉ่ำเย็นด้วยแอร์อัตโนมัติ(รุ่นปกติเป็นแมนวล) พร้อมจอแสดงผลการทำงานของระบบไฮบริด ขณะที่ระบบความปลอดภัย “แจ๊ซ ไฮบริด” ยังจัดให้ตามมาตรฐานทั้ง ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก ABS ระบบกระจายแรงเบรก EBD และถุงลมนิรภัยคู่หน้า

       อย่างไรก็ตามด้วยชุดไฮบริดที่เสริมเข้ามา ก็ส่งผลให้น้ำหนักตัวของ “แจ๊ซ ไฮบริด” เพิ่มขึ้นจากรุ่นปกติอีก 70 กิโลกรัม ซึ่งแบ่งเป็นของแบตเตอรี่ 60 กิโลกรัมและมอเตอร์ไฟฟ้าที่ติดมากับระบบขับเคลื่อนอีก 10 กิโลกรัม

       ส่วนการขับขี่จริง“แจ๊ซ ไฮบริด” สร้างความประทับใจให้ผู้เขียนพอสมควร แม้ความรู้สึกว่าพลังจะแรงไม่เท่ากับแจ๊ซ เครื่องยนต์ 1.5 ลิตร 120 แรงม้า แต่ทว่าการตอบสนองรวมๆนั้นเพียงพอต่อการใช้ในชีวิตประจำวันแน่นอน



       สำหรับการขับขี่ทั่วไปมอเตอร์ไฟฟ้าจะช่วยเครื่องยนต์ทำงานตลอด ทั้งออกตัว เร่งแซง หรือขับนิ่งๆที่ความเร็ว 80 กม./ชม. ส่วนโหมด EV ที่มอเตอร์ไฟฟ้าต้องทำงานอย่างเดียวจะมีบ้างในบางช่วงที่ขับเนิบๆ40-50 กม./ชม. ซึ่งจากการทดสอบของผู้เขียนพบว่า ต่อให้ขับนิ่งๆที่ความเร็วดังกล่าวแล้วเอาเข้าจริงๆ รถก็ไม่เข้าโหมดEV ให้ทุกครั้งไป

       ที่สำคัญยังสังเกตว่า เมื่อรถเข้าสู่ EV โหมด รอบเครื่องยนต์ยังดีดอยู่ประมาณ 1,000-1,500 รอบ นั่นแสดงให้เห็นว่าเครื่องยนต์ยังทำงานหรือเพลาข้อเหวี่ยงหมุนและลูกสูบยังขึ้น-ลงอยู่ แต่ก็ไม่น่าจะมีการจุดระเบิดในห้องเผาไหม้ ซึ่งประเด็นนี้ต่างจาก EV โหมดของไฮบริดโตโยต้าที่ทุกอย่างดับสนิท เหลือให้มอเตอร์ไฟฟ้าทำงานอย่างเดียว

นอกจากนี้“แจ๊ซ ไฮบริด” ยังมีระบบ Idling Stop เครื่องยนต์ดับเองอัตโนมัติเมื่อรถจอดหยุดนิ่ง ซึ่งพอขับขี่จริงระบบก็ไม่ดับเครื่องยนต์ให้ทุกครั้งที่รถจอด(ติดไฟแดง)เช่นกัน ซึ่งเจ้าหน้าที่ฮอนด้าแจ้งว่าขึ้นอยู่กับอุณหภูมิภายนอกและภายในของรถ นั่นเพราะระบบนี้ไม่มีปุ่มเปิด-ปิด จึงต้องคำนึงถึงความสบายของผู้ขับขี่เป็นหลัก

       กล่าวคือจากการลองขับ “แจ๊ซ ไฮบริด” ทริปนี้มีเพียง1-2 ครั้งเท่านั้นที่ Idling Stop ดับให้ผู้เขียนดีใจ แต่กระนั้นก็ทำงานเพียง 4-5 วินาทีแล้วเครื่องยนต์ก็ติดขึ้นมาใหม่ โดยระหว่างหยุดนั้นพัดลมยังทำงานอยู่ แต่เห็นว่าคอมเพรสเซอร์แอร์จะดับและใช้ความเย็นที่สะสมไว้เดิมภายในห้องโดยสารเพื่อความฉ่ำ ดังนั้นสรุปได้ว่าถ้าอากาศภายนอกร้อนมากIdling Stop คงจะไม่ค่อยทำงานละครับ



