Slow Dance เพลงรัก จังหวะสโลว์
ความฝันของคุณคืออะไร ?
เราได้ละทิ้งความฝันนั้นไปหรือยัง ?




"ฉันมีแค่สิ่งเดียวที่อยากบอกกับทุกคน
นั่นก็คือ อย่าหมดหวังจนกว่าจะถึงวินาทีสุดท้าย
ถ้ายอมแพ้ก็คือจบเกมส์

ความฝันก็จะจบตามลงไปด้วย ในนาทีที่เธอยอมแพ้"






"คนเราเกิดมามีชีวิตเดียวก่อนที่จะยอมแพ้ ผมก็อยากจะลองดูซักครั้ง
ผมวิ่งหนีมันมาตลอด ไม่แม้จะวิ่งตามหาความฝัน ยอมจำนนต่อสิ่งที่เกิดขึ้น
ไม่กล้าเปลี่ยนเส้นทางเดินชีวิต เอาแต่ห้ามตัวเองอยู่ตลอด
กลัวโน่น กลัวนี่ อยู่ได้ "


ตอนแรกที่ได้ดูหนังเรื่องนี้ เราก็คิดว่า เป็นหนังธรรมดาๆ เรื่องหนึ่ง เกี่ยวกับความรักของชายหนุ่มและหญิงสาว อาจจะผิดฝาผิดตัวไปบ้าง แต่คงไม่มีอะไร


พระเอกคือน้องซาโตชิ(สุดหล่อ) ชื่อเซริซาว่า ริจิ ทำงานเป็นพนักงานสอนขับรถ
มีพี่ชาย(หล่อสุด) เอซุเกะ แสดงโดย นาโอฮิโตะ ฟูจิกิ หนุ่มแสนจะเพอร์เฟค ทำงานธนาคาร ฉลาดเป็นกรด
แต่แล้ววันนึง พี่ชายได้ลาออกจากพนักงานธนาคาร เพื่อที่จะมาเปิดบาร์ขายเหล้า (ที่ยังไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่) เมื่อเทียบกับรายได้ที่เคยได้รับ ด้วยเหตุผลง่ายๆ คือ ธนาคารจะมีกฎใหม่คือไม่ยอมให้สูบบุหรี่

และบังเอิญที่ริจิได้เป็นอาจารย์สอนขับรถให้กับอิซากิซัง ซึ่งเคยเป็นอาจารย์ฝึกสอนที่โรงเรียนที่ริจิเคยเรียนอยู่ และมีคำพูด คำนึงซึ่งเขาประทับใจและเป็นแรงบันดาลใจให้เค้าเลือกที่จะเรียนไปทางภาพยนตร์้



แต่เมื่อเวลาผ่านไป เหมือนพวกเราที่เด็กๆ ต่างก็มีความฝัน บ้างอยากเป็นหมอ อยากเป็นแอร์โฮสเตส หรืออยากเป็นทหาร หรืออะไรก็ตาม พอโตขึ้นมาหน่อยจะเป็นเส้นทางในการเลือกสอบเข้ามหาวิทยาลัย เราก็จะเริ่มฝันอีกครั้งว่าเราอยากจะเป็นอะไร อยากจะเรียนอะไร มุ่งมั่นไปตามเส้นทางนั้น แต่ชีวิตจริงๆ มันเกิดขึ้นหลังจากเรียนจบมาแล้วต่างหากล่ะ ริจิเองก็ไม่ได้เดินตามความฝันนั้นต่อ เพราะต้องทำงานหาเงินเพื่อประทังชีวิต นั่นคือความจริงที่พวกเราต้องเจอกันทุกคน ได้แต่ประวิงเวลา บอกว่า ไม่นานหรอก ขอให้ฉันได้มีชีวิตที่พอใจ มีเงินพอ มีครอบครัว มีลูก มี มี มี และมี แล้วหลังจากนั้น ฉันก็จะค่อยทำความฝันของฉันให้เป็นจริง ซึ่งกว่าจะมีครบตามที่หวังก็อาจจะใช้เวลาทั้งชีวิตทีเดียว

อิซากิซังเอง ก็มีความฝันเหมือนกันแต่ส่วนใหญ่ผู้หญิงญี่ปุ่นจะฝันถึงการได้เป็นเจ้าสาว ได้แต่งงานกับผู้ชายดีๆ ซักคน แล้วก็กลายเป็นแม่บ้านดูแลลูกๆ ให้ดีที่สุด เธอเองก็อายุมากแล้ว( 31 ปี) เป็นที่ล้อเลียนว่าทำไมยังทำงานอยู่ไม่แต่งงานซะทีล่ะ ตัวเธอเองก็เจอผู้ชายคนหนึ่งที่ดูเหมือนจะรักและอยากให้เธอไปอยู่ด้วย แต่ดูๆ แล้วเค้าก็อยากให้แค่ไปดูแลในฐานะแม่บ้าน ไม่ได้มีอะไรที่มากกว่านี้ อิซากิซัง ก็เลยเลือกที่จะทำงานที่เธอรักมากกว่า แต่เหมือนโชคไม่เข้าข้าง งานที่เธอเลือกก็ถูกลดระดับลงมาเนื่องจากผลงานไม่เข้าตา และผู้ชายคนที่ขอเธอแต่งงานก็เลือกที่จะทิ้งเธอไปเยอรมันซะงั้น อิซากิซังก็เลยเหมือนจะเคว้งคว้างเลยทีเดียว แต่เธอก็ไม่ย่อท้อ มีกำลังใจที่จะสู้อยู่เสมอ

