วันนี้ขอหยิบเรื่องเกี่ยวกับ รถของ Iron Man มาเล่าสู่กันฟัง บางท่านที่เป็นคอรถอาจจะร้อง อ๋อเลย ทันที ใช่แล้วครับ จะเป็นใครไปที่ไหนไม่ได้นอกจาก Audi R8 ที่วาดลวดลาย ไว้ในหนังเรื่อง Iron Man ที่เกือบจะโดน Burn ทิ้ง ด้วยไอพ่นที่เท้า ของคุณ Tony Stark (Robert Downey Jr.) นั่นเอง
นี่แหละครับโฉมหน้ารถคู่ใจ Tony Stark ในภาพยนตร์เรื่อง Iron Man
ซึ่ง Line การผลิตนั้นว่ากันว่าใช้คนงานประมาณ 70 คนเพื่อประกอบชิ้นส่วนพิเศษกว่า 5000 ชิ้น และทำการผลิตได้ประมาณ 15 คัน ต่อวัน ซึ่ง Audi ได้วางตลาดกลุ่มใหญ่ไว้ที่ Europe กับ America
ในช่วงทศวรรษ 70 นั้นทาง BMW ได้ทำข้อตกลงกับทาง Lamborghini ในการออกแบบและสร้างรถแข่งที่สามารถผลิตออกมาได้เป็นจำนวนมาก ผลผลิตจากความร่วมมือกันระหว่างค่าย รถทั้ง 2 ค่ายทำให้เกิด รถสปอร์ตรุ่นแรกและรุ่นเดียวของ BMW ที่สามารถผลิตออกมาเป็นจำนวนมากที่มีเครื่องวางกลาง โดยอาศัยพื้นฐานของ BMW Turbo ในสมัยนั้น ตัวเครื่องขุมกำลังนั้น เป็นเครื่อง ขนาด 3.5 ลิตร 6 สูบซึ่งจะกลายมาเป็นลักษณะเด่นของ BMW ในรุ่นต่อๆมา เช่น BMW745i หรือแม้กระทั่ง BMW M9 E28 หรือแม้แต่ M8 ก็ตาม ตัวเครื่องยนต์ของ M1 นั้นสามารถผลิตกำลังสูงได้ถึง 277 แรงม้า และวิ่งถึง 260 กม./ชม. ซึ่งทาง BMW ได้ออกแบบรถสำหรับรุ่นแข่งที่มีการบรรจุ เทอร์โบเข้าไปด้วย ซึ่งสามารถเรียกม้าได้ถึง 850 ตัวเลยทีเดียว
นี่คือภาพของ M1 ตัวดั้งเดิมครับ
การ ดีไซน์ตัวบอดี้นั้นตอนแรก BMW ได้ว่าจ้างทาง Lamborghini มาเป็นผู้ดูแลเต็มตัวแต่เนื่องจากปัญหาทางการเงินทำให้ BMW เข้ามาควบคุมดูแลการออกแบบอย่างเต็มตัวในเมษายนปี 1978 หลังจาก รถต้นแบบ 7 คันที่มีการสร้างกันขึ้นมา ทาง BMW ได้สร้างรถรุ่นดังกล่าวขึ้นมาเพียง 456 คันเท่านั้น ทำให้ M1 กลายเป็นสุดยอดรถ BMW ที่หายากที่สุดไปโดยปริยาย ซึ่งถึงแม้ว่าจะหาตัวได้ยากในสนามแข่งขัน M1 สามารถวาดลวดลายคว้าชัยชนะในการแข่งขัน Group B ไปได้ในปี 1984 รวมถึงนิตยสาร Sports Car International ได้เสนอชื่อ M1 เข้า ทำเนียบอันดับ 10 ของรถสปอร์ตที่เยี่ยมที่สุดยุค 70 และใน ปี 2008 นี้เองทาง BMW ได้เปิดเผยตัว Concept Car BMW M1 Homage ที่เป็นรุ่นฉลองครบ 30 ปีของ M1 ออกมาให้ยลโฉมดังนั้น สาวกของ BMW คงต้องติดตามกันเป็นพิเศษกันหน่อยล่ะครับ
ไปลิ้มลองมักกะโรนีมาแล้ว มาวันนี้ขอข้าม มหาสมุทรไปยังดินแดงแห่ง เสรีภาพ ที่เป็นที่ขึ้นชื่อเรื่องการผลิตรถยนต์ของโลก แน่นอนครับจะเป็นใครไม่ได้นอกจาก อเมริกา ถิ่นกำเนิดรถยนต์ Ford ที่มีตำนานการผลิตรถยนต์มายาวนาน จนเกือบครบ 100 ปีแล้วซึ่งหลายคน อาจจะคุ้นชื่อในฐานะ เป็นผู้ผลิตรถยนต์นั่งส่วนบุคคลทั่วไปขนาดใหญ่ที่สุดของโลกที่นึงก็ว่าได้ แต่อย่างไรก็ตาม Ford เองก็มี SuperCar ระดับตำนานรถอมตะตลอดกาลของโลกอยุ่คันหนึ่งเหมือนกัน
