Blog เล็กๆแห่งหนึ่ง รวมเกร็ดข่าวสาระประจำวัน กับ เรื่องที่อาจจะไร้สาระ ของ ลูกผู้ชายคนหนึ่ง ที่อาศัยอยู่ในมหานครใหญ่แห่งหนึ่ง ในที่โลกที่กว้างใหญ่ใบนี้
Group Blog
 
All Blogs
 

Audi R8

วันนี้ขอหยิบเรื่องเกี่ยวกับ “รถของ Iron Man” มาเล่าสู่กันฟัง
บางท่านที่เป็นคอรถอาจจะร้อง อ๋อเลย ทันที ใช่แล้วครับ
จะเป็นใครไปที่ไหนไม่ได้นอกจาก Audi R8 ที่วาดลวดลาย
ไว้ในหนังเรื่อง Iron Man ที่เกือบจะโดน Burn ทิ้ง ด้วยไอพ่นที่เท้า
ของคุณ Tony Stark (Robert Downey Jr.) นั่นเอง


นี่แหละครับโฉมหน้ารถคู่ใจ Tony Stark ในภาพยนตร์เรื่อง Iron Man


ประวัติ R8

Audi R8 เป็นลูกครึ่ง เยอรมัน กับ อิตาลี
ถ้าสงสัยว่าทำไมเป็นอย่างนั้นคงต้องย้อน
ไปดูในปี 2005 ที่ทาง Audi
ได้ทำการประกาศชัดเจนว่า ปี 2007 ทาง Audi จะส่ง
รถยนต์ตัวใหม่ที่มีรูปแบบมาจาก Audi R8 ตัวแข่ง
(อย่าสับสนนะครับเพราะชื่อเหมือนกัน แต่ รูปร่างนั้น
คนละเรื่องเลย จนตอนแรกมีข่าวว่าจะชื่อ R9 ซะด้วยซ้ำ)
โดย R8 เองได้ทำการเปิดตัวไปในปี 2006
R8 มีพื้นฐาน เป็นรถขับเคลื่อน 4 ล้อถาวร เครื่องวางกลาง
รูปร่างนั้นทั้งหมดนั้นได้ต้นแบบมาจาก Lamborghini Gallardo
ซึ่งขณะนั้นเอง Audi ได้เข้าไปเป็นเจ้าของ
บ. Lamborghini S.P.A เรียบร้อยแล้ว จึงเป็นที่มาที่ไป
ว่าทำไมผมเรียกมันว่าเป็นลูกครึ่ง เยอรมัน - อิตาลี

ขุมกำลังที่อยู่ในตัว R8 ตัวแรก เป็นเครื่องของ Audi
เอง V8 ขนาด 4.2 ลิตร พละกำลัง 420 แรงม้า เกียร์ 6 สปีด
ความเร็วสูงสุด 301 กม./ชม.
เร่งถึง 96 Km/h ได้ภายใน 4 วินาที

ระบบส่งกำลังสามารถปรับได้ระหว่าง Manual หรือ R-Tronic
(Semi Auto แบบคลัตช์เดี่ยว) เหมือนกับ Gallardo
และน้ำหนักตัวโดยรวมอยู่ที่ 1560 กก.

ซึ่ง Line การผลิตนั้นว่ากันว่าใช้คนงานประมาณ 70 คนเพื่อประกอบชิ้นส่วนพิเศษกว่า 5000 ชิ้น และทำการผลิตได้ประมาณ 15 คัน ต่อวัน ซึ่ง Audi ได้วางตลาดกลุ่มใหญ่ไว้ที่ Europe กับ America




หลังจากที่ทาง R8 ได้วางตลาดเรียบร้อยแล้วคู่แข่งที่
ถูกจัดมาให้ชนตัวแรก ก็คือ
Porsche 911 Carrera 4S ซึ่งบทสรุปนั้น คือ R8 สามารถเอาชนะ 911 ได้ด้วยค่าตัวที่ถูกกว่าถึง $20,000 (ประมาณ 680,000 บาทแหละครับ) และเป็นการชนะที่ไร้ข้อกังขา
อย่างไรก็ตามยังมีเสียงวิจารณ์ว่า R8
นั้นได้มอบการ ขับขี่ที่ไม่ประทับใจเท่าไหร่เมื่อเทียบกับ 911
แต่นั่นก็ไม่ได้หยุด R8 ในการเปิดฉากไล่ถล่ม
คู่แข่ง Supercar อื่นๆ ตั้งแต่ ญาติ Gallardo
รวมถึงรถ เจมส์ บอนด์ Aston Martin DB9 ในสนามทดสอบ
อย่างดุเดือด จนกล่าวได้ว่า R8 คือ สุดยอด Supercar คันหนึ่งในยุคที่เพิ่งผ่านพ้นมา