ส่วนมิโนะจัง แสดงโดย เรียวโกะจัง (น่ารักมาก) เธอเป็นหญิงสาวที่มีความฝันกับรักมั่นในสมัยมัธยม ดูเหมือนเธอจะสวยน่ารักเป็นที่ชื่นชอบของทุกคน แต่เธอก็ยังไม่สนใจใคร เพราะเธอมีคำสัญญากับคนรักคนแรกของเธอว่า ในวันที่เขาเรียนจบ เขาจะนัดเจอเธอที่หน้าร้านทิฟฟานี่ แล้วขอเธอแต่งงานและเข้าไปเลือกแหวนในร้านกัน ช่างเป็นนิยายโรมานซ์ จบแบบเจ้าชายเจ้าหญิงรักกันและอยู่ด้วยกันตลอดไปตลอดกาล มิโนะจังเลือกที่จะไม่รับรู้ความเป็นจริงที่เกิดขึ้นกับความรักของเธอ เธอยังจมอยู่กับความฝันนั้นอยู่จนกระทั่ง.. เธอได้มาเจอกับ เอซุเกะคุง เธอเลือกที่จะเอาเขามาเป็นตัวแทนคนรักคนแรกของเธอ เพื่อที่เธอจะได้ไม่ตื่นมาพบกับความจริง


ด้วยความบังเอิญที่อิซากิได้มาเรียนขับรถที่เดียวกับที่ริจิได้สอน ทำให้ทั้งสองคนได้แลกเปลี่ยนความรู้สึกความคิดเห็นกันมากขึ้น

เราชอบบทสนทนาในเรื่องนี้ ดูแล้วมันอินดี อิอิ หรือว่าอินเพราะซาโตชิ ฟระเนี่ย ;)


ตอนที่ริจิเจอกับอายูมิคนรักเก่า เขาก็กำลังจะยอมแพ้เพราะคิดว่าเธอชอบพี่ชายของเขา





อิซากิ :จะยอมแพ้แล้วเหรอ
ริจิ :สายไปแล้วไม่มีทางแล้วล่ะ
อิซากิ :มันจะจบก็ตอนที่เธอยอมแพ้นี่แหละ
ริจิ :ก็เหมือนกันน่ะแหละ คุณไม่มีทางจับมันได้หรอก
อิซากิ :เป็นฉันจะไม่ยอมแพ้ จะไม่ยอมแพ้
ริจิ : เรื่องอะไร
อิซากิ :ชีวิตไงล่ะ เราต้องทำในสิ่งที่ต้องทำใช่มั้ยล่ะ ก่อนที่คนเราจะถึงจุดหมาย ก็ต้องมีหลงทางบ้าง ลังเลบ้างเป็นเรื่องธรรมดาต้องค่อยๆ คิด ค่อยๆ ทำ เราต้องหยุดคิดก่อน เวลาที่ต้องเผชิญกับปัญหาใช่มั้ย



ทฤษฎีสัมพันธภาพ ของ อิซากิซัง





อิซากิ :พอฉันได้ดูหนังของเธอก็เลยนึกขึ้นมาได้

ริจิ :นึกอะไรเหรอ

อิซากิ :นึกถึงตอนกินซึเกะเมนยังไงล่ะเดทแรกฉันไปกอนซึเกะเมน
กับคนที่ชอบด้วยล่ะ

ริจิ :กินซึเกะเมนตอนเดทแรกเนี่ยนะ

อิซากิ :ถึงตอนนี้เวลากินซึเกะเมนทีไร ใจมันเต้นทุกที

ริจิ :แล้วมันเกี่ยวอะไรกับวีดีโอของผมล่ะ

อิซากิ :ตอนที่ฉันดูวีดีโอของเธอ มันทำให้ความทรงจำของฉัน เหมือนกลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง
ฉันรู้สึกได้จากหนังของเธอ ....ความรู้สึกของรักแท้ไม่ต้องสนใจใคร ไม่ต้องไปสนใจอะไร ไม่โกหกตัวเอง และขอให้ได้อยู่เพียงเพราะชอบเค้าคนนั้น

ริจิ :แล้วทำไมไม่ลองรู้สึกอย่างนั้นกับพี่ชายผมบ้างล่ะ

อิซากิ :แฮ่ แฮ่ แฮ้ๆๆๆ

ริจิ :อาจจะไปด้วยกันได้ดีก็ได้นะ เปล่าที่จริงผมก็ไม่รู้อะไรหรอกนะ

อิซากิ : นั่นสิ ข้อมูลก็ไม่มี จุดเชื่อมต่อระหว่างเราก็ไม่มีด้วย

ริจิ :จุดเชื่อมต่อเหรอ ?





อิซากิ : ใช่ ตัวอย่างเช่น เธอต้องมีความสัมพันธ์หรือสิ่งเชื่อมโยงเธอกับเพื่อนร่วมงานหรือคนรู้จัก หรือคนบ้านใกล้เรือนเคียงอย่างที่เราเป็นอยู่ตอนนี้ ถึงไม่อยากเจอ ก็ต้องเจอกันจนได้เหมือนเป็นจุดเชื่อมต่อที่ทำให้คนที่พบกันโดยบังเอิญกลายมาเป็นคนสำคัญที่สุดของชีวิตได้