       แม้การขับไปลุ้นไปว่าโหมดโน้นระบบนี้จะทำงานหรือเปล่า แต่สิ่งหนึ่งที่รู้สึกว่า “แจ๊ซ ไฮบริด” ทำการบ้านได้ดีคือ ระบบขับเคลื่อนที่เดินเรียบให้การขับขี่นุ่มนวล และยังมั่นใจจากช่วงล่างที่แน่นขึ้น (ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะน้ำหนักตัวรถที่เพิ่มขึ้น) โดยการใช้ความเร็วสูงตัวรถยังทรงตัวนิ่ง บวกกับพวงมาลัยตอบสนองแม่นยำและหนึบหนับกว่าแจ๊ซรุ่นปกติพอสมควร

       อย่างทริปนี้ตอนถนนโล่งๆผู้เขียนลองเหยียบได้ความเร็วถึง 160 กม./ชม. แม้รถเริ่มตื้อปลายหมด แต่ช่วงล่างและตัวถังไม่ออกอาการแกว่ง หรือโยนจนขาดความมั่นใจ ส่วนเบรกค่อนข้างนิ่มเนียน ระยะเบรกสั่งได้ตามความคาดหมาย เหนืออื่นใดเมื่อเรายกคันเร่งหรือเหยียบเบรก มอเตอร์ไฟฟ้าจะช่วยต้านแรงไว้ระดับหนึ่ง พร้อมนำพลังจลน์ที่เสียไปปั่นกลับมาเก็บไว้ในแบตเตอรี่อีกด้วย

       ในส่วนของอัตราบริโภคน้ำมัน ฮอนด้าเคลมไว้ 21.3 กม./ลิตร ซึ่งย้ำว่าประหยัดกว่าแจ๊ซรุ่นปกติ 28% ขณะที่ผู้เขียนได้ตัวเลขจากหน้าจออัจฉริยะแจ้งประมาณ 16 กม./ลิตร

       สำหรับ “แจ๊ซ ไฮบริด” ราคา 768,000 บาท (แจ๊ซเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร ตัวท็อปราคา 715,000 บาท) และได้ภาษีจากโครงการรถยนต์คันแรกคืน 57,700 บาท โดยฮอนด้ารับประกันระบบไฮบริด 5 ปี ไม่จำกัดระยะทาง ส่วนอายุของแบตเตอรี่เทียบเท่าอายุรถ หรือถ้าต้องเปลี่ยนราคาประมาณ60,000-70,000 บาท

รวบรัดตัดความ...ฮอนด้าได้เปิดยุคใหม่ของรถยนต์ไฮบริดที่บุคคลทั่วไปสามารถซื้อหาเป็นเจ้าของได้ง่าย ถ้าใครชื่นชอบเทคโนโลยีและอิงเทรนด์รักษ์โลกน่าจะตัดสินใจได้ไม่ยากกับราคานี้ ขณะเดียวกันการขับขี่ยังนิ่งเนียนและจิบน้ำมันน้อยกว่า“แจ๊ซ รุ่นปกติ”แน่นอน อย่างไรก็ตามหากกลุ่มคนที่ต้องการรถประหยัดน้ำมันเอาไว้ใช้งานจริง ระบบไฮบริดของฮอนด้ายังให้ตัวเลขที่ไม่ฉีกหนีแบบชัดๆเมื่อเทียบกับ“อีโคคาร์”ที่ราคาขายถูกกว่ามาก

….ดังนั้นสุดท้ายแล้วจะซื้อ “แจ๊ซ ไฮบริด” ดีหรือไม่? คงขึ้นอยู่กับโจทย์ที่คุณตั้ง










//manager.co.th/Motoring/ViewNews.aspx?NewsID=9550000100061




 

Create Date : 15 สิงหาคม 2555   
Last Update : 15 สิงหาคม 2555 22:11:32 น.   
Counter : 2117 Pageviews.  

"นิสสัน เอ็กซ์เทรล" ออฟโรดหรูมีระดับ

ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

นิสสัน เอ็กซ์เทรล ได้รับเลือกให้เป็นรถยนต์นั่งอเนกประสงค์ที่โดดเด่นด้วยการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์ รับรองคุณภาพด้วยยอดขายอันดับ 1 ในตลาดรถยนต์นั่งอเนกประสงค์ขนาดกลาง 9 ปีซ้อนในประเทศญี่ปุ่น และในครั้งนี้นิสสัน เอ็กซ์เทรล มาพร้อมรุ่นใหม่ภายใต้แนวคิด "ขับเคลื่อนชีวิตที่แตกต่าง สรรค์สร้างประสบการณ์เหนือระดับ"

