คิดถึงเพื่อนๆทุกคนนะคะ No Tag still..! Please..

ใบบัวบก



ใบบัวบก ผักธรรมดาที่คุณรู้จักกันมานานแล้ว
แต่อาจจะมองข้ามไปนั้น
มีคุณประโยชน์มากมายไม่น่าเชื่อเลยทีเดียว
ชื่อสามัญ : Asiatic Pennywort
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Centella asiatica (Linn.) Urban.
วงศ์ : UMBELLIFERAE
ใบบัวบก เป็นพืชล้มลุกขนาดเล็กที่ขึ้นบนดิน
แต่มีลักษณะใบคล้ายกับใบบัว
ในใบบัวบกประกอบด้วยสารสำคัญหลายอย่าง
อาทิเช่น ไตรเตอพีนอยด์ (อะซิเอติโคไซ)
บราโมไซ บรามิโนไซ
มาดิแคสโซไซ(เป็นไกลโคไซด์ที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ)
กรดมาดิแคสซิค ไทอะมิน(วิตามินบี 1) ไรโบฟลาวิน(วิตามินบี2)
ไพริดอกซิน(วิตามินบี6) วิตามินเค แอสพาเรต กลูตาเมต
ซีริน ทรีโอนีน อลานีน ไลซีน
ฮีสทีดิน แมกนีเซียม แคลเซียม โซเดียม

สารไตรเตอพีนอยด์ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการสร้างคอลลาเจน
(ซึ่งเปรียบเสมือนร่างแหที่ประกอบ กันเป็นโครงสร้างหลักของเซลล์ในส่วนต่างๆของร่างกาย และยังเป็นผนังที่หุ้มล้อมรอบหลอดเลือดอีกด้วย)
ดังนั้นใบบัวบกจึงสามารถลดความดันเลือดได้
เนื่องจากจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้แก่เส้นเลือด
ใบบัวบกจึงมีประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับผู้เป็นเบาหวานเพราะ
จะช่วยเพิ่มการไหลเวียนผ่านเส้นเลือดฝอย
การแลกเปลี่ยนออกซิเจนผ่านเส้นเลือดฝอย
จะช่วยลดการบวม เส้นประสาทเสื่อม เหน็บชา แขนขาอ่อนแรง
นอกจากนี้ใบบัวบกทำให้ผิวหนังเต่งตึงและมีความยืดหยุ่นขึ้น
ตลอดจนช่วยป้องกันการเกิดแผลเป็น
และช่วยให้แผลหายเร็ว เนื่องจากใบบัวบกจะควบคุม
ไม่ให้เกิดการสร้างคอลลาเจนบริเวณแผลมากจนเกินไป
ดังนั้นจึงนิยมนำใบบัวบกไปใช้ในการรักษาแผลต่างๆ
อาทิเช่น แผลผ่าตัด การปลูกถ่ายผิวหนัง
แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก แผลเรื้อรัง หรือแม้แต่แผลจากโรคเรื้อน

ใบบัวบกจะช่วยลดขนาดของเส้นเลือดขอด
เนื่องจากใบบัวบกจะทำให้คอลลาเจนที่หุ้มรอบเส้นเลือดดำยืดหยุ่นมากขึ้น
ทำให้การไหลเวียนผ่านเส้นเลือดดำเป็นไปได้สะดวกขึ้น

การรับประทานใบบัวบก ไม่ว่าจะเป็นการทานสด เป็นผักจิ้มน้ำพริก หรือคั้นน้ำ จะช่วยให้คุณผ่อนคลายจากความกังวลและความเครียดได้ เนื่องจากในใบบัวบกประกอบด้วยวิตามินบี1,บี2 และบี6 ในปริมาณสูง
นอกจากนี้ยังทำให้ร่างกายหลั่ง GABA (gamma-aminobutyric acid) ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทชนิดหนึ่งในปริมาณที่มากขึ้นด้วย
จากการศึกษายังพบว่า การรับประทานใบบัวบกจะทำให้คุณสามารถจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้นานขึ้น มีสมาธิมากขึ้น ความจำดีขึ้น
และใบบัวบกยังช่วยกำจัดสารพิษซึ่ง สะสมในสมองและระบบประสาท
ตลอดจนช่วยกำจัดสารพิษตกค้างในร่างกาย
ประเภทโลหะหนักและยาต่างๆได้เป็นอย่าง ดี

เคยมีการใช้ใบบัวบกเพื่อรักษาความผิดปกติที่ตับและไต
เช่น ตับอักเสบ โรคตับที่เกิดจากการดื่มสุรา
ข้ออักเสบ รูมา ไทติส รำมะนาด(เหงือกอักเสบ)
และจากการค้นพบเมื่อไม่นานมานี้พบว่าในใบบัวบก
ยังมีสารที่มีฤทธิ์ต้าน มะเร็งลำไส้ใหญ่อีกด้วย
จะเห็นว่า

นอกจากนี้ในการศึกษาทางเภสัชวิทยาเพื่อค้นหาสารสำคัญ
หรือหาสารออกฤทธิ์ต่าง ๆ ที่มีอยู่ในใบบัวบก
พบว่า ใบบัวบกจะให้สารไกลโคไซด์ (Glycosides) หลายชนิด
ที่ให้ผลต้านการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่น (Antioxidation)
ซึ่งส่งผลให้การลดความเสื่อมของเซลล์ อวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายได้
นอกจากนี้ยังพบว่าสารไกลโคไซด์ที่ได้จากใบบัวบก
ยังส่งผลในการช่วยดูแลสุขภาพ เร่งการสร้างสารคอลลาเจน (Collagen)
ที่เป็นโครงสร้างของผิว
ให้ถูกนำมาใช้ประโยชน์ในการกระตุ้นให้แผลสมานตัวได้ เร็ว


