Romantic Road day 4 Augsburg



Day 4 Augsburg

วันนี้เราจะไม่เล่าประวัติเยอะพยายามตัดออกมั่งเผื่อจะเบื่อ แต่สำหรับฉันบอกได้ว่าไปเที่ยวแต่ละทีทำให้ฉันอยากรู้ไปหมด จนเดี๋ยวนี้กลายเป็นชอบ ยิ่งอ่านยิ่งสนุก มาเที่ยวกันต่อเลยดีกว่าค่ะ

จากที่เมื่อวานเราตะลอนกันทั้งวัน เช้านี้เลยอิดออดไม่อยากลุกจากที่นอน แถมอากาศก็ยังเป็นใจ มืดๆซึมๆ โอ้เอ้กันจนเกือบเก้าโมงถึงได้ลงไปกินอา หารเช้ากัน แต่กลับกลายเป็นดีแฮะ ห้องอาหารว่าง มีคนนั่งกินอยู่ก่อนแล้วสองสามโต๊ะ ประเภทคนที่ไม่รีบร้อนเหมือนเรา เพราะส่วนมากคนที่มาพักมักจะเป็นคนที่ต้องมาติดต่องานก็จะออกกันไปหมดแล้ว เราสามคนเลยกินกันแบบสบายๆไม่ต้องเกร็ง อิ่มกันเรียบร้อยก็เริ่มออกทัวร์ด้วยขาทั้งสองข้าง

วันนี้ไม่มีแดดเอาซะจริงๆ แถมมีละอองฝนมาเป็นระยะๆ จากโรงแรมเราก็เดินตามถนนไปเรื่อยๆ บ้านเรือนในละแวกนั้นดูโอ่อ่า ต้นไม้ใหญ่สองข้างทางเพิ่มความขลังเข้าไปอีก แม้ว่าจะสิบโมงกว่าแล้วแต่ก็ยังดูเหงาๆ ทั้งถนนมีแค่เราสามคน คนที่ขับรถผ่านไปมาคงนึก เอ๊ะไอ้สามคนนี้มันมาเดินเล่นอะไรกันในสภาพอากาศแบบนี้ อ่ะนะไมมีสิทธิ์เลือก ในเมื่อมาแล้วไม่ว่าอา กาศจะเน่ายังไงก็ต้องไปอยู่ดี จะมานั่งเฝ้าโรงแรมให้เค้าทำไมกันล่ะ ที่สำ คัญเรามีเวลาสำหรับที่นี่แค่วันนี้วันเดียวเท่านั้น ก็ได้แต่ภาวนาอย่าให้ฝนตกแรงจนเดินไม่เท่านั้นเอง







จุดแรกที่สองขาของเราทั้งสองพาไปถึง(ของ มชล ไม่นับ เพราะบางทีก็ขี่คอพ่อไป อิอิ ) ก็คือ พระราชวังสคาซเลอร์ ( Schaezler - Palais ) กว่าเราจะหาพระราชวังนี้เจอก็เล่นเอาเหนื่อยพอดู ก็เดินตามแผนที่แล้วนี่นาทำไมหาไม่เจอ ถามคนแถวนั้น แต่ละคนก็ชี้ไปคนละทาง แถมบางคนยังไม่รู้จักซะนี่ ชักเริ่มสงสัยแล้วว่าสวยจริงหรือแค่โปรโมท แต่ในที่สุดเราก็มาถึงกันจนได้ เอาเป็นว่าถ้าเห็นนำพุที่มีรูปปั้นเฮอคิวลิสด้านหน้า นั่นแหละใช่เลย แต่เห็นครั้งแรกก็ยังไม่ประทับใจเท่าไหร่ หรืออาจเป็นเพราะว่าฉันเห็นตึกในยุโรปมาซะจนชินแล้วก็ไม่รู้

รูปปั้นเฮอร์คิวลิสด้านหน้า


ด้านหน้าพระราชวังคาซเลอร์


ตึกที่เห็นเป็นตึกขนาดใหญ่ในสไตล์รอคโคโค่ ( Rococo )เดิมเป็นบ้านของนักการธนาคารผู้มั่งคั่งที่ชื่อว่าลีเบอร์ท ฟน ลีเบ็นโฮเฟ่น ( Liebert von Liebenhofen ) สร้างขึ้นในปี 1765 ถึง 1770 ถือได้ว่าเป็นอาคารไสตล์ร็อค โค่โค่ที่สวยและเด่นที่สุดในเมืองนี้เลยทีเดียว กระทั่งในปี 1958 คนในตระกูลก็ได้ยกตึกนี้ให้เป็นสมบัติของเมือง โดยมีข้อแม้ว่าห้ามขายนะ ให้ใช้เป็นที่ส่งเสริมและจัดแสดงศิลปวัฒนธรรมของชาติเท่านั้น ปัจจุบันอาคารบางส่วนได้จัดเป็นพิพิธภัณฑ์แสดงศิลปะเยอรมันบาร็อคแกลลอรี และบาวาเรียนแกลลอรี และมูลนิธิฮาเวอร์สต๊อค

ถามว่าเข้าไปแล้วข้างในเป็นยังไงมีอะไรให้ดู คงเป็นคำถามเพื่อจะตัดสินใจว่าจะยอมเสียเงินเข้าไปดีมั๊ย สำหรับฉันแล้วก็ถือว่าคุ้ม เอาเป็นว่าภายในตัวอาคารแบ่งเป็นห้องๆ จัดแสดงภาพวาดต่างๆ รวมถึงข้าวของเครื่องใช้ของคนในตระกูลนี้ แต่ห้องที่ถือเป็นสุดยอดของอาคารนี้คือห้องที่ชื่อว่า ร็อคโคโค่ แบ๊งค์เคว็ตฮอล ( Rococo Banquet Hall ) ตกแต่งสไตล์ร็อคโคโค่ที่สวยงาม ถือเป็นมาสเตอร์พีสแห่งหนึ่งในแคว้นบาวาเรียเลยทีเดียว

