4 | | | ตำนานอาถรรพ์ อาชญากรโลกไม่ลืม ฆาตกรรมบันลือโลก ประวัติศาสตร์ทั่วมุมโลก | | |

Group Blog
 
All blogs
 

อับดุลลาห์ ชาร์ จอมโหดที่แท้จริง หรือเหยื่อเกมส์การเมือง?

รูปภาพของ Hathairat Traithip

อับดุลลาห์ ชาช์ ฆาตกรชาวอัฟกันผู้ซึ่งถูกจับในเมืองคาบูล เขาฆ่าคนมากกว่ายี่สิบศพ ชาช์ทำงานให้กับซาร์แด๊ด ข่าน เขาได้ฉายาว่าเป็นสุนัขรับใช้ของข่าน พวกเขาทำงานอยู่ภายใต้การนำของกัลบุดดิน เฮคมาทย่าเพื่อสู้รบสงครามระหว่างเชื้อชาติในประเทศอัฟกานิสถาน ทั้งชาร์และซาร์แด๊ดร่วมกันปล้นผู้คนซึ่งเดินทางไปมาระหว่างเมืองคาร์บูลและเมืองจาลาลาบัด

หลังจากแต่งงานได้เพียงแค่สิบวัน เจ้าสาวหมาดๆ วัย 20 วิ่งหนีออกจากบ้านหน้าตาตื่นไปที่ถนนแคบ ๆ ลื่น ๆ ตะโกนว่าสามีของเธอฆ่าเมียคนอื่น ๆ ของเขารวมทั้งพยายามฆ่าเธอด้วย หลังจากนั้น อับดุลลาห์ ชาร์วัย 37 ปีก็ถูกจับ นอกจากจะฆ่าเมียตัวเองเเล้ว เขายังฆ่าคนอื่นอีก 13 คนในช่วงต้นศตวรรษ 90 ด้วย เนื่องจากช่วงนั้นเป็นช่วงสงครามระหว่างเชื้อชาติ ว่ากันว่าชาร์เป็นฆาตกรโรคจิตที่ฆ่าเหยื่อไปเป็นโหลๆ หรืออาจมากกว่าร้อยศพด้วยซ้ำ ชาวบ้านในเมืองคาร์ก้าที่ชาร์เคยเป็นทหารอยู่ที่นั่นบอกว่าในช่วงที่กลุ่มมูจาฮีดีนเข้ารบกับกลุ่มคอมมิวนิสต์จนชนะและเข้าครอบครองประเทศนั้น

"เขาเป็นฆาตกรที่โหดที่สุดเท่าที่เราเคยมีมา ไม่มีใครรู้ว่าเขาฆ่าคนมาเเล้วกี่ศพ" อับดุล ราซัก เสมียนจากหมู่บ้านคาไล กาเชรฟบอกว่าครั้งหนึ่งเขาเคยเห็นชาร์ให้ศัตรู 15-16 คนยืนเรียงแถว แล้วสั่งให้ทหารยิงจรวดใส่ เพื่อดูว่าจะล้มลงสักกี่คน ในจำนวนเหยื่อที่เขาฆ่า สามศพคือเมียของเขาเอง และห้าศพคือลูกแท้ๆ ของเขา ชาร์ฆ่าเมียคนหนึ่งของเขาโดยการเทน้ำร้อนใส่ ฆ่าลูกสาววัยแบเบาะของเขาด้วยการฟาดเธอเข้ากับฝาผนังนับครั้งไม่ถ้วน

คดีของชาร์ถูกพิจารณาครั้งแรงในศาลพิเศษ พวกเขาเริ่มตัดสินคดีในเดือนตุลาคม ปี2002 มีพยานเก้าคนขึ้นให้การในศาล รวมทั้งเมียอีกคนของเขาที่เขาพยายามจะเผาเธอทั้งเป็นด้วย เหยื่อของชาร์ส่วนมากถูกพบในบ่อน้ำแห่งหนึ่ง ในจังหวัดปาร์มาน การประหารชาร์ ถูกจัดขึ้นที่เรือนจำพัลอีชาร์ครี ในวันที่ 20 เมษายน ปี 2004 นายกชั่วคราวของอัฟกานิสถานที่ชื่อว่าฮาหมิด คาร์ไซได้เซ็นรับรองให้มีการประหารเขา ที่แท่นประหาร ชาร์ถูกยิงเข้าที่ศรีษะ โดยมีพยานในการประหารเป็นตำรวจอัฟกัน ผู้แทนคณะลูกขุนและเหล่าแพทย์

มีการประท้วงจากต่างชาติโดยใช้เหตุผลที่ว่าอัฟกานิสถานตัดสินคดีของชาร์แบบไม่เป็นธรรม ชาร์อาจโดนประหารเพระต้องการปิดปากไม่ให้เขาพูดเกี่ยวกับผู้บัญชาการระดับสูงกว่าที่เขาเคยทำงานด้วย เขายังไม่ได้รับการจัดหาทนายให้เลยสักคน การตัดสินคดีก็เป็นไปแบบเงียบเชียบ และผู้พิพากษาคนแรกก็ถูกให้ออกเนื่องจากรับสินบน ผู้พิพากษาคนที่สองก็ต้องทำงานกับความกดดันอย่างสูง แม้ว่าจะมีการกล่าวกันว่าเขาเป็นฆาตกรต่อเนื่องที่ฆ่าคนไปมากกว่า 20 ศพ แต่ก็มีรายงานหรือหลักฐานที่ได้รับการเปิดเผยต่อสื่อไม่มากนัก ว่าเขาฆ่าใครไปบ้าง และฆ่าอย่างไร จริงๆ แล้วเขาอาจเป็นฆาตกรต่อเนื่องหรือเป็นไปได้ว่าเขาอาจเป็นแค่เหยื่อทางการเมืองคนหนึ่งเท่านั้นเอง



ที่มาข้อมูลและภาพ : คดีฆาตกรรม-อาชญากรรม






 

Create Date : 14 กรกฎาคม 2558    
Last Update : 14 กรกฎาคม 2558 8:36:06 น.
Counter : 502 Pageviews.  

แพททริค เดวิด แมคเครย์ : ฆาตกรต่อเนื่องชาวอังกฤษ ผู้ซึ่งสารภาพว่าเกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมสิบเอ็ดคดี


รูปภาพของ Hathairat Traithip

ในวัยเด็ก แพ็ททริคถูกทำร้ายร่างกายบ่อยครั้งโดยพ่อขี้เหล้าของเขาที่ชื่อว่าฮาร็อด เมื่อแพ็ททริคอายุได้สิบขวบ ฮาร็อดก็ตายจากโรครุมเร้าที่เกี่ยวกับการกินเหล้าและหัวใจที่อ่อนแอ คำสุดท้ายที่พ่อพูดกับเขาก็คือ จำไว้นะว่าต้องเป็นคนดี แพ็ททริครับไม่ได้ที่ต้องเสียพ่อไป เขาบอกกับผู้คนอยู่เสมอว่าพ่อยังมีชีวิตอยู่ และยังเก็บรูปถ่ายของพ่อไว้กับตัวเสมอด้วย

เมือเริ่มโตขึ้นมาหน่อย เขามีอารมณ์ที่รุนแรงมาก และมักจะโมโหร้าย เขาหมกมุ่นกับการทารุณสัตว์และการวางเพลิง มีครั้งหนึ่งที่เขาจับเต่าที่เลี้ยงไว้จุดไฟเผาด้วย เขายังชอบเเกล้งคนที่เด็กกว่า ขโมยของจากบ้านพักคนชราหญิง และผู้คนที่เดินตามถนน เขายังเคยพยายามฆ่าแม่และป้าของตัวเองอีกด้วย แพ็คทริคเคยพยายามที่จะฆ่าเด็กหนุ่มอายุน้อยกว่า ซึ่งเกือบสำเร็จถ้าไม่โดนขัดขวางไว้เสียก่อน นอกจากทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้น เขายังเคยพยายามวางเพลิงโบสถ์แคทอลิกอีกด้วย

เพราะวีรกรรมเหล่านั้น ทำให้เขาต้องใช้ชีวิตช่วงวัยรุ่นหลายปีเข้า ๆ ออก ๆ โรงพยาบาลโรคประสาทหลายเเห่ง เมื่ออายุได้สิบห้าปี จิตแพทย์คนหนึ่งก็ลงความเห็นว่าเขาเป็นคนโรคจิต หมอลีโอนาร์ด คาร์เคยทายไว้ว่าแพททริคจะโตขึ้นมาเป็นฆาตกรโรคจิต ในเดือนตุลาคมปี 1968 แพททริคได้เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลมอส ไซด์ ในเมืองลิเวอร์พูล เขาได้รับการปล่อยตัวออกมาในปี 1972

เมือเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ แพททริคสนใจเรื่องเกี่ยวกับนาซี เขาเรียกตัวเองว่าเเฟรงค์ลิน โบลล์โว้ลท์ เขาแต่งเเฟลตของเขาด้วยรูปภาพเกี่ยวกับนาซี ชีวิตในลอนดอนของเขาเต็มไปด้วยการดื่มจนเมาบ่อยๆ และการเสพย์ยาเสพย์ติด

ในปี 1973 ที่ใกล้ ๆ บ้านแม่ของเขาในเมืองเค้นท์ เขาพบและรู้จักกับบาทหลวงรูปหนึ่ง หลวงพ่อแอนโทนี่ ครีน แม้ว่าแพททริคจะงัดบ้านของหลวงพ่อและขโมยเช็คไปสามสิบปอนด์ แต่หลวงพ่อก็พยายามจะเกลี้ยกล่อมให้ตำรวจไม่เอาเรื่อง และให้แพททริคจ่ายคืนเท่านั้น แต่เขาก็ไม่เคยจ่ายเงินคืน เรื่องนี้ทำให้เขาต้องกลับไปอยู่ที่ลอนดอน ในช่วงเวลานี้เองที่เขาบอกว่าเขาฆ่าคนจรจัดคนหนึ่งโดยการทำให้จมน้ำในแม่น้ำเทมส์

เมืออายุได้ 22 ปี ในวันที่ 21 มีนาคม ปี 1975 แพททริคใช้ขวานฆ่าบาทหลางครีน เขาสับเข้าไปที่หัวกระโหลกของบาทหลวงแล้วดูบาทหลวงเลือดไหลจนตาย หลังจากนั้นเขาถูกจับ ตอนที่ถูกจับ เขาบอกกับตำรวจว่าเขาเคยทำงานเป็นคนสวน แต่ตอนนี้ตกงานอยู่ จริงๆ แล้วเขาเคยทำงานมามากมาย แต่เขาไม่เคยทำงานได้นานๆ เลยสักที่

ตำรวจสงสัยว่าเขาเกี่ยวกับการฆาตกรรมอื่นๆ อีกเป็นโหล ในเวลาสองปีที่ผ่านมา เหยื่อส่วนมากเป็นหญิงสูงวัย ซึ่งโดนแทงหรือบีบคอระหว่างการถูกปล้น แพททริคคุยโอ้อวดว่าเขาฆ่าคนมาแล้วสิบเอ็ดคน

เหยื่อของแพททริค
ในเดือนกรกฎาคม ปี 1973 เขาฆ่าเฮดี้ มนิลค์ สาวพี่เลี้ยงเด็กโดยการฟันเธอจากในรถไฟ แถวใกล้ๆ เมืองนิวครอส ในเดือนเดียวกัน เหยื่อที่ชี่อว่าแมรี่ เฮนส์ถูกทุบตีจนตาย ที่อพาร์ทเม้นท์ของหล่อนในเมืองเคนติส


ในเดือนมกราคม ปี 1974 สเตฟานี่ บริทท่อน และหลานชายวัยสี่ขวบถูกแทงจนตายที่แฮดเล่ย์ กรีน ในเมือนเฮิร์ทฟอร์ดไชร์ หลายวันต่อมา แพททริคฆ่าคนจรจัดวัยชราโดยการจับเขาถ่วงน้ำจากสะพานฮังเก้อฟอร์ด

ในเดือนต่อมา เขาบุกเข้าไปในบ้านของอิซซาเบลล่า กริฟฟินในเมืองเชลซี รัดคอเธอจนตาย และแทงมีดทำครัวเข้าที่ท้องของเธอ ตำรวจไม่ได้สงสัยว่าเขาเกี่ยวข้อง จนกระทั่งเขาสารภาพออกมาเอง แต่คดีนี้ก็ไม่ได้ถูกนำมาพิจารณาฟ้องด้วย

ในช่วงต้นปี 1974 แพททริคอาศัยอยู่กับเพื่อนๆ ในเมืองฟินย์เล่ ลอนดอนเหนือ เขาบอกว่าเขาถูกสะกดจิตโดยปีศาจ ไม่นานเขาก็ถูกไล่ออกจากบ้านเพราะการทำตัวประหลาดๆ ของเขา เขาพยายามจะปล้นคนเดินเท้าเเละโดนจับติดคุกหกเดือน ในช่วงต่อมาเขาทำงานเต็มเวลาเป็นนักล้วงกระเป๋าและปล้นคนแก่ด้วย เขาตีคนแก่วัย 62 จนตายด้วยการใช้ท่อ ต่อมาก็ตีซาร่า ร็อดเวล วัย 92 ที่หน้าบ้านของเธอที่เมืองเเฮกค์นี่ เพื่อการปล้นเงินเพียงแค่สิบปอนด์ ต่อมาเขาก็ฆ่าไอวี่ เดวี่ส์โดยการใช้ขวาน

ในเดือนมีนาคม ปี 1975 แพททริคอยู่นอกเหนือการควบคุมไปเเล้ว เขารัดคออะเดล ไพร้ซ์ แม่ม่ายสูงวัยจนตาย ในอพาร์ทเม้นของเธอในลอนดอน สิบเอ็ดวันต่อมา เขาบุกเข้าบ้านของบาทหลวงครีน และนั่นคือจุดจบของเขา

เเพททริคถูกสงวัยว่าเกี่ยวข้องในคดีฆาตกรรมห้าคดี แต่สองคดีมีหลักฐานไม่เพียงพอจึงตกไป ในเดือนพ.ย. เขาถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานฆ่าคนโดยไม่ได้ไต่ตรองไว้ก่อน เนื่องจากสภาพทางจิต และถูกตัดสินให้ถูกจำคุกตลอดชีวิต

แม้ว่าจะมีการลดโทษในกรณีอื่นๆ แต่สำหรับแพททริค แม้ว่าเขาจะติดคุกมากว่าสามสิบห้าปีแล้ว มีรายงานว่าเขาเป็นหนึ่งในห้าสิบนักโทษของอังกฤษที่ไม่มีวี่แววว่าจะได้ออกมาเห็นโลกภายนอกอีกเเล้ว


ที่มา : คดีฆาตกรรม - อาชญากรรม








 

Create Date : 14 กรกฎาคม 2558    
Last Update : 14 กรกฎาคม 2558 8:33:54 น.
Counter : 621 Pageviews.  

