Group Blog All Blog
|
== Steve Jobs : Walter Isaacson ==
 "Stay Hungry Stay Foolish" อย่าทิ้งความกระหาย อย่าคลายความซื่อ เป็นสิ่งที่ Steve Jobs ได้กล่าวไว้ในงานรับปริญญาที่สแตนฟอร์ดเมื่อปี 2007 เราว่าเป็น motto ที่เค้าใช้มาตลอดเกือบทั้งชีวิต หนังสือเล่มนี้หนามาก 630 หน้า(ขั้นต่ำ) แล้วแต่ edition ที่พิมพ์ออกมาถ้าภาษาไทยก็ปาไป 700 กว่าหน้าเป็นการรวบรวมข้อมูลทุกอย่าง อย่างละเอียดมาก เกี่ยวกับ Jobs และ Apple รวมถึง Pixar ทั้งหมดมีการสัมภาษณ์คนกว่า 200 คนที่เกี่ยวข้องในตัว Jobs มีการอ้างอิงถึงบทความและบทสัมภาษณ์ต่างๆ ในช่วงเวลานั้นๆ อ่านแล้ว เข้าใจธุรกิจใน Silicon Valley มากขึ้นไม่ใช่เฉพาะ Apple Inc. อย่างเดียวที่ถูกเขียนหรือกล่าวถึงเข้าใจว่าทุกอย่างที่เราผู้เป็น end user ที่ใช้งานอย่างง่ายๆนั้น แท้จริง เบื้องหลังมันช่างยากเย็น และซับซ้อนมากนัก Macintosh คือ คอมพิวเตอร์ผู้นำ Graphic User Interface แห่งปี 1984 Pixar และ Toy Story คือ ผู้เปลี่ยนแปลงนวัตกรรมภาพยนตร์อนิเมชั่น iPod คือ ผลิตภัณฑ์ที่รวม Music และ Technology เข้าด้วยกันเป็นครั้งแรก iTune คือ แหล่งข้อมูลที่ใหญ่มาก ที่ทำให้ผู้ใช้แชร์ข้อมูลและรับข้อมูลต่างๆ ผ่านสายเคเบิ้ล iPhine คือ โทรศัพท์ที่รวมทุกอย่างใน 1 เดียว iPad คือ ผลิตภัณฑ์ที่อยู่ระหว่าง Notebook และ mobile Phone ได้อย่างลงตัว แต่กว่าจะมาเป็นผลิตภัณฑ์เหล่านี้ได้ มันช่างสนุกสนานและยากเย็นเสียนี่กระไร ชีวิตของ Jobs อุทิศเวลาส่วนใหญ่ให้กับงานและรักงานที่ตัวเองทำอย่างยิ่ง อ่านแล้วเกิดแรงบันดาลใจ ถามตัวเองเหมือนกันนะ ว่าเราได้ทุ่มเทกับงานของเราไปเท่าไหร่ และทำมันอย่างดีที่สุดแล้วหรือยัง เวลาเจออะไรท้อๆ เหนื่อยๆ มานึกถึงชีวิตเฮีย Jobs ที่แกยังทุ่มเททำงานจนกระทั่งใกล้นาทีสุดท้ายของชีวิต โอยย.. รู้สึกว่าเราจะท้อไม่ได้เด็ดขาด บางคนคิดว่าเค้าทำเพื่อเงินแต่เราว่าเค้าทำเพราะเค้าชอบและรักที่จะทำมันมากกว่า รายได้เป็นส่วนหลังที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น อ่านแล้วอยากกลับไปทำโปรเจคต์อะไรดีๆ ซักอย่างของตัวเอง แล้วเราจะได้ใช้คำพูดเดียวกับเฮีย Jobs เมื่อใกล้ถึงวันสุดท้ายของชีวิตว่า "ผมได้ทำทุกอย่างที่ผมอยากทำแล้ว" อ้อ และแน่นอน เฮียก็ยังโกรธ google และ Android เช่นกัน(ฮา) ใครชอบลองค้นหาอ่านดูได้ แน่นอนเล่มนี้เป็น Best Seller ของปี 2011 ยกนิ้วให้ผู้เขียนว่า inside ครอบครัวและงานของ Steve Jobs จริงๆ เล่าเรื่องได้ดี และสนุก ยกให้ Bill Gates เป็นคู่กัดตลอดกาลของเฮียเค้าจริงๆ สุดท้าย Rest In Peace นะคะ Steve Jobs, You're really 2000s innovation man. == เนปาลประมาณสะดือ : นิ้วกลม ==
