หลักใหญ่ๆๆตรงนี้ค่ะ
แนะนำ แกงเหลือง นะคะ จัดจ้านดีภาพจากกูเกิ้ลเพราะแกงเหลืองหรือแกงใต้แทบทุกชนิดจะต้องมีขมิ้นค่ะ นอกจากอร่อยแล้ว ยังมีประโยชน์มากมายเลยค่ะเพราะขมิ้น และสารประกอบ Curcumin ในขมิ้นรวมๆแล้ว เรียก Curcuminoids มีคุณสมบัติเป็นสารแอนติออกซิแดนท์ (antioxidant) สารต่อต้านการอักเสบ ต่อต้านไวรัสและแบคทีเรีย ซึ่งสามารถทำงานท้าทายโรคมะเร็ง โรคเบาหวาน โรคข้ออักเสบ โรคเรื้อรังต่างๆ และที่สำคัญโรคอัลไซเมอร์ ที่ทำให้ขมิ้นโดดเด่นเตะตานักวิจัยถึงประสิทธิภาพยอดเยี่ยมของขมิ้นนการต่อสู้กับปฏิกิริยาออกซิเดชั่นที่เป็นศัตรูร้ายทำลายเซลล์สมองโดยเฉพาะในหน่วยความจำขมิ้น (Turmeric หรือชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Curcuma longa) พืชตระกูลขิงข่าที่ส่วนรากและเหง้าถูกนำมาใช้ในการปรุงอาหาร ให้มีสีเหลืองและกลิ่นหอม สมุนไพรชนิดนี้พบทั่วไปในแถบเอเชีย ขมิ้นถูกเรียกว่า “ฮาลดิ” (Haldi) ในภาษาฮินดี (ภาษาของชาวอินเดียทางตอนเหนือ) ภาษาจีนเรียก “เจียง ฮวง” (jiang huang) และภาษาทมิฬเรียก “มองจัล” (monjal) โดยมีประวัติสรรพคุณทางยายาวนานกว่า 5,000 ปี เริ่มต้นที่สรรพคุณในการรักษาแผล แก้พิษในเลือดและโรคกระเพาะ ในตำรายาอายุรเวชของอินเดีย (India’s Ayurvedic system of medicine) ชาวฮินดูใช้รักษาอาการเคล็ด ขัด ยอก และบวม ชาวจีนนำขมิ้นมารักษาอาการปวดท้อง ส่วนคนไทยเรานอกจากจะนำมาสมานแผลแล้วยังใช้ ขัดผิว พอกหน้าอีกด้วย “นักขมิ้นศาสตร์” (Curcuminologists)ชาวอินเดียชื่อบารัท พบว่าขมิ้นสามารถลดระดับโคเลสเตอรอลในหนูทดลองได้ ต่อมาได้เอาขมิ้นจากในครัวมาโรยลงบนเซลล์มะเร็ง ปรากฏว่ามันสามารถหยุดการทำงานของ TNF และ NF Kappa B อย่างเหลือเชื่อและต่อมาได้ตีพิมพ์ผลการศึกษาเรื่องนี้ที่ขมิ้นสามารถยับยั้งการแตกตัวและการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งหลายชนิด งานชิ้นนี้ทำให้เกิดจุดหักเหในวงการวิจัย จากการทดลองเล็กๆโดยใช้ขมิ้นเป็นองค์ประกอบในการรักษามะเร็งชนิดต่างๆ การทดลองเริ่มต้นที่ความพยายามจะป้องกันมะเร็งในลำไส้ และโรคอัลไซเมอร์ และโรคอื่นๆ ในการทดลองกับสัตว์ทดลอง พบว่าขมิ้นสามารถยับยั้งโรคอักเสบต่างๆได้หลายชนิด เช่น ตับอ่อนอักเสบ (Pancreatitis) โรคข้ออักเสบ (Arthritis) โรคลำไส้อักเสบ (Inflammatory Bowel disease) อาการลำไส้ใหญ่บวม (Colitis) โรคกระเพาะอักเสบ (Gastritis) อาการแพ้และไข้หวัดเมื่อเราอายุมากขึ้น