ตามหนูมาค่ะ


บันไดสีสด


บรรดาภาพวาดต่างๆ


เมื่อหลุดเข้ามาถึงห้องนี้ รับรองว่าเป็นต้องได้ตะลึง ตาโต อ้าปากค้างเป็นแน่ แล้วก็ตามมาด้วยคำอุทาน แล้วแต่นะว่าใครถนัดแบบไหน จะว้าวแบบฝรั่ง หรือ โหสวยจังแบบไทยๆ หรือสวยโคดๆแบบวัยรุ่น ก็เลือกเอา แต่สำหรับวัยรุ่น (ใหญ่) อย่างฉันก็ต้องแบบสวยโคดๆเลยแล้วกัน แต่ละห้องจะมีเจ้าหน้าที่ประจำอยู่ พอมาถึงหน้าห้องนี้ ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะเปิดประตูให้เราดู เธอก็จะเกริ่นแนะนำประมาณว่า ตอนนี้คุณมาถึงห้องสุดยอดแล้วนะคะ พร้อมเปิดประตูให้เราเข้าชม แล้วปล่อยให้เราตะลึงพร้อมทั้งอุทานไปก่อน รู้สึกได้ถึงความแพรวพราวของผนังที่ประดับด้วยกระจกตัดขอบด้วยสีทองเหลือง อร่าม เพดานด้านบนเป็นภาพวาดแบบเฟรสโก ( fresco ) โดยศิลปิน Gregorio Gugliemi

Rococo Banquet Hall




พอเธอเห็นฉันเริ่มรู้สึกตัว เธอก็ทำหน้าที่บรรยายคร่าวๆให้เราฟังว่า ห้องนี้ใช้เป็นที่จัดเลี้ยงรับรองแขก รวมถึงเป็นที่เต้นรำสังสรรค์ นอกนั้นก็บรรยายถึงรายละเอียดของการตกแต่ง รวมถึงความหมาย โดยเฉพาะภาพวาดบนเพ ดาน โดยรวมๆเป็นภาพธรรมชาติ สิงห์สาราสัตว์ ซึ่งมีความหมายถึงทวีปทั้งสี่ คือ ยุโรป อเมริกา อาฟริกา และเอเชีย และยังหมายถึงฤดูทั้งสี่อีกด้วย พอเธอบรรยายจบก็ออกไปรอด้านนอก ไม่อยู่กวนใจ ปล่อยให้เราทั้งสามได้ดื่มด่ำกับความงามเพียงลำพัง ให้สมกับที่เสียเงินเข้ามา ฮ่า ทั้งฉันและบาร์ท ง่วนกับการถ่ายรูปโดยไม่มีนักท่องเที่ยวคนอื่นๆมาเป็นแบ๊คกราวด์ (ตอนนั้นมีเราแค่สามคนเอง ชอบๆ) ส่วน มชล ก็เต้นหมุนไปรอบๆอย่างเริงร่า หลังจากที่รู้จากฉันว่าห้องนี้ใช้เป็นที่เต้นรำ









ขอเต้นรำหน่อยนะคะ


เราคงจะอ้อยอิ่งกันนานเกินไป เจ้าหน้าที่คนเดิมก็เลยโผล่มาดู คงสงสัยอะ ไรจะนานขนาดนั้น หรือไม่ก็อาจจะห่วงว่าฉันจะงัดแงะทองจากห้องนี้ไปมั่งหรือเปล่าก็ไม่รู้ ฮ่าๆ เราสามคนก็เลยขอบคุณและบอกลาเธอ ก่อนที่เธอจะมาขอค้นตัวฉันให้ยุ่งยาก ออกจากที่นี่แล้วเราจะไปชมศาลาว่าการเมืองซึ่งถือว่าเป็นแลนด์มาร์คของเมืองนี้กันต่อไป

แต่ก่อนจะไปถึงศาลาว่าการเมือง เราแวะถ่ายรูปกับน้ำพุที่มีรูปปั้นเฮอคิวลิส ด้านบน(Hercules Fountain ) ผล งานปั้นของ Adriaen de Vries .oxu 1597-1600 ซึ่งอยู่ด้านหน้าของพระราชวังกันก่อน ถ่ายรูปยากเหมือนกัน เพราะมีฝนลงปรอยๆ รวมทั้งรถราที่แล่นผ่านมาเป็นระยะๆอีกด้วย แม้จะทุลักทุเล ไหนจะห่วงว่ากล้องจะเปียก ไหนจะดูรถ แต่ในที่สุดก็ได้ภาพสมใจ


ช่วงที่เดินไปศาลาว่าการเมืองนั้น แม้ว่าฝนจะลงปรอยๆแต่ก็ไม่น่าเบื่อ แต่กลับเพลิดเพลินกับบรรดาสีสันของตึกสองข้างทาง รวมถึงภาพวาดบนผนังตึกที่มีให้เห็นเป็นระยะๆ ไม่ได้ตกแต่งด้วยไม้แบบเมืองอื่นๆที่เคยเห็น เดินได้ไม่นานเราก็มาถึงแลนด์มาร์คของเมืองนี้กันซะทีนั่นคือ ศาลาว่าการเมือง ( Rathaus หรือ Town Hall ) แวบแรกที่เห็นจะรู้สึกว่าใหม่จังเลย นั่นเป็นเพราะว่าได้ซ่อมแซมและสร้างใหม่ในปี 1985 หลังจากโดนระเบิดทำลายไปในปี 1944 (ของเดิมสร้างในปี 1615 -1620 ) สร้างขึ้นในสไตล์เรเนซองซ์ ด้านในก็ตกแต่งใหม่ทั้งหมด มีห้องที่เป็นไฮไลท์ที่ไม่ควรพลาดอีกเช่นกัน คือห้องโกลเดนเนอร์ ซาล ( Goldener Saal ) เห็นชื่อห้องก็เดาได้เลยว่าต้องเหลืองอร่ามไปด้วยทองแน่ๆ ห้องนี้เปิดให้เข้าชมได้ แต่มีค่าเข้าชมนิดหน่อย เข้าไปเถอะค่ะ แม้จะแค่ห้องเดียวแต่ก็คุ้มค่า ห้องนี้ใหญ่ขนาดจุคนได้ถึง 600 คน ไว้ใช้เป็นที่รับรองแขกและจัดงานเลี้ยงสำคัญ ๆ นอกจากนั้นยังเปิดให้เช่าเพื่อจัดงานส่วนตัวได้อีก

ศาลาว่าการเมือง ด้านขวาเป็นโบสถ์ ส่วนหอคอยที่จะไปปีนอยู่ด้านหลังโบสถ์




เหมือนเดิมค่ะ ตอนที่มาหยุดหน้าห้องนี้ ก็ต้องตะลึงอีกเช่นเคย แค่ประตูทางเข้าก็ดู โหญ่โตน่าเกรงขาม สีทองบึกบึน พอเข้าไปก็ต้องตะลึงกันอีกรอบ อะไรมันจะสวยปานนี้นะ ภายในห้องเหลืองอร่ามไปด้วยทอง เด่นสุดคือเพ ดานตรงกลางห้อง เป็นภาพวาดเล่าเรื่องราวประวัติของเมืองออสเบิร์ก ผนังด้านข้างที่เป็นรอยต่อของหน้าต่างแต่ละช่วง มีภาพวาดของบรรดากษัตริย์หรือนักรบต่างๆ ถ้าใครอยากรู้ประวัติและรายละเอียด เค้าก็มีหูฟังให้เช่าด้วย แต่ฉันไม่เอาขอดูอย่างเดียวจะได้อารมณ์มากกว่า สำหรับคนที่มีเวลาไม่มากได้ดูแค่สองแห่งนี้ก็คุ้มแสนคุ้ม

อาคารใกล้ๆพระราชวัง


ห้อง Goldener Saal


การตกแต่งและภาพวาดบนเพดาน


รูปภาพตรงกลาง


รูปภาพด้านด้านข้าง


ซ้ายมือเป็นประตูใหญ่ ภาพวาดบนผนังด้านข้าง




ใกล้เที่ยงแล้วแต่เรายังไม่หิวกัน เลยเดินไปดูโบสถ์ที่อยู่ใกล้กับศาลาว่าการเมือง ( โบสถ์ St. Peter on Perlach ) เห็นหน้าตาสวยดี แต่ด้านในธรรมดาไม่เด่นอะไร แต่เห็นมีป้ายให้ขึ้นไปชมบนวิวด้านบนได้ อ่ะต้องปีนซะหน่อย แต่ก็หาทางขึ้นไม่เจอ ไม่มีใครให้ถามเพราะในนั้นมีเราแค่สามคน เลยออกมาตั้งต้นข้างนอก ก็เลยเห็นป้ายบอกทาง ต้องอ้อมไปด้านหลัง มีป้ายบอก ราคาค่าถ่อสังขารขึ้นไปคนละ 1 ยูโร แต่ไม่เห็นว่าต้องจ่ายเงินที่ไหนเลยเดินขึ้นบันไดไปเรื่อยๆ ก็ไม่เจอใครซักคน อ่ะ ไม่เป็นไร ขึ้นไปก่อนแล้วกัน เดินขึ้นไปเรื่อยๆ ขึ้นไปได้หน่อยเดียว มชล ร้องให้บาร์ทอุ้ม แต่มีขู่จากฉันว่า ถ้าจะขึ้นต้องเดินเองนะ ไม่งั้นไม่ให้ขึ้น เธอก็เลยยอมเดินเองต่อ โหดกับลูกเล็กน้อย ถือเป็นการฝึกไปในตัว

ตอนแรกคิดว่าที่เราปีนกันอยู่นี้เป็นส่วนหนึ่งของโบสถ์ แต่ว่าปรากฎว่าไม่ใช่ จริงๆแล้วคือ หอคอยเพอร์ลัค ( Perlach Tower ) สร้างขึ้นในปี 1614 สูง 70 เมตร มีบันไดทั้งสิ้นแค่ 261 ขั้นแค่นั้นเอง แฮ่กๆ พอเราหอบสังขารกันไปถึงด้านบนสุด ก็เจอกับคำเฉลยทันที จ่ายเงินตรงนี้เอง มีห้องเล็กๆอยู่บนนั้น มีคุณป้านั่งอยู่ด้านในโดดเดี่ยวเดียวดาย มองหน้าเราเหมือนกับว่า ดีใจจังมีเหยื่อมาติดกับแล้ว โฮะๆจ่ายมาซะดีๆ ไม่งั้นอดขึ้นไปดูวิวแน่ มชล ได้เยลลี่ถุงจิ๋วจากคุณป้า เป็นรางวัลที่สามารถไต่ขึ้นมาได้ แค่นี้ก็กระดี๊กระด๊าถูกอกถูกใจเธอแล้ว