จริงๆแล้วใบบัวบกน่าจะเป็นพืชที่รับประทานได้ทุกเพศทุกวัย
แต่เด็กๆส่วนใหญ่จะไม่ค่อยชอบ เพราะกลิ่นฉุนและรสชาด
ซึ่งก็ไม่เป็นไร เพราะ ยังไม่ค่อยมีปัญหาด้านสุขภาพร่างกายมากนัก

ผู้ที่ควรทานใบบัวบก ได้แก่

1. ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่อโรคความจำเสื่อม อาทิ ผู้สูงอายุ สตรีวัยทอง
2. ผู้ที่อยู่ในวัยทำงานที่ต้องใช้สมองอย่างมาก และเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพความทรงจำ
3. ผู้ที่มีความเครียดสูงจากการทำงานหนัก
4. ผู้ที่มีความผิดปกติทางผิวหนัง และกล้ามเนื้อโดยมีอาการฟกช้ำ และผิวหนังอักเสบ
5. ผู้ป่วยหลังการผ่าตัด เพราะช่วยเร่งการสมานแผลให้เร็วยิ่งขึ้น

หมายเหตุ
ใบบัวบก ทำเป็นน้ำคั้นสดๆ ผสมน้ำตาลทราย
ใส่น้ำแข็งทุบ สดชื่นดีและมีประโยชน์มากมาย

หรือรับประทานสดๆ(ล้างให้สะอาดก่อนนะคะ)
กับแกงเผ็ดใต้เพราะมีส่วนประกอบของขมิ้นชันเยอะ
แบบนี้ได้หลายเด้งเลยค่ะ
ทั้งอร่อยเพิ่มรสชาด แถมยังเจริญอาหารอีกด้วย
อ้อ ไฟเบอร์สูงมากด้วยค่ะ


ข้อมูลส่วนใหญ่จาก Thai good view .com ค่ะ

ลบรอยตีนกาด้วยน้ำใบบัวบก

วิธีคือ นำ ใบบัวบกที่ได้มาล้างให้สะอาด
แล้วนำมาปั่น หรือจะบด จะโขลกพอได้น้ำใบบัวบกสดๆ แล้ว
ใช้สำลีชุบน้ำใบบัวบกมาทาให้ทั่วใบหน้า ทาทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที
แล้วล้างออก ทาทุกวันก่อนนอน หรือจะหลับไปเลยก็ได้

น้ำใบบัวบกจะไป ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และอีลาสติน ซึ่งจะช่วยลบรอยตีนกาได้ แต่ที่สำคัญต้องทำสม่ำเสมอ ถึงจะเห็นผล

ข้อมูลจากเดลินิวส์ ภาพจาก กูเกิ้ล






 

Create Date : 09 มิถุนายน 2553    
Last Update : 9 มิถุนายน 2553 9:06:12 น.
Counter : 920 Pageviews.  

ไม้มีคุณ..วันนี้ขอเสนอ"ขมิ้นชัน"

ขมิ้นชัน

ใช้กินเหง้าของขมิ้นชัน โดยการปอกเปลือก หรือตากแห้งแล้วบดเป็นผงใช้ประกอบอาหารได้หลายอย่าง และแบบผงบรรจุแคปซูลเพื่อสะดวกแก่การกิน

ขมิ้นชันมี ประโยชน์ และสรรพคุณ หลายประการดังนี้
ขมิ้นชันมีวิตามิน เอ,ซี,อี ที่เข้าสู่ร่างกายแล้วจะทำงานพร้อมกันทั้ง 3 ตัว จึงมีผลทำให้ช่วยลดไขมันในตับ
- สมานแผลภายในกระเพาะอาหาร
- ช่วยย่อยอาหาร
- ทำความสะอาดให้ลำไส้
- เปลี่ยนไขมันให้เป็นกล้ามเนื้อ
- ต้านอนุมูลอิสระป้องกันการเกิดมะเร็งในตับ
- สร้างภูมิคุ้มกันให้กับผิวหนัง
- กำจัดเชื้อราที่ปนเปื้อนในอาหารที่กินเข้าไปแล้วสะสมในร่างกายเตรียมก่อตัว เป็นเซลล์มะเร็ง
- ช่วยขับน้ำนมสำหรับสตรีหลังคลอดบุตรได้ดี รองมาจากการกินหัวปลี

กินขมิ้นชันให้ตรงเวลา
กิน ตรงเวลาที่อวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกายเปิดการทำงานในช่วงเวลานั้น จะได้ผลตรงประเด็นที่ต้องการจะบำรุง หรือแก้ไขฟื้นฟูของระบบของอวัยวะ กินเพียง 1 แคปซูลเท่านั้น จะออกฤทธิ์มากกว่าเวลาอื่นถึง 40 เท่าตัว แต่ถ้ามีปัญหาหลายอย่างก็กินครั้งละ 1 แคปซูล ทุกๆ 2 ชั่วโมง ถ้ากินในจำนวนมาก ส่วนที่เหลือจะไปขับไขมันในตับ

กินขมิ้นชันให้เป็นอาหาร
ไม่ ใช่กินเป็นยา ต้องกินให้สนุก ใช้ปรุงอาหารกินบ้าง หุงข้าวก็ใส่ขมิ้นชันได้ ทอดปลาคลุกขมิ้นชันก็ดี ทำให้หอมน่ากินและยังได้ประโยชน์อีกด้วย เพราะตัวขมิ้นชันจะช่วยย่อยไขมันจากน้ำมันที่ใช้ทอดปลาได้บางส่วน