Audi R8 TDI
Audi เองไม่ได้หยุดการพัฒนา Version ของ R8
ไว้เพียง Version ธรรมดาเท่านั้น
ในปี 2008 นั้นได้เปิดเผย R8 TDI ซึ่งใช้เครื่องยนต์ Diesel V12 6.0 ลิตร
เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อต้นปี และมีกำลัง 500 แรงม้า
แรงกว่าตัวปกติซะอีก
ว่ากันว่าเสียงคำรามมันนี่ช่างน่ากลัวดีแท้
และ TDI นี้ความเร็วสูงสุดของมัน
ก็ทำให้รุ่นพี่อายได้เหมือนกันที่ 325 Km/h
ซึ่ง Audi ยอมแลกมาด้วยน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นเยอะถึง
300 โลทีเดียวเพราะขนาดเครื่องทำให้ต้องกินพื้นที่
ในห้องคนขับเพิ่มขึ้นด้วย

อย่างไรก็ตามทาง Audi ยังไม่ยอมหยุดเพียงเท่านี้เพราะล่าสุดได้มีการประกาศมาแล้วครับว่าจะมี R8 รุ่นใหม่มากอีก 3 แบบ
เริ่มตั้งแต่
ข่าวแรกคือ จะมีการออกรุ่น เครื่อง V10 ขนาด 5.2 ลิตรที่กำลังพยายาม
ทำลายสถิติใน Nurburgring อยู่
คาดว่าจะสามารถออกมาได้ในไตรมาส ปีหน้า
ต่อไป คือ ตอนนี้มี Spy Shot ของรุ่นเปิดประทุน R8
เริ่มออกมาแล้ว ทาง Audi เอง
ก็วางแผนจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในปีหน้าเช่นกัน
สุดท้ายคือ Audi เองพยายาม
ทำรุ่นตัวแข่ง GT3 ที่ใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหลัง
ออกมาใหม่อีกรุ่นหนึ่งเพื่อเอาใจ
แฟนๆค่าย 4 ห่วงนี้ แหมเล่นกันหนักขนาดนี้ สาวก จะอดใจไวรือเนี่ย


รูปสุดท้ายเนี่ยเจ้าของบ้านเคยถ่ายที่ Motor Expo 2007 ครับ





 

Create Date : 02 กันยายน 2551    
Last Update : 2 กันยายน 2551 23:34:49 น.
Counter : 1085 Pageviews.  

BMW M1

คราวนี้ขอมาเขียนรถค่ายเยอรมันกันบ้างเนื่องจากประเทศนี้เป็นแหล่งกำเนิดสุดยอดยานยนตร์ หลายๆคันทั้งในท้องถนน และ สนามแข่ง ซึ่งมีคำกล่าวว่า " ชาวเยอรมันไม่เคยทำอะไรที่เค้ารู้สึกว่าไม่ได้เรื่องออกสู่สายตาของชาวดลกเด็ดขาด " อันนี้จริงเท็จประการใด ก็เชิญติดตามได้จากรถ ของ BMW ค่ายรถสุดหรู ของ เยอรมันได้เลยครับ

ประวัติ BMW M1



ในช่วงทศวรรษ 70 นั้นทาง BMW ได้ทำข้อตกลงกับทาง Lamborghini ในการออกแบบและสร้างรถแข่งที่สามารถผลิตออกมาได้เป็นจำนวนมาก ผลผลิตจากความร่วมมือกันระหว่างค่าย รถทั้ง 2 ค่ายทำให้เกิด รถสปอร์ตรุ่นแรกและรุ่นเดียวของ BMW ที่สามารถผลิตออกมาเป็นจำนวนมากที่มีเครื่องวางกลาง โดยอาศัยพื้นฐานของ BMW Turbo ในสมัยนั้น ตัวเครื่องขุมกำลังนั้น เป็นเครื่อง ขนาด 3.5 ลิตร 6 สูบซึ่งจะกลายมาเป็นลักษณะเด่นของ BMW ในรุ่นต่อๆมา
เช่น BMW745i หรือแม้กระทั่ง BMW M9 E28 หรือแม้แต่ M8 ก็ตาม ตัวเครื่องยนต์ของ M1 นั้นสามารถผลิตกำลังสูงได้ถึง 277 แรงม้า และวิ่งถึง 260 กม./ชม. ซึ่งทาง BMW ได้ออกแบบรถสำหรับรุ่นแข่งที่มีการบรรจุ เทอร์โบเข้าไปด้วย ซึ่งสามารถเรียกม้าได้ถึง 850 ตัวเลยทีเดียว



นี่คือภาพของ M1 ตัวดั้งเดิมครับ


การ ดีไซน์ตัวบอดี้นั้นตอนแรก BMW ได้ว่าจ้างทาง Lamborghini มาเป็นผู้ดูแลเต็มตัวแต่เนื่องจากปัญหาทางการเงินทำให้ BMW เข้ามาควบคุมดูแลการออกแบบอย่างเต็มตัวในเมษายนปี 1978 หลังจาก รถต้นแบบ 7 คันที่มีการสร้างกันขึ้นมา ทาง BMW ได้สร้างรถรุ่นดังกล่าวขึ้นมาเพียง 456 คันเท่านั้น ทำให้ M1 กลายเป็นสุดยอดรถ BMW ที่หายากที่สุดไปโดยปริยาย ซึ่งถึงแม้ว่าจะหาตัวได้ยากในสนามแข่งขัน M1 สามารถวาดลวดลายคว้าชัยชนะในการแข่งขัน Group B ไปได้ในปี 1984 รวมถึงนิตยสาร Sports Car International ได้เสนอชื่อ M1 เข้า ทำเนียบอันดับ 10 ของรถสปอร์ตที่เยี่ยมที่สุดยุค 70 และใน ปี 2008 นี้เองทาง BMW ได้เปิดเผยตัว Concept Car BMW M1 Homage ที่เป็นรุ่นฉลองครบ 30 ปีของ M1 ออกมาให้ยลโฉมดังนั้น สาวกของ BMW คงต้องติดตามกันเป็นพิเศษกันหน่อยล่ะครับ





อันนี้เป็นภาพรุ่น M1 Homage Concept Car ครับ





 

Create Date : 05 สิงหาคม 2551    
Last Update : 5 สิงหาคม 2551 21:20:27 น.
Counter : 1248 Pageviews.  

Ford GT40

ไปลิ้มลองมักกะโรนีมาแล้ว มาวันนี้ขอข้าม มหาสมุทรไปยังดินแดงแห่ง เสรีภาพ ที่เป็นที่ขึ้นชื่อเรื่องการผลิตรถยนต์ของโลก แน่นอนครับจะเป็นใครไม่ได้นอกจาก อเมริกา ถิ่นกำเนิดรถยนต์ Ford ที่มีตำนานการผลิตรถยนต์มายาวนาน จนเกือบครบ 100 ปีแล้วซึ่งหลายคน อาจจะคุ้นชื่อในฐานะ เป็นผู้ผลิตรถยนต์นั่งส่วนบุคคลทั่วไปขนาดใหญ่ที่สุดของโลกที่นึงก็ว่าได้ แต่อย่างไรก็ตาม Ford เองก็มี SuperCar ระดับตำนานรถอมตะตลอดกาลของโลกอยุ่คันหนึ่งเหมือนกัน

ประวัติ Ford GT40
Ford GT40 หากใครที่อยู่ในวงการแข่งรถจะต้องรู้จักชื่อนี้เป้นอย่างดีเนื่องจาก มันสามารถคว้าชัยชนะในการแข่ง Le Mans 24 ชั่วโมงติดต่อ กันได้ถึง 4 ปีซ้อนได้ตั้งแต่ปี 1966-1969 ซึ่งสามารถคว้าชัยชนะเหนือ ผู้ชนะก่อนหน้านี้คือ Ferrari
(ชนะมา 6 ครั้งรวด Ford เลยหมั่นไส้มั้ง) ได้อย่างงดงาม
ชื่อ GT ย่อมาจาก Grand Tourismo ส่วน 40 เนี่ยคือความสูงของตัวรถเองที่สูงเพียง 40 นิ้ว (1.02 m เตี้ยมากๆพอๆกับเด็ก ประถมได้เลย) ซึ่งถึงตัวเตี้ยอย่างนี้ก็ยังซ่อนไว้ด้วยเครื่อง V8 ขนาด 4737 CC ซึ่ง ทาง Ford มีจุดหมายอย่างเดียวในการออกแบบครั้งนี้คือมา สยบ เครื่อง V12 4000 CC ของ Ferrari ลง

Henry Ford ที่ 2 ได้พยายามให้ รถ Ford เข้าร่วมการแข่งขัน Le mans มาตั้งตาช่วงต้นปี 60 แต่ว่าในช่วงฤดูใบไม้ผลิปี 1963 ทาง Ford ได้รับแจ้งว่า Enzo Ferrari สนใจที่จะทำการขายรถ กับ กลุ่ม Ford ซึ่งทาง Ford ได้ทำการลงทุนเงินไปเพื่อตรวจสอบโรงงานของ Ferrari เพื่อประเมินโครงการและเจรจากับทาง Ferrari ซึ่งในการเจรจานี้เองที่ทาง Ferrari ได้มุ่งประเด็นไปยังเรื่องของการเซ็นสัญญาทันที แทนการเจรจาหาข้อยุติประณีประนอมเรื่องค่าใช้จ่าย และยังมีข้อตกลงว่าการขายครั้งนี้ต้องใช้สัญลักษณ์ Ferrari เท่านั้น การกระทำเช่นนี้ ทำให้ Henry Ford โมโหเป็นอย่างมาก และจัดการสั่งการให้แผนกพัฒนาทีมแข่งของ Ford
ให้พัฒนารถที่สามารถ ปราบความผยองของ Ferrari ลงให้ได้