พอผ่านด่านคุณป้า ก็ถึงด้านบนสุดเป็นที่แคบๆ ดีนะที่มีเราแค่สามคน (อีกแล้ว) ไม่งั้นก็จะหวิวๆได้นะ เวลาปีนขึ้นที่สูงแบบนี้ทีไร ก็ชอบคิดทุกที กลัวมันจะถล่มลงมา แบบว่ากลัวมันพัง เพราะมันก็เก่าแล้วนี่นา บนหัวเรามีระฆังอยู่ห้อยอยู่ ได้แต่คิดอย่าพึ่งมาดังตอนนี้นะ เป็นได้แสบแก้วหูแน่เชียว เสีย ดายที่ท้องฟ้าไม่แจ่ม เลยอดได้รูปสวย ถ่ายรูปกันเป็นที่พอใจ ก็ได้เวลาไต่บันไดกลับ นึกเป็นห่วงคุณป้าเหมือนกัน แกคงเหงาแย่ ให้ฉันนั่งอยู่บนนี้คงกลัวแย่เลยยิ่งถ้าฝนตกลมแรงยิ่งน่ากลัว ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า ตอนลมพัดมาแรงๆรู้สึกว่ายอดมันจะไหวๆ อยู่เหมือนกัน แต่คุณป้าแกคงชินแล้วมั้ง หรืออาจชอบก็ได้เพราะสงบเงียบดียามไม่มีใครขึ้นมา

ประวัติของหอคอยจะอยู่ด้านบนด้านข้างคุณป้า


นางแบบประจำทริป


วิวด้านล่าง


วิวด้านล่าง


วิวด้านล่าง


ทางเดินขึ้นหอคอย


หลังจากไต่บันไดหอคอยลงมาโดยสวัสดิภาพ ท้องก็เริ่มร้องจ๊อกๆ ขอเพิ่มหลังหน่อย มื้อนี้เราฝากท้องกันที่เบอเก้อคิงส์ ถือเป็นการหลบละอองฝนและความหนาวไปในตัว หลังจากเรียบร้อยแล้ว เราก็มุ่งหน้าไปยังจุดหมายต่อไป นั่นคือ เดะฟุกเกอร์ไรน์ (The Fuggerei ) บ้านของผู้มีรายได้น้อย ถ้าเป็นแค่บ้านธรรมดาทั่วไปเราคงไม่ต้องถ่อสังขารไปดู แต่ที่นี่เป็นโครงการบ้านสำหรับผู้มีรายได้น้อย มีลักษณะเป็นเมืองย่อมๆเลยทีเดียว ( city within a city ) เพราะมีทั้งกำแพงล้อมรอบโดยมีทางเข้า 3 ประตู มีโบสถ์เป็นของตัวเอง มีสถานพยาบาลขนาดย่อมๆ (บ้านเลขที่ 1 ) รวมถึงร้านค้าและลานเบียร์อีกด้วย

ตามป้ายนี้ไปเลยค่ะ


โครงการนี้เริ่มขึ้นในปี 1521 โดยจาคอบ ฟุกเกอร์ไรน์ เดอะ ริช ( Jakob Fugger the Rich ) มีบ้าน 67 หลัง และอพาร์ทเมนต์ 140 ห้อง หมู่บ้านแห่งนี้ถือได้ว่าเป็นชุมชุนที่เก่าแก่ที่ สุดในโลกที่ยังหลงเหลืออยู่ ค่าเช่าก็ถูกแสนถูกแค่ 1 รินนิช คิลเดิล ( Rhinish Gulden คือหน่วยเงินในสมัยนั้น ) หรือประมาณ 0.88 ยูโร ต่อปี รวมถึงต้องปฏิบัติตามกฏของหมู่บ้านคือ ผู้เช่าต้องต้องสวดมนต์วันละสามเวลาอีกด้วย อันนี้แปลกดีนะ แต่ก็เป็นกฎที่ดีทีเดียว ฉันว่าเมืองไทยเราน่าจะมีกฎแบบนี้บ้างนะ แต่คงไม่ต้องถึงสามเวลา แค่วันละครั้งก็ยังดี เพราะเดี๋ยวนี้คนเรารู้จักบาปบุญคุณโทษน้อยลงทุกวัน ได้สวดมนต์ภาวนากันมั่งก็น่าจะดีไม่น้อย

ระหว่างทางไปเหมือนกับว่าได้สร้างอารมณ์ให้คล้อยตามไปเรื่อยๆ ด้วยว่าเป็นย่านที่ไม่ค่อยจะสวยเท่าไหร่ สองข้างทางเป็นตึกแถวเหมือนที่พบเห็นได้ในปัจจุบัน แม้จะมีสีสรร แต่ก็ดูไม่น่าไว้ใจ แต่เมื่อเดินมาถึงฟุกเกอร์ไรแล้ว ความรู้สึกก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง อาคารด้านหน้าดูขลังตามแบบอาคารสมัยเก่า มีไม้เลื้อยสีสรรสวยงามปกคลุมอยู่ ประตูโค้งด้านหน้ามองเห็นอาคารสีส้มด้านใน ทำหน้าทีเรียกให้ผู้มาเยือนต้องรีบจ่ายเงินเข้าไปชมในทันที