โลกนี้น่ะมีผู้หญิงกับผู้ชายตั้งมากมาย หรือพูดว่าเมื่อถึงช่วงเวลาที่เหมาะสมทั้งสองก็จะได้มาพบกัน แต่ว่าในกรณีฉัน ผู้ชายที่ฉันจะได้เจอนั้นมีน้อยมากเลย แต่ถึงฉันจะเจอใครที่พิเศษ มันก็อาจจะไม่มีทางมีอะไรไปได้มากกว่านั้นก็ได้ สมมติว่า ถ้าฉันสามารถเจอผู้ชายทุกคนบนโลกนี้ได้ล่ะก็นะ บางทีอาจจะมีซักคนที่เหมาะสมกับฉันและเข้ากันได้กับฉันจริงๆ เต็ม 100 % บ้างก็ได้ ไม่ใช่สิ ต้องมีแน่ๆ ถ้าไม่มีล่ะก็เป็นปัญหาแน่ๆ

ริจิ :ครับๆ มีแน่


อิซากิ :แต่ว่าจากผู้ชายทั้งหมด ที่ฉันรู้จักเพียงน้อยนิดตอนนี้ ถ้าหากฉันเจอใครที่รักได้ 99% ล่ะก็ ฉันก็คงจะคบกับเค้าคนนั้นล่ะนะ พอเข้าใจนะ ?

ริจิ :พอเข้าใจ

อิซากิ :มันก็ฟังดูเหงาๆ ยังไงชอบกลนะ เพียงแค่บางสิ่งมาเชื่อมฉันกับเค้าคนนั้น ไม่แน่ฉันอาจจะตกหลุมรักเต็ม 100% ในโลกนี้บ้างก็ได้นะ




ริจิ :คุณคิดอย่างนั้นเหรอ

อิซากิ : เอ๋...

ริจิ :ความจริงก็คือ การที่คนสองคนยังไม่ได้พบกันมันทำให้ความรักยังไปไม่ถึง 100% เต็มน่ะสิ
ลองคิดถึงผู้ชายทั้งหมดบนโลกนี้นะ ถ้ามีผู้ชายคนนึงที่เหมาะสมกับคุณทุกอย่าง สมมติว่ามีน่ะนะ สาเหตุที่พวกคุณยังไม่ได้พบกันตอนนี้ ก็คือ มันยังไม่มีอะไรมาเชื่อมโยงคุณทั้งสองยังไงล่ะ เพราะฉะนั้น มันก็เป็นเพียงแค่ 99% ไม่ใช่ 100% ถึงแม้ว่าคุณทั้งสองเจอกันไม่กี่ครั้ง หรือว่าจะมีสิ่งเชื่อมโยงถึงกันก็ตาม มันก็ยังคงเหลืออยู่อีก 1% สำหรับผมนะ ผมอยากให้คนๆ นั้นน่ะ มีตัวตนอยู่ในตอนนี้นะ ในโลกใบนี้ มันจะต้องมีซักคนที่ใช่และเหมาะสมกับเรา 100% สิ

อิซากิ :อื้อมมมม อย่างนี้เองน่ะเหรอ

ริจิ :ผมเองก็ไม่เข้าใจนักหรอก

อิซากิ :ฉันว่า...ฉันเข้าใจนะ ก็เหมือนเรื่องของฉันกับเอซุเกะล่ะนะ ที่ไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะเราไม่มีตัวเชื่อมโยงที่ดี

ริจิ :ทำไมคิดว่าไม่มีล่ะผมนี่ไงตัวเชื่อมโยงของคุณ ก็ผมเป็นน้องชายของเค้าผมจึงเป็นตัวเชื่อมโยงที่ดีที่สุด

อิซากิ : ฉันไม่ต้องการตัวเชื่อมโยงแย่ๆ อย่างเธอหรอก
ริจิ :งั้นเหรอ
อิซากิ :งั้นสิ

ริจิ :ว๊าแย่เนอะ ผมว่าเรามีอะไรหลายๆ อย่างที่เชื่อมโยงกันนะ ตอนนี้บ้านเราก็อยู่ใกล้กัน คุณเคยเป็นครูของผมและผมก็เป็นครูสอนขับรถของคุณ

อิซากิ :หรือว่า... เธอกำลังปิ๊งฉัน
ริจิ :ฝันไปเหอะ
อิซากิ :แค่ล้อเล่น..
ริจิ :ผมรู้น่า

555


มิตรภาพระหว่างเพื่อน

ถึงแม้ว่าทุกคนจะเติบโตและเหมือนจะตื่นจากความฝันในสมัยเด็กแล้วก็ตาม แต่มันก็มีช่วงเวลาหนึ่งที่เราได้ย้อนกลับไปฝันถึงวันเก่าๆ ได้อีก



และในที่สุดด้วยแรงผลักดันจากเพื่อนๆ พี่ชาย และ อิซากิซัง ริจิ ก็เลือกที่จะทำหนังสั้นเพื่อส่งประกวดอีกครั้งหนึ่ง



"เธอนี่ดูเหมาะเป็นผู้กำกับดีนะ ก็ดูเธอมีความสุขดีไง ตั้งแต่ฉันรู้จักเธอมา
วันนี้ดูเธอมีความสุขที่สุดเลย ดูเท่ห์ขึ้นอีก 30 % เชียวนะ "




วันเปลี่ยนแปลงชีวิต



อิซากิ :เธอชอบงานนี้จริงๆ เหรอ
เธอชอบเป็นครูสอนขับรถงั้นเหรอ

ริจิ :ก็ไม่ได้เกลียด

อิซากิ :ฉันถามว่าเธอชอบหรือเปล่า ไม่ชอบกับไม่ได้เกลียดมันคนละเรื่องกันนะ

ริจิ :คุณเองก็ดูไม่ได้ชอบงานที่ทำอยู่ซักเท่าไหร่นี่

อิซากิ :เธอกับฉันมันไม่เหมือนกัน

ริจิ :อะไรที่ไม่เหมือนกัน

อิซากิ :เธอยังไม่ได้เริ่มทำซะด้วยซ้ำ เพราะยังไม่ได้เริ่มเธอเลยยังมีโอกาสอีกเยอะ เธอยังไม่มีบันทึกเรื่องแย่ๆ การที่มีโอกาสนั้นหมายความว่าเธอยังมีหวัง 100 % ทำไมถึงตัดใจทิ้งไปล่ะ

