มาสร้างสติให้เกิดขึ้น เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลในวันแม่กันเถิด
คำว่า "แม่" นั้น เป็นคำที่มีความหมายอันลึกซึ้งกินใจยิ่งใหญ่ สำหรับในหัวใจลูกทุกๆคน ไม่ว่าจะยากดีมีจน ค่นแค้นยันเศรษฐีมหาเศรษฐี ความเป็นแม่ ย่อมยังคงอยู่ในหัวใจของแม่ตลอดไป

แม่ที่มีความห่วงใย คอยเฝ้าดูความเจริญเติบโตทางร่างกายและจิตใจของลูกทุกคน ติดตามดูความเจริญก้าวหน้าทั้งด้านการศึกษาในแต่ละระดับชั้น เพื่อให้ผ่านพ้นไปด้วยดี เฝ้าติดตามดูความสำเร็จในด้านการงาน และการได้เห็นลูกๆทุกคนมีครอบครัวที่อบอุ่น ด้วยจิตใจที่จดจ่อทุกขณะที่ได้เห็นหน้าลูก

ความเป็นห่วงเป็นใยของแม่นี้จะจบลงตอนไหน? ตอบได้เต็มปากว่า จะจบลงได้จริงๆ ขอบอกว่าจบลงได้จริงๆนะ ไม่ใช่จบลงที่ปากบอกว่า...? เมื่อจบการศึกษาแล้ว...มีการงานที่ดีแล้ว...มีครอบครัวที่อบอุ่นแล้ว...แม่จะหมดห่วงได้แล้ว...ไม่จริงอย่างแน่นอน

การที่แม่จะหมดห่วงได้จริงๆนั้น ก็ตอนที่ต้องตายจากกันไป ข้างใดข้างหนึ่งเท่านั้น แค่นี้ยังไม่พอ บางครั้งยังมีการห่วงไปถึงชีวิตหลังความตาย(ภพที่จะไป)อีกเสียด้วยซ้ำไป...


เมื่อรู้เช่นนี้แล้ว เราควรมาสร้างคุณงามความดีที่ยั่งยืน เพื่อมอบให้แก่แม่อันเป็นที่รัก เพื่อเป็นกุศลกันเถิด เริ่มที่ การสร้าง "สติ" ให้เกิดขึ้นที่จิต

คำว่า "สติ" นั้น หมายถึง การระลึก ซึ่งในหลายแห่ง อาจแปลว่า การระลึกรู้ ซึ่งก็หมายถึงการรวมเอาจิตที่เป็นผู้รู้เข้าไปด้วย เพราะ "จิตเป็นธาตุรู้" ถ้าไม่มีจิตเป็นตัวยืน ก็คงไม่มีการระลึกรู้เกิดขึ้นมาได้อย่างแน่นอน การจะระลึกขึ้นมาได้นั้น ต้องระลึกรู้ได้ด้วยจิตของตนเท่านั้น เป็นของๆใครของเค้าเอง

การระลึกรู้ หรือการสร้างสติให้เกิดขึ้นนั้น ใครจะมาช่วยเหลือ เพื่อสร้างแทนกันนั้นไม่ได้ อย่างมากที่สุดที่ทำได้ ก็คือ การคอยตักเตือนให้มีสติอยู่เสมอ หรือแนะนำให้รู้จักวิธีสร้างสติให้เกิดขึ้นเท่านั้น


เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เราควรจะมารู้จักวิธีการระลึกรู้หรือการสร้างสติอย่างถูกต้องตามหลักในมหาสติปัฏฐานสูตร เพราะการระลึกรู้ของบุคคลคนทั่วๆไปที่เรียกว่าสตินั้น แท้จริงแล้วเป็นเพียงสัญญาอารมณ์ชนิดหนึ่งเท่านั้น

เริ่มจากการระลึกรู้ว่า
สิ่งไหนที่เป็นกุศล(อารมณ์กุศล) ควรทำให้เกิดขึ้น และเจริญให้มากยิ่งๆขึ้น
สิ่งไหนเป็นอกุศล(อารมณ์อกุศล) ควรละเสียให้ได้อย่างรวดเร็ว และเพียรละอกุศลที่เคยมีอยู่ให้หมดไป

การจะทำให้สัญญาอารมณ์ กลายเป็นสติจนกระทั่งเป็นสัมมาสติได้นั้น
ต้องเพียรพยายามระลึกรู้อย่างต่อเนื่องเนืองๆ อยู่ในที่ ๔ สถาน คือ ระลึกรู้อยู่ที่กาย เวทนา จิต และธรรม แบบไม่ขาดสายหรือที่เรียกว่า มีสติเป็นชาคโร คือมีสติตื่นอยู่เสมอ

การระลึกรู้ในขั้นแรกนั้น ควรเริ่มต้นที่ฐานกายก่อนเป็นอันดับแรก
เหตุก็คือ เป็นฐานที่ง่ายต่อผู้ปฏิบัติในขณะที่ยังเป็นผู้ใหม่อยู่ ที่จะระลึกรู้ได้ชัดเจน เห็นไตรลักษณ์ได้ง่าย และสามารถเป็นฐานให้ระลึกรู้ได้ตลอดเวลาของการปฏิบัติไม่ว่าจะเดิน ยืน นั่ง หรือนอน จึงจะได้ชื่อว่าเป็นสติปัฏฐาน หรือก็คือการระลึกรู้อยู่ที่ฐานได้อย่างต่อเนื่องไม่ขาดสายเป็นสันตตินั่นเอง เมื่อคล่องแคล่วชำนาญได้ดีแล้ว การจะระลึกรู้อยู่ที่ฐานไหน ก็กระเทือนถึงกันหมด