เห็นตึกนี้ก็ใช่เลย อย่าเดินเลยไปล่ะ


จ่ายเงินแล้วเข้าทางนี้เลย


เข้าไปแล้วก็เหมือนกับหลุดเข้าไปในหมู่บ้านย่อมๆ ลักษณะเหมือนตึกแถวสองชั้น หน้าต่างชั้นบนจะเป็นกระจกกรอบสี่เหลี่ยมสีขาว ส่วนชั้นล่างเหมือนกันแต่มีหน้าต่างทึบสีเขียวเพิ่มขึ้นมา ประตูหน้าบ้านจะเป็นสีเขียว ตัดกับสีส้มของตัวอาคาร ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นว่าหน้าบ้านแต่ละหลังมีแท่งเหล็กเรียวๆยาวๆห้อยอยู่ทุกบ้าน นั่นคือกระดิ่งหรือที่กดออดเรียกคนในบ้านนั่นเอง และถ้าสังเกตให้ดีอีก จะเห็นว่าตรงปลายของกระดิ่งแต่ะละบ้านนั้น จะมีรูปร่างแตกต่างกันไป และไม่ซ้ำกันเลย เรียกว่าออกแบบมาสำหรับแต่ละบ้านโดยเฉพาะ แน่ะ เทห์ซะไม่มี

แต่ว่าจริงๆแล้วไม่ใช่เพื่อความเทห์ แต่วัตถุประสงค์ของมันก็คือ เอาไว้คลำ ใช่แล้ว คลำจริงๆ แบบว่าตอนกลางคืน มันมืด ตอนนั้นยังไม่มีไฟตรงทางเดิน ใครกลับบ้านมืดๆ ก็ใช้วิธีคลำเจ้านี่แหละ เพื่อให้แน่ใจว่าเป็นบ้านตัวเองแน่ๆ ไม่เข้าผิดบ้าน ความคิดเข้าท่าดีมากๆเลยนะนี่ แต่ปัจุบันนี้ไม่ต้องคลำแล้ว เพราะมีไฟทางเดินเรียบร้อย

แม้ว่าจะเป็นบ้านสำหรับผู้มีรายได้น้อย แต่ก็ไม่ได้สร้างแบบชุ่ยๆหรือขอไปทีนะจะบอกให้ แต่หากสร้างด้วยความพิถีพิถันรวมถึงใส่ใจในรายละเอียดต่างด้วย เช่นห้องสุดท้ายของแต่ละแถวจะเป็นหน้าจั่วแบบขั้นบันไดที่เรียกว่า “corbie gables” ในสไตล์โกธิค ออกแบบโดยโธ มัส เครบส์ ( Thomas Krebs ) ชื่อเหมือนขนมเครป น่ากินดี อิอิ

นอกจากนั้นให้สังเกตปล่องไฟแต่ละบ้าน ก็ยังออกแบบให้ต่างกันไปในแต่ละบ้านอีกเรียกว่ามีคุณภาพเกินราคาทีเดียว ปู่ของโมสาร์ท ( Mozart ) นักดนตรีก้องโลกก็เคยอาศัยอยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน ที่บ้านเลขที่ 14 นอกจากนั้นภายในบ้านเลขที่ 13 ได้จัดเป็นพิพิธภัณฑ์แสดงประวัติและการจัดแต่งภายในบ้านให้ชมอีกด้วย ค่าเข้าชมตอนนั้นก็คนละ 4 ยูโร มาเป็นครอบครัวก็ 8 ยูโร ( ผู้ใหญ่ 2 และเด็กไม่เกิน 4 คน และไม่เกิน 18 ปี )

บรรยากาศด้านใน




บ้านหลังสุดท้ายจะเป็นหน้าจั่ว




ปลายกระดิ่งแต่ละบ้านไม่เหมือนกัน












จากบ้านคนจนเราเดินชมเมืองไปเรื่อยเปื่อยแต่ไม่สะเปะสะปะนะขอบอก หากแต่ตามลายแทงในแผนที่ แต่ก็ไม่ได้แวะทุกจุด แบบว่าตามแผนที่ก็จริงแต่ก็สุดท้ายก็ตามใจฉัน ละอองฝนก็ยังคงมีเป็นระยะๆ หนักบ้างเบาบ้าง แต่ก็ไม่ได้ทำให้เราทั้งสามย่อท้อแต่อย่างใด ยังคงจำใจเดินกันต่อ ( เพราะไม่งั้นต้องไปนั่งอุดอู้อยู่ในโรงแรม ) จนมาถึงโบสถ์ประจำเมืองที่เรียกว่า Cathedral (Dom) เป็นโบสถ์ขนาดใหญ่ที่เก่าแก่มาก สร้างขึ้น 823 ปีก่อนคริสต์กาล สูงถึง113 เมตร ยาว 40 เมตร กว้างถึง 62 เมตร

เราโชคดีที่มาถึงในเวลาที่พอเหมาะ เพราะฝนเริ่มเม็ดหนาขึ้นทุกทีๆ นอกจากจะได้ชมโบสถ์แล้วยังถือเป็นการหลบฝนไปในตัว ด้านในมีคนชมอยู่ก่อนแล้วสามสี่คน ภายในดูมืดๆทึมๆ แต่กว้างขวางใหญ่โต ความสวยพอประมาณแต่เด่นตรงกระจกสีเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับศาสนา จนฉันอดที่จะแอบถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกไม่ได้ เพราะเค้ามีป้ายห้ามถ่ายรูป ที่จริงไม่ต้องหลบก็ได้เพราะไม่มีใครเฝ้า แต่เห็นฝรั่งคนอื่นเค้าถ่ายกัน ฉันเลยเอามั่งแต่ใช้ฟังชั่นถ่ายมิวเซียมเข้าช่วย เลยไม่มีแสงแฟชลวูบวาบให้เป็นที่สังเกต แม้จะแค่นิดเดียวแต่ก็รู้สึกใจเต้นตูมตาม เค้าถึงได้บอกว่า การทำผิดแม้ไม่มีใครเห็นแต่ตัวเรานั่นแหละที่รู้ดี