ฤทธิ์เดชแม่ผัว

เรามักได้ยินเรื่องราวของคู่รักที่มักมีปัญหาชีวิตเลวร้ายหลังแต่งงาน เมื่อแม่สามีไม่ยอมรับความรักของทั้งคู่ และทำทุกอย่างเพื่อให้ลูกสะใภ้แยกทางจากสามี ซึ่งเรื่องต่อไปนี้ก็เป็นตัวอย่างหนึ่ง

ปี 1959 ในเขตเวนทูลา รัฐแคลิฟอร์เนีย ได้มีการพิจารณาคดีแสนประหลาด เมื่อจำเลยเป็นหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่ง ชื่อ อลิซาเบธ แอนด์ ดันแคน ได้จ้างสองอันธพาลชาวเม็กซิโกลักพาตัวและทำการฆาตกรรมผู้หญิงตั้งครรภ์คนหนึ่ง ซึ่งเป็นภรรยาของลูกชายแท้ ๆ ของเธอเอง ด้วยสาเหตุเพียงว่าเธอไม่พอใจที่ลูกสะใภ้แย่งลูกชายสุดที่รักจากอ้อมอกของเธอ อลิซาเบธ แอนด์ ดันแคน เกิดเมื่อปี 1904 เป็นผู้หญิงเร่ร่อนจรจัดในซานฟรานซิสโกผ่านการแต่งงานมากถึง 16-20 ครั้ง หากแต่เธอเป็นหญิงขี้โกง โลภมาก การแต่งงานไม่ได้เกิดจากความรัก ทุกครั้งที่แต่งงานเธอจะแยกทางจากคนรักอย่างรวดเร็ว พร้อมฉกของมีค่า เรียกร้องเงินค่าเลี้ยงดูหรือแบล็คเมล์คนอื่นอย่างเลือดเย็น

ประวัติชีวิตของอลิซาเบธค่อนข้างคลุมเครือ เธออ้างว่ามีลูกสองคน (บ้างก็ว่าสามคน) คนแรกเป็นลูกสาวแต่เสียชีวิต ส่วนอีกคนเป็นลูกชายชื่อ "แฟรงค์ ดันแคน" เกิดเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 1928 ที่เมืองซานตา บาร์บารา แคลิฟอร์เนีย กล่าวกันว่า เธอรักเด็กคนนี้มากยิ่งกว่าชีวิตของตนเองเสียอีก มันเป็นเรื่องปกติธรรมดาอยู่แล้วที่แม่รักลูกของตัวเอง แต่ความรักของอลิซาเบธที่มีต่อแฟรงค์นั้นมีมากกว่าหลายคนคิด เธอทุ่มเทในการเลี้ยงลูกชนิดยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม ทุกคืนเธอจะนอนด้วยกันกับลูกชาย เวลาหนาวจะนอนเปลือยเปล่าโอบกอดลูกเพื่อให้ความอบอุ่น อลิซาเบธเลี้ยงแฟรงค์จนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ประสบความสำเร็จจากอาชีพทนายความ แต่เธอยังมองเขาเหมือนเด็กเล็ก ซ้ำความรักของเธอยิ่งทวีความหลงใหลมากขึ้น เธอหมกมุ่นจนน่ากลัว ลูกชายไปไหนเธอก็จะไปที่นั่น หากวันไหนลูกชายว่าความเธอจะตามเชียร์ลูกชายถึงที่ และจะปรบมือด้วยความดีใจหากลูกชายชนะคดี

ในปี 1957 แฟรงค์ได้ตัดสินใจที่จะเป็นอิสระจากแม่ที่รักเขาเกินเหตุ เขาบอกแม่ว่าอยากจะขอย้ายไปอยู่อพาร์ตเมนต์เพียงลำพัง สำหรับอลิซาเบธแล้วมันไม่แตกต่างอะไรกับวันโลกแตก เธออยู่ไม่ได้หากขาดลูกชาย เธอปฏิเสธเรื่องนี้สุดฤทธิ์พร้อมกับขู่ว่าหากเขาไปเธอจะฆ่าตัวตายประชด อย่างไรก็ตาม แฟรงค์ยังคงยืนยันที่จะออกไปใช้ชีวิตตามลำพัง อลิซาเบธจึงพยายามฆ่าตัวตายด้วยการกินยานอนหลับเกินขนาด โชคยังดีที่เธอถูกส่งตัวไปล้างกระเพาะอาหารในโรงพยาบาลท้องถิ่นได้ทันเวลา ทำให้รอดชีวิตหวุดหวิด ระหว่างที่แฟรงค์ไปเยี่ยมอลิซาเบธที่โรงพยาบาล เขาก็ได้พบนางพยาบาลสาวสวยคนหนึ่งที่ดูแลแม่ของเขาชื่อ "ออลก้า คุปชีค" อายุ 30 ปี เขาก็ตกหลุมรักเธอทันทีที่พบ ทั้งสองทำความรู้จักแล้วเริ่มคบหาจนมีความสัมพันธ์ฉันท์คู่รักกัน

และนั่นคือจุดเริ่มต้นของโศกนาฎกรรมสุดเลวร้าย เมื่ออลิซาเบธรู้ว่าลูกชายสุดที่รักมีแฟน เธอตัวสั่นไปทั้งตัว ทั้งเจ็บใจและเคียดแค้นออลก้ามาก สำหรับเธอแล้วมนุษย์ทุกคนยกเว้นลูกชายของเธอเป็นเพียงของเล่น เป็นเพียงเครื่องมือ หากใครที่คิดจะขัดขวางความรักของเธอและลูกชาย เธอก็พร้อมจะกำจัดให้พ้นทาง อลิซาเบธพยายามทุกวิถีทางเพื่อแยกให้ทั้งคู่แยกออกห่างกันไม่ว่าจะคุกคามฝ่ายหญิง หรือโทรตามลูกชายเกือบทุกเวลา อลิซาเบธถึงกับเดือดดาลเมื่อรู้ว่าออลก้าจะแต่งงานกับแฟรงค์ เธอตะโกนขู่ว่า "ถ้าแกแต่งงานกับลูกชายของฉัน ฉันจะฆ่าแกซะ!!"

แฟรงค์และออลก้าไม่มีทางเลือก พวกเขาต้องแอบแต่งงานกันอย่างลับ ๆ เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 1958 แต่แทนที่การแต่งงานจะช่วยแก้ปัญหา มันกลับยิ่งเลวร้าย อลิซาเบธเจ็บปวดหัวใจเมื่อทราบว่าลูกชายสุดที่รักแต่งงาน เธอประกาศเลยว่าจะจองเวรไม่ให้ออลก้ามีความสุข เพ่อความสงบสุข แฟรงค์จำเป็นต้องไป ๆ มา ๆ ระหว่างอพาร์ตเมนต์ที่ภรรยาเขาอยู่ และบ้านของแม่ เพื่อเอาใจทั้งสองคน แต่อย่างไรก็ตาม นับวันแม่ก็ยิ่งอาการหนักเหมือนคนบ้า มีอยู่ครั้งหนึ่งเธอขู่จะใช้ปืนฆ่าตัวตายประชดต่อหน้าเขา โชคดีที่เขาแย่งปืนมาได้ก่อน

หลายเดือนต่อมา ออลก้าก็ตั้งครรภ์ เมื่อนางอลิซาเบธรู้เรื่องเธอทะเลาะกับลูกชายจนแทบบ้า บอกให้เขาทิ้งเธอ ไม่กี่วันต่อมาแฟรงค์ต้องให้ออลก้าเปลี่ยนที่อยู่ใหม่ เพื่อความปลอดภัยของภรรยาและลูกในครรภ์ อย่งไรก็ตาม อลิซาเบธสามารถสืบจนพบที่อยู่ของออลก้า เธอขู่ให้ออลก้าออกจากเมือง พร้อมตะโกนว่า "ฉันจะฆ่าแก และนั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่ฉันจะทำ"

อลิซาเบธไม่ได้ขู่เล่น ๆ วันรุ่งขึ้นเธอก็เร่ิมมองหานักฆ่ามืออาชีพที่จะสามารถกำจัดลูกสะใภ้ตัวเองแบบหมดจดไร้หลักฐาน หลังจากใช้เวลาตามหาตัวนักฆ่าอยู่พักใหญ่ ในที่สุดอลิซาเบธก็เจอคนที่โลภพอที่จะทำตามคำขอของเธอไ้ด เมื่อนางเอ็มม่า ชอร์ต เพื่อนของเธอได้แนะนำให้เธอรู้จักสองอันธพาลชาวเม็กซิกัน ออกัสติ บัลโดนาโด อายุ 26 ปี และหลุยส์ โมญ่า อายุ 20 ปี ทั้งสองคนนั้นมีประวัติก่ออาชญากรรมมากมายนับไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็นเสพยาเสพติด ลักเล็กขโมยน้อย ก่อเรื่องทะเลาะวิวาท แทงคน และกำลังหางานอะไรก็ได้ที่ตื่นเต้นท้าทาย นางอลิซาเบธบอกเนื้อหางานที่จะให้สองหนุ่มเม็กซิกันว่ามันเป็นงานง่าย ๆ เพียงแค่กำจัดผู้หญิงคนหนึ่งที่แบล็คเมล์ลูกชายของเธอเพื่อหวังแต่งงาน หากกำจัดหล่อนสำเร็จภายใน 3-6 เดือน เธอยินดีจะจ่ายค่าตอบแทนเป็นเงินถึง 6,000 ดอลล่าร์

รูปภาพของ Hathairat Traithip
(จากซ้ายไปขวา แฟรงค์ ดันแคน และออลก้า ดันแคน)

มันเป็นเงินมากพอที่จะทำให้สองหนุ่มเม็กซิกันตกลงรับข้อเสนอของนาง หลังจากวางแผนมากมายหลายแผน พวกเขาก็ตกลงกันว่าจะลักพาตัวเธอข้ามพรมแดนเม็กซิโกและฆ่าเธอใน "ตีฮัวนา" จึงขอเบิกเงินล่วงหน้าจากนายจ้างเพื่อซื้อกระสุน ถุงมือ และเทปเก่า นางอลิซาเบธจ่ายเงินให้พวกเขาเพียง 175 ดอลลาร์ เงินจำนวนนี้มาจากการจำนำแหวนและขโมยเงินจากกระเป๋าลูกชาย พร้อมกันนั้นเธอกำชับอีกว่าหากงานสำเร็จค่อยมารับเงินส่วนที่เหลือ
ก่อนเที่ยงคืนอันหนาวเย็นของวันที่ 17 พฤศจิกายน 1958 สองหนุ่มเม็กซิกันก็เริ่มทำตามแผนที่วางไว้ พวกเขาขับรถเชฟโรเลตสีครีมที่เช่ามามุ่งหน้าไปที่อพาร์ตเมนต์ที่ออลก้าอยู่ เมื่อออลก้าที่ตั้งครรภ์ได้เกือบแปดเดือดได้ยินเสียงเคาะประตู เธอจึงเดินไปเปิดประตูก็พบชายชาวเม็กซิกันชื่อ โมญ่า เขาอ้างว่าเป็นเพื่อนดื่มกับแฟรงค์ ดันแคนสามีของเธอที่บาร์ และตอนนี้เขาเมาหนักอยู่ในรถที่จอดอยู่ชั้นล่าง และเขาต้องการให้เธอมารับตัวเขาขึ้นไปชั้นบน ออลก้าไม่ได้พบสามีของเธอมานาน 10 วัน เพราะเขากลับไปอยู่กับแม่ เธอจึงเป็นห่วง เธอสวมเสื้อคลุมทับชุดราตรีสีชมพูลายดอกไม้ และใส่รองเท้าแตะเดินตามชายเม็กซิกันคนนั้น จนมาถึงรถเชฟโรเลตที่จอดอยู่ชั้นล่าง เมื่อเธอมองไปที่กระจกรถด้านหลัง ก็พบบัลโดนาโดที่แกล้งนอนอยู่บนเบาะ แต่เพราะความมืดทำให้เธอคิดว่าเป็นสามีของเธอ ระหว่างที่ออลก้าเปิดประตูหลัง โมญ่าได้ใช้โอกาสนี้ตีศีรษะเธอที่ด้านหลังด้วยปืนพกที่ยืมมาจากเพื่อน แล้วบัลโดนาโดก็ดึงเธอเข้าไปในเบาะหลังรถ จากนั้นก็รีบขับรถออกจากอพาร์ตเมนท์

อย่างไรก็ตาม หลายอย่างไม่ค่อยเป็นไปตามแผน ออลก้ามีแรงมากกว่าที่พวกเขาคิดไว้มาก ระหว่างที่พวกเขาออกจากซานตา บาร์บารา เธอเริ่มกรีดร้องเสียงดัง และพยายามดิ้นรนต่อสู้สุดฤทธิ์ ทำให้บัลโดนาโดต้องใช้ปืนพกทุบเธอหลายทีจนเธอหมดสติ และใช้เทปกาวปิดปาก มัดมือและเท้า หลังจากขับรถออกจากเมืองก็พบว่ารถเกิดมีปัญหา เพราะรถที่เช่านั้นไม่เหมาะในการเดินทางไกลมากนัก พวกเขาจึงเปลี่ยนแผนการจากเดิมไปพรมแดนเม็กซิโก มาเป็นภูเขาแห่งหนึ่งในแถวเขตเวนทูรา พวกเขาลากออลก้าออกจากรถแล้วทิ้งลงจากเนินเขา ตกลงไปยังคูระบายน้ำด้านล่าง สองหนุ่มชาวเม็กซิกันตัดสินใจจะฆ่าออลก้า หากแต่ปืนได้รับความเสียหายจนไม่สามารถยิงได้ บัลโดนาโดและโมญ่าจึงแก้ปัญหาด้วยการผลัดกันบีบคอเธอ เมื่อจับชีพจรจนแน่ใจว่าเธอเสียชีวิต พวกเขาก็ใช้มือเปล่าขุดดินตะกอนรอบ ๆ เป็นหลุมตื้น และจัดการฝังเธอ


รูปภาพของ Hathairat Traithip

จุดที่พบศพออลก้า

เมื่อฝังเสร็จเรียบร้อย สองนักฆ่าได้กลับไปที่ซานตา บาร์บารา เพื่อทำลายหลักฐาน พวกเขาจัดการซ่อนเสื้อผ้าเปื้อนเลือด เบาะรองนั่งของรถ ทำความสะอาดรถ และฉีดพ่นแล็คเกอร์กลบรอยเลือด จากนั้นพวกเขาก็ไปทวงสัญญากับนายจ้าง แต่แทนที่จะได้เงิน 6,000 ดอลลาร์ตามที่ตกลงไว้ พวกเขาได้รับเพียงเงินไม่กี่ร้อยดอลลาร์เท่านั้น โดยอลิซาเบธอ้างว่าเพราะตำรวจตรวจสอบเลยเบิกเงินจากธนาคารไม่ได้

ทางด้านตำรวจ เมื่อได้รับแจ้งจากแฟรงค์ว่า นางออลก้า ดันแคน ภรรยาของเขาหายตัวไปจึงลงมือสอบสวนจนทราบเรื่องที่อลิซาเบธพยายามสุดฤทธิ์ให้ลูกชายแยกทางจากภรรยา ทำให้ตำรวจมั่นใจว่าเธอมีส่วนเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของออลก้าแน่นอน แม้จะไม่มีศพ แต่ตำรวจก็มีเหตุจูงใจเพียงพอที่จะควบคุมตัวอลิซาเบธ ดันแคน และสามารถขยายผลจนสามารถจับกุมออกัสติน บัลโดนาโ และหลุยส์ โมญ่า ฐานเป็นผู้ต้องสงสัย ซึ่งต่อมาสองนักฆ่าเม็กซิกันก็สารภาพว่า เป็นผู้ลักพาตัวและฆ่าออลก้า ดันแคน โดยมีผู้ว่าจ้างคืออลิซาเบธ ดันแคน