ถ้ากินขมิ้นชันสดๆ
ต้อง ปอกเปลือกก่อน แต่ถ้าทำขมิ้นชันบดเป็นผงต้องนำขมิ้นชันมาต้มน้ำให้เดือดสักพักหนึ่ง แล้วตักออกนำมาผึ่งให้เย็นหั่นเป็นแว่นเล็กๆ ตากแดดจนแห้ง อาจจะตากหลายครั้ง แล้วถึงจะนำมาบดให้เป็นผง ถ้าใช้เครื่องอบให้ขมิ้นชันแห้ง ความร้อนควรไม่เกิน 65 องศา ถ้าความร้อนเกินอาจเกิดสารสเตรอยด์ได้


นาฬิกาชีวิต (ความสัมพันธ์ของอวัยวะกับเวลา)
ช่วงเวลา เป็นเวลาของ
03.00 - 05.00 น. ปอด
05.00 - 07.00 น. ลำไส้ใหญ่
07.00 - 09.00 น. กระเพาะอาหาร
09.00 - 11.00 น. ม้าม
11.00 - 13.00 น. หัวใจ
13.00 - 15.00 น. ลำไส้เล็ก
15.00 - 17.00 น. กระเพาะปัสสาวะ
17.00 - 19.00 น. ไต
19.00 - 21.00 น. เยื่อหุ้มหัวใจ
21.00 - 23.00 น. พลังงานรวม
23.00 - 01.00 น. ถุงน้ำดี
01.00 - 03.00 น. ตับ

กินขมิ้นชันตามเวลาต่อไปนี้จะได้ผลโดยตรงกับอวัยวะส่วนนั้น

( เวลา 03.00 - 05.00 น. ) ช่วยบำรุงปอด ป้องกันการเป็นมะเรงปอด ช่วยทำให้ปอดแข็งแรง ช่วยเรื่องภูมิแพ้ของจมูกที่หายใจไม่สะดวก และช่วยสร้างภูมิคุ้มกันที่ผิวหนัง

( เวลา 05.00 - 07.00 น. ) ช่วยแก้ไขปัญหาลำไส้ใหญ่ ถ้าเคยกินยาถ่ายมาเป็นเวลานาน ให้กินขมิ้นชันในเวลานี้ ขมิ้นชันจะฟื้นฟูปลายประสาทของสำไส้ใหญ่ ต้องกินเป็นประจำ ถึงจะทำให้ลำไส้ใหญ่บีบรัดตัวเพื่อขับถ่ายอย่างปกติ แก้ไขปัญหาลำไส้ใหญ่กลืนลำไส้เล็ก หรือลำไส้ใหญ่มีปัญหาถ่ายมากเกินไปหรือถ่ายน้อยเกินไป แต่ถ้าลำไส้ใหญ่ไม่มีปัญหา ให้กินขมิ้ชันพร้อมกับสูตรโยเกิต+นมสด+น้ำผึ้ง+มะนาว หรือนำอุ่นก็ได้ จะไปช่วยล้างผนังลำไส้ที่มีหนวดเป็นขนเล็กๆอยู่เป็นล้านๆเส้น ซึ่งขนเหล่านี้มีหน้าที่ดูดซึมสารอาหารเพื่อไปสร้างเม็ดเลือด ขมิ้นชันจะช่วยล้างให้สะอาดได้ ก็จะไม่ค่อยมีขยะตกค้าง จึงไม่เกิดแก๊สพิษที่ทำให้เกิดกลิ่นตัว และจะไม่ค่อยเป็นริดสีดวงทวาร ไม่เป็นมะเร็งลำไส้

( เวลา07.00 - 09.000 น. ) ช่วยแก้ปัญหาเรื่องกระเพาะอาหาร เกิดจากการกินข้าวไม่เป็นเวลา ท้องอืด จุกแน่น ปวดเข่า ขาตึง ช่วยบำรุงสมอง ป้องกันความจำเสื่อม

( เวลา 09.00 - 11.00 น. ) ช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำเหลืองเสีย มีแผลในปาก อ้วนเกินไปผอมเกินไปที่เกี่ยวข้องกับม้าม ลดอาการเป็นเก๊าต์ ลดอาการเบาหวาน

( เวลา 11.00 -13.00 น. ) ใครมีปัญหาเกี่ยวกับโรคหัวใจ หรือ ไม่มี ก็กินขมิ้นชันเวลานี้ จะช่วยบำรุงหัวใจให้แข็งแรง ถ้าเลย 11.00 น. ไปแล้ว ขมิ้นชันจะไปทำงานที่ตับแล้วตับจะส่งมาที่ปอด ปอดจะส่งไปที่ผิวหนัง แต่ส่วนมากมาไม่ถึงเพราะกินขมิ้นชันน้อยเกินไป

( เวลา 13.00 - 15.00 น. ) ช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องปวดท้องบ่อย เพราะมีไขมันเกาะลำไส้เล็ก ไขมันที่เคลือบลำไส้จะเคลือบขยะเอาไว้ด้วยแล้วสะสมกัน ทำให้เกิดแก๊ส และมีอาการปวดท้องตอนบ่ายในช่วงเวลานี้ ถ้ากินสูตรโยเกิต+นมสด+น้ำผึ้ง+มะนาว และขมิ้นชัน จะช่วยล้างลำไส้เล็กได้ดีที่สุด สูตรโยเกิตนี้ตัวจุลินทรีย์จะช่วยเปลี่ยนขยะในลำไส้เล็กให้เป็น บี 12 เพื่อส่งไปเลี้ยงสมองต่อไป