ขอพักขาหน่อยค่ะ


Cathedral


ประตูทางเข้า

ด้านใน


no 462


ออกจากโบสถ์ก็บ่ายสามแล้ว ทั้งเหนื่อย ทั้งหนาว เราตั้งใจจะกลับไปนอนพักขากันที่โรงแรม แต่พอเดินวกกลับมาที่หน้าศาลาว่าการทะลุมาด้านหลัง ก็เจอกับดักรอเราอยู่ ถนนคนเดินแหล่งช๊อปปิ้งของที่นี่ ผู้คนล้านแปดมารวมกันอยู่ตรงนี้นั่นเอง จากที่ตั้งใจว่าจะกลับก็เปลี่ยนใจซะงั้น ไม่กลับกันแล้ว แต่เข้าร้านนั้นออกร้านนี้แทน ของที่นี่มีให้เลือกเยอะมาก เสื้อผ้าก็สวยๆทั้งนั้น ร้านหนังสือก็ใหญ่โต มีหนังสือให้เลือกมากมาย บาร์ทชอบเข้าร้านหนัง สือ ฉันขอแยกไปดูเสื้อผ้า มชล สองจิตสองใจ แต่ก็เลือกไปกับพ่อ เข้าล๊อคแม่เลย ฮ่าๆ ดีใจที่ลูกชอบเข้าร้านหนังสือตั้งแต่เด็ก แต่ชอบสุดๆก็ตรงที่จะได้เดินดูของแบบสบายใจไร้กังวล ช่างเป็นแม่ที่ดีเลิศจริงๆเลยตู

เดินดูของกันจนห้าโมงเย็น ฉันไม่ได้อะไร แต่บาร์ทได้เสื้อโค๊ตกันหนาวมาหนึ่งตัว ตัวที่ใส่ประจำนั้นเก่ามากแล้ว แม้จะแพงแต่ก็สวย มชลได้หนังสือมาหนึ่งเล่ม กำลังจะกลับอยู่แล้ว แต่เห็นตรงช่วงกลางๆมีถนนแยกไปทางด้านข้าง ลองเดินเข้าไปดู ก็ไปเจอกับตลาดสดเข้า โอ้โห ถูกใจฉันที่สุด สีสันสนใสมากๆ จากบรรดาร้านดอกไม้ รวมถึงแผงผักผลไม้สีสันสวยงาม ที่เยอะไม่แพ้หันก็บรรดาผลไม้อบแห้ง มีทุกชนิด ทั้งมะม่วง ส้ม กีวี สับปะรด สตรอเบอร์รี่ เรียกว่ามีทุกอย่าง ใส่ถุงพลาสติกแก้วใสไว้หลายขนาด ฉันเลือกซื้อแบบผลไม้รวมมาสองถุง คนขายใจดีแถมส้มกับกล้วยให้อย่างละสองลูกอีกแน่ะ ฉันใช้เวลาสำรวจตลาดอยู่พอสมควร อยู่นานไม่ได้ บาร์ทเริ่มไม่เป็นอยู่ไม่เป็นสุข เพราะเธอไม่ชอบเดินตลาดไม่รู้เป็นไร

ป้ายบอกสถานที่ท่องเที่ยวที่ผนัง แปลกดีมีศรชี้ลงด้วย เราไปตลาดตามป้าย Stadmarktไปค่ะ


ตลาด


ดอกไม้สีสด


ผักสดๆ เสียดายอดซื้อเพราะพักโรงแรม


ติ๊กต๊อกๆ ส้มหรือองุ่นดีล่ะ เอาสองอย่างเลย


เอาผลไม้อบแห้งด้วยแล้วกัน


ตอนนี้ท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว ก็แน่ล่ะห้าโมงกว่าแล้วนี่ เพิงจะรู้สึกเหนื่อยก็ตอนนี้นี่เอง หิวมากๆด้วย ทั้งวันมีแค่เบอร์เกอร์คิงอยู่ในท้องเท่านั้น วันนี้ตั้งใจจะกินขาหมูเยอรมันให้ได้เชียวเดินหาไปเรื่อย แต่เราอาจจะเดินผิดย่าน ไม่เห็นมีขาหมูเลย จริงๆก็อาจจะมีก็ได้ แต่ด้วยความงี่เง่าของฉัน ที่ไมได้จดชื่อมาว่าภาษาเยอรมันเขาเรียกว่าอะไร อาศัยบาร์ทก็ไม่ได้เรื่อง ทั้งๆที่พูดเยอรมันก็ได้ แต่พอถาม มันบอกไม่รู้ (เริ่มเปลี่ยนสรรพนามด้วยความกริ้ว) พยายามดูรายการอาหารที่หน้าร้านแต่ก็ไม่ได้เรื่อง

ด้วยความหนื่อยที่เดินผจญความหนาวมาทั้งวัน บวกกับความหิวจนอาจจะยัดหมูเข้าไปได้ทั้งตัว เลยตัดสินใจเข้าร้านกินด่วน ไม่กงไม่กินมันแล้วขาหมู ไว้วันหลังแล้วกัน ยังเหลืออีกตั้งหลายวัน ต้องได้กินซักวันสิน่า หันไปอุดหนุนเพื่อนร่วมทวีปเดียวกับฉัน พูดให้เก๋ไปงั้นล่ะ ก็ร้านคนจีนนี่ล่ะ รสชาติอาหารพอใช้ได้ ราคาก็ไม่แพงเท่าไหร่ เหมาะกับคนมีฐานะ (ยากจน) แบบเรา อิอิ กินกันอิ่มหนำสำราญ ก็เดินกลับที่พัก ได้ประโยชน์สองต่อ คือเป็นการย่อยอาหารไปในตัว และถือเป็นการชมเมืองในยามมืดค่ำ ทุ่มครึ่งถึงที่พัก วันนี้ถูกใจเหลือเกิน แต่ละทีที่ไปชมคนไม่เยอะ ไม่ต้องแย่งกันดู ส่วนพรุ่งนี้ตะ ลอนต่อไปที่พักแห่งสุดท้าย ใกล้จะได้เห็นปราสาทในเทพนิยายแล้วเรา


web page hit counter





Create Date : 19 มีนาคม 2553
Last Update : 19 มีนาคม 2553 5:32:17 น. 14 comments
Counter : 4707 Pageviews.