หลังจากที่แฟรงค์ทราบเรื่องแม่เป็นผู้จ้างวานฆ่าภรรยาของตัวเอง น่าประหลาดใจว่าแฟรงค์เลือกที่จะเป็นลูกที่จงรักภักดีต่อแม่มากกว่าจะรักภรรยาและลูกในครรภ์ของเธอ เขาพยายามปกป้องแม่ ให้ข่าวส่งเสริมภาพลักษณ์แม่ของเขาว่าเป็นคนดีแก่นักข่าว โดยเชื่อว่าแม่เป็นผู้บริสุทธิ์ และเธอเป็นเหยื่อแบล็คเมล์ของสองนักฆ่าชาวเม็กซิกัน เกือบหนึ่งเดือนหลังการฆาตกรรม ในที่สุดตำรวจก็พบศพหญิงตั้งครรภ์ ซึ่งแน่ชัดแล้วว่าคือออลก้า สภาพศพอยู่ในสภาพน่าเวทนา เธอถูกทุบตีที่ศีรษะอย่างไร้ความปราณี และถูกบีบคอ แต่ที่น่าตกใจยิ่งกว่าก็คือผลจากการชันสูตร พบสิ่งสกปรกในปอดของเธอ แสดงให้เห็นว่าออลก้าไม่ได้เสียชีวิตจากการถูกบีบคอ เธอยังคงมีชีวิตอยู่หลังถูกฝัง และต้องทุกข์ทรมานจนเสียชีวิตเพราะขาดอากาศหายใจจากการถูกฝังทั้งเป็นพร้อมกับลูกในครรภ์

รูปภาพของ Hathairat Traithip

จากซ้ายไปขวา เอ็มม่า ชอร์ต, หลุยส์ โมญ่า และออกัสติน บัลโดนาโด

แม้จะมีพยานหลักฐานมากมาย แต่อลิซาเบธยังคงปฏิเสธว่าไม่มีส่วนรู้เห็นกับคดีฆาตกรรมใด ๆ ทั้งสิ้น ซ้ำโยนความผิดไปให้สองนักฆ่าชาวเม็กซิกันทั้งหมด ว่าเธอถูกใส่ร้ายและเป็นผู้บริสุทธิ์ที่ถูกแบล็คเมล์ มีเพียงแต่แฟรงค์เท่านั้นที่เข้าข้างแม่ของเขา ทุกครั้งที่มีการพิจารณาคดีเขาจะนั่งข้างแม่เพื่อให้กำลังใจ พยายามแก้ต่างแทนแม่ตนเอง เมื่อหลักฐานมัดตัวแน่นหนา เขาก็ใช้เรื่องแม่ของเขามีอาการทางจิตโน้มน้าวคณะลูกขุนให้ลดโทษ แม้ว่าอลิซาเบธจะมีอาการทางจิต แต่เธอไม่ได้บ้า คณะลูกขุนใช้เวลา 4 ชั่วโมง 51 นาที ตัดสินโทษว่านางอลิซาเบธ ดันแคนมีความผิดจริง ฐานเป็นผู้จ้างวานฆ่านางออลก้า ดันแคน และต้องถูกประหารชีวิตด้วยการรมแก๊สพิษ ส่วนสองนักฆ่าชาวเม็กซิกันก็รับโทษแบบเดียวกันกับนายจ้างของพวกเขา

3 ปีของการยื่นอุทธรณ์ของอลิซาเบธล้มเหลว ในที่สุดก็มาถึงวันที่เธอต้องถูกประหารในห้องแก๊สของคุกซานเควนติน ประมาณ 10 โมงเช้าของวันที่ 8 สิงหาคม 1962 วันนั้นเธอยังคงอารมณ์ดี มีความสุข ไร้ความทุกข์ เธอไม่มีความเสียใจกับสิ่งที่เธอทำลงไป และเธอยังคงรักลูกชายของเธอเหมือนเดิม อีกทั้งก่อนเข้าห้องแก๊ส เธอยังยืนยันว่าตนเองบริสุทธิ์ และขอร้องให้เธอเห็นลูกชายเป็นครั้งสุดท้าย น่าเสียดายที่อลิซาเบธไม่ได้เห็นหน้าลูกชาย แม้ว่าแฟรงค์จะพยายามยื่นคำร้องขอพบแม่ครั้งสุดท้ายก่อนประหารก็ตาม อลิซาเบธจบชีวิตของเธอในห้องรมแก๊สไซยาไนต์ 3 ชั่วโมงต่อมาบัลโดนาโดและโมญ่าก็ถูกส่งตัวเข้าห้องรมแก๊สเสียชีวิตตามนายจ้างของเขาไป หลังจากแม่ของเขาถูกประหาร แฟรงค์ ดันแคน ได้แต่งงานใหม่อีกครั้ง หากแต่เขาไม่มีความสุขมากนัก หลายปีต่อมา เขาหย่าขาด และย้ายไปอยู่ลอสแองจลิส และทำงานเป็นทนายความ

เรื่องราวของอลิซาเบธเป็นอุทาหรณ์ได้เป็นอย่างดีสำหรับใครบางคนที่มีความรักอะไรบางอย่างมากเกินพอดี หากตัดไม่ขาดแล้วถลำลึกยิ่งมากกว่าเดิม สิ่งที่ตามมาก็คือความเจ็บปวดของคนรอบข้าง และโศกนาฎกรรมที่เกินจะแก้ไข.




โดย : นวพร
ที่มา : ต่วย'ตูนพิเศษ ปีที่ 40 ฉบับที่ 479 เดือนมกราคม 2558









 

Create Date : 14 กรกฎาคม 2558    
Last Update : 14 กรกฎาคม 2558 8:22:59 น.
Counter : 580 Pageviews.  

ริชาร์ด โลบ & นาธาน ลีโอโปลด์ : แรงอธรรม

ชิคาโกในปี ค.ศ. 1924 เป็นยุคแห่งดนตรีแจ๊ส เหล้าเถื่อน แก๊งอันธพาล และอัลคาโปนครองเมือง  สิ่งเลวร้ายเหล่านี้ทำให้อเมริกาเสื่อมเสีย คนดีกลายเป็นคนเลว เงินคือพระเจ้า คดีอาชญากรรมก็เพิ่มขึ้นอย่างใจหาย  แต่มีคดีดังอยู่คดีหนึ่งที่สร้างความสะเทือนขวัญสั่นประสาทชาวอเมริกันแบบลืมไม่ลงไปหลายปี จนปัจจุบันคดีนี้ยังคงถูกกล่าวถึงในนิยาย และภาพยนตร์ จนกลายเป็นคดีในตำนานไปแล้ว  คดีนี้คือนาธาน ลีโอโปลด์ กับริชาร์ด โลบ ทั้งสองเป็นแค่เด็กนักเรียนที่ร่วมมือกันช่วยฆ่าเด็กชายคนหนึ่งตายอย่างเลือดเย็น ทั้งที่ไม่มีเหตุจูงใจฆ่าสักนิด เป็นความวิปริตที่ไม่มีต้นสายปลายเหตุแต่อย่างใด

✥ นาธาน ลีโอโปลด์ ✥
ที่จริงเด็กทั้งสองที่กล่าวถึงนั้น ครอบครัวของพวกเขาถือว่ารวยมาก ๆ การศึกษาเยี่ยมอย่างยิ่ง ผิดกับฆาตกรรายอื่น ๆ ที่ครอบครัวยากจน การศึกษาน้อย ครอบครัวของนาธาน ลีโอโปลด์เป็นที่ยอมรับนับถือมาก พวกเขาเป็นยิวเชื้อสายเยอรมันที่ร่ำรวย แต่มาลงหลักปักฐานในอเมริกา ตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 19 สร้างฐานะด้วยธุรกิจขนส่งสินค้าในแถบ Grear Lakes และมีคฤหาสน์หลังงามในแถบเคนวู้ดของชิคาโก นาธาน ลีโอโปลด์ เกิดวันที่ 19 พฤศจิกายน 1904 เป็นบุตรชายคนสุดท้องในจำนวนลูกชาย 4 คน เป็นเด็กอ่อนแอ ขี้โรค จนใคร ๆ คิดว่าเด็กคนนี้อายุไม่ยืนแน่ ๆ เนื่องจากมีปัญหาต่อมไทรอยด์ผิดปกติ ทำให้กลายเป็นคนอ่อนปวกเปียก แคระแกร็น จนใคร ๆ พากันตั้งสมญานามว่า“เบ๊บ” (ลูกแหง่) นาธานเป็นเด็กคลอดยากทำให้แม่ของเขาป่วยหนักเป็นปี ๆ นี้เองที่ทำให้หลายคนมองว่าเขาเป็นตัวซวย ไม่สมควรเกิดมาในโลกใบนี้ แต่กระนั้นชีวิตในวัยเยาว์ของนาธานถือว่าไม่เลวร้ายนัก ด้วยความฐานะดี ตัวเขาและพี่ ๆ อีก 3 คน จึงมีพี่เลี้ยง  ตอนนาธานอายุ 5 ขวบ มีพี่เลี้ยงคนใหม่ชื่อ มาธิลด้า วานท์ มาจากเยอรมัน พูดภาษาอังกฤษไม่ได้สักคำ นาธานนั้นเป็นเด็กอ่อนแอก็จริง แต่เขาฉลาดเป็นเลิศ ขนาดพูดคำแรกได้เมื่ออายุแค่ 4 เดือน จากการทดสอบไอคิวพบว่านาธานนั้นมีไอคิวสูงถึง 210 เรียกได้ว่าอัจฉริยะเลยก็ว่าได้ ดังนั้นตอนนาธานอายุ 5 ขวบนั้น นาธานเลยตั้งตัวเป็นครูสอนภาษาอังกฤษให้มาธิลด้าผู้อ่อนหวาน และกระตือรือร้นอยากพูดวลีง่าย ๆ ผลปรากฏว่าทุกเช้ามาธิลด้าจะมาทักทายคุณผู้ชายกับคุณผู้หญิงเจ้านายของเธอว่า “ไปลงนรกซะ” เพราะเธอเชื่อว่าประโยคนี้หมายถึง“อรุณสวัสดิ์" นอกจากนี้ มาธิลด้า มีอารมณ์แปลก ๆ อยู่อย่างหนึ่ง คือด้วยความสนิทสนมกับคุณหนูทั้ง 4 เธอจึงชอบอาบน้ำร่วมกับเด็ก ๆ ต่างฝ่ายต่างสำรวจซอกเร้นลับของร่างกายซึ่งกันและกัน มาธิลด้าก็ยินดีจะให้เด็กลวนลามศึกษาทุกส่วนสัดของร่างกายเธอ ไม่รู้แน่ชัดเด็กทั้ง 4 คนนั้นจะโตมาแบบไหน แต่สำหรับนาธานน้องเล็กสุดถ้าเขาประพฤติตัวดี มาธิลด้าจะมอบรางวัลพิเศษให้ ด้วยความที่คุณหญิงป่วยนอนแต่บนเตียงตลอด ส่วนคุณผู้ชายก็ออกไปทำงานข้างนอก ทำให้มาธิลด้าต้องใช้ชีวิตประจำวันในบ้านหลังนี้แบบสัปดี้สีประดนมา 6 ปีเต็ม แต่วันหนึ่งเธอก็ถูกจับได้ เพราะมารดาของนาธานเห็นเข้าเต็มตา ขณะนั้นนาธานอายุ 12 ขวบ ไม่ไปโรงเรียน วันนั้นทั้งคู่เลยถูกลากลงจากเตียง และมาธิลด้าโดนเฉดหัวออกจากบ้าน แต่มันก็สายไปแล้ว การกระทำของมาธิลด้าฝังรากในความคิดของนาธานไปซะแล้ว

ด้วยความฉลาดล้ำเกินหน้าเกินตาของคนอื่นของเด็กชายนาธาน จึงไม่มีใครชอบเขามากนัก ไม่ว่าจะเป็นในโรงเรียนที่ฮาวาร์ด หรือบรรดาเพื่อนบ้าน นอกจากความฉลาดแล้ว สภาพขี้โรคก็ยังเป็นปัญหาในการคบมิตรสหายเช่นกัน อีกทั้งนิสัยขี้โอ่ อวดดี รวยกว่าคนอื่น ยิ่งทำให้เขากลายเป็นคนน่าหมั่นไส้ ไม่มีใครอยากคบ ทุกคนมักกล่าวถึงนาธานว่าในสมองมีแต่เรื่องหยาบช้า รุนแรง ผิดมนุษย์มนา โดยเฉพาะเรื่องผู้หญิงแล้วนาธานล้มเหลวไม่เป็นท่า เขาไม่ชอบผู้หญิง เพราะชอบดูถูกพวกเธอว่าเป็นเพศชั้นต่ำกว่า ฉะนั้นความสัมพันธ์ต่างเพศของเขา จึงมีแต่พวกหญิงขายบริการเท่านั้นที่เขาคบด้วย ด้วยความที่ขาดมิตรและไร้คู่ ทำให้นาธานจึงต้องทุ่มเทพลังในการเรียนรู้ จนเชี่ยวชาญภาษาต่างประเทศหลายภาษา แต่เวลาว่างส่วนใหญ่ที่นาธานชอบมากที่สุดคือส่องนก เมื่อนาธานอายุ 17 ปี มารดาก็เป็นอันต้องตายจากโลกด้วยไตพิการ การตายของแม่ มีผลทำลายจิตใจของนาธานอย่างมาก ถึงขั้นประกาศว่าจะเลิกนับถือพระเจ้า เพราะเขาแค้นเคืองข้องใจมากว่าถ้าพระเจ้ามีจริง ทำไมต้องให้เขาเกิด และทำไมพระองค์ต้องกลั่นแกล้งให้แม่เขาให้ตายแบบทรมานแบบนี้ ต่อไปนี้เขาจะกลายเป็นคนนอกศาสนา ไม่เชื่อพวกบาปบุญคุณโทษจากนรกสวรรค์ใด ๆ ทั้งสิ้น 

หลังนาธานถูกจับในคดีสังหารโหดบุตรชาย นักวิเคราะห์ได้ทำการทดสอบนาธาน พบว่านาธานมีพัฒนาการทางจินตนาการอย่างมากมายเหลือเชื่อ โดยบันทึกการวิจัยของนาธานมีดังนี้ 

“นาธานมีความบากบั่นอย่างแรงกล้าที่จะแก้ปมด้อยทางกายภายของตนเอง ด้วยการพาตัวเองเข้ามาในโลกแห่งจินตนาการที่เขาสมมติขึ้น เพื่อพึงพอใจตามลำพัง เขาพบว่าเขามีจินตนาการว่าตนเองเป็นทาสผู้มีร่างกายกำยำแข็งแกร่งยิ่งกว่าใครในโลก และวิธีใดสักอย่าง เขาช่วยพระราชาองค์หนึ่งเอาไว้ ราชาองค์นั้นสำนึกบุญคุณของเขาและอยากปลดปล่อยเขาเป็นอิสระ แต่ทาสผู้บึกบึนกลับปฏิเสธ วิธีใช้จินตนาการแบบนี้ พบว่านาธานทำมาตั้งแต่ 5 ขวบเรื่อยมาจนโตเข้าสู่วัยรุ่น เขาปรารถนาที่จะมีร่างกายสมบูรณ์ สมกับความอัจฉริยะของเขา และอยากมีชีวิตในโลกที่พระเจ้าตายแล้ว มนุษย์ทั้งหมดเป็นพี่น้องกัน โลกแห่งความจริงไม่เป็นเช่นนั้น แต่นาธานเปิดโอกาสให้โลกของเขาเป็นไปได้ เขาหลักแหลมพอที่จะอธิบายทางปรัชญา ในหลักปรัชญานั้น ไม่มีอารมณ์และความรู้สึก ความฉลาดปราดเปรื่องคืออำนาจสูงสุด และอาชญากรรมหรือการก่อการใดๆ ด้วยสติปัญญา ถือว่าเป็นความถูกต้องทั้งหมด และเพื่อให้เป็นไปตามนั้นตัวเขาคือผู้ครองอำนาจโดยชอบธรรม” นาธานได้อิทธิพลความคิดจาก Nietszche ผนวกกับชายแบบในจินตนาการของเขาเอง คล้ายกับซูเปอร์แมน นาธานใช้แนวคิดนี้ตัดสินคนอื่นโดยยึดมาตรฐานซูเปอร์แมน นาธานให้คะแนนตัวเอง 65 คะแนน ขณะที่ชายทั่ว ๆ ไป เกณฑ์ที่เขามองต่ำมากเฉลี่ยแค่ 30-40 แต่มีชายหนุ่มคนหนึ่งมีคะแนนถึง 90 ในสายตานาธาน ชายหนุ่มคนนั้นคือ "ริชาร์ด โลบ" ชายหนุ่มที่นาธานรู้จักเมื่ออายุ 16 ปี และได้กลายเป็นเพื่อนรักกันมานับแต่นั้น




