Fell Soul Fell Now

Fell now
do u know fell now?
now is this second.
now is this breath.
no felling in now , no agry, no greed, no misguide.
empty anything in now.
have action but not reaction.
still silent mind.melt your mind with natural.

everybody move, me not.

when we see, only see......
when we listen, only listen.....
when we smell,only smell.....(hungry 55)
when we taste, only taste.....(double ble)
when we fell, only fell....
it is direct rule that i told u for yourself.

bye bye see ya next time.




 

Create Date : 21 กันยายน 2550   
Last Update : 21 กันยายน 2550 10:45:28 น.   
Counter : 377 Pageviews.  

มายาคู่ขนาน

ทุกสิ่งเป็นเพียงมายาคู่ขนาน มีเพียงความว่างที่เป็นความจริง


นี่ก็ไม่จริง

นี่ก็ไม่

นี่กาม น่าเกลียด

ในโลกที่เรียกว่าโลกความเป็นจริงนี้ กลับมีแต่สิ่งที่ไม่จริง

ยกตัวอย่างเช่น จะรู้ได้ ไงว่าการที่คนๆ นึง พูดอะไร ออกมาเป็นความจริง ยกตัวอย่าง สุดคลาสสิค เลยละกัน "เค้ารักตัวเอง น้า" รุ้ได้ไง ว่ามันเป็นความจริง คิด คิด คิด ตามดีๆ อืมม ไม่มีทางรู้เลย ถึงแม้จะรักจริง ก็ยังเลิกรักได้

ในละครเกลียดกันแทบตาย ยั๊ง จะมารักกัน ได้ ดูซิ!!! แล้วอะไรจริง

เมื่อมองให้ได้ อย่างนี้แล้ว เราไม่จำเป็นต้องสนใจ คำพูดคนเลย สักนิด เนื่องจากเราไม่มีทางรุ้ได้เลยว่ามัน จริง หรือ เท็จ True or False (ตรรกศาสตร์ นี่หว่า) ถึงจะจริง เมื่อบวกกับปัจจัยอื่นๆ อาจจะกลับเป็น เท็จ ได้ เออ แปลก

อื้มมม งั้นทุกอย่างในด้านกลับกันล้วน ไม่จริง จึงเป็นที่มาของ

มายาคู่ขนาน




 

Create Date : 20 กันยายน 2550   
Last Update : 21 กันยายน 2550 10:43:32 น.   
Counter : 336 Pageviews.  

Everyone life is Loop

ตอนนี้จะขอพูดเรื่อง "ชีวิต"

ชีวิตของคนเราทุกคน หรือ/และ สิ่งมีชีวิตอื่นๆ (สัตว์ พืช จุลชีพ สิ่งมีชีวิตนอกโลก) ล้วนดำเนินอยู่บนกฎเดียวกัน นั่นคือ กฎแห่งกรรม (action = reaction)

กฎแห่งกรรม สำหรับผมแล้ว มันไม่ได้ซับซ้อนวุ่นวาย หรือเป็นสิ่งเข้าใจยากแต่อย่างใด มันก็แค่ Action = Reaction คุณทำอะไรไปย่อมได้รับอย่างนั้น

คุณตบหัวผู้อื่น ผู้อื่นย่อมอยากตบท่านคืน

คุณด่าผู้อื่น คุณก็ย่อมเสี่ยงที่จะถูกเค้าด่าคืน

คุณนินทาผู้อื่น คุณก็ถูกนินทาคืนได้

ทุกอย่างมันย่อมวนเวียนอยู่อย่างนั้น เป็น "LOOP" ตราบใดที่เราไม่ทำให้มันหยุด ตามกฎไตรลักษณ์ หรือ ผมจะเรียกว่ากฎธรรมดา คือ อนิจจัง - ไม่เที่ยง , ทุกขัง - เป็นทุกข์ , อนัตตา - ไม่เป็นตัวเป็นตน

ทีนี้ผมจะเจาะประเด็นว่าเราจะหยุดมันได้อย่างไร

- ดูจากสมการ action = reaction ถ้าเราจะหยุดมันได้คือ เราต้องไม่ก่อให้เกิด reaction หรือ no reaction หรือ ไม่มี action ของ loop ต่อไปนั่นเอง
- เนื่องจากทุกอย่างที่เกิดขึ้นตลอดเวลานั้น มันเป็น Loop ของเรื่องต่างๆ ต่อเนื่องกันไป บทสรุปของเรื่องหนึ่ง จะเป็น ชนวน ของอีกเรื่องหนึ่ง เนื่องๆ กันไป ไม่มีวันหยุด ดุจดัง ปฏิกิริยา friction ที่จุดประกายจากความคิดของไอสไตน์ (E= mc2)
- แล้วจะไม่ให้เกิด reaction ได้ยังไง หล่ะ คำตอบสั้นๆ ง่ายๆ คือ หยุดที่ใจ (stop at mind) เพราะถ้าไม่หยุด มันก็จะเกิด เรื่องราว ต่อเนื่องกันไม่หยุด

ทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาล สากลโลก ล้วนเคลื่อนที่เป็นวงกลม
- จักรวาล สิ้นสุดที่ไหน ไม่ต้องไปคิด เนื่องจากคิดไปก็คิดไม่ออก และไม่มีประโยชน์
- กาแล็กซี่ ระบบสุริยะ ดวงดาว ดวงอาทิตย์ โลก เคลื่อนที่เป็นวงกลม ต่อๆๆๆๆ กันไป ตามลำดับความสัมพันธ์
- ลองพิจารณา ถึงพฤติกรรม หรือ กิจวัตรของมนุษย์ หรือสัตว์ ก็ยังเป็นวงกลม ตื่น ทำงาน นอน ๆๆๆๆๆ , กินเหล้าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ , ทำบุญๆๆๆๆๆๆๆๆ ,

ด้วยความที่ทุกอย่างเคลื่อน ที่เป็นวงกลมผมจะเปรียบเทียบให้ดูให้เห็นถึง ว่ามันคืออะไร บ้างนะครับ
- การเกิดการตาย
- นิสัยของคน ทำวนไป ซ้ำมา (โดยเฉพาะนิสัยส่วนไม่ดี)

การที่เราจะสามารถหลุดออกจากกฎการเคลื่อนที่เป็นวงกลม ซึ่งมันจะไม่มีวันสิ้นสุดนี้ได้ เราต้องทำลาย วงกลม เล็กๆ แต่ละวงก่อน ยกตัวอย่างเช่น
- เลิกดื่มเหล้า
- เลิกตื่นสาย
- เลิกเที่ยวกลางคืน
- เลิกฆ่าสัตว์
- เลิกพูดคำหยาบ
- เลิกเจ้าชู้

และอะไร ต่างๆ นาๆ ที่จิตเรารับรู้ได้ว่าไม่ดี ค่อยๆ เลิกไปทีละอย่าง นี่คือหนทางในการเริ่มต้น หลุดออกจากวงกลม ขนาดใหญ่ ที่ครอบ ระบบชีวิตเราอยู่

เน้น!!! ว่าต้องเริ่มทีละอย่าง ค่อยๆ ทำ แล้วมันจะกลายเป็น สิ่งที่คุณ เป็น

ตอนนี้ฝากไว้แค่นี้ก่อนครับ




 

Create Date : 08 กันยายน 2550   
Last Update : 21 กันยายน 2550 10:43:13 น.   
Counter : 257 Pageviews.  

Methodology ธรรมะ กับ คนธรรมด๊า ธรรมดา

วันนี้ผมจะขอพูดเรื่องที่ทุกคนคิดว่าไกลตัว แต่ผมกลับคิดว่าเป็น(be) เรื่องใกล้ตัวเกินกว่าที่จะละเลยได้ครับ โดยผมจะเขียนเล่า ผมใช้คำว่าเล่าผ่านประสบการณ์ การอ่านและการใช้ชีวิตของผมกอปรกับการสังเคราะห์เยี่ยงมนุษย์ธรรมดาคนนึง

ธรรมะคืออะไร (อืมคืออะไรหล่ะ)
คุณคิดว่า คำว่า ธรรมะสำหรับคุณคืออะไรครับ ผมจะอธิบายให้ฟังง่ายนะครับ

ธรรมะ ที่มาคือ "ธรรมชาติ" (Real Natural)

ธรรมะ เป็นหลักการที่ (พยายาม) อธิบาย "ธรรมชาติ" ให้ "คน" (Human) เข้าใจ ระบอบ ระเบียบ ระบบ รูปแบบ สัจจะ คุณลักษณะ กฎ (Rule) เพื่อจะให้ "คน" ดำเนินชีวิต ให้สอดคล้อง รูปแบบ ของธรรมชาติ

โดยการที่คน ดำเนินชีวิตสอดคล้องกับ ระบอบ ระเบียบ ของ ธรรมชาติ เรียกเป็นภาษาที่เข้าใจ โดยคนทั่วไป ว่า อยู่ใน "ศีล" ใน "ธรรม" อันที่จริงก็คือการ ใช้ชีวิตแบบธรรมชาติ เพราะ

ศีล แปลว่า "ธรรมดา"