 
สวยงามมากเลยคะ
เห็นแล้วอยากไปเดินถ่ายรูปด้วยคน

ลป.ตอนนี้ยังไม่มีกำหนดอะไรคะ
ยังไงได้ข่าวแล้วจะรีบมาบอกนะคะ


โดย: C&C_BamBoo วันที่: 19 มีนาคม 2553 เวลา:6:59:31 น.  

 
ขอบคุณที่นำสถานที่สวยงาม
มาให้ชมนะคะ



โดย: มิลเม วันที่: 19 มีนาคม 2553 เวลา:8:20:37 น.  

 
Kun Jeab....thank you so much for kindness showing us such a wonderful trip. Pictures are very nice as well as the details of the trip.

I like going to the market in Europe. It is very nice and fresh.


โดย: PoomPim..TMB วันที่: 19 มีนาคม 2553 เวลา:9:46:30 น.  

 
โอเคค่า คราวนี้เห็นบล็อกย่อยแล้วค่า อิอิ


ต้นส้มฯ ไม่เรียกว่าเศร้าค่ะ เรียกว่า โคตรเศร้า 555+


โดย: สาวไกด์ใจซื่อ วันที่: 19 มีนาคม 2553 เวลา:11:08:49 น.  

 
พี่เจี๊ยบขา ตะลึงอึ้งไปด้วยคนค่ะ กับ Rococo Banquet Hall และ Goldener Saal วิจิตรมากๆ คนโบราณนี่เค้าอัจริยะจังเลยนะคะ....ยุโรปเนี่ยมีสถานที่ท่องเที่ยวสวยๆมากๆมายจริงๆ แม้กระทั่งบางเมืองที่ไม่ใช่เมืองโด่งดัง แต่เค้าก็มีของดีซ่อนอยู่เกือบทุกที่เชียว

เห็นรูปตลาดสดแล้วช๊อบชอบ ไปบ้านไหนเมืองไหน แอ๊กชอบไปเดินตลาดสดเค้าค่ะพี่ มันมีสีสันได้เห็นความเป็นอยู่ เห็นอาหารการกินของพื้นบ้าน....เห็นผักสวยๆแล้วน่าซื้อเนอะพี่เจี๊ยบ

ว่าแต่หนังสือจะออกเมื่อไหร่คะพี่


โดย: ปลาทอง9 วันที่: 19 มีนาคม 2553 เวลา:15:44:25 น.  

 
ภาพสวยเหมือนเคยค่ะพี่ .. และยังบอกได้ว่าชอบ
บ้านเค้ามากมาย ดอกไม้ปีนฝาบ้านแบบนี้ล่ะชอบมาก
ดูมันเป็นธรรมชาติดีค่ะ แต่ว่าบทจะเอามันออกจากฝาล่ะก็
เหนื่อยเล็กน้อย เหมือนต้นตีนตุ๊กแกบ้านเราอ่ะค่ะ
กว่าจะแงะออกยามไม่ต้องการทิ้งร่องรอยเอาไว้ให้ปวด
หัวและตับเล่น .. แต่ว่าสวยนะค่ะ พู่ชอบเลยล่ะค่ะ

เวลาอยู่ทางโน้นอากาศเป็นเรื่องสำคัญ จะรอให้สวย
แล้วเที่ยวได้คาดว่าจะหวังไปนิด . เพราะฉะนั้นเลยทำใจค่ะ
เหมือนกันตอนที่ไปเที่ยวเมื่อก่อนเจอฝนปรอยๆ ลงรถ
ไม่ได้ก็เดินเที่ยวเอา อิ่มเหมือนกันค่ะแตว่าภาพจะไม่ค่อย
สวยเร้ย ไม่เหมือนแบบที่พี่เจี๊ยบถ่ายนี่ล่ะค่ะ เห็นแล้ว
อยากเที่ยวอีกจ๊างเลย


แถมมีภาพตลาด เห็นแล้ว .. มาดูตลาดบ้านเราฮ่าๆ
ได้คนละอารมณ์จริงๆ ค่ะ ..


โดย: JewNid วันที่: 19 มีนาคม 2553 เวลา:17:55:47 น.  

 
สวยงามหรูหราแบบสุดๆไปเลยครับคุณเจี๊ยบ
ลวดลายในพระราชวัง เคยเห็นมีการจำลองเป็นภาพเล็กๆอยู่บนถ้วยชาแบบอังกฤษ
สนนนราคาก็แพงลิบลิ่วตามความหรูหราเลยครับ
ได้แต่มองเพราะชุดชาทรงนี้มันเหมาะที่จะวางในปราสาทราชวังมากกว่าที่จะวางในห้องรกรูหนู เอิ๊กกๆๆ

บ้านรูปทรงแบบเก๋ๆน่านั่งมองไม่เบื่อเลย
คุณเจี๊ยบโชคดีที่ซู๊ดเลยง่ะ
ที่ได้ไปสัมผัสความงดงามขนาดนี้


โดย: maczy วันที่: 21 มีนาคม 2553 เวลา:13:35:08 น.  