( เวลา 15.00 - 17.00 น. ) ช่วยดูแลหูรูดกระเพาะปัสสาวะให้แข็งแรง แก้ ปัญหาเรื่องตกขาวของสตรี และควรกินน้ำกระชายเวลานี้ด้วย จะช่วยดูแลหูรูดกระเพาะปัสสาวะให้แข็งแรง ช่วงเวลานี้ควรทำให้เหงื่อออกจะดีมาก เพราะร่างกายต้องการขับสารพิษให้ได้มากที่สุดในเวลานี้

กินเหลือเลยเวลาจากช่วงนี้จนไปถึงการกินก่อนนอน ขมิ้นชันจะไปช่วยเรื่องความจำให้ความจำดี ตื่นนอนขึ้นมาตอนเช้าจะไม่ค่อยเพลีย และช่วยให้ขับถ่ายดีขึ้น การกินขมิ้นชันมากจะช่วยขับไล่ไรฝุ่นที่ผิวหนังไม่ให้เป็นผดผื่นคันง่ายๆ และช่วยขับไขมันในตับ ถ้ากินในปริมาณมาก
การกินขมิ้นชัน แบบผงหรือบรรจุแคปซูล ควรเลือกซื้อจากผู้ผลิตที่มีมาตรฐานและสะอาดเชื่อถือได้ ไร้สารเคมีไม่มีสเตอรอย์ที่เกิดจากการอบแห้งด้วยความร้อนเกิน 65 องศา ควรตัดสินใจเอง เพราะเราจะต้องกินทุกวัน ก็ควรกินให้ปลอดภัยและสบายใจ

ถ้า กินขมิ้นชัน แบบผง 1 ช้อนชา ใช้ผสมน้ำ 1 แก้ว(ไม่เต็ม) ขมิ้นชันจะไหลผ่านส่วนต่างๆ ตั้งแต่
- ผ่านลำคอ ช่วยขับไล่ไรฝุ่นที่ลำคอ แล้วไปผ่านปอดช่วยดูแลปอดให้หายใจดีขึ้น ลดความชื้นของปวด
- ผ่านม้าม ก็ลดไขมัน และปรับน้ำเหลืองไม่ให้น้ำเหลืองเสีย
- ผ่านกระเพาะอาหาร ก็จะรักษาแผลในกระเพาะอาหาร
- ผ่านลำไส้ ก็สมานแผลในลำไส้
- ผ่านตับ ก็ไปบำรุงตับ ล้างไขมันในตับ

ขมิ้น ชันยังช่วยดูแลเซลล์ต่างๆ ที่ฉีกขาด ก็จะไปเชื่อมให้ และไปกวาดขยะ กวาดไขมันมากองไว้ ถ้าจะอุ้มขยะไปทิ้งโดยการขับถ่ายก็กินอาหารปกติ เช่น พืช ผัก ผลไม้ ที่มีกากใย หรือ กินน้ำลูกสำรอง(พุงทลาย) เพื่ออุ้มไขมัน อุ้มแก๊สไปทิ้ง
*คน ธาตุเบา แสดงว่ามีการระคายเคือง อักเสบ เป็นแผลเรื้อรังบางอย่างที่ผนังลำไส้เป็นอาจิณ
*คนธาตุหนัก แสดงว่าปลายประสาทลำไส้ใหญ่เสื่อม อาจเกิดจากการกินยาถ่ายเป็นประจำ หรือกินน้ำน้อย ทั้งธาตุเบาและ

ธาตุ หนัก ไม่ดีทั้งคู่ ถ้าเป็นอย่างนี้แสดงว่ามีปัญหาที่ลำไส้ และปลายประสาทลำไส้ใหญ่ผิดปกติ หากปล่อยไว้ วันข้างหน้าจะมีโอกาสเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ ควรกินขมิ้นชันเป็นประจำ เพื่อค่อยๆ ปรับให้เข้าที่แล้ว กลับมาถ่ายได้อย่างปกติ

ขอขอบคุณ
ข้อมูลจาก จากหนังสือ กิน เป็น ลืมป่วย ล้างพิษในร่างกาย


ขมิ้นชันป้องกัน โรคกระดูกพรุน พบตัวยาต่อต้าน กับการอักเสบ [3 พ.ย. 49 - 00:31] นักวิจัยพบช่องทางนำเอาสารสกัดจากขมิ้นชันที่ใช้ปรุงแกงกะหรี่ ช่วยป้องกันโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์และโรคกระดูกพรุนได้ ตำรับยาของชาวเอเชีย ได้ใช้ขมิ้นชันเป็นเครื่องสมุนไพรรักษาโรคต่างๆ อันเนื่องมาจากการอักเสบกันมานานหลายศตวรรษแล้ว นักวิจัยได้พบผลการทดลองในห้องปฏิบัติการทดลองวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยอริโซนา ทำให้รู้ว่าสารสกัดของขมิ้นชันเป็นยาได้ ซึ่งอาจจะทำเป็นยาขึ้น แต่การจะกินสารนี้มากๆโดยตรง อาจไม่ได้ผล ก่อนหน้านี้นักวิจัยก็เคยพบว่า ขมิ้นชัน มีสรรพคุณป้องกันข้อต่ออักเสบในหนู แต่ในการศึกษาหลังสุดนี้จึงได้พบแน่นอนว่า สาร ประกอบในขมิ้นชันตัวใด ที่มีสรรพคุณแก้การอักเสบ.

จาก ข่าววิทยาการ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ปีที่ 57 ฉบับที่ 17818 วันศุกร์ ที่ 3 พฤศจิกายน 2549






 

Create Date : 15 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 15 พฤษภาคม 2553 12:51:16 น.
Counter : 410 Pageviews.  