ริจิ :ถ้าไม่ทำจะเดินต่อไปข้างหน้าได้ยังไงล่ะ



อิซากิ :ไม่ได้ไปข้างหน้าหรอก เอาแต่หนีต่างหากล่ะ ไปช้าๆ ทำทีละนิดๆ ก็ได้ นี่ ถ้าตอนไหนที่เธอทำไม่ไหว ก็แค่กลับมาตั้งหลักอีกครั้งก็ได้นี่ นี่มันไม่ได้มีอะไรพิเศษ นี่มันไม่ใช่นิยาย เรามีเพียงชีวิตเดียว ทำได้ครั้งเดียวเท่านั้นนะ ชอบไม่ใช่รึไง ?
หนังน่ะ ทำตัวเหมือนคนบ้า ที่คอยวิ่งไล่ตามความฝันก็ไม่เห็นจะเสียหายตรงไหน ถึงมันจะไม่สมหวัง ถึงจะกลายเป็นคุณลุง ถึงจะกลายเป็นคุณปู่ก็ตาม ความฝันที่จะเป็นผู้กำกับก็จะติดอยู่ในใจตลอดไป เธอจะเลิกล้มไม่ได้นะ เพราะความฝันมันไม่มีวันตาย

ริจิ :ผมไม่ถูกหลอกง่ายๆ หรอก ที่พูดน่ะลอกคนอื่นมาใช่มั้ย ก็แค่พูดเลียนแบบ เหมือนในแสลมดังค์เล่ม 8 ตอนที่อาจารย์อันไซ พูดกับมิซาอิ

อิซากิ :ไม่ใช่ซักหน่อย


อิซากิ :เพราะฉัน..เพราะฉันกำลังพูดกับเธอ




ริจิ :กำลังจะบอกอะไรเนี่ย

อิซากิ :ก็เพราะฉันชอบเธอน่ะสิ


จากเหตุการณ์ดังกล่าวมิโนะจังวิเคราะห์ไว้ว่า

"ในโลกนี้มีเพียงผู้หญิงกับผู้ชายเท่านั้น เวลาผู้หญิงบอกรักผู้ชายแบบเพื่อนนั้นมันหมายความได้อย่างเดียว คือรักแบบโรแมนติก"

อิซากิซัง สู้ๆ และริจิ เลือกทางเดินใหม่

"แต่ถึงยังไง ฉันก็จะลองพยายามดู เพราะถ้าพยายามจนมันสำเร็จ มันจะต้องมีสิ่งดีๆ รอเราอยู่แน่ๆ ฉันเองยังไม่รู้เหมือนกันว่าจะต้องเจอกับอะไรบ้าง และเพราะเพียงเราเกิดมาเพียงแค่ชีวิตเดียว ฉะนั้นเมื่อจะทำแล้ว ขอให้ตั้งใจทำให้ถึงที่สุดนะ"


ถูกพี่ชายบอกเลิก แต่... กับน้องชายซะงั้น ;)





อิซากิ :ฉันเพิ่งโดนปฏิเสธมานี่นา

ริจิ :เพิ่งจะรู้ตัวเหรอ

อิซากิ :แต่ฉันทำอะไรไม่ได้นี่ จริงสิ ริจิคุงมาเห็นฉันตอนถูกปฏิเสธอีกแล้วสินะ

ริจิ :วันนี้ไม่ร้องไห้เหรอ

อิซากิ :ก็ฉันไม่ค่อยช็อคเท่าไหร่นี่

ริจิ :เพราะคุณเข้มแข็งขึ้นล่ะมั้ง

อิซากิ :ไม่หรอก
แต่เพราะมีเธออยู่เป็นเพื่อน
ขอบคุณนะ ที่อยู่เป็นเพื่อนในเวลาอย่างนี้.... ขอบคุณนะ
จริงสิ เธอมีเรื่องอะไรจะพูดไม่ใช่รึไง ?




ริจิ :เอ่อ.. ผมลาออกจากโรงเรียนสอนขับรถแล้วล่ะ

อิซากิ :เอ๊ะ

ริจิ :เพิ่งลาออกมาเมื่อตะกี๊นี้เอง

อิซากิ :โกหกหรือเปล่า ? ได้ยังไง ?

ริจิ :จะยังไงล่ะ ?

อิซากิ :เพราะฉันน่ะเหรอ ?

อิซากิ :คงงั้นมั้ง คุณเอาแต่พูดเรื่องนั้น เรื่องนี้ เอาแต่พูดออกมาแต่ไม่รับผิดชอบ คอยผลักหลังคนอื่น แล้วหลังจากนั้นทำหน้า
ไม่รู้ไม่ชี้ลืมเรื่องที่ตัวเองเคยพูด ก็เพราะคุณนั่นแหละ ชีวิตผมเลยเป็นแบบนี้
ขอบคุณนะ ก็ไม่ค่อยเข้าใจหรอก แต่พอผมอยู่กับอิซากิซัง ผมถึงได้มีชีวิตที่ซื่อตรงกับตัวเองได้

อิซากิ :ถ้างั้นก็หาอะไรมาตอบแทนหน่อยสิ
ก็เธอเพิ่งขอบคุณฉันนี่

ริจิ :คุณเป็นคนที่พูดขอบคุณก่อนนะ

อิซากิ :แต่ว่าทางฉันน่ะ เธอไม่ได้ทำอะไรให้ซักหน่อย แต่ฉันน่ะถึงขนาดเปลี่ยนแปลงชีวิตเธอเชียวนะ

ริจิ :จะให้ตอบแทนเหรอ



อิซากิ :แค่ล้อเล่นน่ะ


ริจิ :เวลาขอบคุณน่ะ พวกฝรั่งชอบจูบกันแบบนี้ไม่ใช่เหรอ ?