 เล่มนี้ได้รับบริจาคมาจากเพื่อนสาวผู้น่ารัก หลังจากเราเริ่มดำริว่าอยากไปเทรกกิ้งเนปาลซักครั้งในชีวิต ชอบคำโปรย "เงินทองเก็บเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ประสบการณ์บางอย่างต้องเก็บตอนมีแรง" หิมาลัยจะเป็นยังไงนะ นิ้วกลมก็ยังเป็นนิ้วกลมที่ทำให้เราอ่านหนังสือของเค้าได้รวดเดียวจบ ทั้งๆ ที่มันหนาเกือบ 400 หน้า เหมือนตอนเราอ่านโตเกียวไม่มีขาจบภายใน 1 คืนเช่นกัน เล่มนี้เราอ่าน 4 ชม. จบ สนุกดี เราว่าการเดินทางไม่ได้สนุกตรงจุดหมายหรอก ระหว่างทางต่างหากที่่สนุก และจะสนุกสุดๆ ถ้าได้เดินทางกับคนสนิทและรู้ใจ เข้าใจว่าเราเป็นยังไงและต้องการอะไรบ้าง บางทีมองตากันก็ไม่ต้องบอกอะไรก็เข้าใจได้ว่าเราต้องการอะไร หิมาลัยของนิ้วกลม มี หมูน้ำอยู่ในเรื่อง มีไกด์ชื่อปานนี มีลูกหาบชื่อโรมเมส แล้วหิมาลัยของเราล่ะ จะเป็นยังไงน้า.. แค่คิดก็สนุกแล้ว ชีวิตจะสนุกก็ต้องออกเดินทาง จริงมั้ย  == Sputnik Sweet Heart : Haruki Murakami ==
 โลกนี้จะมีคนเหงากี่คนกันนะ บางคนข้างนอกดูเข้มแข็ง แต่จริงๆ ข้างในเค้าจะเหงามั้ยนะ ตัวละครของมุราคามิ มักจะเป็นแบบนี้อ่ะ แต่ดูดีมีสเน่ห์และดูลึกลับตลอด อ่านแล้วต้องคอยเดาคาร์แรกเตอร์ของตัวละครแต่ละคนกันไป และเป็นอีกเล่มบางๆ ประมาณ 200 กว่าหน้าที่หยิบของคุณลุงมุราคามิมาอ่าน หลังจากผ่านเล่มหนาปึ๊กอย่าง Kafka on the shore มาแล้ว เรื่องนี้ออกจะแนวซึ้งๆ หวานๆ กว่านะ ดูอ่อนละมุนเพราะคนต้นเรื่องเป็นผู้หญิง 2 คน คือ สุมิเระ และมิว ไปท่ามกลางบรรยากาศย่านสวยๆ เก๋ๆ อย่าง โอเมโตซานโด และย่านชิจูกุ แถบๆ สวนสาธารณะยาโยหงิ ของโตเกียว แล้วไปต่อแถวยุโรปทั้งฝรั่งเศส อิตาลี และกรีซ.. แต่มันไม่ใช่นิยายโรมานซ์นะ..มันละมุนๆ แต่ก็ยังคงเป็นสไตล์ของมุราคามิอ่ะ บอกไม่ถูกแฮะ .. ยังไงลองหามาอ่านนะ อ่านเพลิน แป๊บเดียวก็จบ พลิ้วตลอดเรื่อง แล้วอาจจะเกิดคำถาม ความจริงกับความฝันต่างกันตรงไหน ? แล้วตอนนี้เราอยู่ส่วนไหนล่ะ จริงหรือฝัน มันอยู่รวมกัน หรือ ขนานกันไปนะ ?  == The Catcher in the Rye : J.D. Salinger ==
..  เป็น 1 ใน 100 เล่มที่คุณจะต้องอ่านก่อนตายของ BBC ที่เค้าจัดเรียงเอาไว้ ก็หยิบมาอ่านหน่อยจะเป็นไรไป.. ก็เป็นเรื่องของเด็กน้อยโฮลเดน อายุ 15 ปี ที่ถูกไล่ออกจาก 4 โรงเรียน(ที่เค้าว่า) ดีมากๆ มาตลอด ครอบครัวค่อนข้างจะมีฐานะ เล่าเรื่องตั้งแต่วันที่ถูกไล่ออกจนใกล้จะถึงวันคริสต์มาสที่เป็นวันหยุดยาวของชาวฝรั่งเค้า เราว่าเค้าเป็น ขบถ แห่งยุคสมัยนั้น เป็นด้านมืดที่เราทุกคนมีอ่ะ แต่เราถูกกฎระเบียบ ศีลธรรม ตีกรอบไว้ไม่ให้แสดงออก บางทีอาจจะอยากสบถ อยากด่า อยากกระแนะกระแหนคนโน้น คนนี้บ้าง แต่ไม่ค่อยอยากจะทำกัน อาจจะดูไม่ดี หรือไรทำนองนี้ อ่านแล้ว เออ.. นะ อยากทำมั่ง 555 เพราะหนังสือเขียนในช่วงปี 1945 แน่ะ นานมาแล้วนะ แต่อ่านแล้วบ้างเรื่องก็หัวเราะเลย ทุกคนเลวหมดเลยหรือไงเนี่ย ไม่มีดีเลย อ่านแล้วไม่ได้หดหู่นะ แต่ก็ไม่ได้อินอะไรมาก แต่เป็นหนังสือที่แปลกดี ถ้าว่างก็อ่าน อยากลองเปลี่ยนแนว เราก็ว่าโอเคอยู่นะ  == Kafka on the shore by Haruki Murakami ==
 ในที่สุดเราก็ค้นพบว่าเราชอบหนังสือเล่มนี้ของคุณลุงมุราคามิ เราอ่านมาหลายเล่ม แต่ก็ไม่ค่อยประทับใจ หนังสือเล่มนี้ซื้อมาเล่นๆ ตอนเอเชียบุ๊คลดราคา 30% มั้ง มันค่อนข้างจะหนา 615 หน้า เราซื้อแล้วเอามาวางทิ้งไว้เผื่อครึ้มอกครึ้มใจค่อยหยิบมาอ่าน.. แต่.. พอหยิบมาอ่าน ดันวางไม่ลงซะงั้น ฮา สนุกจริงๆ ถึงไม่ถนัดอ่านอังกฤษเท่าไหร่ แต่เราสามารถอ่านจบได้ภายในอาิทิตย์เดียว เรื่องๆ เดียว แกเขียนได้หลายอารมณ์มาก อีโรติก โรแมนติก ตลก เสียดสี ลึกลับ ผจญภัย จิตวิญญาณ ความรัก ครอบครัว เพื่อน โอยย เยอะ แต่ลงตัวและเหมาะเจาะมาก อ่านจบไป 1 บทก็อยากจะอ่านต่ออีกบทนึงกันเลย ไม่แปลกใจเลยที่ติด 1 ใน 10 หนังสือที่ดีที่สุดของปี 2005 เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องของเด็กคนหนึ่งที่ชื่อ Kafka Tamura หนีออกจากบ้านที่โตเกียวไปอาศัยอยู่ที่ห้องสมุดแห่งหนึ่งในแถบ Shikoku และ ชายชราชื่อ Nakata ได้ออกตามหาแมวที่หายออกไปจากบ้าน..และสองคนนี้จะเป็นยังไง จะเจออะไรบ้าง แฟนตาซี จินตนาการล้ำแค่ไหน โปรดติดตาม อ่านแล้วจะทั้งรักทั้งชังทั้งสองคนนี้ ติดตามและลุ้นไปจนเกือบหน้าสุดท้ายกันเลยทีเดียว ใครเป็นแฟนคุณลุงมุราคามิ พลาดเล่มนี้ไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง ..เอยย  |
m-e-e-n-a
 ฝากข้อความหลังไมค์ Rss Feed  Smember ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?] ชอบกิน ชอบวิ่ง ชอบว่ายน้ำ ชอบทำอะไรก็ได้ให้เอนโดรฟีนหลั่ง ชอบถ่ายรูป ชอบออกเดินทาง ชอบหลายอย่าง บางอย่างทำได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่อยากทำ อิสระของชีวิต ไม่ใช่เพราะมีเงินเพียงพออย่างเดียว เราต้องมีเวลาให้กับของกินที่มีประโยชน์ ทำประโยชน์ให้กับสังคม สังสรรค์เฮฮากับเพื่อนดีๆ ออกเดินทางค้นหาคำตอบของชีวิต ดูหนัง ฟังเพลง เสพงานศิลป์ เพื่อความรื่นรมณ์อีกด้าน และที่สำคัญมีเวลาใส่ใจกับคนในครอบครัวของเราด้วย ทำอย่างนี้ได้เมื่อไหร่.. ชีวิตเราจะสมบูรณ์ที่สุด Link |