กระเจี๊ยบแดง


รีบอัพ รีบไป
ต้องขออภัย เพื่อนๆที่แวะมา
ว่างเมื่อไร รีบไปหาทันทีค่ะ
ขอบคุณทุกคนที่แวะมาค่ะ
มีความสุข อย่าไข้ อย่าเจ็บ
กันทุกๆคนค่ะ



กระเจี๊ยบแดง
ชื่อวิทย์ Hbiscus sabdariffa Linn.
ชื่อวงศ์ MALVACEAE
ชื่อทั่วไป กระเจี๊ยบเปรี้ยว(กลาง), ผักเก็งเค็ง, ส้มเก็งเค็ง, ส้มตะแลงแครง (ตาก), ส้มปู(แม่ฮ่องสอน)

ลักษณะ: กระเจี๊ยบแดง เป็นพืชสมุนไพรที่เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก
สูงประมาณ 3–6 ศอก ลำต้นและกิ่งก้านมีสีม่วงแดง
ใบมีหลายแบบด้วยกัน ขอบใบเรียบ
บางทีก็มีรอยหยักเว้า 3 หยัก
สีของดอกเป็นขาวเหลือง
ตรงกลางดอกมีสีเข้มมากกว่าขอบนอกของกลีบ
เมื่อกลีบดอกร่วงโรยไป
กลีบรองดอกและกลีบเลี้ยงก็จะเจริญเติบโตขึ้นอีก
เกิดเป็นสีม่วงแดงเข้มหุ้ม เมล็ดเอาไว้ภายใน

การขยายพันธุ์: ใช้เมล็ดปลูก
ควรปลูกในหน้าฝน พรวนดินก่อนปลูก
ขุดหลุมปลูกหลุมละ 2-3 เมล็ด
ระยะห่างของหลุมประมาณ ½-1 เมตร
พอต้นอ่อนงอกออกมาแล้ว
ให้ถอนต้นที่อ่อนแอกว่าออกไปเอาต้นที่แข็งแรงไว้
รดน้ำ ใส่ปุ๋ย พรวนดิน กำจัดวัชพืชออกให้หมด







สรรพคุณ

ใบ :กินได้ทั้งดิบและสุก
ใส่ในแกงเผ็ดเพื่อแต่งรสได้
ใบอ่อนและยอด ใช้แต่งรสเปรี้ยว ใส่ต้มหรือแกง
ชาวมอญใช้ใบกระเจี๊ยบแดงทำแกงกระเจี๊ยบ
กลีบเลี้ยงสีแดงใช้ทำเครื่องดื่ม มีวิตามินเอสูง
พบทั้งในประเทศไทยและแถบประเทศเม็กซิโก
กลีบเลี้ยงมีเพ็กตินสูง ใช้ทำแยมและประกอบอาหาร เบเกอรี่ได้ดี
มีฤทธ์กัดเสมหะ ทำให้โลหิตไหลเวียนดี
ช่วยย่อย อาหาร ขับปัสสาวะ ตำพอกฝี ล้างชะบาดแผล


กลีบเลี้ยง :(รสเปรี้ยว) ขับปัสสาวะ แก้เสมหะ
ขับน้ำดี ลดไข้ แก้ไอ ขับนิ่วในไต นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ
แก้กระหายน้ำ ขับเมือก ให้ลงสู่ทวารหนัก



เมล็ด :(รสเมา) เมล็ดบดเพื่อเป็นยาระบาย
ขับปัสสาวะ และยาบำรุง
ขับเหงื่อ ลดไขมันในโลหิต บำรุงโลหิต
บำรุง ธาตุ ชับน้ำดี ขับปัสสาวะ
แก้โรคทางเดินปัสสาวะอักเสบ


รสเปรี้ยวของดอกกระเจี๊ยบทำให้ชุ่มคอ
ช่วยขับปัสสาวะ ลดความดันเลือด (อาจเนื่องมาจากฤทธิ์ขับปัสสาวะ)
ลดความหนืดของเลือด ป้องกันต่อมลูกหมากโต
แก้อาการขัดเบา และสามารถลดไขมันในเลือดได้อีกด้วย


ผลอ่อน:(รสจืด)ต้มกินติดต่อกัน ๕-๘ วัน
ช่วยขับพยาธิตัวจี๊ด
ผลแห้งป่นเป็นผง กินครั้งละ ๑ ช้อนโต๊ะ ดื่มน้ำตามวันละ ๓-๔ ครั้ง
ช่วยรักษาโรคกระเพาะและลำไส้อักเสบ
แก้อ่อนเพลีย บำรุงกำลัง บำรุงธาตุ
ลดไขมันใน โลหิต รักษาแผลในกระเพาะอาหาร


๑. ขับปัสสาวะ ใช้ดอกกระเจี๊ยบต้มดื่มต่างน้ำ
ช่วยขับปัสสาวะ ลดการ อักเสบของไต
และทางเดินปัสสาวะ ไม่พบผลข้างเคียงอันใด

๒. ลดความดัน ใช้กระเจี๊ยบ ๑๐-๑๕ ดอก ต่อน้ำ ๑ แก้ว
ต้มกิน ๓-๕ เวลา ช่วยลดความดัน

๓. ขับนิ่วในไต ต้มน้ำต้มกระเจี๊ยบวันละ ๔ แก้ว(๑ ลิตร)
ปัสสาวะที่เคย ขุ่นกลับใส และปัสสาวะเป็นกรดมากขึ้น