✥ ริชาร์ด โลบ ✥
ครอบครัวของริชาร์ดเป็นครอบครัวร่ำรวยเหมือนกัน บิดาอัลเบิร์ต โลบ เป็นมหาเศรษฐีเงินล้าน เป็นกรรมการบริหารของเซียร์ส ประสบความสำเร็จมหาศาล จากธุรกิจการส่งสินค้าทางไปรษณีย์ มารดาของริชาร์ดคือ แอนนี่ โบห์เนน โลบ มาจากครอบครัวใหญ่ที่เคร่งครัดนิกายคาทอลิก ซึ่งคนทั้งครอบครัวไม่พอใจมากที่แอนนี่มาแต่งงานกับอัลเบิร์ต แม้จะร่ำรวยและมีชื่อเสียงทางธุรกิจชนิดล้นพ้นสักปานใด แต่ญาติ ๆ ของแอนนี่ก็รังเกียจเหยียดหยาม ไม่มีวันยอมรับเพราะอัลเบิร์ตเป็นยิว แต่อัลเบิร์ตก็แต่งงานกับแอนนี่จนได้ ทั้งคู่มีลูกชายด้วยกัน 4 คน และริชาร์ดเป็นคนสุดท้องเช่นเดียวกับนาธาน ครอบครัวของริชาร์ดอาศัยอยู่ในคฤหาสน์ใหญ่ราวกับวัง ครอบครัวของโลบก็จ้างพี่เลี้ยงมาดูแลลูก ๆ ของเขาเช่นกัน ในกรณีพี่เลี้ยงนั้น ครอบครัวของลีโอโปลด์ถูกพี่เลี้ยงดูแลแบบตามใจเกินไป แต่สำหรับกรณีของริชาร์ดพี่เลี้ยงเข้มงวดและเคร่งครัดมาก พี่เลี้ยงริชาร์ดชื่อ มิสสตรัทเธอร์ อายุ 28 ปี มาเลี้ยงเขาตั้งแต่ 4 ขวบ เธออยากให้ริชาร์ดเรียนเก่ง ๆ เธอจึงใช้เวลาส่วนใหญ่สอนหนังสือเขา และคร่ำเคร่งให้ริชาร์ดอยู่แต่กับตำรา ไม่ยอมให้เขาไปวิ่งเล่นไร้สาระเด็ดขาด จนริชาร์ดไม่มีเพื่อน ทำให้กลายเป็นคนติดพี่เลี้ยงจนเป็นลูกแหง่ เทคนิคการอบรมของมิสสตรัทเธอร์ก็ดีอยู่หรอก เพราะแม้ริชาร์ดจะมีไอคิวแค่ 160 แต่สามารถจบประถมด้วยวัยเพียง 12 ปี และเรียนอยู่มัธยมด้วยอายุแค่ 14 ปีเท่านั้น จากนั้นก็เข้าศึกษาที่มหาลัยชิคาโก แต่ทว่า การแก่เร็วเกินอายุกับไม่ใช่เรื่องที่น่าชื่นชมเท่าไร เพราะอีคิวของริชาร์ด บ่งบอกว่าเขาจะกลายเป็นเด็กมีปัญหา การเลี้ยงดูอย่างเข้มงวด ทำให้ริชาร์ดกลัวมิสสตรัทเธอร์มาก เพราะเธอดุเหลือเกิน เอะอะอะไรก็ทุบตีริชาร์ด มือหนักเสียด้วย ผลคือทำให้ริชาร์ดกลายเป็นเด็กชอบโกหก แก้ตัวเพื่อเอาตัวรอด จนในที่สุดการโกหกจึงกลายเป็นเรื่องปกติวิสัยของริชาร์ดไป จนมันพัฒนากลายเป็นบุคลิกสำคัญของเขา สิ่งที่ริชาร์ดต้องกล้ำกลืนฝืนทนตลอดมาคือ พี่เลี้ยงของเขามักคอยเซ็นเซอร์หนังสือต่าง ๆ และเลือกหนังสือมาให้เขาอ่านเสมอ หนังสือที่เขาไม่ค่อยชอบซะด้วยสิ โดยเฉพาะเรื่องคลาสสิก ริชาร์ดไม่ชอบมันเลย หนังสือที่เขาชอบและอยากอ่านก็คือแนวรุนแรงแบบฆาตกรรม อาชญากรรม ต่างหากล่ะ มันเป็นสิ่งที่เขาหลงใหลมาก เด็กน้อยนั้นตอนแรกวาดฝันอยากเป็นนักสืบ แต่นาน ๆ วันเขาเริ่มอยากเป็นฆาตกร อาชญากรอัจฉริยะ ฆ่าคนตามท้องถนน และก่อคดีฆาตกรรมสมบูรณ์แบบไม่มีทางให้ใครสืบรู้ว่าตนเองเป็นคนฆ่า ..มันเป็นเกม!




ในที่สุดมิสสตรัทเธอร์ ก็ออกไปจากชีวิตของริชาร์ดจนได้ ในขณะที่เขาอายุ 14 ปี หลังจากทะเลาะกับมารดาของริชาร์ดอย่างรุนแรง เหมือนกับนาธานมันสายไปแล้ว การกระทำของมิสสตรัทเธอร์ได้ฝังรากในความคิดของริชาร์ดไปซะแล้ว เช่นเดียวกับของนาธาน ริชาร์ดก็วาดฝันโลกจินตนาการเหมือนกัน เขาฝันว่าตนเองเป็นฆาตกรอัจฉริยะ เป็นหัวหน้าแก๊งวายร้ายที่มีลูกน้องนับถือ เพื่อยืนยันความสามารถ ริชาร์ดเริ่มพิสูจน์ตนเองตั้งแต่อายุ 8-9 ขวบ ลองขโมยเงินและสิ่งของต่าง ๆ อย่างไม่ละอายต่อบาปดู นักวิเคราะห์ด้านอาชญาวิทยา วิเคราะห์ริชาร์ดไว้ว่า “เขาเริ่มตั้งแต่อายุก่อน 9 ขวบ อยากรู้อยากเห็นกระตือรือร้นในเรื่องอาชญากรรมผิดปกติ วาดฝันว่าเขาเป็นคนใดคนหนึ่งที่อยู่ในสนามเรือนจำ เปลือย ถูกทรมาน ถูกแส้โบยตี สิ่งเดียวที่ประโลมปลอบเขาได้ คือสายตาของฝูงชนที่อยู่รอบภายนอกคุก...พวกเขามองด้วยความสงสาร เห็นอกเห็นใจ เมื่อถูกถามว่าใครบ้างที่สงสารเขา ทีแรกริชาร์ดตอบเหมือนคนทั่ว ๆ ไป แต่ต่อมาเขาตอบว่า คนพวกนี้เป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ เล็กที่สุด” เขาจะย้ำว่า“ผมถูกทรมาน” มันเป็นความคิดที่สร้างความพอใจอย่างยิ่งยวด “ผมชอบที่จะมองผ่านลูกกรงขังห้องขังออกมาเพราะผมเป็นอาชญากรรมที่มีชื่อเสียงระดับโลก” 

ตอนเด็ก ๆ นั้น มิสสตรัทเธอร์ถูกสั่งห้ามเด็ดขาดเรื่องเซ็กซ์ มันเป็นสิ่งต้องห้าม อย่างไรก็ตามริชาร์ดไม่สนใจเรื่องกามารมณ์เท่าไหร่ ทั้ง ๆ ที่เขาเป็นคนรูปหล่อเป็นที่หลงใหลของสาว ๆ ไม่ใช่น้อย ริชาร์ดไม่สนใจข้อได้เปรียบนี้เลย เขาไม่เคยจีบสาว หรือเดินสะพานที่เธอทอดให้ ไม่เคยมีกิจกรรมทางเพศกับหญิงใด เขาเชื่อว่าเขาเองมีแรงกระตุ้นทางเพศน้อยมาก เซ็กซ์ไม่มีความหมาย ไม่เคยทำให้เขาตื่นเต้น ความสุขของเขาคืออาชญากรต่างหากละ เขาอยากเป็นฆาตกรซะเหลือเกิน ริชาร์ด โลบ ได้พบ นาธาน ลีโอโปลด์ ที่มหาวิทยาลัยชิคาโก ตอนนั้นทั้งคู่อายุ 16 ปี และได้สนิทสนมเป็นสหายรักกันอย่างรวดเร็ว





✥ ผูกพัน ✥
ความขมขื่นในวัยเด็กของริชาร์ดทำให้เขาไม่อยากอยู่ชิคาโกอีกต่อไป เขาเลยจากบ้านเกิดแบบไม่สนใจใยดี และขอไปเรียนที่มหาลัยมิชิแกน เพียงเพื่อพ้น ๆ จากบ้าน นาธานก็ตามริชาร์ดไปแต่ริชาร์ดไม่พอใจ เพราะริชาร์ดทำอะไรไม่ค่อยสะดวก  เขาไม่ควรสนิทกับนาธานมากเกินไปนัก  นาธานเดินทางกลับชิคาโก และเรียนจบปริญญา จากนั้นก็ศึกษาทางด้านกฎหมาย ฝ่ายริชาร์ด โลบ เมื่อได้ปริญญาจากมหาลัยมิชิแกนแล้ว เขาก็กลับสู่ชิคาโกเช่นกัน  ซึ่งตอนนั้นมีข่าวลือว่านาธาน ลีโอโปล์ดกับริชาร์ด โลป เป็นคู่เกย์กัน!  ข่าวลือนั้นมาในรูปของจดหมาย มันถูกสำเนาและร่อนไปยังบรรดาญาติ ๆ ของทั้งคู่ซะด้วย  เรื่องราวนี้ไม่เปิดเผยมากนัก จนกระทั่งคนทั้งคู่ถูกจับจึงยอมรับสารภาพว่ามีสัญญาผูกพันซึ่งกันและกัน โดยริชาร์ด โลบสัญญากับนาธาน ลีโอโปล์ดว่าจะยอมเป็นคู่นอน ถ้าหากนาธานช่วยริชาร์ดก่ออาชญากรรม  สำหรับริชาร์ดแล้ว เขาบอกว่าความสัมพันธ์แบบนี้ให้โอกาสเขามีใครสักคนมาเป็นผู้ช่วยก่ออาชญากรรมในฝันให้เป็นจริงขึ้นมา ในส่วนของนาธานนั้น สาเหตุที่เขาก้าวสู่อาชญากรรมคือ รอยแผลในวัยเด็กที่เขาได้รับการปลูกฝังมาจากพี่เลี้ยง  มาบัดนี้นาธานยอมทำตามใจริชาร์ด เขาได้รับรางวัลพิเศษด้วยวิธีเดียวกัน คือหนุ่มริชาร์ดยอมให้นาธานสอดใส่เข้าไปในร่างกายเขาได้ ในวันที่เขาทำดีเป็นพิเศษ  ตอนแรกก็ 3 ครั้ง ใน 2 เดือน แต่หลัง ๆ ทั้งคู่จะทำแบบนี้ทุกครั้งหลังช่วยก่ออาชญากรรมอันแสนตื่นเต้นมา พวกเขาเริ่มมีประสบการณ์ออรัลเซ็กซ์ด้วย แต่นาธานไม่ชอบเท่าแบบเดิม  หลังจากทั้งสองถูกจับกุม ทั้งสองอธิบายพฤติกรรมทางเพศของพวกเขาว่า  "...ริชาร์ดจะแกล้งทำเป็นเมา จากนั้นนาธานก็จะถอดเสื้อริชาร์ดออกมาอย่างหื่นกระหาย จนบทรักนับเกือบจะเป็นการข่มขื่นกลาย ๆ มันช่างยั่วยวนใจนาธานเหลือเกิน.. เกินกว่าผู้หญิงใด ๆ จะยวนใจเขาได้”

ความเป็นเกย์หรือโฮโมเซ็กซ์ช่วลของนาธาน ลีโอโปลด์ กับความชื่นชอบหลงใหลในอาชญากรรมของริชาร์ด โลบถูกผลึกเข้าเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างแยกไม่ออก จนกลายเป็นสัญญาผูกพัน... จากความใฝ่ฝัน จินตนาการ กลายมาเป็นการลงมือทำแบบจริง ๆ จัง ๆ และเริ่มรุนแรงขึ้นทุกที เพราะเมื่อทั้งคู่ทำผิดและสำเร็จ พวกเขายิ่งอยากเสี่ยงมากกว่าเดิม  ครั้งแรกก็โกงไพ่ ไต่ระดับมาลักเล็กขโมยน้อย ตามด้วยการงัดแงะขโมยของในรถยนต์ ตามด้วยการก่อกวนชาวบ้าน แอบกดสัญญาณไฟไหม้ในมหาวิทยาลัยจนวุ่นวาย ความสนุกแบบนี้พัฒนากลายเป็นการวางเพลิงในเวลาต่อมา  จากนั้นทั้งคู่ก็วางแผนหฤโหด จะเข้าไปปล้นบ้านของเพื่อนคนหนึ่ง และตกลงกันว่า ถ้าจำเป็นก็ให้สังหารยามซะ แต่เคราะห์ดีที่รถทั้งคู่ใช้เป็นพาหนะในการปล้นเกิดขัดข้องกะทันหัน พวกเขาเลยเปลี่ยนแผนไปปล้นญาติห่าง ๆ ของริชาร์ดแทน  เขาเป็นคู่ฝันที่ช่วยกันจินตนาการซึ่งกันและกันให้เป็นจริง ถ้าขาดใครคนหนึ่งไปเสีย เขาจะทำอะไรไม่ได้เลย 




✥  วางแผน ✥ 
“เราซักซ้อมการลักพาตัวอย่างน้อย 3 ครั้ง ทำตามแผนที่เตรียมมาทุกอย่าง ขาดแต่ตัวเด็กผู้ชายที่เราจะไปล่อเอามาฆ่า....มันเป็นแค่การทดลองทำดูเล่น ๆ สำหรับเราแล้วมันง่ายเหมือนไปจับแมลงสักตัวมาปักหมุดลงบนแผ่นสะสมตัวแมลง!” 