ช่วงนี้เองที่ทาง Ford ได้มองหาพันธมิตรโดยเปิดเจรจา กับทาง
1.Lotus ที่เป็นพันธมิตรกับ Ford ในการแข่งขัน Indy 500 อยู่แล้ว
2.Lola ที่ร่วมแข่งขัน Le Mans โดยใช้เครื่องยนต์ของ Ford
3.Cooper ผู้ร่วมแข่งขันรถ F1 ที่กำลังมีผลงานตกต่ำอยู่ขณะนั้น
ซึ่งสุดท้ายFord ได้เลือกทาง Lola เข้ามาร่วมในการออกแบบรถแข่งสำหรับโครงการนี้
Ford GT ตัวแรกก็ได้ออกสู่ตลาดในปี มีนาคม 1963 ในที่สุดโดยมีช่วงล่างที่เป็นระบบของ Lola พร้อมกับเครื่องขนาด 4.2 ลิตรซึ่งรุ่นดังกล่าวสามารถคว้าชัยชนะในการแข่ง Indy 500 ไปได้ในที่สุด

หลังจากนั้น Ford GT40 ก็ได้ลงวาดลวดลายในสนามเป้นครั้งในการแข่ง Nurburgring 1000 km แต่ประสบปัญหาไม่สามารถแข่งจบการแข่งขันได้ในสนามนั้น โดยก่อนที่จะต้องออกจาการแข่งขันตำแหน่งของมัน ยังอยู่เป็นที่ 2 ในสนาม
หลังจากนั้นไม่นาน Ford GT40 MkII ได้ออกมาเขย่าวงการการแข่งรถด้วยเครื่อง 7.0 ลิตรของมันทำให้มันเป็นผู้ไร้เทียมทาน ในการแข่ง Le mans 24 ชั่วโมงในปี1966 โดยการคว้าอันดับ 1-2 และ 3 แบบเรียบวุธ อีกทั้งที่ 1-2 นั้นห่างกันเพียงเล็กน้อยจนถือว่าเป้นการแข่งที่สูสีที่สุดในประวัติศาสตร์ครั้งนึงเลยทีเดียว

ในปีต่อมา Ford GT40 Mk IV ได้ถูกส่งลงสนามเพื่อพิชิตชัยชนะอีกครั้ง หลังจากจึงได้มีการเปลี่ยนกฎออกมา ซึ่งมีการกำหนดขนาดกระบอกสูบให้อยู่ ระหว่าง 3000 ถึง 5000 CC ทำให้ทาง Ford ได้ทำการปัดฝุ่น Model Mk I ขึ้นมาใหม่เพื่อปะทะกับรถคันอื่นที่มีขนาดเล็กลงตามลำดับ ซึ่งการประสบความสำเร็จในการแข่งต่างๆทำให้ Ford ได้ออกแบบรถรุ่น Ford P68 ที่มีเครื่อง 3.0 ลิตรแต่ก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จเท่าที่ควรแบบ GT40 ในปี 1969 GT40 ได้เจอคู่ปรับที่มีการปรับปรุงมาเป้นอย่างดี อย่าง Porsche 917 เครื่อง 4.5 ลิตรแถวเรียง ซึ่งทาง Porsche ยังมีปัญหาในการปรับแต่งรถอยู่พอสมควร ทำให้ GT40 สามารถคว้าชัยชนะเหนือรุ่นน้องของ 917 อย่าง 908 ไปได้อย่างฉิวเฉียดและในที่สุดในปี 1970 Porsche 917 สามารถหยุดตำนานของ GT40 ลงได้และ GT40 ก็ได้ถอนตัวจากวงการนี้ไป ตามระยะเวลาอันสมควรหลังจากนั้น Ford เองก็ได้หยุดพัฒนา รถแข่งรุ่นนี้ลงเหลือไว้เพียง กลิ่นไอตำนานของ “Ferrari Slayer” ไปถึงเกือบ 30 ปี
ในปี 1995 ที่งาน Auto Show ที่ ดีทรอยต์ Ford ได้เปิดตัวรถ Concept car ของ GT90
และเปิดตัวอย่างเป็นทางการในปี 2002 ด้วยรูปร่างที่ขนาดกว้างกว่า
ใหญ่กว่า รุ่นดั้งเดิมเล็กน้อย ทำให้มันเกือบได้ชื่อ GT43 และแล้วในที่สุดในปี 2004
ทาง Ford ก็ได้ส่งมันกลับเข้าสู้ สายการผลิตอีกครั้ง ด้วยขุมพลังใหม่เป็นเครื่อง V8 ขนาด 5.4 ลิตรพลัง 550 แรงม้า พร้อมกับ 2 ที่นั่งที่คนนั่งต้องตัวเล็กน่าดูถึงจะนั่งได้