การจะระลึกรู้อยู่อย่างต่อเนื่องไม่ขาดสายให้ได้นั้น
ผู้ปฏิบัติต้องมีสัมปชัญญะ รู้ตัวทั่วพร้อม คอยระลึกรู้อยู่ตลอดเวลาของการปฏิบัตินั่นเอง คือต้องเพียรพยายามประคองจิต(สัมมาวายามะ)ไว้ที่ฐาน อย่าให้เผลอ เมื่อเพียรประคองจิตไว้ไม่ให้เผลอ และไม่ปล่อยให้จิตส่งออกไปจากฐานได้สำเร็จ จิตก็จะรวมลง จิตย่อมมีสติ(สัมมาสติ) สงบตั้งมั่นไม่หวั่นไหวไปกับอารมณ์กิเลสทั้หลาย(สัมมาสมาธิ) ในขณะนั้น เรียกได้ว่า จิตได้สงัดจากกามและได้สงัดจากอกุศลกรรมต่างๆ ถึงจะเป็นตทังควิมุตติ เมื่อกระทำให้มากเจริญให้มากยิ่งขึ้นก็จะกลายเป็นปหานวิมุตติได้ในที่สุด

พอมีแนวทางจากพระสูตรในมหาสติปัฏฐานให้ปฏิบัติตามได้ คือ
ระลึกรู้อยู่ที่ลมหายใจเข้าออก ที่เรียกว่าอานาปานสติ ซึ่งเป็นฐานกาย ที่เกิดจากกายสังขาร เพื่อจะได้พิจารณาให้เข้าถึงกายในกายเป็นภายใน ที่เรียกว่านามกายนั่นเอง

มีพระพุทธพจน์รับรองไว้ชัดเจนว่า

“อานาปานสติ ภิกฺขเว ภาวิตา พหุลีกตา จตฺตาโร สติปฏฺฐาเน ปริปุเรนฺติ
จตฺตาโร สติปฏฺฐานา ภาวิตา พหุลีกตา สตฺต โพชฺฌงฺเค ปริปุเรนฺติ
สตฺต โพชฺฌงคา ภาวิตา พหุลีกตา วิชฺชา วิมุตฺตึ ปริปุเรนฺติ.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อานาปานสตินี้ ถ้าทำให้เกิดขึ้น
ทำให้บ่อยๆแล้ว ย่อมได้ชื่อว่า ทำสติปัฏฐานสี่ให้บริบูรณ์

สติปัฏฐานสี่นี้ ถ้าทำให้เกิดขึ้น ทำให้บ่อยๆแล้ว
ย่อมได้ชื่อว่า ทำโพชฌงค์เจ็ดให้บริบูรณ์

โพชฌงค์เจ็ดนี้ ถ้าทำให้เกิดขึ้น ทำให้บ่อยๆแล้ว
ย่อมได้ชื่อว่า ทำวิชชาจิตหลุดพ้นทุกข์ให้บริบูรณ์ ดังนี้”




พอที่จะสรุปได้ว่า การฝึกสร้างสติให้เกิดที่จิตของตนนั้น ล้วนเป็นสิ่งที่ดีมีแต่ประโยชน์เพียงฝ่ายเดียว เพราะคนที่ขาดสตินั้น มักทำอะไรตามอำเภอใจ เนื่องมาด้วยอารมณ์กิเลสความรู้สึกนึกคิดในขณะนั้นนำพาไป

แต่ถ้าเป็นบุคคลที่ได้รับการฝึกฝนในการสร้างสติมาก่อน และสร้างสติเป็น เห็นชัดอยู่ เมื่อกระทบอารมณ์เข้า จิตจะหวั่นไหวไปกับอารมณ์กิเลสความรู้สึกนึกคิด ให้นำจิตมาระลึกรู้อยู่ที่ฐานที่ตั้งของสติอย่างต่อเนื่อง แบบที่เคยทำได้สำเร็จจนคล่องแคล่วชำนาญดีแล้ว จิตใจย่อมเกิดสติสงบตัวลงราบคาบ ตั้งมั่นไม่หวั่นไหวไปกับอารมณ์กิเลสเหล่านั้น

บุคคลเช่นนี้ย่อมยังประโยชน์ให้เกิดขึ้นกับสังคมโดยรวม และเป็นที่พึ่งที่อาศัยให้กับคนรอบข้างและบุพการีอันเป็นที่รักได้อบอุ่นสบายใจอีกด้วย

"พวกเธอจงยังสติเพื่อให้เกิดสมาธิ บุคคลที่มีจิตใจตั้งมั่นดีแล้วย่อมรู้เห็นตามความเป็นจริง"(คติธรรม)


น้อมถวายเป็นพุทธบูชา
และถวายเป็นพระราชกุศลเนื่องในวันแม่แห่งชาติ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๔


เจริญในธรรมทุกๆท่าน
ธรรมภูต






Create Date : 12 สิงหาคม 2554
Last Update : 19 มกราคม 2558 20:21:19 น.
Counter : 876 Pageviews.

2 comments
  
อนุโมทนาสาธุครับ
โดย: shadee829 วันที่: 12 สิงหาคม 2554 เวลา:9:14:25 น.
  
ขอบคุณครับ บทความสนุกทุกบท บางบทเข้มข้นมากครับ
โดย: ดอน IP: 58.9.140.74 วันที่: 16 มีนาคม 2556 เวลา:19:55:57 น.

ในความฝันของใครสักคน
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]



สารบัญ Blog ธรรมภูต - พระภัทรสิทธิ์



หน้าแรก Blog ธรรมภูต - พระภัทรสิทธิ์