อิซากิ :ก็ใช่...

ริจิ :ใช่มั้ยล่ะ ...



อิซากิ :ทำไมถึงมาเป็นพนักงานที่นี่ได้ล่ะ ไม่ได้ลาออกเพราะอยากทำหนังหรอกเหรอ

ริจิ :เวลาทำหนังมันต้องมีการเตรียมตัวก่อน ไม่ใช่นึกจะถ่ายก็ถ่ายได้เลยนี่นา

อิซากิ :มันต้องเหยียบแค่ไหนน้า ? ถึงจะเรียกว่าเร็วสำหรับริจิคุงน่ะ

ริจิ :คุณเองก็น่าจะสนใจ เรียนรู้เรื่องระบบเบรกไว้บ้างนะ

อิซากิ :จริงสิ แล้วเรื่องมิโนะจังไปถึงไหนแล้วล่ะ ยังไม่ได้ถามอีกเหรอ

ริจิ :แต่มิโนะจังดูๆ ไปก็เหมือนจิ๊กซอว์นะ

อิซากิ :ก็ใช่น่ะสิ มิโนะจังน่ะตอนอยู่คนเดียวจะต่างไป หรือบางทีก็ขึ้นอยู่กับว่าเค้าอยู่กับใคร

ริจิ :ไม่ไม่ไม่ ถ้าเป็นแบบนั้นคุณเองก็เป็นเหมือนกันไม่ใช่เหรอ

อิซากิ :ทำไมว่างั้นล่ะ

ริจิ :คุณนี่ยังไงกันนะ มันก็ต้องมีเวลาที่เราเลิกกับใครบางคนบ้างสิ

อิซากิ :สำหรับฉัน นะ อันดับแรกต้องแน่ใจก่อนว่าฉันชอบเค้า จากนั้นฉันจึงค่อยเริ่มขั้นต่อไป

ริจิ :ขั้นต่อไป เหรอ

อิซากิ :ใช่

อิซากิ :ถ้าฉันชอบใครซักคน ก็ต้องไปเดทก่อนแล้วค่อยๆ เริ่มเรียนรู้กัน แล้วก็...เดี๋ยวก่อน แล้วเธอล่ะ
เคยมารู้สึกเสียใจทีหลังหรือเปล่า ?

ริจิ :ถ้าทำแล้ว ต้องมาเสียใจทีหลังก็ไม่ทำหรอก

อิซากิ :จริงเหรอ ไม่ค่อยอยากจะเชื่อเลย

ริจิ :ถ้าไม่ชอบก็ไม่ทำหรอก พวกที่เสียใจแล้วไปนั่งเมาแบบนั้นน่ะ ไม่ได้เรื่องหรอก

อิซากิ :จริงด้วยแบบนั้นไม่ได้เรื่องจริงๆ

ริจิ :ใช่มั้ยล่ะ

ริจิ :แต่ถ้าเป็นเรื่องจูบ มันก็อีกเรื่อง

อิซากิ :ใช่ๆๆ เรื่องจูบ...



ถึงคราวที่ริจิคุงต้องเลือก ระหว่าอายูมิ และ อิซากิ
มิโนะจังได้ให้ความเห็น
"ยากจังเลยนะ ถ้าเลือกทำตามหัวใจเรียกร้อง ก็หนีไม่พ้นที่จะทำร้ายใจอีกคน"


บทสนทนาหลังจากเกิดเหตุการณ์นี้ ไปได้ซักพัก



อิซากิ :ฮัลโหล

ริจิ :ฮัลโหล
อิซากิ :ฉันเพิ่งได้รับข้อความของเธอน่ะ ฉันก็สงสัยเหมือนกันว่าเธอทำอะไรอยู่ ที่จริงก็ไม่มีอะไรพูดหรอก แค่คิดถึงน่ะ...


ริจิ :ขอโทษนะ..



อิซากิ :ไม่มีอะไรหรอก ไม่ต้องคิดมาก

ริจิ :ไม่ใช่นะ ตอนนี้ผมอยู่ที่ ยูกาวาระน่ะ



อิซากิ :เอ๊
ริจิ : ผมเคยมาทำโปรเจกต์ก่อนจบที่นี่ ก็เลยว่าจะมาเขียนบทที่นี่กับเพื่อนๆ
อิซากิ : อย่างนั้นเหรอ เธอจะทำหนังจริงๆ เหรอ นี่ ทำไมเธอถึงชอบหนังล่ะ ตอนแรกก็แค่อยากทำตามแบบเอซุเกะซังก็จริงแต่
นั่นคงไม่ใช่เหตุผลเดียวหรอกใช่มั้ย
ริจิ :ผมไม่เก่งเรื่องการถ่ายทอดอารมณ์ทางคำพูดเลยคิดว่าน่าจะดีกว่าถ้าทำมันผ่านแผ่นฟิล์ม
อิซากิ :อ่า..
ริจิ : "อ่า..." อะไร
อิซากิ :ฮ่าๆๆ งั้นตอนนี้ ก็แสดงว่า เธอกำลังเขียนสิ่งที่เธอรู้สึกอยู่น่ะสิ ในบทเธอน่ะ
ริจิ :...
อิซากิ :พยายามเข้านะ
ริจิ :อื้อ...