ทั้งดีไซน์ภายนอกที่ปรับเปลี่ยนในส่วนของไฟหน้า ไฟท้าย รวมทั้งในส่วนของกระจังหน้า และกันชนหน้าให้ดูมีเอกลักษณ์ยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับล้ออัลลอยดีไซน์ใหม่ ขนาด 17 นิ้ว



สำหรับภายในมาพร้อมกับแผงหน้าปัดดีไซน์ใหม่ และเพิ่มความหรูหราด้วยการตกแต่งภายในสีเงินบริเวณคอนโซลหน้าและที่เปิดประตูให้ทันสมัยเต็มขั้น

นวัตกรรมการออกแบบของนิสสัน เอ็กซ์เทรล เน้นด้านความอเนกประสงค์สำหรับผู้ที่มองหาความแตกต่าง โดยออกแบบพื้นที่เก็บสัมภาระด้านท้ายขนาดใหญ่ถึง 603 ลิตร ปรับเปลี่ยนการจัดวางได้หลายรูปแบบ เพื่อการจัดเก็บสัมภาระตามต้องการ พร้อมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกมากมาย เช่น เบาะคนขับและผู้โดยสารตอนหน้าปรับไฟฟ้า ที่วางแก้วน้ำ ลิ้นชักด้านหน้าพร้อมระบบรักษาอุณหภูมิความเย็น และช่องปรับอากาศสำหรับที่นั่งด้านหลัง เพิ่มสุนทรียภาพให้กับการเดินทางด้วยเครื่องเล่น DVD หน้าจอระบบสัมผัส พร้อมช่องเชื่อมต่อ USB iPod และ SD Card นอกจากนี้ช่วยให้คุณไม่พลาดทุกการติดต่อสื่อสาร ด้วยระบบเชื่อมต่อ Hands-free ไร้สาย Bluetooth แบบ A2DP

ในส่วนของเทคโนโลยีนิสสัน เอ็กซ์เทรล มาพร้อมกับเครื่องยนต์เบนซิน ขนาด 2 ลิตร ภายใต้รหัส MR20DE ตอบสนองดีเยี่ยม พร้อมระบบเกียร์อัจฉริยะ XTRONIC CVT รองรับทุกสไตล์การขับขี่ นุ่มนวล ประหยัดน้ำมันยิ่งขึ้น และขับสนุกเร้าใจยิ่งกว่าด้วย M-Mode 6 Speed ให้คุณเปลี่ยนเกียร์ได้ทันใจตามต้องการ

นิสสัน เอ็กซ์เทรลใหม่มาพร้อมสีภายนอกให้เลือกถึง 6 สี ซึ่งรวมถึงสีน้ำเงิน Pacific Blue (B51) ใหม่ สนนราคาค่าตัว 1.153 ล้านบาท




 

Create Date : 14 สิงหาคม 2555   
Last Update : 14 สิงหาคม 2555 21:51:57 น.   
Counter : 3831 Pageviews.  

“กฤษณา” ลูกชิ้นปลาสวนรื่น รื่นรส อร่อยเนื้อปลาไม่ปนแป้ง

บรรยากาศภายในร้าน

ใครๆ ก็ว่าก๋วยเตี๋ยวนั้นกินได้บ่อยกว่าข้าว เพราะมีหลายรสชาติ และหลากหลายชนิด ซึ่ง “ผ่านมาแวะกิน” ก็ เห็นว่าเป็นแบบนั้นจริงๆ ครั้งนี้เลยขอพามาลองชิมก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลาเจ้าเก่าแก่ ที่เปิดขายกันมา 3 ชั่วอายุคนแล้ว เรียกว่าหากใครเป็นนักชิมก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลาก็ต้องรู้จักร้านนี้แน่ๆ

ร้านนี้มีชื่อว่า “กฤษณา” เปิดขายก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลาสูตรเด็ดที่มีเคล็ดลับเฉพาะตัว เน้นความสดใหม่ ทำใหม่ทุกวันตามปริมาณการขาย ไม่มีเหลือเก็บไว้ค้างคืน ฉะนั้น หากใครมาช้าอาจจะอดชิมก็ได้

ลูกชิ้นรวมมิตร

นอกจากสูตรเฉพาะของทางร้านแล้ว ต้นเหตุความอร่อยอีกอย่างก็คือ การเลือกใช้เนื้อปลาอินทรีจุด ปลากะพงหางเหลือง และปลาดาบ ที่นำมาทำความสะอาด และเลือกใช้แต่ส่วนเนื้อปลาขาวๆ ล้วนๆ ไม่ผสมแป้ง ไม่ใส่สารอื่นๆ จนได้ออกมาเป็นลูกชิ้นปลาหลายรูปแบบ