เดือนพฤศจิกายน 1923 นาธาน ลีโอโปลด์ กับริชาร์ด โลบ เริ่มวางแผนลักพาตัวและฆาตกรรมเด็กชายคนหนึ่ง โดยแรงจูงใจที่ทำเพียงแค่อยากทำการฆาตกรรมที่สมบูรณ์แบบเท่านั้นเอง ถือเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าความชาญฉลาดของพวกเขาสามารถฆ่าคนได้ตลอดรอดฝั่งหรือเปล่า  นอกจากนี้การฆาตกรรมครั้งนี้ เป็นเสมือนการแต่งงานระหว่างริชาร์ดกับนาธานซะด้วยสิ มันสุดแสนโรแมนติกมาก ๆ เลย ส่วนที่ยากที่สุดในการวางแผนครั้งนี้คือการเรียกเก็บเงินค่าไถ่ พวกเขาจะทำวิธีไหนที่จะไม่ถูกจับ หลังจากวางแผนมานาน ก่อนที่จะมาลงตัวโดยใช้วิธีให้ญาติของเหยื่อโยนเงินมาจากรถไฟที่กำลังแล่นผ่านจุดนัดพบตามที่พวกเขาสั่ง ปัญหาต่อมาคือ จะส่งจดหมายเรียกค่าไถ่ให้บิดาเหยื่อยังไงไม่ให้คนอื่นตามรอยมาจับได้ เรื่องนี้ทั้งคู่วางแผนคิดกันอย่างละเอียดลออ "พ่อของเหยื่อจะต้องรับจดหมายบอกว่า ลูกชายของเขาถูกจับตัวไปเรียกค่าไถ่ โจรต้องการเงินจำนวน 8,000 ดอลลาร์ ที่เป็นแบงค์ 50 ทั้งหมด และอีก 2,000 ดอลลาร์ เป็นแบงค์ 20 ล้วน ๆ ทุกใบต้องเป็นธนบัตรเก่าที่ใช้แล้วไม่มีการเรียงเบอร์ ห้ามมีเครื่องหมายใด ๆ มาร์กเด็ดขาด เขาจะต้องเอาธนบัตรทั้งหมดมาใส่ในกล่องซิการ์ มัดเชือกไว้อย่างดีห่อกระดาษสีขาว และผนึกอีกชั้นด้วยขี้ผึ้งลนไฟ จุดหมายคือเพื่อส่งให้กับคน ๆ หนึ่งที่จอมโจรจ้างให้ไปรับ  แต่หลังจากพ่อเหยื่อจะได้รับโทรศัพท์ซึ่งสั่งให้เขาไปที่ถังขยะตามที่โจรบอก ที่นั่นจะพบโน้ตใบหนึ่ง สั่งให้เขาไปที่ร้านขายยาที่มีตู้โทรศัพท์อยู่ด้านหนึ่ง เขาจะต้องรอ เพราะโจรจะโทรเข้าเครื่องที่ตู้นี้ ร้านขายยาอยู่ใกล้สถานีรถไฟ และพ่อเหยื่อจะมีเวลาเพียงน้อยนิดสำหรับการวิ่งตีตั๋ว และขึ้นรถไฟ ไม่มีเวลาแม้แต่จะติดต่อนักสืบหรือตำรวจที่เฝ้าสอดส่องตามจับโจรเรียกค่าไถ่กันอยู่นั่น  บนรถไฟ เขาจะต้องไปที่รถเข็นคันหนึ่ง ในรถเข็นนั้นมีโน้ตคำสั่งต่อไป บอกเขาว่าจะต้องโยนกล่องเงินลงไปตรงไหน"  ช่างมีความสุขเสียจริง ที่พวกเขาวางแผนอย่างชาญฉลาดแบบนี้ จากนั้นสองหนุ่มก็วางแผนว่าจะฆ่าใครดี ฆ่าพ่อเด็กด้วยดีไหม แต่ไม่ดีกว่า เดี๋ยวมันจะเป็นการทิ้งหลักฐานมากไป ตำรวจจะตามรอยมาถึงเราได้... ตอนนี้ทำเรื่องจับตัวเด็กมาเรียกค่าไถ่ให้ได้ก่อน! 

ริชาร์ดกับนาธานเริ่มหาเหยื่อ ซึ่งมีคุณสมบัติคือ เป็นเด็กผู้ชาย พ่อต้องรวย ๆ พอที่จะเรียกค่าไถ่ได้ และเด็กต้องรู้จักคนทั้งคู่เพื่อที่จะยอมขึ้นรถมากับเขาได้ง่าย ๆ  ทั้งสองขับรถวนเวียนแถวโรงเรียนฮาวาร์ดในวันนั้นและมองหาเด็กผู้ชายที่เหมาะ ๆ ...ย้ำเหมาะที่สุด  เด็กชายคนนั้นจะต้องถูกฟาดหัวให้สลบ แล้วนำไปยังที่เปลี่ยวเพื่อฆ่าทันที เพราะเก็บเอาไว้พาไปไหนต่อไหนคนอื่นจะเห็นซะเปล่า ๆ  แผนสังหารของพวกเขาคือใช้เชือกรัดคอเด็ก นาธานจะยึดไว้ปลายหนึ่ง และริชาร์ดจะยึดอีกปลาย ทั้งคู่จะดึงเต็มแรงพร้อม ๆ  กัน เพื่อให้ได้มีส่วนการสังหารเท่าเทียมกัน  การทิ้งศพเป็นปัญหาสำคัญอีกเรื่องหนึ่ง  แต่ในที่สุดพวกเขาก็ตัดสินใจว่า จะเอาศพไปหมกไว้ที่ท่อน้ำที่ริมทะเลสาบวูลฟ์ ตรงจุดที่นาธานชอบไปส่องกล้องดูนก ท่อนี้เป็นทางระบายน้ำที่เชื่อมระหว่างทะเลสาบใต้รางรถไฟ  ที่สำคัญมันเป็นสถานทีลับหูลับตาคน จนแม้แต่นาธานเองผู้ที่ชอบไปที่นั้นบ่อย ๆ ยังแทบไม่สังเกตเห็นมันเลย มันจึงเหมาะมากที่จะขุดหลุมไม่ต้องลึกนักก็ได้ เพื่อฝังศพเด็กชายตัวเล็ก ๆ คนนั้น แค่นี้ยังไม่พอ ศพอาจพบในไม่ช้าไม่นานก็ย่อมมีทางเป็นไปได้  เพราะฉะนั้นเพื่อความรอบคอบ เขาต้องทำลายศพจนไม่สามารถระบุตัวตนได้ ด้วยการใช้กรดเข้มข้นราดกัดใบหน้าและอวัยวะเพศให้กร่อนไปให้หมด

ในเรื่องพาหนะเขาก็ไม่อาจใช้รถของตัวเองได้  เดี๋ยวมีพยานรู้เห็นตอนเรียกเด็กขึ้นรถ ทั้งสองจึงต้องวางแผนโดยการหารถเช่าคนหนึ่ง ภายใต้ชื่อปลอมว่า "มอร์ตัน ดี. บัลลาร์ด" จากนั้นก็เอาชื่อนี้ไปเช่าในโรงแรมแห่งหนึ่ง และไปเปิดบัญชีใหม่ที่ธนาคาร เพื่อวางโครงร่างสำหรับบุคคลที่จะมาเป็นตัวอ้างอิง กันข้อสงสัยใด ๆ ไม่ให้ถึงตัวเขาทั้งคู่  นาธาน ลีโอโปลด์ไปเช่ารถด้วยชื่อปลอมดังกล่าว ก่อนลงมือสังหารจริงถึง 3 สัปดาห์  การเตรียมพร้อมสมบูรณ์แบบเรียบร้อย ฉากก็จัดเข้าที่เข้าทางทุกอย่าง นาธานกับริชาร์ดพร้อมแล้วที่ทำให้แผนการที่วางไว้กลายเป็นเรื่องจริง

✥ เมื่อทั้งคู่ลงมือ ✥
21 พฤษภาคม 1924 เวลา 11.00 น.  วันนั้นหลังจากจบวิชาสุดท้ายของคาบเช้า นาธาน ลีโอโปลด์ กับริชาร์ด โลบ ในมหาลัยชิคาโก ตอนนั้นทั้งคู่อายุ 19 ปี นาธานขับรถของตนเองไปบริษัทเช่ารถแห่งหนึ่งในย่านโจเลียต ทั้งคู่ตกลงเช่ารถวิลลิสไนท์ สีเทา มาด้วยชื่อปลอม จากนั้นก็ไปกินมื้อกลางวันที่ภัตตราคารแถว ๆ นั้น  หลังอาหาร เขาเหลือเวลานาทีสุดท้ายที่จะตระเตรียมสิ่งต้องใช้ เขาซื้อกรดไฮโดรคลอริก จอดรถของนาธานทิ้งไว้ แล้วขับรถเช่าไปเอาของอะไรบางอย่างที่บ้านนาธาน รวมทั้งม้วนเทปกาว  เมื่อได้ของมาครบแล้ว ทั้งคู่ก็ขับรถมาแถว ๆ สวนสาธารณะลินคอล์น ซึ่งโลปได้ใช้เทปพันส่วนปลายท่อนเหล็กอันหนึ่ง เพื่อใช้เป็นที่ถือให้เหมาะมือ แต่นี่ไม่ใช่อาวุธสังหาร เขาใช้แค่ให้ตีเหยือให้สลบเท่านั้น  อย่างไรก็ตามทั้งคู่ก็มีปืนติดตัวไปด้วย ของนาธานเป็น .38 ของริชาร์ดเป็น .45  ในที่สุดเวลาเลิกเรียนของฮาร์วาร์ดสคูล เด็กหนุ่มทั้งสองซุ่มอยู่ในรถเงียบ ๆ เหมือนสัตว์ป่าจ้องตะครุบเหยื่อ  ฝูงเด็กนักเรียนตัวเล็กตัวน้อยหลั่งไหลออกจากประตูโรงเรียน  นาธานกับริชาร์ดมองหาเด็กที่เหมาะสมที่จะเป็นเหยื่อหลายคน แต่เด็กหลายคนไม่มีใครฉายเดี่ยว พวกเด็กพากันเดินเป็นกลุ่ม ๆ ทำให้สองหนุ่มไม่อาจทำอะไรได้ ได้แต่งมองตาปริบ ๆ อย่างหงุดหงิด

แต่อาชญากรมือใหม่ไม่ยอมท้อถอย พวกเขาเคลื่อนรถออกไปจากบริเวณหน้าโรงเรียนแล้วขับไปเรื่อย ๆ หวังว่าจะเจอเด็กชายสักคนที่แยกกลุ่มแล้วกลับบ้านคนเดียว วนไปวนมาก็ไม่พบ ริชาร์ดบอกว่าเขารู้จักบุตรชายของโซล ลีวินสัน ทนายที่ร่ำรวยที่อยู่บ้านห่างออกไป ถ้าขับตามถนนนี้ อาจตามเด็กคนนั้นทันก็ได้  และแล้วระหว่างทางสายตาของริชาร์ดก็ปะทะกับร่างของ โรเบิร์ต แฟรงค์ อายุ 14 ปี (หรือบ๊อบบี้) โรเบิร์ตรู้จักกับสองหนุ่มนี้ดีอยู่แล้ว ริชาร์ดรีบบอกให้นาธานเทียบรถไปข้าง ๆ เด็กที่กำลังเดิน แล้วชวนให้ขึ้นรถไปด้วยกัน  โรเบิร์ตหรือบ็อบบี้ ยิ้มทักทายและโบกมือพลางส่ายหน้าปฏิเสธ แต่นาธานบอกว่าในรถมีไม้แร็กเก็ตเทนนิสรุ่นใหม่อยากจะมาอวดให้ดู มันได้ผล บ็อบบี้สนใจและยอมขึ้นรถมาด้วย  เด็กน้อยกำลังชื่นชมไม้เทนนิส จึงไม่ทักท้วงอะไรเมื่อเพื่อนรุ่นพี่ขับรถไปไกลจากบ้าน และเมื่อบ็อบี้ขาดความระวัง ริชาร์ดก็ฟาดหัวด้วยท่อนเหล็ก  แต่เด็กไม่ได้สลบทันทีอย่างที่อาชญากรมือใหม่คิดไว้ในแผน บ็อบบี้ทั้งเจ็บและตกใจ เขาแหกปากลั่น พลางตะโกนขอความช่วยเหลือ ริชาร์ดต้องกระหน่ำตีซ้ำแล้วซ้ำเล่าอีกจนกระทั่งกะโหลกเล็ก ๆ นั่น เลือดพุ่งสาดกระเซ็นจากแผนฉกรรจ์  เลือดจากแผลศีรษะทะลักออกมามากมาย แม้ว่าจะเป็นแผลเล็ก ๆ ก็เถอะ แต่นี่บ๊อบบี้โดนชนิดจัง ๆ ทั้งนั้น ทั้งดิ้นทั้งกระเสือกกระสน ตาตั้ง กว่าสลบแน่นิ่งไปก็ทุลักทุเล  เลือดสด ๆ เหม็นคาวคละคลุ้ง ไหลออกมานองเจิ่งที่พื้นรถ ขณะที่ริชาร์ดลากตัวเด็กที่ลงไปกองขึ้นไปนอนบนเบาะหลัง แล้วเอาผ้าขี้ริ้วยัดใส่ปากกันบ็อบบี้ฟื้นแล้วแหกปากขึ้นมาอีก  นั่นทำให้เด็กน้อยขาดใจตายอย่างทุกข์ทรมานแสนสาหัสในเวลาต่อมา  นาธานสั่นเทาไปทั้งเนื้อทั้งตัวจากการสังหารที่โหดร้ายรุนแรงเกินคาด เลือดเหนียวข้นแดงฉาน น่าสยดสยองที่สุด ริชาร์ดต้องตวาดให้เขาสงบสติอารมณ์ให้ได้ เพื่อช่วยกันห่อศพเด็ก  จากนั้นก็พากันขับรถเงียบ ๆ ไปบนถนนอินเดียน่า และแวะซื้อแซนด์วิชกับเครื่องดื่มมากิน รอจนมืดสนิทแล้วก็ขับไปยังจุดหมายที่วางแผนไว้ว่าจะเป็นที่หมกศพ  ทั้งคู่ช่วยกันถอดเสื้อผ้าออกจากร่างอันปวกเปียกไร้ชีวิต เอารองเท้ากับเข็มขัดซุกไว้ที่พงหญ้า จริง ๆ แล้วถ้าเป็นไปตามแผนเขาจะต้องเผาเสื้อผ้าและรองเท้าทุกอย่าง แต่พอทำเข้าจริงมันยากมากที่เดียว

นาธานกับริชาร์ดลากศพไปวางริมตลิ่งของทะเลสาบวูล์ฟและเอากรดราดหน้ากับอวัยวะเพศของบ็อบบี้ เนื้ออ่อนๆ ของเด็กชายถูกกัดจนละลายเยิ้ม เดือดเป็นฟองฟอด และเหม็นมาก แทนที่จะฝังฆาตกรกลับช่วยกันยัดศพเข้าไปในท่อระบายน้ำให้ลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้ ส่วนเสื้อผ้าถูกหอบเข้าไปในรถ โดยไม่รู้ตัวว่าพวกเขาทำถุงเท้าตกไว้ข้างหนึ่ง  นาธานโทรไปที่บ้านของตนเอง บอกพ่อกับแม่ว่าจะกลับบ้านช้าหน่อย จากนั้นเขาก็โทรไปบ้านแฟรงค์ พูดกับแม่ของบอบบี๊ว่า เขาชื่อ จอห์น จอห์นสัน ลูกชายของเธอถูกจับตัวไปเรียกค่าไถ่ ตอนนี้เขายังสบายดี จงรอคำสั่งต่อไปจากผู้ลักพาตัว ทั้งคู่เอาจดหมายเรียกค่าไถ่ส่งถึง มร.แฟรงค์ ด้วยวิธีพิเศษ นาธานซึ่งกลับไปเอารถของตัวเอง และอาสาจะพาลุงกับป้าที่มาเยี่ยมพ่อและแม่กลับไปส่งบ้าน  ริชาร์ดนั่งรออยู่ที่บ้านนาธาน จนนาธาน ลีโอโปลด์กลับมาอีกครั้ง แล้วพวกเขาก็ดื่มเหล้ากันคนละแก้ว จากนั้นก็เล่นไพ่กับพ่อ จนในที่สุดพ่อต้องขอเข้านอน