อิซากิ :ไปนะ....
อิซากิ : ......

ริจิ :ผมรู้ว่าวันนี้มันค่อนข้างดึกแล้ว แต่ถ้าเป็นพรุ่งนี้

อิซากิ :เอ่อนี่..แล้วดาวที่นั่นสวยหรือเปล่า ท้องฟ้าที่นั่นใสมั้ย


ริจิ :อ่า...
อิซากิ :ว่าไง..
ริจิ :เมฆเต็มไปหมดมองไม่เห็นอะไรเลย



อิซากิ :ในเวลาแบบนี้ เธอน่าจะโกหกแล้วบอกว่าสวยที่สุดเลยมากกว่านะ

ริจิ :อย่างคุณมองแป๊บเดียว ก็รู้แล้วว่าผมโกหกแล้ว

อิซากิ :แต่ตอนนี้ฉันไม่เห็นหน้าเธอนี่

ริจิ :อ่อ...

อิซากิ :อ๊ะ ฉันเห็นแล้ว ดาวที่ลอดผ่านมาจากก้อนเมฆ

อืออ..
ริจิ :ไรนะของฝากคุณเหรอ...ผมไม่มีเวลาขนาดนั้นหรอก...ก็ไหนบอกว่าให้ผมตั้งใจทำงานไง



ในที่สุด มิโนะจังก็สรุปทฤษฏีสัมพันธภาพให้กับอิซากิจนได้

"จริงสินะ คุณตั้งใจจะไปเยอรมัน คุณก็เลยไปเรียนขับรถ
ถ้าคุณไม่ได้ไปที่ รร.สอนขับรถหรือถ้าไม่ได้คิดจะไปสอบเอาใบขับขี่แล้วล่ะก็
คุณก็อาจจะไม่ได้เจอกับริจิคุงอีกแล้วใช่มั้ย
แล้วถ้าคุณไม่ได้เป็นอาจารย์ฝึกสอน ในชีวิตนี้อาจจะไม่ได้เจอกับเค้าอีกเลยก็ได้

ดีจังเลยน้า…"





อันนี้ถือว่าเป็นการบอกรักแบบอ้อมๆ หรือเปล่าน้า



ริจิ :ครั้งนี้ไม่ผ่าน มันไม่ง่ายอย่างที่คิดล่ะนะ

อิซากิ :แล้วเรื่องต่อไป จะถ่ายอะไรดีล่ะ

ริจิ :เอ๋

อิซากิ :จะอะไรเล่า ก็เรื่องหนังยังไงล่ะ เธอจะทำเรื่องใหม่พรุ่งนี้เลยใช่มั้ยล่ะ

ริจิ :พรุ่งนี้เลยเรอะ

อิซากิ :งั้นอาทิตย์หน้าเป็นไง

ริจิ :เพี้ยนไปแล้วหรือไง

อิซากิ :พูดอะไร

ริจิ :ก็ดูคุณไม่เคยเห็นจะซีเรียสอะไรเลยนี่นา

อิซากิ :ฉันก็ซีเรียสนะ กังวลเหมือนกัน ฉันก็อายุ 31 แล้ว แล้วยังจะต้องย้ายไปโอซาก้า ที่ที่ฉันไม่รู้จัก ต้องไปเจอคนที่ฉันไม่รู้จักแล้วคงต้องเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง ฉันกังวลมากๆ เลยล่ะ แต่ฉันก็คิดว่ามันคงไม่มีอะไรหรอก ขณะที่ฉันกำลังเดินไป ฉันอาจจะได้พบเส้นทางเดินชีวิตของฉันก็ได้ ฉันคิดแบบนั้นนะ ตอนที่ได้ดูหนังเรื่องนั้นของเธอ แม่จะเป็นถนนที่ทอดไปไกลแสนไกล และแม้ว่าจะต้องจากกันไปไกล....

ถึงตอนที่ได้ไปโอซาก้าจริงๆ ฉันก็อาจจะสนุกจนเพลิน จนลืมกังวลเรื่องพวกนี้ไปเลยก็ได้


ริจิ :อย่างอิซากิซังคงลืมไม่ยากหรอก

อิซากิ :ฉันอาจจะเหมาะกับที่นั่นก็ได้นะ

ริจิ :อือ...

อิซากิ :อ้า อะไรของเธอ จะไม่ลองอีกซักครั้งเหรอ

ริจิ :อะไรล่ะ

อิซากิ :ก็...

ริจิ :ยังไงเราก็ยังอยู่ในญี่ปุ่น บางทีเราอาจจะได้เถียงกันเรื่องคาปูชิโน่อีกก็ได้

อิซากิ :งั้น 10 ปีค่อยมาเจอกันที่นี่ดีมั้ย


ริจิ :อื้อ

อิซากิ :หลังจากนี้อีก 10 ปี ฉันก็ปาไป 41 แล้ว

ริจิ :ไม่เป็นไรหรอกน่า
อิซากิ :เอ๋..