หากจะดูว่ามีชนิดไหนบ้าง ก็ต้องสั่ง ลูกชิ้นรวมมิตร (70 บาท) มาลองชิม เพราะมีทั้งลูกชิ้นกลม ลูกชิ้นสาหร่าย ลูกชิ้นเห็ดหอม ลูกชิ้นนึ่ง และลูกชิ้นกุ้ง ซึ่งแต่ละอย่างก็มีส่วนผสมที่แตกต่างกันไป แต่ส่วนใหญ่แล้วจะใส่เนื้อปลาเป็นหลัก ผสมกับส่วนผสมอื่นๆ เช่น สาหร่าย เห็ดหอม แครอท เป็นต้น ส่วนลูกชิ้นกุ้งนั้นใช้เนื้อกุ้งและแห้วมาผสมกัน ลูกชิ้นทั้งหมดนี้นำมานึ่งและต้มจนสุก ก่อนจะเสิร์ฟพร้อมกับน้ำจิ้มซอสพริกและน้ำจิ้มซีฟู้ด ชิมลูกชิ้นเคี้ยวเด้งไม่คาว ลูกชิ้นกุ้งเคี้ยวอร่อยได้รสกุ้งและแห้ว ส่วนน้ำจิ้มซีฟู้ดก็จัดจ้านถูกใจ

เกี๊ยวปลา

ส่วน เกี๊ยวปลา (100 บาท) ก็เป็นเกี๊ยวปลาที่ทำด้วยมือ ใหม่ๆ สดๆ แผ่นแป้งด้านนอกได้จากเนื้อปลากะพงหางเหลืองนำมาแผ่ให้บาง ไส้ด้านในเป็นหมูสับปรุงรส เสร็จแล้วนำไปต้ม เสิร์ฟพร้อมกับน้ำจิ้มซอสพริกและน้ำจิ้มซีฟู้ด จิ้มเกี๊ยวปลามาชิมเคี้ยวนุ่มในปาก ไส้นุ่มกลิ่นหอมอร่อยดี

เคี้ยวลูกชิ้นเพลินๆ แล้ว ก็มาลองชิมก๋วยเตี๋ยวดูบ้าง เริ่มจาก ก๋วยเตี๋ยวเย็นตาโฟ (40 บาท พิเศษ 50 บาท) ที่ใส่เครื่องทั้งหมึกกรอบ เลือดหมู ลูกชิ้นกลม ลูกชิ้นทอด ลูกชิ้นสาหร่าย ลูกชิ้นกุ้ง เกี๊ยวกรอบ เต้าหู้ยัดไส้เนื้อปลา และหนังปลาทอดกรอบ ส่วนน้ำซุปนั้นได้จากน้ำต้มกระดูกปลาผสมกับน้ำต้มลูกชิ้น และซอสเย็นตาโฟสีแดงที่ทางร้านทำเองก็ได้มาจากซอสมะเขือเทศผสมกับเต้าหู้ยี้ ก๋วยเตี๋ยวชามนี้เริ่มชิมจากน้ำซุปที่ปรุงมาได้รสกลมกล่อมพอดี ลูกชิ้นที่ไม่คาว เคี้ยวอร่อยเต็มคำ

ก๋วยเตี๋ยวเย็นตาโฟ

หรือหากอยากชิมแบบแห้งก็ต้องสั่ง ก๋วยเตี๋ยวแห้ง (40 บาท พิเศษ 50 บาท) ที่จะปรุงรสมาให้แล้ว ใส่ทั้งน้ำตาล ถั่วลิสงป่น และพริกป่น ถ้าใครไม่กินเผ็ดก็บอกทางร้านได้เลย ชามนี้ก็ใส่ลูกชิ้นแบบหลากหลายมาให้กิน ส่วนเส้นก็เลือกได้ทั้งเส้นเล็ก เส้นใหญ่ เส้นหมี่ บะหมี่ วุ้นเส้น เกี้ยมอี๋ และเส้นปลา

แต่ถ้าหากชอบเส้นปลามากก็ต้องสั่งมากินแยก เส้นปลา (เส้นปลาแยก 120 บาท ก๋วยเตี๋ยวเส้นปลา 70 บาท) ที่ไม่เหมือนเส้นปลาทั่วไป ทำจากเนื้อปลาล้วนๆ นวดด้วยมือ แล้วจึงหั่นเป็นเส้นบางๆ ชิมแล้วเส้นเหนียวนุ่มหนึบ บางเบา