๔. ช่วยให้ความเหนียวข้นของเลือดลดลง ใช้ดอกกระเจี๊ยบต้มน้ำดื่ม

๕. แก้พยาธิตัวจี๊ด เอา กระเจี๊ยบทั้ง๕ ต้มน้ำ ๓ ส่วนเอา ๑ ส่วน
กิน ๑ ถ้วยชา หลังอาหาร ๓๐ นาที ๓ เวลาติดต่อกัน ๑ สัปดาห์
จะใช้น้ำผึ้งครึ่ง ถ้วยชา และน้ำยาครึ่งถ้วยชาก็ได้

๖. ลดไขมันไตรกลีเซอไรด์ โคเลสเตอรอล
ใช้ชาชงดอกกระเจี๊ยบ กินวันละ ๔ แก้ว

๗. ยับยั้ง เนื้องอก โพลีแซคคาไรด์
จากตาดอก(flower buds) ของ กระเจี๊ยบ
ช่วยชะลอการเจริญเติบโตของเนื้องอกให้ช้าลง และกระตุ้นภูมิคุ้มกัน

๘. ช่วยระบายและทำให้อุจจาระนุ่ม ใช้ดอกกระเจี๊ยบต้มดื่ม






จากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์
น้ำต้มดอกแห้งมีกรดผลไม้และ AHA หลายชนิดในปริมาณสูง
ดอกกระเจี๊ยบมีสารต้านอนุมูลอิสระมาก
ในปริมาณใกล้เคียงกับบลูเบอร์รี่ เชอร์รี่และแครนเบอร์รี่
จึงอวยประโยชน์ด้านป้องกันมะเร็ง
ชะลอแก่ และช่วยให้เส้นเลือดอ่อนนิ่ม


ลาก่อนจ้าา บลูเบอร์รี่ สวัสดีกระเจี๊ยบแดง


น้ำต้มดอกกระเจี๊ยบแห้งมีสารแอนโทไซยานินสูง
สารกลุ่มนี้เองเป็นสารหลัก (เกินร้อยละ ๕๐)
ที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ
แอนโทไซยานิน จากกระเจี๊ยบ
มีฤทธิ์ยับยั้งออกซิเดชั่นของแอลดีแอล
และยับยั้งการตายของมาโครฟาจ
สาร Delphinidin 3-sambubioside (Dp3-Sam),
เป็นแอนโทไซยานินชนิดหนึ่งที่ได้
จากดอกกระเจี๊ยบแห้ง Dp3-
มีฤทธิ์กำจัดเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวในห้องทดลองได้
จึงมีผลในการป้องกันการเกิดมะเร็ง
และอาจใช้ชะลอการลุกลามของมะเร็งบางชนิด ได้


ข้อมูลจาก หมอชาวบ้าน




 

Create Date : 13 มิถุนายน 2552    
Last Update : 18 สิงหาคม 2552 10:23:51 น.
Counter : 715 Pageviews.  

สุดยอดผักพื้นบ้านปักษ์ใต้-ผักเหลียง








ใครไปใครมาจากทางใต้
เป็นต้องได้ของฝากประจำค่ะ
อย่างนึงที่ได้มาทุกครั้ง
แต่ละครั้งก็เป็นเข่งๆ หรือถุงใหญ่เลย
ก็คือ "ผักเหลียง" เพราะอร่อยมาก
นัยว่าหาทานค่อนข้างยากที่กรุงเทพ
น่าจะออกเฉพาะฤดูด้วยซ้ำ



ภาพจากกูเกิ้ล


"ผักเหลียง"เป็นไม้ป่าชนิดหนึ่งอยู่ในวงศ์ Gnetaceae
มีชื่อ วิทยาศาสตร์ว่า Gnetum gnemon var. tenerum
พบใน ประเทศไทย มาเลเซีย และ บอร์เนียว
ขึ้นอยู่ในสภาพป่าชื้น สูงกว่าระดับน้ำทะเล 20-70 เมตร
ในประเทศไทยพบเฉพาะ
ในเขตจังหวัด ชุมพร ระนอง พังงาและสุราษฎร์ธานี
มีชื่อเรียก ตามภาษาพื้นเมืองหลายชื่อ
เช่น ชุมพรเรียก กระเหรียง
ระนองเรียกต้นผักเหลียง
พังงาเรียกผักเมี่ยง
สุราษฎร์ฯ เรียกว่าผักเขรียง
เป็นไม้พุ่มที่เจริญเติบโตอยู่ในร่มเงาไม้ใหญ่
มีความสูงประมาณ 3 เมตร
สามารถเจริญเติบโตเป็นต้นใหญ่ได้
และเมื่อเจริญเติบโตเต็มที่ จะเป็นพุ่มหนาแน่น
ลักษณะช่อดอกแบบเรียว (simple slender)
มีผลเป็นช่อ เมล็ดรูปไข่ขนาด 1-1.5 เซนติเมตร กว้าง 1 เซนติเมตร
จะออกดอกเดือน มกราคม-กุมภาพันธ์ และจะเกิดผลในเดือนมีนาคม