ประวัติ Ford GT40 Ford GT40 หากใครที่อยู่ในวงการแข่งรถจะต้องรู้จักชื่อนี้เป้นอย่างดีเนื่องจาก มันสามารถคว้าชัยชนะในการแข่ง Le Mans 24 ชั่วโมงติดต่อ กันได้ถึง 4 ปีซ้อนได้ตั้งแต่ปี 1966-1969 ซึ่งสามารถคว้าชัยชนะเหนือ ผู้ชนะก่อนหน้านี้คือ Ferrari (ชนะมา 6 ครั้งรวด Ford เลยหมั่นไส้มั้ง) ได้อย่างงดงาม ชื่อ GT ย่อมาจาก Grand Tourismo ส่วน 40 เนี่ยคือความสูงของตัวรถเองที่สูงเพียง 40 นิ้ว (1.02 m เตี้ยมากๆพอๆกับเด็ก ประถมได้เลย) ซึ่งถึงตัวเตี้ยอย่างนี้ก็ยังซ่อนไว้ด้วยเครื่อง V8 ขนาด 4737 CC ซึ่ง ทาง Ford มีจุดหมายอย่างเดียวในการออกแบบครั้งนี้คือมา สยบ เครื่อง V12 4000 CC ของ Ferrari ลง
Henry Ford ที่ 2 ได้พยายามให้ รถ Ford เข้าร่วมการแข่งขัน Le mans มาตั้งตาช่วงต้นปี 60 แต่ว่าในช่วงฤดูใบไม้ผลิปี 1963 ทาง Ford ได้รับแจ้งว่า Enzo Ferrari สนใจที่จะทำการขายรถ กับ กลุ่ม Ford ซึ่งทาง Ford ได้ทำการลงทุนเงินไปเพื่อตรวจสอบโรงงานของ Ferrari เพื่อประเมินโครงการและเจรจากับทาง Ferrari ซึ่งในการเจรจานี้เองที่ทาง Ferrari ได้มุ่งประเด็นไปยังเรื่องของการเซ็นสัญญาทันที แทนการเจรจาหาข้อยุติประณีประนอมเรื่องค่าใช้จ่าย และยังมีข้อตกลงว่าการขายครั้งนี้ต้องใช้สัญลักษณ์ Ferrari เท่านั้น การกระทำเช่นนี้ ทำให้ Henry Ford โมโหเป็นอย่างมาก และจัดการสั่งการให้แผนกพัฒนาทีมแข่งของ Ford ให้พัฒนารถที่สามารถ ปราบความผยองของ Ferrari ลงให้ได้
ช่วงนี้เองที่ทาง Ford ได้มองหาพันธมิตรโดยเปิดเจรจา กับทาง 1.Lotus ที่เป็นพันธมิตรกับ Ford ในการแข่งขัน Indy 500 อยู่แล้ว 2.Lola ที่ร่วมแข่งขัน Le Mans โดยใช้เครื่องยนต์ของ Ford 3.Cooper ผู้ร่วมแข่งขันรถ F1 ที่กำลังมีผลงานตกต่ำอยู่ขณะนั้น ซึ่งสุดท้ายFord ได้เลือกทาง Lola เข้ามาร่วมในการออกแบบรถแข่งสำหรับโครงการนี้ Ford GT ตัวแรกก็ได้ออกสู่ตลาดในปี มีนาคม 1963 ในที่สุดโดยมีช่วงล่างที่เป็นระบบของ Lola พร้อมกับเครื่องขนาด 4.2 ลิตรซึ่งรุ่นดังกล่าวสามารถคว้าชัยชนะในการแข่ง Indy 500 ไปได้ในที่สุด