ธรรมดา อย่างไร ก็ธรรมดา แบบไม่ผิดธรรมชาติ (งง เนอะ แต่ลองคิดตามครับ)

โดยแนวคิดข้อนี้ สามารถนำไปเชื่อมโยงกับแนวคิดหลัก (Main Concept) ของศาสนาพุทธได้ครับ นั่นคือ

"โอวาทปาฏิโมกข์"

แล้ว โอวาทปกฏิโมกข์ พูดถึงอะไรหล่ะครับ พูดถึง เรื่อง (แค่) 3 เรื่อง ดังนี้
1. ทำความดี (กุศล)
2. ไม่ทำความชั่ว (อกุศล)
3. ทำจิตใจให้ผ่องใส

มีแค่นี้หล่ะครับ หลักการ ซึ่งเป็นแก่นจริงๆ Main Concept จริงๆ ไม่มีอะไรมากกว่านี้ ทำได้แค่นี้ จะไม่ผิดศีล เลย

ผมจะ (ลอง-try) ตีความให้ฟังครับ
กุศล คือ การไม่เบียดเบียนตนเอง และ ผู้อื่นทั้งกาย วาจา และใจ
อกุศล คือ การเบียดเบียนตนเอง และผู้อื่นทั้ง กายวาจา และใจ
จิตใจผ่องใส คือ จิตใจที่ปราศจาค กิเลส (โลภ โกรธ หลง)

จาก โอวาทปาฏิโมกข์ เราจะเห็นว่านี่แหล่ะ คือหลักการธรรมชาติ นั่นเอง ที่จริงก็สามารถนำไปเชื่อม โยงกับกฎฟิสิกส์ ข้อนึงได้ นั่นคือ

E = mc(square) <--> นามธรรม = รูปธรรม
ACTION = REACTION

ซึ่งผมเห็นกฎข้อนี้ ผมก็นึงถึง กฎแห่งกรรมครับ ใครทำอะไร ย่อมได้รับเช่นนั้น เป็นการถ่ายเท พลังงาน ตามธรรมชาติ ไม่ใช่ เรื่อง ลึกลับ ซ่อนเร้น แต่อย่างใด ไม่ใช่ ความงมงาย แต่อย่างใด

สรุปเรื่องธรรมะ กับ ธรรมชาติ นะครับ

"ธรรมะ" พยายาม อธิบาย "ธรรมชาติ" โดยบอกเล่าผ่านเรื่องราวอัน "ธรรมดา" (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) ของมัน

ดังนั้น ถ้าเข้าใจถึงความเป็นจริงนี้ได้แล้ว เราไม่จำเป็นต้องขัดแย้งกันในแง่ของ "ความเชื่อ" (Believe) เชิงศาสนาครับ

เพราะถ้าเรามอง "ศาสนา" เป็นเพียง "ความเชื่อ" มันจะเกิดความขัดแย้ง

แต่เราควรมอง ศาสนา เป็นสื่อที่จะทำให้เรา "ดำเนินชีวิต" ได้อย่างสอดคล้องกับ "ธรรมชาติ" ซึ่งมันเป็นเรื่อง "ธรรมดา" ซึ่งนั่นแหล่ะ "ธรรมะ"

ก่อนจากกันครับผมมีวิธีคิดน่าสนใจอันนึงมาฝากให้ทุกคนคิด

หลายๆ คนอาจจะเคย นั่งถกเถียงกับ เพื่อนๆ นะครับว่า "ตายไปจะเกิดใหม่รึเปล่า" หลังจากที่ผมศึกษา และ อ่านและสังเคราะห์ ผมพบความจริงข้อนี้ว่า "ไม่มีประโยชน์ หรือเป็นประเด็นที่น่าจะนำมาเถียงกันได้" เนื่องจาก แม่ใคร หรือ ใคร จะคิดถูกหรือ ผิด หรือใครจะเป็นคน เถียงชนะ "สัจจะ ยังคงเป็นสัจจะ ธรรมชาติ ยังคงอยู่ สิ่งที่จริง ก็เพียงแค่ สัจจะในธรรมชาติเท่านั้น เถียงไปก็ไม่ทำให้กฎเปลี่ยนครับ"

วันนี้ขอจบไว้เพียงแค่นี้ก่อนครับ

ปล. แสดงความคิดได้ครับผม ผมก็เพียงเขียน จากความเข้าใจของผม ไม่ได้ต้องการให้เป็นปมหรือ ประเด็น หรือข้อขัดแจ้ง ของผู้ใดทั้งสิ้น




 

Create Date : 06 กันยายน 2550   
Last Update : 21 กันยายน 2550 10:43:55 น.   
Counter : 419 Pageviews.  


tanaso
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add tanaso's blog to your web]