Ford GT40 เองยังเป็นรถที่หลายสำนัก วิจารณ์จัดให้เป็นรถทรงคุณค่าที่สุดคันหนึ่งของโลก เพราะเนื่องจากปริมาณการผลิตที่มีน้อยนิดและความโดดเด่นของการ Design ที่ดูไม่ล้าสมัยแม้แต่น้อย ราคานั้นรุ่นปัจจุบันเองก็อยู่ประมาณ 4.95 ล้านบาท ในอเมริกา (นำเข้าไทยก็ประมาณ 3 เท่า 15 ล้านบาท) ซึ่งรถดังกล่าวยังคงแฝงไปด้วยกลิ่นไอของความยิ่งใหญ่ของมันในปี 60 ที่ไม่วันจางหายไปจากหน้าของประวัติศาสตร์รถยนต์




นี่แหละครับความคลาสิกแบบ 60 ด้วยเทคโนโลยียุคใหม่



เพชรฆาตม้าผยองที่ตัวเตี้ยที่สุดในประวัติศาสตร์ตัวนึง





 

Create Date : 17 กรกฎาคม 2551    
Last Update : 17 กรกฎาคม 2551 18:56:34 น.
Counter : 4374 Pageviews.  

Lamborghini Gallardo

เขียน 2 คันแรกไปนั้นเป็น จากแดนอาทิตย์อุทัย ทั้ง 2 คัน วันนี้เลยขอเปลี่ยนมาซิ่งกับชาวมักกะโรนีกันบ้างเดี๋ยวหาว่าเจ้าของบ้านเชียร์แต่รถญี่ปุ่น
วันนี้เลยขอหยิบน้องเล็กจากค่าย Lamborghini มาเล่าสู่กันฟังละกัน

ประวัติของ Gallardo
Gallardo นั้นจริงๆแล้วต้องออกเสียงว่า กัลยาโด้ ซึ่งเป็นชื่อของ ฝูงกระทิงป่า แห่งหนึ่งซึ่งในภาษา อิตาลี แปลว่า ดุดัน หรือ ภาษาสเปน นั้นแปลว่า องอาจ
Gallardo ถูกสร้างขึ้นมาในปี 2003 เพื่อเป็นรถที่ทาง Lamborghini วางไว้ให้ออกมาชนกับ Ferrari 360 ในสมัยนั้น
ซึ่งมันถูกติดตั้งมาพร้อมกับระบบขับเคลื่อน Rear-biased all-wheel drive system ก็คือ 4WD ดีๆนี่เองแหละเพียงแต่กระจายพลังไปที่ล้อหลังมากหน่อย
ว่ากันว่าได้ Concept มาจากรถบริษัทแม่ ของ Lambo คือ Audi Quattro แต่ก็ไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการ
ประตูของ Gallardo นั้นต้องยอมรับว่าต่างจาก รุ่นพี่ที่ผ่านๆมามาก คือใช้ประตูเปิดปิดธรรมดา ไม่เป็นแบบ ปีกนก หรือ Scissor Doors แบบ Murcielago
Countach หรือ Dialblo รูปร่างโดยรวมยังเป็น Sport Coupe (ที่นั่งต่ำมาก) ราคาในเมืองไทยเอยู่ประมาณ 21-22 ล้านบาทสำหรับตัวปกติ
ขณะที่ แบบ Spyder (เปิดประทุน) ราคาก็อาจจะวิ่งไปถึง 23-24 ล้านบาท ได้เลยทีเดียว
ระบบเครื่องบนต์ของ Gallardo ฝังด้วยเครื่องยนต์แบบ V10 มีความจุตั้งแต่ 5000 ถึง 5200 CC
ระบบส่งกำลังนั้นทาง ค่ายกระทิงดุได้ออกแบบมาใช้ 2 รูปแบบ คือ รูปแบบมาตรฐาน ด้วย H -Box (กระปุก) แบบ 6 สปีดธรรมดา หรือ จะใช้เป็น
ระบบควบคุมด้วย ไฟฟ้าไฮโดรลิก Semi Auto 6 สปีด หรือ E-Gear ซึ่งสามารถสับได้เร็วกว่า แบบปกติ รูปแบบของ Gallardo ได้ถูกนำไปออกแบบเป็น
Audi R8 SuperCar อีกสายพันธุ์หนึ่งซึ่ง R8 ใช้เครื่องยนต์แบบ V8 แทน V10 เพื่อหลีกเลี่ยงการเจาะกลุ่มตลาดเดียวกับ Gallardo
สำหรับใครที่ต้องการเป็นเจ้าของ รถคันนี้ ต้องยอมรับว่าค่าตัวนั้นแพงเหลือเกิน แต่มันก็มาพร้อมกับอุปกรณ์ภายในที่ครบคัน ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเล่น DVD หรือ iPod รวมถึง Computer
ในรถ เป็นต้น ดังนั้น SuperCar สัญชาติอิตาลีนี้จึงไม่ต่างอะไรกับ 1 ในของเล่นของผู้ชายที่แพงที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้