หลังจากนั้น Ford GT40 ก็ได้ลงวาดลวดลายในสนามเป้นครั้งในการแข่ง Nurburgring 1000 km แต่ประสบปัญหาไม่สามารถแข่งจบการแข่งขันได้ในสนามนั้น โดยก่อนที่จะต้องออกจาการแข่งขันตำแหน่งของมัน ยังอยู่เป็นที่ 2 ในสนาม หลังจากนั้นไม่นาน Ford GT40 MkII ได้ออกมาเขย่าวงการการแข่งรถด้วยเครื่อง 7.0 ลิตรของมันทำให้มันเป็นผู้ไร้เทียมทาน ในการแข่ง Le mans 24 ชั่วโมงในปี1966 โดยการคว้าอันดับ 1-2 และ 3 แบบเรียบวุธ อีกทั้งที่ 1-2 นั้นห่างกันเพียงเล็กน้อยจนถือว่าเป้นการแข่งที่สูสีที่สุดในประวัติศาสตร์ครั้งนึงเลยทีเดียว
ในปีต่อมา Ford GT40 Mk IV ได้ถูกส่งลงสนามเพื่อพิชิตชัยชนะอีกครั้ง หลังจากจึงได้มีการเปลี่ยนกฎออกมา ซึ่งมีการกำหนดขนาดกระบอกสูบให้อยู่ ระหว่าง 3000 ถึง 5000 CC ทำให้ทาง Ford ได้ทำการปัดฝุ่น Model Mk I ขึ้นมาใหม่เพื่อปะทะกับรถคันอื่นที่มีขนาดเล็กลงตามลำดับ ซึ่งการประสบความสำเร็จในการแข่งต่างๆทำให้ Ford ได้ออกแบบรถรุ่น Ford P68 ที่มีเครื่อง 3.0 ลิตรแต่ก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จเท่าที่ควรแบบ GT40 ในปี 1969 GT40 ได้เจอคู่ปรับที่มีการปรับปรุงมาเป้นอย่างดี อย่าง Porsche 917 เครื่อง 4.5 ลิตรแถวเรียง ซึ่งทาง Porsche ยังมีปัญหาในการปรับแต่งรถอยู่พอสมควร ทำให้ GT40 สามารถคว้าชัยชนะเหนือรุ่นน้องของ 917 อย่าง 908 ไปได้อย่างฉิวเฉียดและในที่สุดในปี 1970 Porsche 917 สามารถหยุดตำนานของ GT40 ลงได้และ GT40 ก็ได้ถอนตัวจากวงการนี้ไป ตามระยะเวลาอันสมควรหลังจากนั้น Ford เองก็ได้หยุดพัฒนา รถแข่งรุ่นนี้ลงเหลือไว้เพียง กลิ่นไอตำนานของ Ferrari Slayer ไปถึงเกือบ 30 ปี ในปี 1995 ที่งาน Auto Show ที่ ดีทรอยต์ Ford ได้เปิดตัวรถ Concept car ของ GT90 และเปิดตัวอย่างเป็นทางการในปี 2002 ด้วยรูปร่างที่ขนาดกว้างกว่า ใหญ่กว่า รุ่นดั้งเดิมเล็กน้อย ทำให้มันเกือบได้ชื่อ GT43 และแล้วในที่สุดในปี 2004 ทาง Ford ก็ได้ส่งมันกลับเข้าสู้ สายการผลิตอีกครั้ง ด้วยขุมพลังใหม่เป็นเครื่อง V8 ขนาด 5.4 ลิตรพลัง 550 แรงม้า พร้อมกับ 2 ที่นั่งที่คนนั่งต้องตัวเล็กน่าดูถึงจะนั่งได้
Spyder เป็นรุ่นที่มีการเปิดตัวไปเมื่อปี 2006 จุดเด่นนั้นตรงตามชื่อเลยครับว่า หลังคาสามารถพับเก็บได้ มาด้วยกำลัง 520 แรงม้า พร้อมกับ อัตราทดเกียร์ที่ต่ำซึ่ง Jeremy Clarkson พิธีกรรายการ Top Gear นั้นเปิดเผยในภายหลังว่า เค้าได้ซื้อรถรุ่นนี้มาแทน Ford GT คันเดิมของเค้าด้วย
SE เป็นรุ่นที่มีจุดเด่นตรงที่หลังคาจะถูกทำเป็นสีดำ พร้อมกับ การออกแบบภายในเป็น Two tone ซึ่ง SE ได้ครับคำชมในแง่ของการตอบสนองของพวงมาลัยว่าทำได้ยอดเยี่ยมกว่า รุ่นปกติมาก รวมถึง อัตราทดเกียร์ได้มีการปรับให้เข้ากับ ตัวเครื่องยนต์มากขึ้นทำให้ความเร็วสูงสุดของรุ่นนี้อยู่ที่ประมาณ 315 Km/H รวมถึงยังมีระบบกล้องท้ายรถ สำหรับใช้ในการถอยรถด้วย