ทั้งคู่รอจนคิดว่าทุกคนหลับสนิทหมดแล้ว ก็เลยขับรถที่เช่ามาไปที่บ้านของริชาร์ด โลบ ระหว่างทางก็ขว้างท่อนเหล็กที่ใช้ทุบหัวบ็อบบี้ ออกจากหน้าต่างรถไปข้างทางที่รก ๆ ซะให้หมดเรื่องหมดราว  เหตุที่ต้องลอบเข้าบ้านโลบตอนดึก ก็เพราะในคฤหาสน์นี้มีเตาเผาขยะอยู่ใต้ถุนบ้าน ฆาตกรหอบเสื้อผ้าเปื้อนเลือดของบ็อบบี้มาทำลายที่นี่ แต่ไม่รู้เพราะอะไร ขณะที่เผาได้เกิดกลิ่นเหม็นอย่างประหลาดอบอวลรุนแรงทำให้ต้องรีบดับไฟ แล้วเอาสิ่งที่ยังไหม้ไม่หมดไปทิ้งไว้ในหลุมขยะใกล้ ๆ  บริเวณชั้นเก็บของใต้ถุนนี้ พวกเขาเจอน้ำยาทำความสะอาดก็เลยคิดว่าจะเอามาล้างรถ แต่ตอนนี้มันดึกเกินไป เดี๋ยวชาวบ้านจะผิดสังเกต ก็เลยนัดกันว่าจะไปพบกันที่มหาวิทยาลัยแล้วทำงานที่ค้างอยู่ให้เสร็จ  รุ่งขึ้นพวกเขาไปพบกันตามนัดแล้วจัดการขับรถมรณะไปโรงรถของนาธาน ทั้งคู่ช่วยล้างรถทั้งนอกและใน สบู่ น้ำ น้ำมัน และ แปลงขัด ถูกนำมาใช้เต็มรูปแบบ  ในขณะก้มหน้าก้มตาล้างรถ สเวน แองลันด์ คนขับรถของลีโอโปลด์เดินเข้ามาอาสาว่าจะช่วย แต่ทั้งสองรีบบอกไม่ต้อง  สเวนเดินรอบ ๆ อย่างนึกขำในความขยันของลูกคนรวย จนริชาร์ดกลัวว่าสเวนจะเห็นรอยเลือดทีชะล้างไหลออกมาตามน้ำ เลยรีบพูดว่าพวกเขาทำไวน์แดงหกใส่รถเปื้อนไปหมด สเวนไม่สงสัย...ก็ใครจะไปนึกถึงละว่าลูกคนรวยจะไปฆ่าคนมา พอล้างรถเสร็จ เด็กหนุ่มก็ขับรถเช่าที่สะอาดเอียมอ่องไปคืนบริษัทที่ให้เช่า

ในเวลาบ่ายโมงตรง ทั้งสองไปที่สถานีรถไฟอิลลินอยส์ เซ็นทรัล แล้วริชาร์ดก็ไปซื้อตั๋วไปมิชิแกนเที่ยว 3 โมงเย็น เขาขึ้นไปจัดการซุกจดหมายฉบับสุดท้ายไว้ตามแผน ขณะเดียวกันนาธานก็โทรศัพท์ไปบ้านแฟรงค์ บอกเขาให้ไปร้านขายยาหน้าสถานีรถไฟ แล้วรออยู่ที่ตู้โทรศัพท์สาธารณะ เขาจะโทรไปที่นั่น โดยกำลังส่งแท็กซี่สีเหลืองไปรับที่บ้าน มร.แฟรงค์ขอเวลา แต่ฆาตกรไม่ยอมให้เขาชักช้ายืดยาด  เมื่อวางหู เขาก็รีบขับรถไปที่ตู้โทรศัพท์สาธารณะอีกตู้ เพื่อรอเหยื่อแต่เผอิญเหลือบไปเห็นหนังสือพิมพ์พาดหัวข่าวว่า “มีผู้พบศพเด็กในท่อ” และพวกเขาโทรกลับไปหา มร.แฟรงค์ ก็ไม่พบตัวซะแล้ว ที่หน้าร้านขายยาก็ไม่มี มร. แฟรงค์ไม่มาตามนัด แผนฆาตกรรมสมบูรณ์แบบเริ่มผิดพลาดเสียแล้ว!
✥ ครอบครัวแฟรงค์ ✥
ย้อนกลับไปตอนเย็นวันที่ โรเบิร์ต แฟรงค์ ลูกชายหายตัวไป แม้จะยังไม่ได้รับโทรศัพท์จากโจรเรียกค่าไถ่ แต่เจค็อบ และฟลอร่า แฟรงค์ พ่อแม่ของบ๊อบบี้ ก็ผิดสังเกตว่าลูกกลับบ้านผิดเวลา พวกเขาตกใจและวิตกกังวลอย่างมาก  ฟลอร่าโทรไปตามบ้านเพื่อน ๆ ของบ๊อบบี้ และเจค็อบก็รีบโทรศัพท์ไปตามครูใหญ่ที่โรงเรียน เผื่อว่าลูกชายจะติดอยู่ภายในห้องใดห้องหนึ่ง จากนั้นก็โทรไปหาบ้านเพื่อนที่เป็นนักกฎหมายชื่อ แซมมวล แอตเทลสัน แล้วชวนไปหาลูกรักที่โรงเรียน  ระหว่างที่เจค็อบกับเพื่อนกำลังออกจากบ้าน ฟลอร่าก็ได้รับโทรศัพท์เรียกค่าไถ่ เธอถึงกับเป็นลมไปกองกับพื้นสิ้นสติ เป็นเวลานานสักชั่วโมงเห็นจะได้ จนกระทั่งสามีกลับมาพบจากนั้นก็ทราบเรื่องโจรเรียกค่าไถ่ เขาจึงรีบไปที่สถานีตำรวจทันที ทว่าตอนนั้น เจ้าหน้าที่ที่รู้จักแซมมวล ไม่มีใครมาอยู่เวรสักคน จึงไม่มีการค้นหาเป็นกรณีพิเศษอะไร เพราะตามปกติตำรวจจะดำเนินการได้หากหายไปเกิน 24 ชั่วโมง ตามระเบียบที่วางไว้  เจค็อบและแซมมวลจำต้องแจ้งความใหม่ในวันรุ่งขึ้น  เช้าต่อมา เจค็อบก็ได้รับจดหมายฉบับแรกแถมด้วยข้อความกำชับว่าห้ามแจ้งตำรวจ ให้อยู่แต่บ้านเพื่อคอยโทรศัพท์ ตอนนั้นเจค็อบเริ่มรวบรวมเงินตามที่จดหมายเรียกค่าไถ่เรียกเอาไว้ และแซมมวลก็ติดต่อหัวหน้านักสืบในกรมตำรวจชิคาโก  ทุกคนแน่ใจว่านี้คือคดีเรียกค่าไถ่ และไม่กี่ชั่วโมงต่อมา คนงานซ่อมทางรถไฟก็พบศพเด็กถูกยัดอยู่ในท่อระบายน้ำริมทะเลสาบวูล์ฟ นักข่าวเชื่อมโยงสองเรื่องเข้าด้วยกัน และบอกครอบครัวแฟรงค์ถึงสภาพเด็กที่คนงานเจอ เจค็อบพยายามคิดว่าศพนั้นต้องไม่ใช้บ็อบบี้ แต่ลุงแท้ ๆ ของเด็กน้อยก็อาสาไปดูศพให้  ขณะนั้นเองโทรศัพท์ในบ้านก็ดังขึ้น แซมมวลเป็นคนรับและฝ่ายที่โทรมา สั่งให้เขารอรถแท็กซี่สีเหลืองที่โจรส่งมารับ เจค็อบ แฟรงค์ ไปร้านายยาที่ 1465 ถนนหมายเลข 63 ตะวันออก แซมมวลยื่นโทรศัพท์ต่อให้แฟรงค์ คนร้ายบอกคำสั่งซ้ำอีกครั้ง ในนาทีวิกฤตินั้นทั้งแซมมวลและเจค็อบไม่ได้จดรายละเอียดเกี่ยวกับที่อยู่ของร้านขายยาและพอวางหู เลยจำไม่ได้ว่าโจรมันบอกให้ไปไหน  รถแท็กซี่มาถึงบ้านแฟรงค์จริง ๆ แต่คนขับก็ไม่รู้เหมือนกันว่าให้ไปไหน  ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น โทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง ลุงของบ๊อบบี้โทรมา บอกว่าเขาเห็นศพแล้ว...ใช่บ็อบบี้จริง ๆ

✥  สืบสวน ✥ 
คดีนี้กลายเป็นข่าวพาดหัวทันที และมีเงินนำจับมากมายให้แก่คนที่ให้เบาะแส เจค็อบ แฟรงค์ เสนอเงิน $5,000 หัวหน้าตำรวจมอร์แกน คอลลินส์ เสนอ $1,000 และสองหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ของนครชิคาโก เดอะ ทรีบูน กับ เฮรอล แอนด์ เอ็กแซมไมเนอร์ ต่างให้ฉบับละ $5,000 อัยการแห่งรัฐ โรเบิร์ต อี. โครว์ เป็นผู้รับผิดชอบเกี่ยวกับคดีนี้ถ้าไขคดีนี้สำเร็จ เขารุ่งแน่ ๆ เพราะส่งผลต่ออนาคตทางการเมืองที่เขากำลังเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งพรรครีพับบลิกันสว่างไสวขึ้นมาทันที หน่วยสืบสวนสอบสวนเริ่มจากจุดนัดพบที่โจรโทรมาบอก แต่ในเมื่อแซมมวลและเจค็อบจำไม่ได้ พวกเขาก็ต้องตามจากร่องรอยอื่น ๆ หลักฐานชิ้นแรกที่พบคือ แว่นตาอันหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่ของบ๊อบบี้แต่ตกอยู่ใกล้ ๆ ศพของเขา โชคไม่ดีที่แว่นตาอันไหน ๆ ก็เหมือน ๆ กันทั้งนั้น ไม่มีอะไรบ่งบอกเป็นพิเศษไปถึงตัวคนร้าย
 แม้กระนั้นหนังสือพิมพ์ก็ยังอุตส่าห์ลงรูปแว่นอันนี้ และตำรวจก็พยายามนำมันไปถามตามร้านขายแว่นทุกร้านในย่านนั้น พยานวัตถุชิ้นสำคัญอย่างที่สองคือตัวจดหมายเรียกค่าไถ่นั้นแหละ กองพิสูจน์หลักฐานที่เก่งสุด ๆ พิสูจน์ได้ว่ามันใช้เครื่องพิมพ์อันเดอร์เวิร์ดแบบหูหิ้ว และผู้เขียนใช้ถ้อยคำภาษาอังกฤษได้อย่างดีไม่มีที่ติ แสดงว่าจะต้องเป็นคนมีการศึกษาที่สูงทีเดียว การออกคำสั่งทั้งหมดในจดหมายแสดงออกถึงความชาญฉลาดและรอบคอบ จนเจ้าหน้าที่ยืนยันว่าฆาตกรรายนี้อันตรายอย่างยิ่ง จะประมาณไม่ได้เลยเชียว  ตำรวจยอมรับลักษณะคงแก่เรียนของฆาตกรรายนี้ ตำรวจเรียกอาจารย์ผู้สอนวิชาในโรงเรียนฮาร์วาร์ด 3 คนมาสอบปากคำ รายหนึ่งถูกปล่อยตัว แต่อีก 2 คน ยังให้ปากคำต่อตำรวจต่อไป  วันศุกร์ ริชาร์ด โลบ ไปที่บ้านเพื่อนสนิทคนหนึ่ง แล้วได้ฟังข่าวเรื่องตำรวจและนักข่าวกำลังตามหาฆาตกรฆ่าลูกชายของแฟรงค์ เพื่อไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกต ในฐานะเป็นเพื่อนบ้านคนรวยด้วยกัน อีกทั้งริชาร์ดรู้จักเด็กน้อยคนนี้พอสมควร เขาต้องแสดงความเป็นห่วงเป็นใยหน่อยละ ริชาร์ดกับเพื่อน ๆ แนะนำให้ไปค้นหาร้านขายยาตามที่โจรสั่งไว้ ซึ่งเจค็อบกับแฟรงค์ลืมที่อยู่นั้น ในการนี้ปรากฏว่ามีนักข่าว 2 คนที่เป็นเพื่อนบ้านกับเขา และทำงานอยู่หนังสือพิมพ์เดลินิวส์รับปากจะสืบเสาะเรืองราวให้  จังหวะนี้แหละที่ริชาร์ดเผลอพิรุธออกมา ด้วยการแสดงความสนใจเกินเหตุเหมือนกลัวว่าร้านขายยาจะรู้อะไรเกินไป ซึ่งทางร้านขายยาเองบอกว่า ในวันเกิดเหตุมีโทรศัพท์ลึกลับตามหาตัว เจค็อบ แฟรงค์ ถึง 2 ครั้ง 2 คราว  ริชาร์ดแสดงอาการตื่นเต้น และอดปากบอกเพื่อน ๆ ไม่ได้ว่า มันมาจากฉากหนึ่งในหนังสือการ์ตูนสืบสวนสอบสวน

นักข่าวคนหนึ่งถามริชาร์ดว่ารู้จัก บ๊อบบี้ แฟรงค์ ดีแค่ไหน โลบบอกว่าสนิทกันดีเลยล่ะ และ “ถ้าผมอยากฆ่าใครสักคน ก็คงเป็นไอ้พวกขี้โอ่อย่างบ๊อบบี้ แฟรงค์นี้แหละ”  ทางด้านตำรวจก็ไปหาข้อมูลแถว ๆ ทะเลสาบวูลฟ์ พวกเขาถามคนที่ชอบมายิงนกตกปลาแถวนั้นแล้วพบว่ามีชายคนหนึ่งที่ชอบมาบริเวณที่พบศพเสมอ ๆ คือ นาธาน ลีโอโปลด์ นักเรียนที่เชี่ยวชาญในการดูนก ที่รู้เรื่องนกพอ ๆ กับนักสัตวศาสตร์  นาธานถูกสืบสวนอย่างหนัก แต่เขาตอบคำถามอย่างซื่อ ๆ ตรงไปตรงมาไม่น่าสงสัยอะไรสักนิด แต่ 8 วันให้หลังตำรวจพบว่า สายคล้องแว่นตาที่พบใกล้ศพเป็นของหายากราคาแพง มีขายแต่ในร้านแห่งเดียวในชิคาโก และหนึ่งในลูกค้าที่ซื้อมันคือ นาธาน ลีโอโปลด์ 

✥ จับกุม ✥
อัยการ โรเบิร์ต อี. โครว์ กังวลมากเกี่ยวกับอิทธิพลของตระกูลลีโอโปลด์ เพราะหากเขาสุ่มสี่สุ่มห้าส่งไปฟ้องลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของตระกูลนี้ละก็ ดีไม่ดีอนาคตการเมืองของโครว์ถึงคราวดับแน่ เขาจะต้องระวังและต้องรอบคอบที่สุด 29 พฤษภาคม เขาเตรียมจับกุมตัวนาธาน ลีโอโปลด์ และเมื่อตำรวจทำการรวบตัวนาธาน พวกเขาถามเด็กหน่มว่า แว่นตาของเขาหายไปหรือเปล่า? นาธานบอกว่าเปล่าแว่นตาเขายังอยู่ ตำรวจก็เลยค้นบ้าน แต่ไม่พบ ในที่สุดนาธานจึงยอมรับว่าแว่นที่พบในที่เกิดเหตุเป็นของเขาเอง เขาคงทำเผลอตกตอนที่ส่องนกเมื่อ 1 สัปดาห์ก่อนมีคนพบศพบ๊อบบี้  นาธานบอกว่าเอาแว่นใส่ไว้ในกระเป๋าเสือแจ๊กเก็ต ตำรวจเลยขอให้เขาทำให้ดูว่ามันหล่นไปได้อย่างไร แต่ปรากฏว่าทำอย่างไรแว่นก็ไม่มีทางหล่นออกจากกระเป๋าเสือนั้นได้  นาธานถูกตำรวจนำตัวไปสอบสวนที่ห้องพักของโรงแรมแห่งหนึ่ง แล้วให้เขาเล่าตั้งแต่ต้นว่า เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคมนั้น เขาไปทำอะไรที่ไหนบ้าง  เด็กหนุ่มอ้างว่าเขาจำไม่ค่อยได้ แต่สุดท้ายก็เล่าว่า วันนั้นเขาใช้เวลาส่วนใหญ่กับริชาร์ด โลบ ด้วยการดูนกด้วยกันในสวนสาธารณะลินคอล์น พอตกเย็นเขาก็ไปรับเด็กสาว 2 คนไปนั่งรถเล่น ก่อนจะกลับไปที่บ้านลีโอโปลด์ และรับคุณลุงคุณป้ากลับบ้านของท่าน  ตำรวจพบว่า นาธาน ลีโอโปลด์ มีพิมพ์ดีดยี่ห้อแฮมมอนด์ มัลติเปิ้ลอยู่เครื่องหนึ่ง จึงยึดไว้ แม้ตัวอักษรในจดหมายเรียกค่าไถ่จะไม่มีร่องรอยตำหนิของตัวอักษรต่าง ๆ ตรงกับตัวพิมพ์ของเครื่องนี้ก็ตาม

นาธานไม่รู้เลยว่าในโรงแรมแห่งนั้นและในเวลาเดียวกัน ริชาร์ด โลบ ก็โดนสอบสวนอยู่อีกห้องหนึ่ง และให้ปากคำตรงกันว่า เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ในวันที่ 21 พฤษภาคมอยู่ด้วยกัน แต่แยกจากกันตอนเย็น  พอถูกถามหนัก ๆ เข้าริชาร์ดก็บอกว่าเขาจำอะไรในคืนนั้นไม่ได้เลย  ด้วยความที่ไม่สงสัยว่าเด็กวัยรุ่นทั้งคู่จะช่วยกันปกปิดความผิด ตำรวจคนหนึ่งที่รู้จักกับริชาร์ด โลบเป็นการส่วนตัวบอกว่า นาธานเล่าว่าไปรับเด็กผ้หญิง 2 คน ริชาร์ดเหมือนจะรู้แกว ก็เลยสานเรื่องต่อไปว่าที่จริงเขาพาสาว ๆ ไปจอดรถในที่เปลี่ยวแห่งหนึ่งแล้วมีเซ็กซ์กับพวกหล่อน ที่ตอนแรกไม่ยอมเล่าเพราะกลัวพ่อแม่ดุ และเด็กสาวสองคนนั้นจะเดือดร้อนไปด้วยเท่านั้นเอง  ผลการสอบสวนผ่านฉลุย เพราะเด็กทั้งคู่ให้การคล้ายคลึงกันมาก มีข้อต่างนิดหน่อยคือ นาธานบอกว่าคืนนั้นริชาร์ดเมามาก  ทีมพนักงานสอบสวนเชื่อความบริสุทธิ์ของเด็กหนุ่มคู่นี้ และโครว์แสดงอาการขอโทษด้วยการพาสองคนนั้นไปทานมื้อเย็น  แต่หลายฝ่ายยังกังขาสองคนนี้อยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกสื่อข่าวที่ตามไปเจาะลึกกับพวกเพื่อน ๆ ร่วมมหาวิทยาลัย ข้อมูลที่นักข่าวค้นพบก็คือลีโอโปลด์มักจะใช้เรื่องพิมพ์ดีดแฮมมอนด์ พิมพ์รายงานส่งอาจารย์ แต่เขาก็ยังมีหูหิ้วอีกเครื่องด้วย เมื่อนำรายงานที่พิมพ์โดยเครื่องหูหิ้วนี้ไปเทียบกับจดหมายเรียกค่าไถ่ ก็ปรากฏว่าตำหนิของตัวพิมพ์ตรงกันทุก ๆ จุด อันหมายถึงจดหมายเรียกค่าไถ่ถูกพิมพ์จากเครื่องนี้แน่นอนที่สุด

นาธาน ลีโอโปลด์ กับราร์ด โลบ กลับเข้าสู่สถานการณ์เดือดร้อนอีกแล้ว ลีโอโปลด์ยอมรับว่าเขาเคยใช้เครื่องพิมพ์ดีดแบบหูหิ้วบ้างในบางครั้ง แต่ปฏิเสธว่าเครื่องอันนั้นเขาเป็นเจ้าของ เมื่อตำรวจถามสาวใช้ เธอตอบว่า เธอเคยเห็นเครื่องพิมพ์ดีดเครื่องนั้นอยู่ในบ้านเมื่อ 2-3 สัปดาห์ก่อน  ตำรวจสอบปากคำคนขับรถ เขาบอกว่าเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม เขาขับรถให้คุณผู้ชายตลอดวัน ซึ่งมันขัดแย้งกับเรื่องที่หนุ่ม ๆ บอกว่าพวกเขาใช้รถทั้งวันเหมือนกัน ตกลงใครกันแน่ที่ใช้รถของบ้านลีโอโปลด์ในวันนั้น!?  เมื่อริชาร์ด โลบ ต้องเผชิญกับข้อซักถามที่หนักหน่วง ริชาร์ดเลยตัดสินใจสารภาพ  พอรู้ว่า ริชาร์ด สารภาพ นาธาน ลีโอโปลด์ ทำได้เพียงแค่ยอมรับสารภาพด้วย  คำสารภาพของทั้งสองคล้ายคลึงกันมาก ยกเว้นรายละเอียดว่าใครเป็นคนลงมือสังหารบ๊อบบี้ ทีแรกฝ่ายหนังสือพิมพ์เข้าข้างริชาร์ด โลบ และพยายามสร้างภาพว่านาธาน ลีโอโปลด์ เป็นคนต้นคิด และผู้นำในการก่อเหตุฆาตกรรมคดีนี้  ไม่นานนักหลังจากรับสารภาพถูกเผยแพร่ในหนังสือพิมพ์และการพิจารณาคดีกำลังเริ่มต้นขึ้น สาธารณชนก็เริ่มแสดงพฤติกรรมประหลาด ๆ  เริ่มจากผู้หญิงชิคาโกคนหนึ่งส่งช่อดอกไม้ 2 ช่อมาให้เด็กหนุ่มแต่ละคน พร้อมด้วยโน๊ตอวยพรขอให้ปลอดภัยจากโทษทัณฑ์ที่ได้รับในไม่ช้า และมีชายคนหนึ่งจากมิลวอคกี้ ก็อาสาเป็นจำเลยแทนแม้จะต้องรับโทษประหาร ขอให้ครอบครัวของริชาร์ดหรือนาธานก็ได้ยอมจ่ายเงินให้เขาหนึ่งล้านดอลลาร์  ริชาร์ด โลบ กับนาธาน ลีโอโปลด์ กลายเป็นคนดังของเมืองชิคาโกไปแล้ว!



✥  คำพิพากษา ✥
จากการรับสารภาพของเด็กหนุ่มทำให้ไม่ต้องมีคำถามที่ว่าพวกเขาทำผิดจริงหรือไม่ แถมทั้งคู่ยังพาตำรวจไปเก็บหลักฐานต่าง ๆ ทั้งหมด และยังมีการคุยโม้โอ้อวดกับสื่อมวลชนถึงแผนอันชาญฉลาดอีกแน่ะ สาธารณชนมองเห็นฆาตกรสองคนนั้นภูมิใจผลงานของตนไม่รู้สึกเสียใจหรือสำนึกผิดสักนิด ประชาชนในเมืองหวังว่า เมื่อไหร่เด็กสองคนนั้นจะถูกแขวนคอ! เย็นวันนั้น นาธาน กับ ริชาร์ด ยอมรับสารภาพ เจค็อบ โลบ ลุงของริชาร์ดไปเชิญทนายความ แคเลนซ์ แดร์โรว์ อายุ 67 ผู้มีชื่อเสียงในด้านว่าความให้จำเลยได้รับการลดหย่อนโทษหลายคดี และยังเป็นทนายความที่ฉลาดอีกด้วย ซึ่งเจค็อบบอกว่าทำไงก็ได้ไม่ให้พวกเขาพ้นจากโทษประหารก็พอ  แดร์โรว์ตกลงจะว่าความให้ อัยการโครว์เข้าใจว่า แดร์โรว์จะงัดข้ออ้างว่าจำเลยทำโดยวิกลจริตซึ่งเป็นเหตุผลที่ฆาตกรส่วนใหญ่มักแก้ตัวในชั้นศาล แต่พอศาลเปิดพิจารณาคดี แดร์โรว์ทำให้อัยการโครว์และผู้คนทั่วไปถึงกับช็อก เมื่อยืนยันว่าจำเลยผิดจริง ทั้งคู่เลย!  ที่ทำแบบนี้เพราะแดร์โรว์วางแผนไว้แล้ว นี่เป็นวิธีเดียวที่ทำให้พวกเขารอดพ้นจากการแขวนคอได้ นั่นคือไม่ให้มีการพิจารณาคดีโดยลูกขุน ซึ่งพวกนี้คงตัดสินประหารแน่ ๆ แต่ต้องใช้วิธีที่ทำให้ศาลเชื่อว่าความอ่อนเยาว์และความผิดปกติด้านจิตใจของฆาตกรคู่นี้ เป็นเรื่องที่สมควรจะได้รับการลดหย่อนผ่อนโทษในความผิดที่กระทำลงไปโดยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์



โครว์ขอคัดค้านว่ารายงานผลการวิจัยแบบนี้นำมาอ้างไม่ได้ ปมด้อยในอดีตของฆาตกรคู่นี้ถูกสื่อมวลชนขยายให้เกิดมุมมองใหม่ ๆ เรื่องโฮโมเซ็กซ์ช่วลเป็นข้ออ้างที่ดีมาก   ผลสุดท้ายความฉลาดของแดร์โรว์ก็มีผลทำให้มีการพลิกคดีจนประสบผลสำเร็จโดยสมบูรณ์ รวมถึงคำปราศรัยปิดท้ายซึ่งใช้เวลาถึง 2 วันเต็ม ๆ ซึ่งเป็นสิ่งน่าสนใจมาก จนถูกบันทึกลงในประวัติศาสตร์ทางกฎหมายของสหรัฐอเมริกาว่า เป็นหนึ่งในคำปราศรัยที่ดีที่สุดและมีผลกระทบต่อคดีมากที่สุดตลอดกาล  แดร์โรว์ทำให้คำฟ้องของฝ่ายโจทก์ที่ว่าเป็นฆาตกรรมเรียกค่าไถ่ตกไปอย่างไร้ความหมาย เขาทำให้คณะลูกขุนระมัดระวังมากขึ้น ในการตัดสินฆาตรคู่นี้  “เป็นเรื่องง่าย ๆ และนิยมว่าดี ถ้าลูกความของกระผมจะถูกพวกคุณตัดสินให้แขวนคอ ผมรู้ดี...ชายหญิงทั้งหลายที่ไม่ได้คิดอะไรลึกซึ้ง จะปรมมือให้คำสั่งประหาร เพราะพิสูจน์แล้วถึงความโหดเหี้ยมไร้มนุษย์ธรรม ปราศจากความยั้งคิดของคนคู่นี้ มันง่ายที่จะตัดสินลงโทษประหารในวันนี้...แต่เมื่อเวลาผ่านไป...ในชิคาโกและตลอดแผ่นดินเสรีภาพของสหรัฐอเมริกา พวกเราที่เป็นพ่อเป็นแม่ ซึ่งมีจำนวนมากมายมหาศาล....จะเริ่มคิดได้เหมือน ๆ กันว่าไม่ควรยินดี ไชโยโห่ร้องในความตายของลูกความของกระผมเลย คำถามจะผุดขึ้นมาว่าเมื่อไหร่เราจะหยุดเลือดและน้ำตากันได้เล่า? ด้วยวิธีประหารของจำเลยเหรอ? สามัญสำนึกของมนุษย์จะทำให้เราต้องเสียใจที่ฆ่าพวกเขาให้ตายตกไปตามกันเช่นนี้ แล้วยังหยุดยั้งอาชญากรรมใด ๆ ไม่ได้เลย...กระผมขอวิงวอนว่า เราควรเอาชนะความโหดร้ายด้วยความเมตตา และทำลายความเกลียดชังด้วยความรัก......”

19 กันยายน 1924 นาธาน ลีโอโปลด์ กับ ริชาร์ด โลบ ถูกตัดสินจำคุกในเรือนจำโจเลียต ด้วยข้อหาฆาตกรรมและค่าเรียกค่าไถ่เป็นเวลา 99 ปี จากนั้นก็มีโทรศัพท์มาด่าทอเข้ามาจนรับไม่ไหว มีสองรายขู่จะวางระเบิดเรือนจำที่ขังสองฆาตกรนั้น หากศาลไม่สามารถลงโทษประหารสองคนนี้สำเร็จ และยังมีจดหมายประท้วงอย่างรุนแรงหลั่งไหลมาจากทั่วประเทศ เพราะการฆาตกรรมของฆาตกรคู่นี้เป็นสิ่งเลวร้ายมากจนประชาชนยอมรับไม่ได้เลย

✥ หลังจากนั้น ✥ 
ครอบครัวที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ ทั้งลีโอโปลด์ ทั้งโลบ และแฟรงค์ ชีวิตที่เหลือหลังจากคดีนั้น มีแต่ฝันร้ายและความสยดสยองตามหลอกหลอนตลอดมา  อัลเบริร์ต โลบ ต้องทนทุกข์ทรมานจากอาการหัวใจวายกำเริบนับครั้งไม่ถ้วน และหัวใจวายตายใน 1 เดือนต่อมาหลังจากลูกชายถูกตัดสิน ครอบครัวของลีโอโปลด์ เนรเทศตนเองออกจากเคนวู้ด สมาชิกครอบครัวหลายคนเปลี่ยนชื่อนามสกุลใหม่เพราะทนความอับอายไม่ไหว และไม่ยอมบอกให้ใครรู้ว่าเกี่ยวข้องเป็นญาติของนาธาน บิดาของนาธาน ลีโอโปลด์ ตายเพราะหัวใจล้มเหลวใน 5 ปี ต่อมา ฟลอร่า แฟรงค์ แม่ของบ๊อบบี้ ป่วยเป็นอาการจิตหลอนหลังจากลูกถูกฆาตกรรม แต่อาการของเธอดีขึ้นเมื่อสามีตาย และเธอก็แต่งงานใหม่  เจค็อบ แฟรงค์ ยังไม่หายความโศกเศร้าถึงการตายของลูกชาย เขาตรอมใจตายตามลูกชายในเวลาไม่ถึง 1 ปี

ผู้พิพากษา คลาเวอร์ลี ผู้พิจารณาคดี ต้องเข้าโรงพยาบาลทันทีเพราะอาการเครียดจัดจนหมดเรี่ยวหมดแรง นับจากนั้นเป็นต้นมาเขาต้องขึ้นบัลลังก์ได้เพียงคดีฟ้องหย่าเท่านั้น หนักกว่านี้ไม่รับ  ส่วนแคร์โรว์ มีอนาคตสดใส เขารับว่าความคดีโด่งดังมากมายต่อมาอีกหลายปี คดีสุดท้ายคือ The Scopes ‘Monkey (คดีนี้ฟ้องโดยผู้ปกครองเรื่องครูสอนเด็กเรื่องคนวิวัฒนาการมาจากลิง แต่พ่อแม่ผู้เคร่งศาสนารับไม่ได้ เพราะผิดหลักคำสอนของศาสนาเลยฟ้อง)

สำหรับ นาธาน ลีโอโปลด์ กับริชาร์ด โลบ นั้นแม้รัฐจะสั่งให้แยกขัง แต่พวกเขาก็กลับมาอยู่ด้วยกันจนได้ แถมยังเปิดสอนวิชาพิเศษให้เพื่อนชาวคุกด้วยกัน ลีโอโปลด์ก็ยังได้เรียนภาษาและวิชาการต่าง ๆ ที่เขาสนใจ  28 มกราคม 1936 ริชาร์ด โลบ  ถูกทำร้ายอย่างแรงในห้องอาบน้ำ เขาถูกเจมส์ เดย์ เพื่อนร่วมห้องจู่โจมจากด้านหลัง ใช้มีดโกนปาดคอหอยอย่างแรง ริชาร์ด โลบ เจ็บปวดแสนสาหัสและตายอีกหลายนาทีต่อมา เพราะเสียเลือดจนช็อก  เดย์กล่าวว่า ริชาร์ดกับเขาเป็นคู่ขากันมาเป็นเวลาหลายเดือนแล้ว และเกิดขัดคอกัน อย่างไรก็ตามทางการตัดสินว่า เจมส์ เดย์ ทำไปเพื่อป้องกันตัวเท่านั้น ส่วนของนาธาน ลีโอโปลด์ เขายื่นขอทัณฑ์บนครั้งแรกในปี 1953 แต่ไม่สำเร็จ แต่ในที่สุดก็ได้ลดหย่อนผ่อนโทษได้สำเร็จ เมื่อ 1958 สรุปคือเขาใช้ชีวิตในคุกรับกรรมทั้งสิ้น 33 ปีเต็ม เมื่อถูกปล่อยออกมา นาธานอพยพโยกย้ายออกจากสหรัฐอเมริกา ไปอาศัยในเปอร์โตริโก  ค.ศ. 1961 นาธานแต่งงานกับแม่ม่ายชาวเปอร์โตริกันที่มีอาชีพเป็นนักจิตวิทยา เขาถึงแก่กรรมอีก 10 ปี ต่อมาด้วยอาการหัวใจล้มเหลว ก่อนตาย นาธานบริจาคดวงตาเมื่อเขาสิ้นใจ แก้วตาข้างหนึ่งของเขาถูกนำมาใส่ให้ผู้หญิงคนหนึ่ง ส่วนอีกข้างเปลี่ยนให้คนไข้ชาย

ผู้ที่ได้รับผลประโยชน์นอกเหนือบุคคลที่กล่าวมาข้างต้น นอกเหนือจากนั้นคือวงการบันเทิง มีการสร้างหนัง 3 เรื่องที่มีแรงบันดาลใจจากคดีนี้ คือเรื่อง Rope (1948), Compulsion(1959) และ Swoon (1992) ภาพยนตร์ Compulsion (1959) สร้างจากนวนิยายแนวสืบสวนสอบสวนแนวลึกลับจากความวิปริตของโฮโมเซ็กซ์ช่วล ซึ่งมันทำให้ครอบครัวลีโอโปลด์เจ็บใจมาก ๆ จนถึงขั้นฟ้อง แต่ไม่สำเร็จ









 

Create Date : 13 กรกฎาคม 2558    
Last Update : 13 กรกฎาคม 2558 9:29:14 น.
Counter : 3139 Pageviews.  

ปริศนาหมากรุกฆาตกรรม



ถ้าไม่นับแจ็ค เดอะริปเปอร์แล้ว การฆาตกรรม
จูเลีย วอลเลซ เมื่อเกือบ 80 ปีที่แล้ว ถือเป็นปริศนาที่ลึกลับที่สุดในอังกฤษ และยังคงเป็นความลับดำมืดมาจนทุกวันนี้ จูเลียถูกฆาตกรรมในบ้านของเธอในเขตแอนฟิลด์ เมื่อวันที่ 20 มกราคม 1931 วิลเลี่ยม เฮอร์เบิร์ต วอลเลซ วัย 52 ปี สามีของเธอ ถูกกล่าวหาว่าฆ่าภรรยาของตัวเอง เขาเป็นผู้บริสุทธิ์ หรือวางแผนการอย่างเหนือชั้นราวกับเล่นหมากรุก?



นตอนเย็นของวันจันทร์ที่ 19 มกราคม 1931 เวลาประมาณ 1 ทุ่ม 20 นาที มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ในสโมสรหมากรุกเซ็นทรัล เมืองลิเวอร์พูล ประเทศอังกฤษ แซมมวล บี้ทตี้ กัปตันของสโมสร ได้รับสายจากชายคนหนึ่ง ซึ่งอ้างชื่อว่า เครลทรัฟ เขาฝากข้อความถึงสมาชิกคนหนึ่งคือ วิลเลี่ยม เฮอเบิร์ท วอลเลซ ให้ไปพบที่บ้านเลขที่ 28 เมนเลิฟการ์เด้น ในคืนพรุ่งนี้เวลา 19.30 น. เมื่อวอลเลซ มาถึงสโมสร บีทตี้ได้ยื่นข้อความให้วอลเลซ ปรากฎว่าเขาไม่รู้จักชื่อ เครลทรัฟ แต่วอลเลซคาดว่าน่าจะเกี่ยวกับธุรกิจ ประกันที่เขาทำอยู่ เย็นวันถัดมา วอลเลซ ออกจากบ้านและขึ้นรถรางตอน 19.10 น. หลังจากลงรถรางเขาพยายามหาที่อยู่ของ เครลทรัฟ แต่ว่าไม่มีบ้านเลขที่ดังกล่าว เขาพยายามสอบถามคนแถวนั้น รวมถึงตำรวจ แต่ก็คว้าน้ำเหลว อาจมีใครเล่นตลกกับเขาก็ได้




วอลเลซกลับถึงบ้านในเวลา 20.45 น. เมื่อไขกุญแจประตูบ้าน ปรากฎว่าประตูล็อคจากด้านใน เขาลองไปที่ประตูหลังบ้าน มันถูกล็อคจากข้างในเช่นกัน เขาเคาะประตูเรียก แต่ไม่มีใครออกมา เมื่อเพื่อนบ้านที่อยู่ติดกัน คือ นายและนาง จอห์นสตัน ออกมาดู คราวนี้ วอลเลซ เปิดประตูเข้าไปในบ้านได้ จอห์นสตันเห็นแสงไฟในบ้านสว่างขึ้น เพียงอึดใจเดียว วอลเลซ เดินออกมา และบอกว่า "เข้ามาดูนี่สิ เธอถูกฆ่า"

ภายในบ้าน จูเลียภรรยาของวอลเลซ นอนคว่ำหน้าเสียชีวิตอยู่บนพื้นห้องนั่งเล่น เธอมีแผลถูกตีบริเวณข้างหูซ้าย ไม่นานนัก คอนสเตเบิ้ล วิลเลียม เจ้าหน้าที่ตำรวจของเมืองลิเวอร์พูลก็มาถึงที่เกิดเหตุ เขาตรวจสอบพบว่า ห้องนอนถูกรื้อค้น แต่ไม่พบร่องรอยการบุกรุกหรือต่อสู้ ไม่มีอาวุธที่ใช้ฆาตกรรม วิลเลี่ยมสังเกตว่า วอลเลซสงบเยือกเย็น ผิดธรรมดา

เวลาประมาณ 4 ทุ่ม เจ้าหน้าที่ชันสูตรพลิกศพก็มาถึง จากการตรวจพบว่า จูเลียเสียชีวิตเมื่อเวลาประมาณ 6 โมงเย็น โดยการถูกตีถึง 11 ครั้ง ถึงแม้ว่าเธออาจเสียชีวิตจากการถูกตีตั้งแต่ครั้งแรกก็ตาม วอลเลซให้การกับตำรวจว่า เย็นนั้นเขากลับมาบ้านเวลา 18.05 น. ดื่มชาที่ภรรยาชงให้ และออกจากบ้านในเวลา 18.45 น.

ตำรวจสงสัยวอลเลซ จึงพยายามสืบหาตัวนายเตรลทรัฟ แต่ก็ไม่พบ และจากการตรวจสอบพบว่าชายที่อ้างว่าชื่อเครลทรัฟ โทรมาจากตู้โทรศัพท์ ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านวอลเลซไปเพียง 400 หลาเท่านั้น วอลเลซถูกจับในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ในข้อหาฆาตกรรมภรรยา ตำรวจเชื่อว่าเขาสร้างเรื่องนาย เครลทรัฟขึ้นมาเพื่อเป็นข้ออ้างให้กับตัวเอง จึงเป็นไปได้ที่เขาลงมือ สังหารภรรยาและมีเวลาพอที่จะวิ่งไปยังจุดที่ขึ้นรถราง วอลเลซปฎิเสธทุกข้อกล่าวหา ปลายเดือนเมษายนมีการพิจารณาคดีในชั้นศาล ซึ่งวอลเลซมีท่าทีเฉยเมย และดูคร่ำครึ รวมถึงมีงานอดิเรกที่ใช้สติปัญญาอย่างหมากรุก ทำให้เขาดูเหมือน ฆาตรกรจอมวางแผน ที่สร้างฉากฆาตกรรมสมบูรณ์แบบ

มีการเรียกตัว แซมมวล บีทตี้ มาเป็นพยาน เขาให้การว่าคนที่โทรมาเสียงค่อนข้างแหบ และไม่ใช่เสียงของวอลเลซ มีข้อสงสัยว่ามีใครบ้างที่ทราบว่า วอลเลซ จะมาเล่นหมากรุกที่สโมสรในวันนั้น อัยการชี้ว่า มีเพียงตัว วอลเลซ เองเท่านั้นที่รู้ว่าเขาจะไปถึงสโมสรในเย็นวันนั้น ซึ่ง วอลเลซ ก็ให้การว่า เขาไม่ได้บอกใครว่าจะไปที่สโมสร แต่มีหลักฐานสำคัญที่ทนายของ วอลเลซ นำมาใช้โต้แย้งในศาลก็คือ ตารางการแข่งขันที่ติดอยู่ที่สโมสรเป็นเวลาหลายสัปดาห์ โดยมีชื่อของผู้แข่งขันรวมถึงวอลเลซรวมอยู่ด้วย การแข่งขันเริ่มวันที่ 10 พฤศจิกายน ไปจนถึงวันที่ 21 กุมภาพันธ์ และ วอลเลซ มีกำหนดต้องแข่งขันวันที่ 19 มกราคม แต่ก็ยังมีข้อน่าสงสัยก็คือ วอลเลซ มาแข่งครั้งแรกในวันที่ 10 พฤศจิกายนหลังจากนั้นก็ไม่ได้มาแข่งอีก ทำไมเครลทรัฟถึงสรุปว่า วอลเลซ จะมาในวันที่ 19 มกราคม??

อีกอย่างหนึ่งหาก เครลทรัฟวางแผนให้วอลเลซออกจากบ้านในคืนวันอังคาร ทำไมเขาไม่ทิ้งโน๊ตไว้ที่ประตูบ้านแทนการโทรศัพท์ไปที่สโมสร อย่างไรก็ตามมีพยานเป็นเด็กส่งนมเห็นจูเลียยังมีชีวิตอยู่ในช่วงเวลา 18.30 ถึง 18.45 น. จึงเป็นไปไม่ได้ที่วอลเลซจะเป็นฆาตรกร 
แม้ว่าหลักฐานจะอ่่อน คณะลูกขุนก็ตัดสินใจว่า วอลเลซผิด และมีโทษแขวนคอ แต่ในวันที่ 19 พฤษภาคม ค.ศ.1931 ศาลอุธรณ์ กลับคำตัดสินของลูกขุน เนื่องจากหลักฐานไม่เพียงพอที่จะพิสูจน์ว่า วอลเลซผิดตามข้อกล่าวหา



วอลเลซถูกปล่อยตัว แต่ยังคงมีการถกเถียงต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปี ผู้พิพากษาจัสติน ไรท์ที่ทำหน้าที่ตัดสินคดีของวอลเลซในตอนแรกได้สัมภาษณ์ไว้ก่อนที่จะเสียชีวิตว่า "อย่าลืมว่า วอลเลซเป็นนักหมากรุก อย่างที่กล่าว ๆ กัน คนที่มีสามัญสำนึกล้วนบอกว่า ข้ออ้างของวอลเลซ ดีเกินกว่าที่จะเป็นจริง แต่มันก็ไม่ใช่ข้ออ้างที่จะใช้แขวนคอใครซักคน" อย่างไรก็ดีวอลเลซ ไม่ใช่นักหมากรุกที่เก่งกาจ สมาชิกในสโมสรให้สมญาวอลเลซ ว่า " ผู้ทำลายหมากรุก " รวมถึงสมาชิกที่หมกมุ่นกับหมากรุกคนหนึ่งกล่าวว่า "ถ้าไม่นับการฆาตกรรมภรรยาแล้ว ผมคิดว่าเขาควรถูกแขวนคอ ในข้อหาเป็นนักหมากรุกฝีมือห่วย "

ภายหลังเสร็จสิ้นคดี มีนักกฎหมายของเมืองลิเวอร์พูล ถามทนายของวอลเลซว่า ทำไมถึงไม่เรียกผู้เชี่ยวชาญมาพิสูจน์ให้เห็นว่า วอลเลซเป็นนักหมากรุกฝีมือแย่ขนาดไหน?

วอลเลซ ป่วยและเสียชีวิตในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1933 คดีไม่มีความคืบหน้า ไม่มีพยานรู้เห็น ไม่มีการพบอาวุธที่ใช้ฆ่า ไม่ใช่การแก้แค้น ไร้คำอธิบาย ใครเป็นฆาตรกรกันแน่? ถ้าวอลเลซไม่ได้ทำ นี่คือฆาตกรรมที่ไร้ที่ติ แต่ถ้าวอลเลซทำมันก็เกือบจะสมบูรณ์แบบแล้วโดยคำตัดสินของศาลอุธรณ์

คดีของวอลเลซถูกนำเค้าโครงไปเขียนเป็นนิยาย ได้แก่ The Last Sentence ตีพิมพ์ปี ค.ศ.1978 และ in shadow of an alibi ตีพิมพ์ปี ค.ศ.1948 โดยเรื่องแรกเปลี่ยนสถานที่ิ่เป็นสโมสรบริดจ์ ส่วนเรื่องหลังเปลี่ยนสถานที่เป็นสโมสรบิลเลียด.


ที่มา : //justanotherblogu.blogspot.com/2008/09/3.html







 

Create Date : 13 พฤษภาคม 2558    
Last Update : 13 พฤษภาคม 2558 16:40:59 น.
Counter : 1607 Pageviews.  

1  2  3  

hathairat2011
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 12 คน [?]










Google

ขอบคุณที่แวะมา
อย่าลืมคอมเม้นท์นะจ้ะ

Flag Counter

ส่งอีเมล์

Facebook ของ Hathairat



New Comments
Friends' blogs
[Add hathairat2011's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.