การแตกสายรุ่นย่อยใน Gallardo

Spyder เป็นรุ่นที่มีการเปิดตัวไปเมื่อปี 2006 จุดเด่นนั้นตรงตามชื่อเลยครับว่า หลังคาสามารถพับเก็บได้ มาด้วยกำลัง 520 แรงม้า พร้อมกับ
อัตราทดเกียร์ที่ต่ำซึ่ง Jeremy Clarkson พิธีกรรายการ Top Gear นั้นเปิดเผยในภายหลังว่า เค้าได้ซื้อรถรุ่นนี้มาแทน Ford GT คันเดิมของเค้าด้วย

SE เป็นรุ่นที่มีจุดเด่นตรงที่หลังคาจะถูกทำเป็นสีดำ พร้อมกับ การออกแบบภายในเป็น Two tone ซึ่ง SE ได้ครับคำชมในแง่ของการตอบสนองของพวงมาลัยว่าทำได้ยอดเยี่ยมกว่า รุ่นปกติมาก
รวมถึง อัตราทดเกียร์ได้มีการปรับให้เข้ากับ ตัวเครื่องยนต์มากขึ้นทำให้ความเร็วสูงสุดของรุ่นนี้อยู่ที่ประมาณ 315 Km/H รวมถึงยังมีระบบกล้องท้ายรถ
สำหรับใช้ในการถอยรถด้วย

Nera สมรรถนะของ Nera ค่อนข้างใกล้เคียงกับ รุ่นปกติ แต่จะมีจุดเด่นเรื่องการตกแต่งภายในที่ใช้ เบาะหนังสีขาว และมีเพียงสีดำเพียงอย่างเดียว

Superleggera ถือได้ว่าเป็นหมัดเด็ด ของ Lamborghini ที่มีการทำ Model นี้ออกมาเพื่อเน้นสมรรถนะล้วนๆเพื่อใช้ต่อกรกับ
F430 Scuderia ของ Ferrari ซึ่ง ทาง Lambo เองได้ปรับ น้ำหนักตัวให้เบาลง 70 กก. รวมถึงปรับแต่ง ECU ให้ได้แรงม้าเพิ่ม
มาอีกประมาณ 10 ตัว

LP560-4 เป็น Version ที่ได้รับการออกแบบกระจังหน้ามาจาก Reventon รุ่นนี้แม้ไม่ได้มีการรีดไขมันออกแบบ Superleggara
แต่ก็ได้รับการเสริมกำลังไปจนถึง 552 แรงม้าและถือได้ว่าเป็นรุ่นที่มีราคาแพงที่สุดในสายพันธุ์ Gallardo ด้วยกันและที่สำคัญนั้น
ตัวนี้เพิ่งทำการเปิดตัวไปที่ Geneva เดือนมีนาคมปีนี้ (2008) หมาดๆเลย

กระทิงดุจริงๆ



Gallardo Nera



Superleggera


LP560-4 ตัวใหม่เอี่ยม







 

Create Date : 08 กรกฎาคม 2551    
Last Update : 8 กรกฎาคม 2551 22:05:28 น.
Counter : 1493 Pageviews.  

Mazda RX-7

ประวัติ RX-7

Mazda RX-7 คือ 1 ใน สายพันธุ์รถ Sport ที่มีประวัติมายาวนานมาก ของ Mazda สายการผลิตรถ RX-7 นั้น
ถือได้ว่าเป็นสายการผลิตที่ยาวนานมากอย่างหนึ่งในวงการรถ ญี่ปุ่นด้วยระยะเวลา 24 ปี ตั้งแต่ 1978-2002
RX-7 ตัวดั้งเดิมนั้นถูกจัดวางขุมกำลังด้วยเครื่องยนต์ โรตารี่ประเภท โรเตอร์คู่ จึงเหมือนเป็นสายพันธุ์รถที่มาแทน
Mazda RX-3 รุ่นพี่โดยตรง รวมถึงรถอื่นของ Mazda ที่ใช้ระบบเครื่องยนต์โรตารี่ด้วยกัน (ยกเว้น Cosmo )
นอกจากขุมกำลังของ เครื่องโรเตอร์อันโด่งดังในสมัยนั้นแล้ว เซเว่น ( ขออนุญาตเรียกแบบนี้นะครับ) ถูกออกแบบ
มาเป็นรถคูเป้ ขนาดเบาที่ วางเครื่อง เยื้องมาหลังเพลาของล้อหน้าเล็กน้อยซึ่ง Mazda ต้องการให้เป็นลักษณะนั้น
เพื่อต้องการเจาะตลาดรถใน America ที่รถรูปแบบดังกล่าวยังไม่ได้แพร่หลาย ( American Muscle ยังแรงอยู่ )
นอกเหนือจากนี้ ยังสามารถสั่งวางที่นั่งพิเศษด้านหลังได้ ( ปกติไม่ค่อยทำกันนะครับ )

ประวัติ SA22
RX-7 รุ่นแรกเปิดตัวด้วย รหัส SA22C / FB ชื่อเล่น Savanna RX-7
เครื่องยนต์ที่ใช้มี 12A กับ 13B-RESI มีกำลัง 100 แรงม้า กับ 125 แรงม้า
ตามลำดับอัตราเร่งถือได้ว่าเยี่ยมมากในสมัยนั้น คือ 0-80 กม./ ชม. ได้ภายใน 6.3 วินาที
สิ่งที่เป็นจุดเด่นอีกอย่างคือการ Design ที่มีจุดศุนย์ถ่วงมาอยู่ตรงกลาง ทำให้การกระจายน้ำหนักเป็น 50/50
ด้านหน้าหนัก 50% ด้านหลังหนัก50% ทำให้ตัวรถไม่เกิดอาการสะบัด ดื้อโค้งขณะเข้าโค้ง
และถ้าเทียบกันแล้ว RX-7 รุ่นแรกนี้มีน้ำหนักที่เบาที่สุดเมื่อเทียบกับรุ่นอื่นคือประมาณ 1180 กก.
ทำให้ตัวรถไม่ต้องการกำลังที่สูงมากในการขับขี่ อย่างไรก็ตามหากใครต้องการแรงหน่อยในสมัยนั้น เครื่อง 13B
ก็สามารถติดเทอร์โบเข้าไปได้ (แต่ยังไม่มี Intercool นะ) ด้วยคุณสมบัติเหล่านี้ ทำให้ เซเว่นครองใจ
ชาวมะกันไปได้อย่างไม่ยากเย็นด้วย ยอดขาย 377,878 คันในอเมริกาจากทั้งหมดทั่วโลก 474,565 คัน

ประวัติ FC
ยังถูกเรียกด้วยชื่อเดิม คือ Savanna RX-7 ชื่อรหัสถัง FC3S นั้นได้ DNA การออกแบบส่วนหนึ่งมาจาก Porsche 928 944
ในสมัยนั้นและยังเป็นรถที่ Mazda ยังมุ่งหมายที่จะเจาะตลาดของ อมเริกาเหมือนเดิม เพราะ Porsche 944 เองก็เป็น 1 ในรถที่ชาวอเมริกานิยมขับกัน จนมีคนแซวว่าเป็น “Porsche Style RX-7” ( ซึ่งหลายคนเองก็ชอบรูปร่างของ FC มากกว่า FD รุ่นใหม่ด้วยนะครับ )
ขณะ ที่ SA นั้นถูกออกแบบมาให้เป็น Sport Car โดยตรง
FC นั้นถูกพัฒนาให้อยู่ในรูปของ Sport Tourer Car มากกว่า (เอาไปขับเล่นในเมืองได้ว่างั้นเหอะ) อย่าวไรก็ตาม
FC เองได้มีการพัฒนาระบบควบคุมได้ดีขั้นจาก FB โดย ลดอาการ Oversteer ลง และการควบคุมทิศทางจากพวงมาลัยก็ตอบสนองได้แม่นยำมากขึ้นด้วย ระบบช่วงล่างนั้น FC ได้พัฒนามาใช้ Dynamic Tracking Suspension System (DTSS) ซึ่งทำให้ตัวล้อสามารถปรับ Toe-in Toe-Out ได้ตามพื้นสัมผัสที่ล้อแตะถนนได้ระดับหนึ่งทำให้ ทั้ง 4 ล้อ ตอบสนองกับการหักพวงมาลัยไปพร้อมๆกัน (แต่มันแต่นิดหน่อยนะครับ ไม่ใช่ แบบ แบะออกมาจนล้อเบี้ยวเลย )
ถึงแม้ว่าหนักขึ้นประมาณ 35 กิโล แต่ทาง Mazda เองก็ไดเพิ่มกำลัง
ให้ตอบสนองในน้ำหนักดังกล่าวได้ดีขึ้นด้วย เครื่อง 13B S4 S5 พร้อมกับชุด Turbo โดยกำลัง อยู่ที่ 189 แรงม้า และ 200 แรงม้าตามลำดับ ซึ่ง FC มียอดการผลิตตั้งแต่ 1986 – 1992 รวมทั้งสิ้น 272,027 คัน ถึงแม้ว่าตลาดของอเมริกาจะตอบสนองน้อยลงแต่ก็สามารถทำยอดขายได้ทั่วโลกอยู่ในเกณฑ์ค่อยข้างสูงรวมถึง ปัจจุบันนั้น FC3S เองยังถือว่าเป็น 1 ในตัวเลือกของนัก Drift ที่นิยมใช้