ก๋วยเตี๋ยวแห้ง

หากใครมากินที่ร้าน ขอแนะนำให้สั่งน้ำต่างๆ มาลองชิมด้วย มีทั้งน้ำตะไคร้ น้ำมะตูม น้ำกระเจี๊ยบ น้ำลำไย น้ำเก๊กฮวย โอเลี้ยง และชาดำเย็น (แก้วละ 12 บาท ขวดละ 10 บาท) ซึ่งทางร้านก็ทำเองเช่นกัน เรียกว่ามาถึงร้านอิ่มทั้งก๋วยเตี๋ยว อร่อยลูกชิ้นปลา แถมความสดชื่นด้วยน้ำหวานๆ เย็นๆ

เส้นปลา

//www.jaowka.com/




 

Create Date : 14 สิงหาคม 2555   
Last Update : 14 สิงหาคม 2555 21:49:59 น.   
Counter : 1948 Pageviews.  

ภาพ แฟชั่น ลุคใสๆ ล่าสุดของ ยุนอึนเฮ

ภาพ แฟชั่น ลุคใสๆ ล่าสุดของ ยุนอึนเฮ

ดาราเกาหลี

ยุนอึนเฮ เป็นสาวสวยใสที่เปลี่ยนลุคได้ตลอดเวลา  ล่าสุด ยุนอึนเฮ ถ่ายแฟชั่นเซ็ท ฉบับญี่ปุ่น  ดูแล้วน่ารักไม่เคยเปลี่ยน ลองมาชม แฟชั่น เซ็ทล่าสุด ของ ยุนอึนเฮ ในลุคเบาๆ กัน

ดาราเกาหลี
ยุนอึนเฮ

ดาราเกาหลี
ยุนอึนเฮ

ยุนอึนเฮ
ยุนอึนเฮ

ดาราเกาหลี
ยุนอึนเฮ

ดาราเกาหลี
ยุนอึนเฮ




//women.mthai.com/fashion-gallery/115988.html




 

Create Date : 14 สิงหาคม 2555   
Last Update : 14 สิงหาคม 2555 21:48:02 น.   
Counter : 2626 Pageviews.  

ทาเล็บ 2 สี เพื่อเบรกสีชมพูที่มันแปร้ดเหลือเกิน

พอดีตู๋ไปลองสีทาเล็บ สีชมพู มาค่ะ
ตอนแรกก็ว่า สวย สดใสดี แต่พอ ออกแดด ไปสู่กลางแจ้ง สีเล็บฉันมันช่างแสบตา สะใจเกินไปมั้ย!!
เลยลองหาวิธี ทำให้สีมันดูดรอปลง ด้วยการเอา สีเขียว-ฟ้า มาเบรกสักหน่อย
แต่ตู๋ไม่เก่งเรื่อง ครีเอทลายเล็บอ่ะ ถ้าเพื่อนๆ มีวิธีการทำแบบไหนแนะนำตู๋หน่อยนะคะ
1. ทาสีพื้น สีชมพู 2 รอบเลย.. รอเล็บแห้งสนิท.. สนิทเลยนะ
2. ตู๋ใช้สก็อตเทปใส (Tip : ให้เอาสก็อตเทปแปะกับผ้าก่อน เพื่อลดความเหนียวของกาว มันจะได้ไม่ดึงสีชมพูเราหลุดออกไปด้วยค่ะ)
3. แปะสก็อตเทป โดยอยากให้ลายเป็นแบบไหน ก็แปะงั้นเลย
4. ใช้สีเขียวฟ้า ทาทับไปเลย.. 2 รอบเช่นกัน จากนั้นรอสักแปบ ให้มันแห้งไม่ต้องสนิทก็ได้ (เพราะถ้าแห้งสนิท สีฟ้ามันก็จะลอกเป็นแผ่น ตอนเราแกะสก็อตเทปออก)
5. ทาเคลือบใส (อย่าทาย้ำไป ย้ำมา สีมันจะละลายผสมกัน สีเพี้ยนไปอีก)
6. สำเร็จ เสร็จสรรพ ค่อยดูแสบตาน้อยลงหน่อย

ด้อยเรื่องแต่งลายอ่ะ ใครแนะนำที
^o^"


//women.mthai.com/forum/topic/347772




 

Create Date : 14 สิงหาคม 2555   
Last Update : 14 สิงหาคม 2555 21:47:13 น.   
Counter : 2680 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  94  95  96  97  98  99  100  101  102  103  104  105  106  107  108  109  110  111  112  113  114  115  116  117  118  

tukdee
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 51 คน [?]










ติดตามข้อมูลของเว็บทาง twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด







Online Users


[Add tukdee's blog to your web]