 
มาสองครั้งแล้ว รูปไม่ยอมขึ้น
ก็ออกไป แล้วมาใหม่ ดูๆไปอากาศหนาวมาก
เห็นบอกว่าไม่มีใครมาเดิน นอกจากเราสามคน

ผลไม้ผักหญ้า น่ากินจัง
จัดร้านดูสวยดี ตึกรามดูยิ่งใหญ่สวยงามตระการตา

ว่าจะชวนไปกินติม จะไปกับเราป่าวว้า
ก็หนาวซะขนาดนั้น แต่ถ้าไม่กินติม แวะไปดูหนุ่มๆละกัน


แอมอร


โดย: peeamp วันที่: 21 มีนาคม 2553 เวลา:15:12:19 น.  

 
ทริปวันนี้คุ้มมากๆ เลยค่ะคุณเจี๊ยบ
....สวยโคด ทั้ง Rococo Banquet Hall กับ Goldener Saal
ดีจังเลยนะคะที่เค้าอนุญาติให้ถ่ายรูปข้างในได้ด้วย
แถมโชคดีที่ไม่มีนักท่องเที่ยวอื่น(ให้เกะกะ)อีกด้วย

The Fuggerei บ้านของผู้มีรายได้น้อยเค้าดูสะอาดสะอ้านน่าอยู่นะคะ
ถ้าเป็นบ้านเราคงจะมีผ้าตากเต็มแถมด้วยกองขยะหน้าบ้านอีกต่างหาก

ตลาดสดถูกใจเป็นที่สุดเลยค่ะ
ไปไหนเจอตลาดสดแบบนี้เรียกว่าโจนเข้าใส่เหมือนกันเลยล่ะ

ชอบบ้านที่มีต้นไม้เกาะกำแพง
เคยอยากเอาตีนตุ๊กแกมาติดที่กำแพงบ้าน
แต่แม่ไม่ให้แบบแกกลัวทำให้รั้วบ้านพังอ่ะ

น้องมชลโชคดีจังนะคะ ได้เที่ยวตั้งแต่เด็ก
คุณเจี๊ยบก็โชคดีด้วยที่น้องไม่ค่อยงอแงมาก งั้นคงเดินเที่ยวได้ไม่มากแบบนี้

....ตอนเที่ยวน่ะสนุก ไม่ค่อยรู้สึกหิวเท่าไรหรอก แต่พอเที่ยวเสร็จแล้วรู้เลยค่ะว่าหิวจนยัดหมูได้ทั้งตัวเป็นยังไง 5..5...
ดีนะคะที่คนเดินด้วยไม่โดนคุณเจี๊ยบงับแทนหมู


โดย: narellan วันที่: 21 มีนาคม 2553 เวลา:22:49:11 น.  

 
- หวัดดียามดึกครับ

- รูปสวย แถมอากาศหนาวได้ใจอีกต่างหากครับ อิจฉาจังเพราะเมืองไทยอากาศและการเมืองร้อนมั๊กๆ ครับ


โดย: พี่รี่+ต๊อก วันที่: 21 มีนาคม 2553 เวลา:23:06:50 น.  

 
รูปสวยเชียวค่ะ ว่าจะขับรถไปตามเส้น Romantic Road หลายรอบแล้ว ยังไม่ได้ไปซักที ไปได้เมืองเดียวก็หมดเวลาแล้ว คราวหน้าต้องไม่พลาดแน่ค่ะ อิ อิ ขอบคุณนะคะที่เอาภาพสวย ๆ มาให้ชมกัน


โดย: Jujastar วันที่: 25 มีนาคม 2553 เวลา:9:26:28 น.  

 
สวัสดีค่ะคุณเจี๊ยบ..

ครั้งนี้มุมรูปงามมากจริงๆ...

สวยทุกรูปเลยค่ะ..รวมทั้งนางแบบตัวน้อยๆที่น่ารักซะด้วย...

ตอนเค้าเล็กๆก็ยอมเป็นนางแบบให้เราน่ะคะ
เดี๋ยวพอโตอีกหน่อยแกก็จะเริ่มเขินอาย..
ถ้าไม่มีใครมาโพสท่าเป็นเพื่อนอ่ะ...
แกจะยอมเป็นนางแบบให้เราหรือเปล่าก็ไม่รู้นะคะ..

บ้านเมืองเค้าสวยดีนะคะ ดูสงบดีด้วยนะคะ
ชอบที่มีต้นไม้เลื้อยขึ้นตามผนังสวยจังค่ะ

คุณเจี๊ยบสบายดีนะคะ


โดย: คนชุมแสง วันที่: 27 มีนาคม 2553 เวลา:0:26:44 น.  

 
กำลังจะไปเยี่ยมลูกที่เรียนอยู่ที่เมืองนี้
ได้ความรู้ก่อนเดินทางค่ะ


โดย: Upsorn IP: 110.164.73.76 วันที่: 19 มีนาคม 2557 เวลา:10:24:49 น.  

 
กำลังจะไปเยี่ยมลูกที่เรียนอยู่ที่เมืองนี้
ได้ความรู้ก่อนเดินทางค่ะ


โดย: Upsorn IP: 110.164.73.76 วันที่: 19 มีนาคม 2557 เวลา:10:24:49 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

jeab&michelle
Location :
ตอนใต้ของเนเธอร์แลนด์ Netherlands

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]






บล๊อคของคนชอบเที่ยวค่ะ พาลูกตระเวนเที่ยวไปทั่ว จนเดี๋ยวนี้ลูกก็ติดเที่ยวด้วยแล้วเหมือนกัน
หนังสือเราเองค่ะ

เที่ยวเนเธอร์แลนด์บายเจี๊ยบ

Promoot jouw pagina ook

web page hit counter
New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add jeab&michelle's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.