ประวัติ FD
Efini RX-7 ชื่อเต็ม หรือ FD3S ซึ่งคือชื่อรหัสของมันแต่ภายใต้ชื่อเดียวกันนี้ทั้งหมดนั้น Mazda ได้แตกรายละเอียดย่อยลงไปเยอะมาก
FD ต่างจากรุ่นพี่ตรงที่มีรุ่นย่อยเยอะมากมายจนจำกันแทบไม่ได้ และมีเวลาการผลิตยาวมากเหมือน คือ 9 ปี
1993-2002 ซึ่งตลอด 9 ปีนี้ Mazda เองได้ปรับแต่งเจ้า FD ไปหลายแบบมาก ตั้งแต่ FD3S Type R ตัวมาตรฐาน
ต่อมาจะมี Type RS ซึ่ง ขยายไปใช้แม็ก 17” และลดน้ำหนักลง เหลือ 1280 กก. ตามมาด้วย Type RZ ที่โดยรวมจะเหมือนกันแต่ลดน้ำหนักลงไปอีก 10 กก. ตามมาด้วย Spirit R ที่ จะถูกตกแต่งเป็น 3 รุ่นย่อยตาม Feature ที่ Mazda
เคยแต่งพิเศษไปก่อนหน้านี้ โดยมี 3 Type ( มันจะเยอะไปไหนเนี่ย จำยากจิง )
Type A มาพร้อมกับ เกียร์ 5 สปีดที่สมรรถนะ สูงสุดใน 3 รุ่น
Type B มาพร้อมกับ ที่นั่ง 2+2 (โอ้ชอบมาก หายากด้วยนะเนี่ย ใครมีครอบครัวผมขอคันนี้เลยนะครับ ) มาพร้อมกับ เกียร์ 5 สปีด
Type C ที่นั่ง 2+2 เหมือนกันแต่มาพร้อมกับ เกียร์ ออโต้ 4 สปีด
แล้วก็ยังมี SP กับ Bathrust R ที่เกิดขึ้นจากการแข่ง Endurance ที่ Australia ซึ่ง RX-7 สามารถเอาชนะ Porsche 911 ในการขับเขี่ยว การแข่ง 12 ชม.ได้ไปในปี 1995
ระบบการควบคุมของ FD นั้นยังได้รับการกล่าวขานว่าเป้นสุดยอดของรถ ตลอดกาล คันนึงด้วยการกระจายน้ำหนักแบบ 50:50 ตามที่คง Concept นี้มาตั้งแต่ รุ่นก่อนๆ รวมถึงมีจุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำลง ทำให้ เรายังสามารถพบ FD3S ในการแข่งขันในปัจจุบันนี้ได้
FD ได้รับการผลิตทั้งหมด 68,589 คัน ถึงแม้ตัวรถจะหนักกว่า FC ถึง 50 กว่ากิโลก็ตาม กำลังเครื่องก็ถูกพัฒนาให้สูงขึ้นไปตามอัตราส่วนนั้นโดย กำลังสูงสุดของรถที่ออกมาจากโรงงานคือ 280 แรงม้า
ปัจจุบัน FD3S นั้นยังเป็นนิยมไม่ว่าการแข่งขันรูปแบบของ Drag ,Circuit , Drift FD3S ก็ยังสามารถปรากฏกาย
ขับเคี่ยวกับรถรุ่นใหม่ได้ตลอดเวลา จุดเด่นอีกอย่างของ FD คือ สาวๆเองก็พิศวาส FD ไม่น้อย หากไม่เชื่อลองถามทาง นิตยสาร Playboy ดูได้ครับเพราะตอนออกมาใหม่ๆใน ปี 1993 นั้น FD ถูกนำไปเปรียบเทียบกับ Dodge Viper ใครคือรถที่ Hot กว่ากัน ผลก็คือ Roti Boy สามารถล้มพญางูเห่าไปได้อย่างไม่ยากเย็นเลยครับ



SA22 หรือ FB จุดเริ่มต้นของตำนาน เครื่อง โรตีคู่



FC3S รถของศิลปินที่รัก Porsche ในสมัยนั้น

FD3S เจ้าชายโรตีที่ผูกมัดหัวใจสาวๆมานักต่อนักแล้ว







 

Create Date : 22 มิถุนายน 2551    
Last Update : 22 มิถุนายน 2551 20:48:17 น.
Counter : 4920 Pageviews.  

1  2  3  

Rushing Dandy
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




สวัสดีทุกๆท่านครับ ขอต้อนรับเข้าสู่ Bloggang ผมนะครับ
อยาก Comment อะไรเชิญได้เต็มที่ครับ
แล้วก็ยังไง ช่วยกรุณาสนับสนุน Sponsor link ด้านล่างนี้ ด้วยนะครับ




มีผู้เข้าชม Blog แห่งนี้นับตั้งแต่ 14 ธ.ค 51 แล้ว free counters
free counter

Friends' blogs
[Add Rushing Dandy's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.