การขยายพันธุ์ สามารถขยายพันธุ์ได้ด้วย ราก กิ่งตอน ปักชำ และเมล็ด
ผักเหลียง มีลักษณะเด่นหลายอย่าง
ถ้าเปรียบเทียบกับ ผักสวนครัว อื่นๆ
เช่น เจริญเติบโตได้ดีในสภาพร่มเงา
จึงสามารถปลูกร่วมกับพืชอื่นๆ ได้
เช่น ริมสวนผลไม้ สวนยางพารา ฯลฯ
และการดูแลรักษาง่าย ไม่ต้อง เตรียมดิน
สามารถปลูกลงดินได้เลย
ไม่เสียค่าใช้จ่ายมาก
และยังนำมาขาย เป็นรายได้เสริมของครอบครัวอีกด้วย
นอกจากนี้ยังมีอายุยืนนานไม่ต้องปลูกบ่อยๆ
และสามารถเก็บยอดได้ตลอดปี
ถ้าเด็ดยอดบ่อยๆ ก็จะแตกยอด ออกมาใหม่
ถ้ามีการตัดแต่งกิ่งไม่ให้สูงเกิน 11/2 เมตร และใส่ปุ๋ย
ต้นเหลียงก็จะให้ผลผลิตสูงสามารถปลูกเป็น
การค้าได้ เนื่องจากไม่ต้องใช้ยาฆ่าแมลง
จึงไม่มีสารพิษตกค้างอยู่ในพืชผักชนิดนี้

ในประเทศไทยมีผักที่น่าสนใจ
เช่น ผักเหลียงนี้มากมาย
แต่ยังขาดความสนใจจากนักวิชาการ
และหน่วยงานของรัฐ
ในการที่จะนำมาใช้ให้ เกิดประโยชน์อย่างเต็มที่







เทียบกับผักที่ปลอดสารพิษในกรุงเทพฯแล้ว
ผักเหลียงทั้งปลอดภัย ทั้งอร่อย ทั้งประหยัดกว่า
ชาวบ้านเก็บมาขายกำละ 5-10 บาท

ผักเหลียงอุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีนซึ่ง
เป็นสารต้านออกซิเดชั่นที่สำคัญ

ทั้งยังเป็นสารตั้งต้นสร้างวิตามินเออีกด้วย
มีข้อมูลออกมาจากภาควิชาอุตสาหกรรมเกษตร

มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ว่า
ผักเหลียงร้อยกรัมหรือหนึ่งขีดไม่รวมก้าน

ให้เบต้าแคโรทีน สูงถึง 1,089 ไมโครกรัมหน่วยเรตินัล
สูงกว่าผักบุ้งจีนสามเท่า มากกว่าผักบุ้งไทย 5-10 เท่า

ผักเหลียงมีเบต้าแคโรทีนมากกว่าใบตำลึงเสียด้วยซ้ำ

สุดยอดของแหล่งเบต้าแคโรทีนคือแครอท
ก็ไม่ได้มีเบต้าแคโรทีนมากไปกว่าผักเหลียงเลย

เบต้าแคโรทีนเป็นสารสีส้มในผักเหลียงมองไม่เห็น
เพราะมันถูกสีเขียว ของใบผักปกปิดไว้จนหมด
ผักเหลียงยังให้คุณค่าของแคลเซียมและฟอสฟอรัสช่วยบำรุงกระดูกอีกด้วย

ผักเหลียงนำมาปรุงเป็นอาหารจานอร่อยได้หลายอย่างเช่น

ผักเหลียงต้มกะปิ ผักเหลียงผัดไข่

ภาพจากกูเกิ้ล


ห่อหมกรองด้วยผักเหลียง ผักเหลียงต้มกะทิ

ภาพจากกูเกิ้ล
(อันนี้จานโปรดเลยค่ะ ทานกับน้ำพริกปลาทู สุดยอด)


ผักเหลียงลวกกะขนมจีนน้ำยาและอีกหลายๆจานอร่ิอย

เครดิต:siamsouth.com


//www.bloggang.com/data/m/moonsapphire/picture/1242795154.gif




 

Create Date : 17 พฤษภาคม 2552    
Last Update : 25 พฤษภาคม 2552 11:45:04 น.
Counter : 423 Pageviews.  

ว่านนางคุ้ม










ว่านนี้มีค่าทางใจ

ว่านผู้เฒ่าเฝ้าบ้าน หรือ ภูตผู้เฒ่าเฝ้า บ้าน
ชื่อสามัญ : ว่านนางคุ้ม (brisbane lily)
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Eurydes amboinensis Lindl.
ตระกูล : Amaryllidaceae






ประโยชน์ :
นิยมปลูกไว้ในบ้านเพื่อคุ้มภัยพิบัติต่าง ๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องอัคคีภัยจะดีเด่นเป็นพิเศษ
ทุกบ้านควรเสาะหามาไว้ประจำบ้าน
เมื่อถึงเวลาคับขันจะผ่อนหนักเป็นเบาได้ทันตาเห็น
เพราะชื่อ
“ นางคุ้ม ”
หมายถึงการคุ้มครองโดยตรงคนโบราณจึงนับถือมาก



วิธีปลูก :
เนื่องจากไม้นี้มีลักษณะใบสวยงาม
มักนิยมปลูกไว้เป็นไม้ประดับบ้านอีกประการหนึ่งด้วย
จึงชอบที่จะหากระถางที่มีลวดลายสวยงามเป็นภาชนะรองรับ
เครื่องปลูกใช้อิฐทุบละเอียด
ผสมผงถ่านและดินเบาเล็กน้อย
ระวังอย่าให้น้ำขังได้หมั่นรดน้ำให้เปียก
แต่อย่าให้มากจนเกิน
ใบจะเขียวงดงามยิ่งนัก



เป็นว่านที่มีหัวอยู่ใต้ดิน
ลักษณะคล้ายหอมหัวใหญ่
ซึ่งหัวประกอบไปด้วยกลีบของหัว
ที่เรียงซ้อนกันอยู่จนเป็นหัวกลม
ใบกลมใหญ่ หนา คล้ายใบฟักทอง
มีสีเขียว ก้านใบยาวสีเขียวแก่