ปฏิกิริยาออกซิเดชั่นจะโจมตีเซลล์สมองมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากสมองเป็นอวัยวะที่เปราะบางและไวต่อการถูกทำลายจากปฏิกิริยาดังกล่าวมากกว่าส่วนอื่นๆภาพจากกูเกิ้ลสมองจำต้องสร้างยีนที่ชื่อว่า Hemeoxygenase-1( HO-1) ขึ้นมาเพื่อต่อกรกับออกซิเดชั่น และยีนตัวนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อสมองถูกกระตุ้นเท่านั้น และสารกระตุ้นดังกล่าวก็พบมากในขมิ้นนั่นเอง นักวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยคาตาเนียในอิตาลี และนิวยอร์กยืนยันถึงประสิทธิภาพของสารสำคัญในขมิ้นที่มีผลต่อการกระตุ้นยีน HO-1ว่าช่วยยับยั้งไม่ให้เซลล์สมองถูกทำลายโดยออกซิเดนท์ได้เป็นอย่างดีเมื่อ สมองเกิดสภาวะออกซิเดชั่น เซลล์สมองจะเกิดการอักเสบและค่อยๆ ตายไปในที่สุด ส่งผลให้เซลล์เนื้อเยื่อของเส้นประสาทถูกทำลาย และนำไปสู่โรคความจำเสื่อมหรืออัลไซเมอร์ ขมิ้นจึงไม่เพียงแต่ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดโรคดังกล่าวเท่านั้น แต่ยังบำรุงสมองเราให้เฉียบคมตามอายุที่เพิ่มขึ้นได้อีกด้วยในประเทศอินเดีย แหล่งเครื่องเทศสำคัญของโลกนิยมใช้ขมิ้นเป็นส่วนประกอบอาหารมีการทดลองเพื่อค้นหาคุณประโยชน์ของขมิ้นที่นอกเหนือไปจากสรรพคุณในการลดความเสี่ยงของ โรคอัลไซเมอร์อย่างกว้างขวาง และพบว่าสารแอนตี้ออกซิเดนท์ในขมิ้นเป็นกุญแจสำคัญในการถนอมอาหาร นี่อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่เมนูอาหารแต่โบราณหลายๆ จานมีขมิ้นเป็นส่วนประกอบ อีกทั้งยังได้สี กลิ่นและรสชาติเป็นของแถมบรรดา เครื่องเทศต่างๆ นั้นมีสารปฏิชีวนะป้องกันการเจริญเติบโตของเชื้อโรคในอาหารได้มากกว่าเจ็ดสิบห้าเปอร์เซ็นต์ เม็ดสีในเครื่องเทศคือส่วนที่มีสารปฏิชีวนะดังกล่าว นักวิจัยจากศูนย์โรคอัลไซเมอร์แห่งมหาวิทยาลัยยูซีแอลเอ ระบุว่า ขมิ้นมีสารสำคัญที่ไม่พบในเครื่องเทศชนิดอื่นในการยับยั้งไม่ให้เกิด กลุ่มก้อนโปรตีนเล็กๆ ในสมองของผู้ป่วยอัลไซเมอร์ที่เรียกว่า Amyloid Plaquesโดยสารในขมิ้นจะเข้าผ่ากลางกลุ่มโปรตีนดังกล่าวไม่ให้รวมตัวกันดร. Sally Frautschy ผู้ช่วยศาสตราจารย์วิชาแพทย์แห่งมหาวิทยาลัยยูซีแอลเอแนะนำให้รับประทานขมิ้นให้ได้ 200 มิลลิกรัม ต่อครั้ง อาทิตย์ละสี่ครั้งก็ถือว่าเพียงพอแก่ความต้องการของร่างกาย ขณะเดียวกัน เรายังพบสารแอนตี้ออกซิเดนท์ในเครื่องเทศชนิดอื่น อย่างขิงและอบเชย ซึ่งให้ผลลัพธ์ใกล้เคียงกับขมิ้น รวมทั้งช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้แก่เซลล์สมองได้เป็นอย่างดีขอขอบคุณข้อมูลจาก พลังจิต และเย็นตาโฟค่ะ
แทรกมาแถม
แถมอีกนี้ดด