อิสรภาพทางการเงิน
อิสรภาพทางการเงิน
ท่านคงเคยได้ยินคำว่า “อิสรภาพทางการเงิน” มาบ้างไม่มากก็น้อย ใคร ๆ ก็อยากจะประกาศอิสรภาพทางการเงิน ส่วนมากคงจะได้ยินบ่อย ๆ เมื่อถูกชักชวนไปทำธุรกิจขายตรง หรือธุรกิจลูกโซ่หลอกหาสมาชิก เอะอะก็อ้างอิสรภาพทางการเงิน !! เอะอะก็อ้างอิสรภาพทางการเงิน !! อะไรคืออิสรภาพทางการเงิน อิสรภาพทางการเงิน หมายถึง การทำอะไรก็ได้ตามใจต้องการ โดยที่ไม่ต้องห่วงเรื่องเงิน เมื่อไหร่จึงจะได้อิสรภาพทางการเงิน คนที่มีอิสรภาพทางการเงิน ไม่ได้หมายถึง คนที่มีเงินสะสมมาก คนที่มีอิสรภาพทางการเงิน ไม่ได้หมายถึง คนที่ได้เงินเดือนเยอะ คนที่มีอิสรภาพทางการเงิน หมายถึง การมีเงินที่ไม่ได้มาจากการทำงาน (Passive Income) มากกว่า รายจ่ายทั้งหมดที่ต้องใช้รวมกัน (ท่านจะต้องเข้าใจเรื่อง Passive Income ให้ดีเสียก่อน อ่านเรื่อง Passive Income ได้จากที่นี่ //www.bloggang.com/viewdiary.php?id=pantipstory&month=08-2012&date=15&group=11&gblog=1) ขอยกตัวอย่างง่าย ๆ หากค่าใช้จ่ายทุกอย่างทั้งหมดรวมกัน (ไม่ว่าจะค่ากิน ค่าใช้ ค่าเช่า ค่าผ่อน ค่าเทอม และอื่น ๆ) ต้องใช้เดือนละ 15,000 บาท แล้วท่านมี Passive Income เดือนละ 20,000 บาท ถือว่าท่านนั้นได้ประกาศอิสรภาพทางการเงินแล้ว เพราะว่าอยู่กับบ้าน นั่ง ๆ นอน ๆ ไม่ต้องทำงานอะไรก็ไม่อดตาย แต่ถ้าหากท่านได้เงินเดือน 30,000 บาท แล้วมีค่าใช้จ่ายทุกอย่างทั้งหมดรวมกันเดือนละ 20,000 บาท กรณีนี้ยังไม่ถือว่าท่านมีอิสรภาพทางการเงิน เนื่องจากรายได้จากเงินเดือน ไม่ถือว่าเป็น Passive Income หากเกิดเหตุที่ทำให้ไม่สามารถทำงานต่อไปได้ รายได้ 30,000 ของท่านจะหายไป แต่รายจ่าย 20,000 บาทของท่านยังคงอยู่ สำหรับคนที่มีสมบัติสะสมไว้มากมาย แต่ไม่มี Passive Income เข้ากระเป๋า สมบัติที่มีอยู่ก็จะต้องร่อยหรอลงทุกวัน สรุป เมื่อใดที่ Passive Income มีมากกว่า รายจ่ายทั้งหมดรวมกัน ท่านก็จะมีอิสระในการทำอะไรก็ได้เท่าที่ใจต้องการ โดยที่ไม่ต้องมาคอยห่วงเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ สมกับคำว่า “อิสรภาพทางการเงิน” ความสำคัญของ "เงินสี่ด้าน"
หลายวันก่อนผมได้นั่งคุยเล่นกับเด็กกลุ่มหนึ่ง หลังจากกลับมาคิดดูอีกรอบก็รู้สึกว่า การให้ความรู้ทางการเงินแบบพื้นฐานตั้งแต่เด็กนั้นเป็นเรื่องจำเป็น ผมจึงสัญญากับเด็กประถม 6 เหล่านั้นว่า จะเขียนเรื่องสำคัญเกี่ยวกับการเงินที่เข้าใจง่าย ๆ ให้ฟัง สาเหตุที่ผมเข้ามาในตลาดหุ้นนั้น คือการได้มาซึ่ง Passive Income หรือเงินที่ไม่ได้มาจากการทำงาน เงินที่ไม่ได้มาจากการทำงานไม่ได้หมายถึง นั่ง ๆ นอน ๆ เกาะสมาชิกในครอบครัวกิน ซึ่งผมคิดว่าเรื่องเงินสี่ด้านนี้ ผมจะสรุปใจความสำคัญด้วยภาษาที่ชาวบ้านอ่านรู้เรื่อง โดยตัดความซับซ้อนทั้งหลายทิ้งไป แหล่งที่มาของเงินทั้งสี่ด้าน แบ่งได้ ดังนี้ 1. เงินเดือน 2. ธุรกิจส่วนตัว 3. เจ้าของกิจการ 4. นักลงทุน 1. เงินเดือน แม้ว่าภารโรงและผู้บริหารจะมีระดับชั้นยศแตกต่างกันมากสักแค่ไหนก็ตาม แต่ทั้งคู่ต่างก็เป็นลูกจ้างรับเงินเดือนเหมือนกัน การทำงานเป็นลูกจ้างรับเงินเดือนนั้นมีข้อเสีย คือ