ริจิ :ไม่เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน คุณก็ยังจะเป็นคุณคนเดิม เป็นคนเดิมตลอดไป จะเป็นอิซากิซังคนเดิมเสมอ คงจะเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ สินะ เป็นแบบนี้ต่อไปไม่มีวันสิ้นสุด เมื่อพูดว่ารัก ก็จะไม่มีวันที่จะหยุดรัก เมื่อจูบแล้ว จูบนั้นก็จะตรึงตราอยู่ตลอดไป และถึงแม้ว่าต้องแยกจากกัน ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างจะต้องจบลง ทุกๆ อย่างจะต้องดำเนินต่อไป ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป อาจจะช้าหน่อย แต่ก็ต้องไปต่อไป







ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างมิโนะจัง และ เอซุเกะคุง ดูเหมือนมันจะเริ่มขึ้นง่ายๆ และ จบลงอย่างรวดเร็ว (แบบแฮปปี้มากๆ) เหมือนกับว่าทั้งสองคนต่างคนต่างก็ค้นหาใครซักคนที่อยากจะจริงจังด้วย มีคนเข้าให้เลือกมากมาย แต่ก็ยังไม่ใช่อยู่ดี มิโนะจังเป็นคนที่เหมือนจะเข้าใจ และรู้ดีเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างชายและหญิง แต่เมื่อถึงตาของเธอเอง เธอเลือกที่จะหนีมัน แต่เพราะทั้งริจิ และ อิซากิ ก็ทำให้เธอพร้อมที่จะสู้กับความรักอีกครั้ง



นี่เอซุเกะซัง เคยคิดจะหนีไปไกลๆ บ้างไหม ทิ้งทุกอย่างแล้วก็เดินจากไป ไม่ต้องคิดถึงเรื่องอะไรอีก ทิ้งคำสัญญา ทิ้งทุกๆ อย่างแล้วก็วิ่งจากไปให้ไกลที่สุด




ผู้หญิงนี่เข้าใจยากจริงๆ เลยนะ
ไม่เข้าใจเหรอ



ก็ใช่น่ะสิ ไม่เข้าใจเลย
ไม่เข้าใจจริงๆ น่ะเหรอ









งั้น...คุณก็ไม่เข้าใจสินะ ว่าฉันรู้สึกกับคุณยังไง



มิโนะจัง : พูดไปมันคงไม่ดี แต่ตอนนั้นมันรู้สึกเหมือนเอซึเกะซัง เป็นตัวแทนของอากิระ ตอนที่เรารู้สึกแย่มากๆ เรามักจะหาที่พึ่งใกล้ตัวเรามากที่สุดใช่มั้ยล่ะ
ฉันเคยคิดว่า มันคงไม่ใช่อะไรที่มากกว่านั้น แต่มาตอนนี้ ฉันกลับรู้สึกว่าเอซึเกะซัง เป็นมากกว่าตัวแทนของใครมันเหมือนกับว่าเค้ากลายมาเป็นตัวจริงน่ะ แปลกเนอะ คนเรามักจะรู้สึกตัว ก็ตอนที่จะต้องเสียของที่ตัวเองรักไปแล้วทุกที

อิซากิ :ฉันว่ามันเกิดขึ้นบ่อยออก มันใช้เวลานานนะ กว่าเราจะรู้ใจตัวเอง ว่าเราชอบใครซักคน แต่เมื่อเรารู้แล้ว เรากลับรู้สึกกลัว

และดูเหมือนเรื่องนี้จะไม่มีตอนไหนที่ผิดคู่เลย น่ารักมากๆ เลย



และบทส่งท้าย


ริจิ :ถึงเราไม่ได้ที่หนึ่ง แต่ก็ ได้ผ่านเส้นทางที่วกวน ที่แสนไกล ถึงแม้หนทางจะลำบากกว่าจะไปถึง แม้จะต้องใช้ความพยายามมากกกว่าจะได้มาก แต่มีอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญกับผมมากกว่า นั่นคือ ผมรักคุณ อิซากิซังผมรักคุณ



อิซากิ :พูดจริงเหรอ


อิซากิ :ต่อไปนี้เธอจะช่วยดูแลฉันตลอดไปใช่มั้ย ?


อิซากิ : เดี๋ยวค่อยๆ รัก แต่รักนานๆ โอเคป่ะ




พอดูหนังเรื่องนี้จบ เราก็เขี่ยได้อารี่ ไว้เลย

ความฝันของคุณคืออะไร ?
เราได้ละทิ้งความฝันนั้นไปหรือยัง ?


และ นึกถึงความฝันของเรา และตอนนี้เราก็ค่อยๆ กระดึ๊บๆ ทำความฝันนั้นไปเคียงคู่กับการทำงานประจำทุกวันๆ
เราชอบถ่ายรูปมากๆ หลังจากที่ถ่ายๆ หยุดๆ มาพักนึง และคิดว่าไม่มีเวลาไปทำกิจกรรมนั้นแล้วล่ะ
ตอนนั้นก็เริ่มหาความรู้ใหม่เพิ่มเติม และ ซื้อเลนส์ตัวที่จ้องไว้มานาน และ เริ่มเอาสิ่งที่เรียนรู้มาฝึกฝนๆๆ ไปเรื่อยๆ พยายามเข้าร้านหนังสือ เปิดดูรูปมือโปรที่เค้าถ่ายๆ กันมา ขยันๆ หาเวลาไปถ่ายรูป เค้าว่ากันว่าต้องถ่ายซัก 30,000 - 40,000 รูป ถึงจะเรียกว่าได้ประสบการณ์ ตอนนี้เราถ่ายไปประมาณ 5,000 รูปแล้ว เพื่อนชมว่าดูมีพัฒนาการดี ก็รู้สึกปลาบปลื้มดีกับตัวเอง มากๆ ก็ตั้งเป้าไว้จะพยายามกระดึ๊บความฝันนั้นต่อไป

และตอนนี้ก็รื้อโปรเจกต์ ท่องเที่ยวญี่ปุ่นที่วางแผนไว้ตั้งแต่ 2 ปีที่แล้ว แต่เนื่องจากเอาแต่รอเพื่อนที่ค่อนข้างไม่พร้อม ทำให้โปรเจคต์เลื่อนมานาน ตอนนี้ เลยยื่นคำขาดว่า ถ้าแกไม่ไป ฉันก็จะไปคนเดียว และเป็นเรื่องที่น่ายินดี ที่มีแกงค์เก่าที่เคยเที่ยวกัน จะไปกะเราอีก 2 คน ดังนั้น เราก็เลย เตรียมๆ ถึงขั้นลงทุนซื้อ lonely Planet มาอ่านทีเดียวเชียวนะ เมื่อก่อนไปเดินดูตามร้านหนังสือ เปิด ๆ พอดูราคา ว๊า แพงจัง แล้วก็วาง แล้วบอกว่าค่อยมาซื้อตอนมันลดราคา แล้วก็เดินกลับ เหมือนทิ้งความฝันเอาไว้ตรงนั้นแหละ แต่พอมีวันนึงเราก็ตัดใจเดินเข้าไปและหยิบ ออกมา เมื่อเปิดอ่าน มันทำให้เรามีความสุขมากๆ เลย (อย่าหาว่ากระแดะนะ แต่ Lonely Planet เค้าดีจริงๆ นะ จริงๆ เรามีคู่มือเยอะแยะเลย ภาษาไทย แต่ก็นะ อ่านโลกเหงาแล้ว เข้าใจมากขึ้นล่ะ)
ตอนนี้ก็เตรียมการไปได้เยอะแล้ว จะได้ไป เยี่ยม ฟูจิซัง Ghibli musuim และ ดิสนีย์แลนด์ซะที
การเดินทางร้อยลี้ เริ่มต้นที่ก้าวแรกนี่เนาะ ดังนั้น มันเหมือนเติมเต็มความฝันเราเหลือเกิน เราจะพยายามกระดิ๊บๆ มันต่อไป ช้าๆ แต่มีจุดยืน แล้วเมื่อเราแก่เฒ่า เป็นคุณป้า หรือคุณยาย เราก็ได้ภูมิใจว่าเราได้ทำความฝันเราไปแล้วเหมือนกัน เราจะไม่ท้อเด็ดขาด กระดิ๊บ กระดิ๊บ ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย จริงมั้ย

อ้อ ตอนนี้จะไปสมัครเรียนกีตาร์คลาสสิคล่ะ ฝันไว้ตั้งแต่ปีมะโว้ ตอน ม.ปลายแล้ว จะไปสมัครหลายครั้งแต่ ก็ไม่ได้สมัครซะที แล้วลืมไปเลย ตอนนี้ไปดูเวลาเรียน และเพื่อนสาวก็จะไปเรียนเปียโนด้วย เห็นว่าจะไว้เล่นบนเวทีวันแต่งงานให้เรา
อิอิ.. มันจะมีวันนั้นมั้ยหนอ ฮ่าๆๆ


อยากบอกจังว่า "ตอนนี้มีความสุขจังเลย"



Create Date : 15 พฤษภาคม 2552
Last Update : 15 พฤษภาคม 2552 17:01:30 น.
Counter : 2818 Pageviews.

2 comments
  
น่าดูจังเรื่องนี้
โดย: StarInDark วันที่: 15 พฤษภาคม 2552 เวลา:17:19:46 น.
  
เจ้าของบล็อกเขียนไว้ตั้งแต่ปี 52 แต่ผมเพิ่งได้เข้ามาอ่าน เรื่องของเรื่องคือ เพราะผมเพิ่งมีโอากาสได้ดูซีรี่ย์เรื่องนี้ ก็เลยลองมาเสิร์ซหาข้อมูลดู จนมาเจอบล็อกนี้

ผมยังอ่านได้ไม่หมด เพราะตอนนี้เพิ่งดูได้แค่ 4 ตอน กลัวจะโดนสปอย แต่ 4 ตอนที่ดูขอบอกว่าชอบมากๆ มันอาจไม่ได้สนุกสุดเหวี่ยง หัวเราะเสียงดัง ตื่นเต้นเร้าใจ หรือซึ้งจนน้ำตาไหล แต่ทุกตอนมันซึมลึกขึ้นเรื่อย แบบยิ่งดูยิ่งอินจริงๆครับ

ไว้อ่านจบผมจะตามมาอ่านใหม่อีกรอบนะครับ ตอนนั้นคงมีอะไรคุยด้วยมากกว่านี้ แต่ไม่รู้ว่าเจ้าของบล้อกจะได้มาอ่านเม้นท์ผมหรือเปล่าเท่านั้น555
โดย: เกาเหลาใส่เส้น วันที่: 28 สิงหาคม 2555 เวลา:12:14:37 น.
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

m-e-e-n-a
Location :
ภูเก็ต  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]



ชอบกิน
ชอบวิ่ง
ชอบว่ายน้ำ
ชอบทำอะไรก็ได้ให้เอนโดรฟีนหลั่ง
ชอบถ่ายรูป
ชอบออกเดินทาง
ชอบหลายอย่าง บางอย่างทำได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่อยากทำ

อิสระของชีวิต ไม่ใช่เพราะมีเงินเพียงพออย่างเดียว
เราต้องมีเวลาให้กับของกินที่มีประโยชน์ ทำประโยชน์ให้กับสังคม สังสรรค์เฮฮากับเพื่อนดีๆ ออกเดินทางค้นหาคำตอบของชีวิต ดูหนัง ฟังเพลง เสพงานศิลป์ เพื่อความรื่นรมณ์อีกด้าน และที่สำคัญมีเวลาใส่ใจกับคนในครอบครัวของเราด้วย ทำอย่างนี้ได้เมื่อไหร่.. ชีวิตเราจะสมบูรณ์ที่สุด