ดอกออกเป็นช่อจากกลางกอ
ก้านดอกเป็นแท่งสูงตรง ดอกเป็นสีขาว
แต่ละดอกประกอบด้วยกลีบ 6 กลีบ
เกสรสีเหลือง มีกลิ่นหอม



ดินที่จะนำมาปลูกว่านนางคุ้ม
ให้นำไปเผาไฟเสียก่อน
แล้วทุบดินให้แตกละเอียด
แล้วตากน้ำค้างทิ้งไว้ 1 คืน
จึงนำดินใส่กระถางสำหรับปลูก
วางหัวว่านกลางกระถางแล้วกลบดิน
ไม่ต้องให้ดิน ปิดหัวว่านจนมิด
ให้หัวว่านโผล่ขึ้นมาเล็กน้อย
รดน้ำพอเปียกเท่านั้น อย่าให้น้ำมากไป
เพราะจะทำให้หัวว่านเน่าได้
รดน้ำ เช้า-เย็น อย่างสม่ำเสมอ



cc;บ้านอุณมิลิต
เชื่อกันว่านนางคุ้ม
เป็นว่านที่มีความมงคลทางด้านคุ้มครองป้องกันอันตรายต่าง ๆ
ถ้าปลูกไว้ในบ้านจะมีคุณทางป้องกันไฟไหม้ได้
คือ จะคุ้มครองให้บ้านและผู้เป็นเจ้าของรอดพ้นจากการถูกไฟไหม้

ว่านนางคุ้มหรือ ว่าน ผู้เฒ่าเฝ้าบ้าน
ไม่ธรรมดาเลยหากปลูกว่านชนิดนี้
อย่างถูกต้องตามขั้นตอนพิธีกรรมตามโบราณ
อิทธิคุณของว่านนางคุ้มนี้
จะมีคุณสูงมากเกินกว่าที่หลายๆ ท่านคาดคิดถึง
โบราณท่านยกย่องว่าเป็นว่านที่มีญาณว่าน (เจตภูติ) คุ้มครอง
สามารถป้องกันภัย โจรผู้ร้าย ไฟไหม้
ตลอดจนภัยอันตรายต่างๆ ไม่ให้เข้ามากล้ำกลาย
อาณาบริเวณเคหะสถานที่มีว่านอยู่ได้
และเป็นว่านทางเรียกโชค เรียกลาภอีกด้วย
การปลูกว่านชนิดนี้ให้ได้ผล
ต้องเริ่มจาก อาถรรพ์กำกับดิน
ดินมงคลลงอาคม
ต้องเลือกดินมงคลที่มีอำนาจเป็นชัยภูมิมงคล
ผสมมวลสารมงคลอย่างผงแก้วเจ็ดประการ
ยันต์แม่พระธรณีจตุโร
ผงว่านมงคล๑๐๘ (เกิดญาณว่าน)
ผงดิน เจ็ดเขา เจ็ดสมุทร ผงดินใต้น้ำ ผงดินกลางเมือง
ซึ่งต้องเป็นการเลี้ยงโดยใช้อาคมกำกับ
ว่านชนิดนี้จึงจะมีคุณานุภาพไม่ยิ่งหย่อนกว่า
กุมารทองหรือเครื่องรางใดใด
ซ้ำยิ่งเลี้ยงยิ่งเพิ่มอานุภาพ
ยิ่งค้ำคูน ยิ่งแสดงอำนาจศักดิ์สิทธิ์
จนสามารถบนบอกได้สำเร็จผลดังใจนึก






ว่า่นต้นนี้ปลูกเองกับมือค่ะ
มีเพื่อนให้มานานแล้ว
ไม่เคยตายเลย
เเต่เคยหายไปหลายครั้ง
แล้วก็ขึ้นใหม่อีก
ภูมิใจจัง น่าแปลกที่รู้สึกอุ่นใจ
ทุกครั้งที่มอง "นางคุ้ม"
บ้านเรามีผู้แก่ผู้เฒ่าคุ้มครอง

ไม่เคยมีดอกเลยค่ะ
แต่พอย้ายที่ตั้งใหม่
สงสัยเป็นที่ถูกอกถูกใจท่านผู้เฒ่า
เลยออกดอกสวยน่ารักจริงๆ

รูปวันนี้มาในแนวหลังดำค่ะ
ตอนเริ่มทำบล็อกใหม่ๆ
ถอยกล้องใหญ่มาถ่ายรูป
แต่ฝีมือไม่ดีและขาดการฝึกฝน
ขี้เกียจขนไปไหนๆด้วย หนักๆๆ
ก็เลยปล่อยวาง
ไปหาตัวเล็กๆมาเล่นแทน

หลังดำของเราไม่ต้องใช้ฝีมือแต่
อุปกรณ์พิเศษราคาแพงงงช่วยได้มากค่ะ
มีกระดาษโปสเตอร์สีดำๆ
ขนาดหนึ่งตารางฟุต ราคาสองบาท
แค่นั้น ได้หลังดำสมใจ
ถ้ายังไม่หนำก็เอาไปทำแซททูเรชั่น
ลดแสงลงอีกหน่อยก็พอแระ อิ อิ อิ




 

Create Date : 01 พฤษภาคม 2552    
Last Update : 11 พฤษภาคม 2552 10:17:45 น.
Counter : 1315 Pageviews.  

1  2  

จันทร์ไพลิน
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




********
********


ขอขอบคุณcodeและรูปสวยๆ
กรอบและlineน่ารักมากมาย
จาก
คุณ Kungguenter,
คุณLosocat,
คุณยายกุ๊กไก่,
และป้าเก๋า ชมพรค่ะ

Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add จันทร์ไพลิน's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.