เมื่อใดที่ไม่ได้ทำงาน เงินก็จะไม่มี หลายคนทำงานมาทั้งชีวิตจนแก่ เมื่อไม่สามารถทำงานต่อไปได้อีก ก็พบกับความว่างเปล่าไม่มีเงินให้ใช้ 2. ธุรกิจส่วนตัว หมายถึง การมีธุรกิจเป็นของตัวเอง เช่น การมีร้านเป็นของตัวเอง เป็นต้น แม้ว่าจะมีอิสระในการทำงานมากกว่าการเป็นลูกจ้าง ไม่ต้องคอยรับคำสั่งจากใคร ทำอะไรก็ได้ที่ตนเองต้องการ อยากขายวันไหนก็ได้ อยากหยุดวันไหนก็ได้
แต่ข้อเสียนั้นไม่ต่างจากการเป็นลูกจ้างรับเงินเดือนสักเท่าไหร่นั่นคือ 3. เจ้าของกิจการ 4. นักลงทุน คำว่านักลงทุนนั้นไม่จำเป็นว่าต้องเป็นนักลงทุนในตลาดหุ้น คล้ายกับว่าเอาเงินไปฝากธนาคารแล้วได้ดอกเบี้ยตลอดเวลาโดยที่เราไม่ต้องลงมือทำอะไร สมัยก่อนมีคนบอกว่ามีเงินล้านแค่ฝากธนาคารแล้วกินดอกเบี้ย เป็นเสือนอนกิน สบายไปทั้งชีวิต ไม่ต้องทำงาน ยกตัวอย่างเพื่อให้เห็นภาพง่าย ๆ เช่น การที่เราไม่ต้องทำอะไรเลยแล้วมีเงินมาให้ตลอดเวลาแบบนี้เรียกว่า Passive Income หมายเหตุ : คนที่เล่นหุ้นโดยการซื้อหุ้นตอนราคาถูก เพื่อมาขายตอนราคาแพงแล้วไม่มีเวลาว่างเป็นอิสระ สรุป 1. เงินเดือน ไม่มี Passive Income ต้องทำงานตลอดเวลา ห้ามเลิก ห้ามหยุด 2. ธุรกิจส่วนตัว ไม่มี Passive Income ต้องทำงานตลอดเวลา ห้ามปิดร้าน 3. เจ้าของกิจการ ได้ Passive Income ไม่ต้องทำงานก็ได้เงิน เพราะมีระบบทำงานแทนเรา ทำให้มีเวลาว่างให้กับชีวิต 4. นักลงทุน ได้ Passive Income ไม่ต้องทำงานก็ได้เงิน เพราะใช้เงินทำงานแทนเรา มีเวลาว่างให้กับชีวิต
สิ่งที่ควรจะเป็นให้ได้คือการเป็นเจ้าของกิจการหรือเป็นนักลงทุน สิ่งที่พึงหลีกเลี่ยงคือการกินเงินเดือนและธุรกิจส่วนตัว เพราะถ้าเราอายุมากจนทำงานไม่ได้เมื่อไหร่ เมื่อนั้นจะไม่มีเงิน ไม่มีรายได้ แต่สิ่งที่เลี่ยงไม่ได้คือการเป็นลูกจ้างรับเงินเดือนไปก่อน เพราะเรายังต้องกินต้องใช้ และฝึกฝนวิชาความรู้ หาประสบการณ์
จำที่ครูสอนให้ดีนะ เรื่องต่อไปที่ต้องอ่าน "อิสรภาพทางการเงิน" อ่านได้จากที่นี่ //www.bloggang.com/viewdiary.php?id=pantipstory&month=08-2012&date=17&group=11&gblog=2 เขียนเสร็จเมื่อ : วันพุธที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2555 |
เฮียเลือด
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?] พระธรรมลูกา บทที่ ข้อที่ 31 "พระเยซูตรัสตอบเขาว่า คนปกติไม่ต้องการหมอ แต่คนเจ็บต้องการหมอ" Group Blog Link |
||||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |