The future is the secret...

Malaysia 2009: สงกรานต์ เที่ยวมะละกา จ้า


สงกรานต์ที่ผ่านมา ก็เหมือนทุกๆปี บ้านเราหนีสงครามน้ำ แอบไปเที่ยวไกลๆอีกแล้ว


ปีนี้เราไปเที่ยว มะละกา ใน มาเลเซียกันค่ะ .............


ใครไปเที่ยวมาเลก็จะนึงถึงกันแต่กัวลาลัมเปอร์หรือเก็นติ้งกันเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากบ้านเราไม่เที่ยวเหมือนชาวบ้าน


ไม่ชอบเมืองใหม่ แต่ชอบเที่ยวที่ๆมีประวัติศาสตร์ให้ศึกษาชื่นชม หรือไม่ก็ไปแนวธรรมชาติไปเลยมากกว่า


มะละกา ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของคาบสมุทรมลายู ชื่อ มะละกาเป็นทั้งชื่อ เมือง และ ชื่อรัฐ ค่ะ


มะละกา เป็นเมืองที่เรียกว่า Multicultural city เนื่องจากเป็นเมืองท่าเก่าตั้งขึ้นตั้งแต่ คศ 14 ตามตำนานเค้าว่า (ใครว่าSmiley) แหล่งรวมผู้คนและวัฒนธรรมผสมผสาน ทั้ง มาเล จีน อินเดีย โปรตุเกสฮอลันดา (ดัชท์ หรือ เนเธอแลนด์ นั่นเอง) มะละกา ตกเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งอั้งม่อที่กล่าวมานี้ในยุคล่าอาณานิคม จนมาเลเซียประกาศเอกราชก็ประกาศที่ มะละกา นี่เองค่ะSmiley


พล่ามมามากมาย เดี๋ยวจะเล่าเรื่อง ทริปหฤหรรษ์ นี้ให้ฟังค่ะ


Smiley ก่อนอื่นเลย ทริปนี้เป็นปริปขับรถเอง เน้นกินและชมบ้านเมืองเป็นหลัก เลยมีแต่รูปของกินๆๆๆ ใครกลัวเลี่ยนก็ทำใจหน่อยนะฮะ


แผนการเดินทาง จะเรียกว่ามีก็ไม่ค่อยจะได้เพราะเราไม่ได้แพลนว่าจะนอนไหนกี่คืนๆ แต่เอาแค่ว่าไปถึงมะละกาแล้วกลับเท่านั้นเองSmiley


บ้านเรา พ่อแม่ ลูกสาว สอง ออกเดินทางจากหาดใหญ่ตั้งแต่ 10 โมง ไปถึงด่านที่สะเดาราวๆเที่ยง เนื่องจากเสียเวลารอรถอยู่


ไปถึงแล้วจิเป็นลม รถมาก คนมากมายมหาศาล เต็มด่าน เชื่อแล้วว่าด่านช่วงเทศกาลเป็นด่านนรกจริงๆ



ผ่านด่านไทยมาได้ ก็มีป้าแต้ม เอารถตู้มารับ นี่เป็นสภาพบรรยากาศด่าน ฝั่งมาเล ห่างจากด่านไทยราวๆ 1 กม ได้มั้ง


หลังจากฝ่าด่านได้ ก็เป็นเวลาราวๆ4 โมงเย็นได้แล้ว เราก็ไปกินข้าวบ้านป้าแต้มในมาเลกัน ทางไปก็บรรยากาศบ้านเรานี่เอง


มีสวนยางมากมาย



บ้านป้าสีชมพูสดใส ไสตล์มุสลิม ป้าเป็นพี่สาวของพี่ที่ร้าน แต่งงานกับคนมาเลย์มาได้ 20 กว่าปีแล้ว



เจ้า made in malaysia คันนี้แหละจะพาเราเที่ยว สภาพโบราณพอได้ พวกฟังก์ชั่นต่างๆ ไม่ค่อยดีแล้ว แต่เครื่องยนต์ยัง ok อยู่


เช่าที่เมือง จิตรา เมืองชายแดน ที่นี่หารถใหม่ๆไม่ค่อยมี



กินข้าวเสร็จออกจากบ้านป้าก็เล่นเอาเย็นแล้ว ขึ้นทางด่วนโลด ถนนดีมาก เรียบกริบ


ถ้าผ่านเมือง จิตรา แล้วจะเจอที่เก็บตังค์ทางด่วน ซึ่งเราต้องจ่ายเรื่อยๆ ไปกลับ มะละกา ก็เกือบๆ 2000Smiley


เรามุ่งหน้าสู่เมือง อิโป เป็นทางผ่านแวะพัก 1 คืน อิโปตั้งอยู่ในอีกรัฐนึง คือ เปรัก



เรามาถึง อิโป (Ipoh) ก็เกือบๆ สามทุ่ม เพราะมัวหลงทางอยู่ครึ่งชมก่อนเข้าทางด่วน


อิโป เป็นเมืองใหญ่อันดับสามของประเทศ มีคนจีนเยอะ ที่นี่รุ่งเรืองเพราะเหมืองแร่เมื่อกาลก่อน ในอิโปมีพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับแร่ด้วย 


เสียดายเราไปถึงค่ำแล้ว พรุ่งนี้ต้องเดินทางต่อเลยอด


มีเรื่องนึงที่ประทับใจในประเทศนี้ ก็คือแทบทุกเมืองจะมีพิพิธภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับท้องถิ่นนั้นๆ ราคาก็ไม่ได้แยกสำหรับต่างชาติ เลยไม่ได้แพงโหดเหมือนบ้านเรา คนละ 20- 50 บาท เท่านั้นเอง


เราขับวนไปมั่วๆ ในเมือง เพราะดูแผนที่ไม่ทัน เข้าไปในดง รร เจอ รร หน้าตาพอใช้ เลยเข้าไปถามดู ราคา 89 เหรียญ ชื่อ โรงแรม Grand view Hotel พนักงานก็ลิ้นแบบแขก พูดรัวมาก


ปล เราเนื่องในฐานะที่ภาษาอังกฤษแข็งแรงที่สุดในบ้านเลยเป็น นาวิเกเตอร์ของทริปและเป็นล่ามด้วย


(ตอนเราไป เหรียญมาเล หรือ ริงกิต ก็ราคาราวๆ9.6 บาทไทย เราเอาเข้าใจง่ายก็คูณสิบไปเลย)


เข้า รร เสร็จก็ไปกินข้าว เห็นภัตตาคารจีนน่าลองใกล้ รร เลยบุกเข้าไป ถึง ตกใจ นึกว่าเค้าเลี้ยงฉลองอะไรกัน เพราะคนเยอะมาก เสียงข้างในดังมากๆ เหมือนคนเมาทะเลาะกัน ปรากฎว่าวันที่เราไปป็นวันเสาร์ แล้วดันตรงกับวันเกิดใครหลายคนที่มาจัดเลี้ยงที่นี่  มื้อนี้ซาบซึ้งถึงธรรมชาติของคนจีนเลย ว่า ฉาวแบบจีน เป็นยังไง


เข้าไปถึง ตามสไตล์ภัตตาคารจีน เค้าก็แจกอุปกรณ์การกินและของกินเล่น รวมทั้งผ้าเย็นซึ่งเราไม่เคยใช้เลยตลอดทุกมื้อ



การกินมื้อแรก มั่วมากๆ เพราะพนักงานพูดอังกฤษ แทบไม่ได้ เจ๊จะจีนอย่างเดียว เราก็สั่งหลำๆไปตามเมนู (ภาษาใต้ แปลว่า มั่ว) ปรากฎว่า


ได้กุ้งชุบแป้งทอด แกงจืด และ ไก่นึ่งซีอิ้วใส่ขิงค่ะ


รสชาติใช้ได้ โดยเฉพาะแกงจืด ไม่จืด แต่กลมกล่อมมากๆ ใส่เครื่องเยอะ


โดนไป 680 บาท




ยามเช้าที่อิโป พนักงาน รร บอกว่ามี morning market ทุกเช้าวัน อาทิตย์ เราโชคดีที่มาตรงพอดี



เราก็นึกว่าเค้าจะขายของกิน ที่ไหนได้ ขายพวกของเก่า ของมือสอง ถึงมือร้อย พ่อชอบมากแต่ก็ไม่ได้ซื้ออะไร ส่วนเราซื้อ หนังสือเรียนชีววิทยาสำหรับเด็กให้น้อง 1 เล่ม ไว้อ่านภาษาอังกิดเก่งเมื่อไรค่อยอ่าน (ตอนนี้ เธอก็อ่านได้หน่อยๆ น้องเราเพิ่ง ป 4 เอง)



กองทัพเสื้อแดง ยึดพาดหัวหนังสือพิมพ์ทุกฉบับในเมือง



เรากินเช้ากันที่ หน้า รร นี่แหละ อะไรๆก็อยู่แถวนี้เพราะเป็นเขตกลางเมืองพอดี เราชอบ แกงราดข้าวที่เค้าห่อมาขาย โรตีแกง สามแม่ลูกก็ชอบ แต่พ่อไม่ชอบเลย




กินเช้าเสร็จก็ออกเดินทางต่อ เห็นฝูงตึกในกัวลาลัมเปอร์ (KL) ไกลๆ เห็นยอดตึดแฝดเล้กเท่าฝ่ามือ แวบเดียว เราไม่แวะ kl แต่จะไปมะละกาเลย



ไปถึง มะละกา ก็ราวๆบ่ายสาม มีเรื่องระทึกขวัญ คือ เราแยกจากทางด่วนเข้าเส้นทางหลวง 19 แล้วหาปั้มน้ำมันไม่เจอ ที่จริงตรงปากทางมีอยู่แห่งนึงแต่พ่อไม่แวะเพราะอยู่อีกด้านของถนน เราก็นั่งลุ้นกันตลอดทาง ขับมาได้ไกลหลายสิบกิโลด้วย น้ำมันขอดก้นถังแล้ว พอเจอปั๊มก็แวะทันที


การเติมน้ำมันที่นี่ก็ต้องไปจ่ายตังที่เคาน์เตอร์แล้วมาเติมเอง คนขายพูดอังกิดได้มั่งไม่ได้มั่ง เราก็ 30 ริงกิตโลด เสียวอย่างเดียวคือกลัวไปเติมเอาดีเซลเข้าน่ะสิ


ที่มะละกา เราวนๆหา รร เจอแห่งนึงไม่น่าจะแพงมากเลยเข้าไปถาม ราคาเท่าเมื่อคืนคือ 89 เหรียญ เราขอเตียงพิเศษ เพิ่งอีก 20 เหรียญ ชื่อ


รร select star ค่ะ ที่จริงมี รร สวยๆที่เค้าเอาตึกเก่ามาทำด้วย ชื่อ รร บาบ๋า และ พูริ บนถนนยองเกอร์ ย่านท่องเที่ยว ใครสนใจก็ติดต่อดูราคาไม่แพงเท่าไร ที่จริงก็อยากไปนอนนั่น แต่พ่อเหนื่อยแล้วเลยเอาง่ายไว้ก่อน


สภาพเมือง เฉอะแฉะไปด้วยฝน ที่ถนนยองเกอร์ หรือ ฮังเชบัต นี้เป็นถนนคนเดินที่เค้าจะปิดถนนกลางคืน เราไปตอนเค้ายังจัดร้านอยู่



อาหารต้องกินในมะละกา นี่เลย ต้องข้าวมันไก่ก้อนกลม ร้านฟอโมซา เค้าจะเอาข้าวมันมาปั้นเป็นก้อนกลมๆ กินกับไก่ต้มซีอิ้ว


รูปร่างหน้าตาแปลกดีแต่เราว่าจืดไปหน่อย ข้าวมันไก่เบตง แซบกว่า เราสั่งเต้าหู้ หมูย่าง ห่อหมกปลา และ แกงจืดลูกชิ้นด้วย เต้าหู้อร่อยมาก


ร้านนี้โด่งดังที่สุดในเมือง มีหลายสาขา แต่งร้านแบบจีนๆ แดงได้ใจ โดนไป 500 กว่าบาท ไม่แพงๆ





รุ่งเช้าเราไปเดินกันที่ ดัทช์สแควร์และเยี่ยมเยียนมิวเซียมทั้งหลายรอบเนินเขาเซนต์ปอล


 


ก่อนถึงย่านสีแดง เราจอดรถที่ริมแม่น้ำ ผ่านโบสถเซนต์ ฟรังซิส เซเวียร์ ซึ่งเป็นโบสถ์ที่มีประวัติยาวนานเหมือนกัน สร้างใน ปี 1849 โดยคณะฑูตฝรั่งเศส ซึ่งสร้างเพื่อ อุทิศ ถวายแด่ เซนต์ ฟรังซิส เซเวียร์ ผู้เผยแพร่ศาสนาคริสนต์ในดินแดนแถบนี้ ดูยังไงๆโบสถ์ก็เอียง ว่าไหม



ดัทซ์สแคว์ เป็นจัตุรัสเล็กๆ ที่ตึกรอบๆทาสีแดงทั้งหมด รวมถึงย่านตึกแดงที่อยู่ถัดกันด้วย มีน้ำพุ หอนาฬิกา โบสถ์คริสมะละกา


ย่านนี้เป็นศูนย์กลางของการปกครองสมัยที่ ฮอลันดา ครองมะละกาตลอดช่วง 154 ปี เสาน้ำพุสร้างโดยอังกฤษ ซึ่งเค้าบอกว่าเป็นหลักฐาน


เพียงอย่างเดียวของอังกฤษที่ทิ้งไว้ที่นี่ (แต่เราว่ามีอีกอย่างก็คือภาษาอังกฤษนั่นเอง)




โบสถ์คริส มะละกา สร้างโดย ฮอลันดา เป็น โปรแตสแตนท์ ตามฮอลันดา ต่อมาข่าวว่าเมื่ออังกฤษมาครองที่นี่เลยเปลี่ยนเป็นแองกลิกัน


เราไปถึงโบสถ์ยังไม่เปิด แต่พอดีหลวงพ่อผู้ดูแลเดินมาพอดี ท่านเป็นอินเดีย พูดอังกิดเป็นไฟ ใจดีมากๆ ท่านเปิดโบสถ์ให้เราเข้าไป แล้วก็อธิษฐานให้พวกเราด้วย พ่อก็ทำเนียนรับพรไปตามเรื่อง ขำมาก ภายในไม่ให้ถ่ายรูป น่าเสียดายมาก เพราะมีหลายๆอย่างที่น่าสนใจ ทั้งภาพ the last supper ใครวาดก็ไม่รู้ แต่โบราณแล้ว พื้นโบสถ์เป็นหินสลัก ซึ่งด้านล่างเป็นที่ฝังศพเก่าแก่ของชาวดัชท์ ม้านั่งโบราณ และเสาโบสถ์เค้าว่านำเข้าจากบอร์เนียวตั้งกะยุคโน้น



หลังจากออกจากโบสถ์ เราก็ไปเดินชมมิวเซียม มีเป็นสิบอาคารเลย เดินเหนื่อยมาก เอารูปมาลงเฉพาะบางอันนะ


ออ ที่จริงมีมิวเซียมที่เค้าทำเป็นรูปเรือของชาวดัชท์ ประมาณว่าสร้างเรือจากไม้ขึ้นมา 1 ลำ เอามาตั้งบนบกแล้วทำเป็นมิวเซียม


ข้างในก็จำลองสภาพเรือแล้วก็มีนิทรรศการต่างๆ ลงทุนๆ เราไม่ได้เอารูปมาอยู่ในกล้องแม่ เสียดายจัง


อันนี้เป็นรูปสลักของ เจิ้งเหอ แม่ทัพเรือของจีนอันเกรียงไกรที่เดินทางร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำไปทั่วเอเชีย แอฟริกา ท่านมาแวะที่มะละกาหลายครั้ง


เป็นธรรมดาของคนจีน ใครเก่งเป็นตำนานก็ยกย่องเป็นเทพเจ้า ชาวจีนเรียกท่านว่า ซำปอกง (เมืองไทยเราก็มีศาลนะ)



โบสถ์ เซนต์ปอล ตั้งอยู่บนเนินเขาเซนต์ปอล ภายในมีหินสลักเป็นป้ายหน้าหลุมศพตั้งอยู่ เป็นโบสถ์ที่สร้างโดยโปรตุเกส



นักบุญ หรือ เซนต์ ฟรังซิส เซเวียร์ พ่อเราเป็นคนถ่ายรูปนี้ ถ่ายได้แนวมาก



สภาพบ้านเรือนริมแม่น้ำมะละกา



ที่จริงถ่ายรูปมาเยอะกว่านี้แต่เอาลงไม่ไหว


หลังจากเที่ยวจนเหนื่อยแล้วเราก็ออกจากมะละกา ไปนอนที่อิโปอีก1 คืน


ได้กินที่ภัตตาคารจีนอีกตามเคย แต่เปลี่ยนที่  (สังเกตว่า คำบรรยายสั้งลง เริ่มอัพบลอกไม่ไหวแล้ว หิว จ้าก )



ข้าวผัด ไก่นึ่ง ผัดปลาและหมู อร่อยมาก



คืนสุดท้ายเราไปนอนกันที่ปีนัง เพื่อไปกินอาหารอินเดียร้านนี้โดยเฉพาะ อร่อย แปลก เจ้าของใจดี ชวนคุยกันหลายเรื่องน่ารักมากๆ เราเคยมาเมื่อปีที่แล้วเค้าจำได้ด้วย



 


เครื่องคอมเริ่มรวน เอาเป็นว่าอัพแค่นี้แล้วกันค่ะ เรื่องราวยาวไปหน่อยคงไม่เบื่อกันนะคะ


ใครสนใจเที่ยวแบบขับรถเองที่มาเล ไม่ยาก แค่ทำตามขั้นตอน กฎหมายให้ถูกต้อง มีแผนที่ในมือไม่ต้องกลัวค่ะ ถึงเป็นชาวมุสลิมหรืออินเดียหน้าตาดุ แต่จริงๆแล้วเค้าใจดีกันมากๆเลยค่ะSmiley


ไปแล้ว บายๆๆ






Free TextEditor




 

Create Date : 19 เมษายน 2552   
Last Update : 19 เมษายน 2552 17:19:12 น.   
Counter : 1422 Pageviews.  

ไปอบรมที่บางขุนเทียน+เพื่อนนานาชาติ ใครรู้มั่งว่ากรุงเทพติดทะเล!2009


เอาเป็นว่าเป็นการเล่าเรื่องประกอบรูปก็แล้วกัน


เราได้มีโอกาส(ฟรี) ไปอบรมการเขียนเชิงวิทยาศาสตร์ และ การวิเคราะห์สถิติที่ ม พระจอมเกล้าธนบุรี บางขุนเทียน


งานนี้มีนศ นานาชาติมาร่วมด้วย ส่วนใหญ่ก็มาจาก อาเซียน เรานี่เอง และก็ชาวชมพูทวีป


มีวิทยากรเป็นชาวนิวซีแลนด์ พูดเร็วมาก ฟังไม่ทัน


ถ่ายรูปมาด้วยแต่ยังไม่อัพ อยู่ในกล้องชาวบ้าน เอารูปคุณชายตอนพรีเซนส์งานมาขึ้นก่อนแล้วกัน อิอิ



เราหลอกล่อเพื่อนๆ ไปกินซีฟู้ดกัน เดินทางด้วยเท้าประมาณสองกิโลครึ่ง Smileyก่อนไปก็ถ่ายกะป้ายซะหน่อย



โชคดีเจอรถสองแถวใจดี พาไปส่งที่ร้าน (ฟรี) เราไม่รู้หรอกว่าตอนแรกจะฟรีไหม เห็นเค้าพยักหน้าก็ขึ้นๆตามไป ตอนท้ายเราบอกเค้าว่าขอบคุณมากนะคะ ที่มาส่ง เค้าก็ไม่รู้จะเก็บตังยังไง ฮา....



กินกันเฮฮา สนั่นลั่นทุ่งมากๆ เม้าท์แตกสุดๆ ดีใจที่เพื่อนๆบอกว่า มื้อนี้อร่อยมาก ราคาถูก ชอบๆ



กินเสร็จไม่อยู่เฉย ชาวอินเดียวก็เต้นแบบแขกประกอบเพลงลูกทุ่งไทย ให้ได้เฮฮา โชคดีที่ทั้งร้านมีเราโต๊ะเดียว ฮี่ๆๆๆ



บรรยากาศในห้องเรียน สองหนุ่มนี่ตั้งใจฟังมาก... Smiley จริงหรือเปล่าเนี่ย



โชว์บรรยากาศ ในห้อง เอ ส่วนมากเป็นผู้ชายแฮะ...



ก่อนหน้านี้เราไปประชุมเสนอผลงานที่เชียงใหม่ ตรงกับวาเลนไทน์พอดี ก็ได้เจ้าช่อนี้มา .. อิอิSmiley



เราไปเที่ยว ถนนคนเดินกัน ชอปกระหน่ำมาก หนุกหนาน



ก่อนกลับหาดใหญ่ เราไปร้องเกะกับเพื่อนๆ


แว้ก ลืมกลับรูปอะSmiley



ถึงหาดใหญ่โดยสวัสดิภาพ ฮิ้ว...


 


 


 






Free TextEditor




 

Create Date : 14 มีนาคม 2552   
Last Update : 14 มีนาคม 2552 23:22:42 น.   
Counter : 670 Pageviews.  

ตรัง-ราชบุรี มกรา52 : กิน(ไม่)หรู (แต่อร่อย) อยุ่สบาย(กระเป๋า) ภาค 3


น้ำตาลมะพร้าว เป็นก้อนๆ สวยงามน่ากิน


เดือดปุดๆ น่าจะร้อนมากๆๆ


ตอนกำลังจะกลับ เรารีเควสจะกินมะเฟือง เพราะเห็นแวบๆเรียกไม่ทัน พี่คนขับเลยเรียกอีกเจ้ามา น่ากินมาก น้ำลายไหล


เรากินเป็นอยู่คนเดียวทั้งบ้าน แต่พอแม่กับน้องได้ชิมก็ชอบ ปลื้มค่ะ



ชอปกระหน่ำได้ที่แล้วเราก็โคจรต่อไป เราเปิดแผนที่ google earth หาทางลัดจากตลาดน้ำไปเพขรเกษม หลงไป 2 รอบ แต่ก็โผล่ออกมาได้


ถึงจะดูภาพจริงมาทางอากาศแต่เวลาดูของจริงนี่คนละเรื่องกันเลย ออกมาได้แล้วเลยหาที่เที่ยวต่อ พ่ออยากไป อ สวนผึ้ง แต่เราว่าไม่มีไร มีแต่ป่า (ซึ่งเราเที่ยวมามากแล้ว) เลยไปอุทยานหุ่นขี้ผึ้งสยามกัน ถามคนแถวนั้นเค้าว่า
อยู่ที่ อ บางแพ ซึ่งปรากฎว่าใกล้ตลาดน้ำนิดเดียว กลายเป็น google earth ของเราเสียเปล่าไปงั้น


ข้างในเป็นอุทยานจริงๆ คือมีตึกและสิ่งปลูกสร้างอยู่ท่ามกลางสวน เดินสบาย ห้องน้ำสวยสะอาด มีเพลงให้ฟังที่ทางเดินโดยลำโพงที่ฝังอยู่ที่ท่อนไม้(ปลอม) ในตึกแรก ให้ชมเฉพาะชั้น 1 มีรูปบุคคลสำคัญของโลกหลายคน


ท่าประธานโฮจิมินห์ เวียดนาม



ประธานเหมาและท่านเติ้ง



คุณสืบ นาคะเสถียร



มีเรือนไทยของภาคต่างๆ



บ้านเราเรียกหม้อเขียว



คุณป้าคนนี้คือใครนะ มานั่งทำอะไรตรงนี้ เอ๊ะ....



ตู้เย็นโบราณ คลาสสิก



ป้ายนี่ติดอยู่ที่เครื่องฝัดข้าว ชื่อคนแนวแขกแต่มีอักษรเป็นจีน


 



ออกจากอุทยาน เราก็ไปที่พักซึ่งจองไว้แล้ว


เป็นรีสอร์ท ที่อยู่ใกล้ รร ที่น้องไปแข่ง สภาพกันดารมาก ดีที่ราคาไม่แพงและหนาวสะใจ ชื่อ ดรากอนฮิลล์ เจ้าของน่าจะเป็นเครือ cp นะ แต่ทำไมมันดูโทรมๆจังก็ไม่รู้ จองไว้ 1 หลัง 2 ห้อง 1200 สะอาดดี



สภาพทางเข้าทุรกันดาร


 



เนื่องจากสภาพ รีสอร์ทเป็นเช่นนี้เราเลยตัดสินใจไปกินเย็นกันที่ริมแม่กลอง


เลี้ยวแยก ธนบุรี -ปากท่อ ไปทางสมุทรสงคราม ตรงคอสะพานข้ามแม่กลองมีร้านนี้ตั้งอยู่ ร้าน จินดา อาหารทะเล


 



สภาพรวมๆก็สะอาดดี



ต้มยำซีฟูด และยำเอ็นหอย (กล้ามเนื้อยึดเปลือกหอยเชลล์) แซบจริง



ปลาทูนึ่งเค็มๆใส่ขิง มีชื่อเรียกเฉพาะด้วยแต่จำไม่ได้ อร่อยๆๆ



พลาดไม่ได้ หอยหลอดผัดฉ่า



งานนี้ค่าเสียหาย 770 บาทเองโฮะๆๆๆๆ


กินเสร็จก็กลับที่พัก คืนนั้นหนาวมากๆ เราเชื่อว่ามันต่ำกว่า 10 องศาแน่นอน เสียดายที่ไม่เอาเทอโมมิเตอร์ไปนะ


วันต่อมาน้องก็ไปแข่งขัน กินข้าวเช้าและเที่ยงที่ รร กัน เพราะ รร อยู่ในถิ่นทุรกันดาร บ้านที่ใกล้ที่สุดน่าจะห่างไปซัก 2 กิโล มั้ง ป่าวเว่อ


มันห่างจากเพชรเกษมและตัวเมืองประมาณ 30 กิโล


ประกาศผลสอบตอนบ่ายโมง น้องสาวเราก็ทำได้ดีตามสมควร แต่ก็ไม่เข้ารอบ (เธอเพิ่งอยู่ ป4 ขณะที่เด็กคนอื่น ป6 ไม่รู้ รร คิดยังไงให้เป็นตัวแทนไปแข่งนะ แต่เราก็ภูมิใจในตัวน้องเรานะ) น้องไม่เครียด แค่เสียดายหน่อยๆ เป็นคุณสมบัติอันดีเลิศของน้องเรา (ไว้จะเม้าท์เรื่องน้องสาวคนนี้ให้ฟังวันหลัง) จากนั้นเราก็ตัดสินใจเดินทางกลับกันเลย แวะที่เพชรบุรี ซื้อของในตัวเมือง แล้วแน่วไปยังชุมพร หมายต่อไป


ที่จริงอยากจะไปพักที่ชุมพรคาบาน่า เผอิญว่าห้องเต็ม เลยไปตาบเอาดาบหน้าโดยที่เดาๆกันว่าหาดเดียวกัน ไม่น่าจะมีแค่รีสอร์ทเดียว (วะ) แล้วเราก็แยกจากแสงไฟบนถนนเพชรเกษมไปสู่ทางมืดมิดราวๆ18 กิโลสู่อ่าวทุ่งวัวแล่น


รถวิ่งไปนานมาก ไม่เห็นป้ายโฆษรารีสอร์ทซักอัน ชักใจไม่ดี ลงไปถามทางชาวบ้าน ได้ความว่ามีรีสอร์ทมากมาย ไปต่อเถอะ


แล้วเราก็เจอเพชรในตม เป็นรีสอร์ทเล็กๆ ชื่อ ตะวันรีสอร์ท ทางเข้าไม่สวยเท่าไร แต่มีซีฟู้ด และห้องพัก กว้าง สะอาด มากกกกกก ห้องน้ำหรูอีกต่างหาก ชอบจริงๆ แถมเบอร์โทรช่วยโฆษณาให้เลย 077 560011



นายแบบนุ่งผ้าชุบ (ผ้าขะม้า ) จ้ากกกก




ออกจากรีสอร์ทด้วยความประทับใจ ไปกินข้าวในเมืองชุมพร ไม่ได้ถ่ายรูปมา จำชื่อร้านไม่ได้อีก เห้อ


แล้วเราก็กลับ โดยไปทางเส้นเลียบอันดามัน (ระนอง-พังงา-กระบี่-ตรัง) เป็นถนนเพชรเกษมเดิม


ระหว่างทางเจอของดีเข้า อะไรเอ่ย...



นี่เราอยู่บนบกหรือในทะเลกันเนี่ย ฮ้อยยยย ทำไมมีเรีอมาวิ่งบนนี้ได้หว่า



แล้วท่านพ่อก็ไขปริศนาให้ฟังว่า เค้าทำกันแบบนี้ทุกปีแหละลูกเอ้ย  ในยามคลื่นลมฝั่งอ่าวไทยรุนแรงช่วงมรสุม ออก/เหนือ เค้าก็ย้ายเรือข้ามคาบสมุทรกันแบบนี้  เมื่อช่วงมรสุม ตก/ใต้มาเยือน ก็ย้ายเรือกลับ เพื่อจะได้ทำประมงได้ตลอดปี  เราก็ อ่อออ..... ลงทุนจังนะพ่อ.... พ่อพยักหน้าแต่ก็ว่า ก็ยังคุ้มว่าอ้อมแหลมมลายูล่ะนะ .... จากที่สังเกต เค้ายกเรือขึ้นวางบนบนรถ แล้วมัดด้วยสลิง แบบว่าดูแล้วไม่น่าไว้ใจเอาเลย


อืมๆๆๆๆ มันเป็นเช่นนี้เอง แบบนี้เป็นสิ่งผิดกฎหมาย แต่ก็ยังทำกันอยู่ แต่ก็เป็นเรื่องจำเป็นสำหรับคนทำธุรกิจเหมือนกัน สิ่งที่ควรทำคือ อำนวยความสะดวกในการย้ายเรือ ให้ปลอดภัย และ ถูกกฎหมาย จริงไหม....


เราแวะซื้อหอยนนางรมสด (3 กก 100) ที่ระนอง รวมทั้งหอยหวาน ถุงละ 30 แวะที่แถวๆเขาหลัก ซื้อปลามา 1 ตัว 2 กิโล


กินข้าวที่หาดคึกคัก ไม่ได้คึกคักเหมือนชื่อเลยนะเราว่า


ไม่มีร้านอาหารทะเลดีๆเลย (แบบที่คนไทยนั่งได้นะ)


กลับมาถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ เวลาประมาณ 5 โมงเย็น (สิงห์เหยียบสุดยอดไหม) เอารูปขนมหวานของเพชรมาถ่ายรูปเล่น


จ่ามงกุฎ แบบอุตสาหกรรม ไม่ค่อยสวยเหมือนต้นตำรับ รสชาติพอได้


 




มะม่วง 3 โล 100 ชมพู่เช่นกัน ที่ เพชรบุรี




ตบท้ายด้วยพายสัปปะรด อันจิ๋วๆ ชอบมาก


เฮ้อ เป็นการอัพบลอกที่ยาวนานมาก จบซะที ได้นอนซะที แหะๆๆๆ


ทริปนี้ กินคุ้ม นอนคุ้ม สนุกสนานพอสมควร


ไปนอนแล้วละค่ะ ง่วงจัง ขอบคุณที่แวะชมนะคะ Smiley บายๆ


 






Free TextEditor




 

Create Date : 22 มกราคม 2552   
Last Update : 22 มกราคม 2552 1:14:49 น.   
Counter : 1131 Pageviews.  

ตรัง-ราชบุรี มกรา 52: กิน(ไม่)หรู (แต่อร่อย) อยู่สบาย (กระเป๋า) ภาค 2

ต่อภาค 2 ค่ะ


หลังจากลงเรือกันเรียบร้อย งานนี้โดนจ่ายค่าเสียหายก่อนขึ้นเรืออีก (กลัวเราหนีหรืองาย หนีก็ลงน้ำ จะไปหนายได้...)


แล้วเรือก็พาเราออกจากท่า ผ่านคลองเล็กๆ พี่คนขับบอกว่ากว้าง 3 เมตร ลึก 3 เมตร (รึป่าว) ขุดสมัย ร 5 ทรงให้ชื่อ ดำเนินสะดวก เพราะมันตรงแหน่วนี่เอง



เรือเบอร์สอง ริมคลองเต็มไปด้วยบ้านเก่าๆ ไม่ค่อยสะอาด หรือเป็นธรรมชาติบ้านริมน้ำก็ไม่รู้



พี่คนขับเรือ คอยแนะนำร้านถูกๆดีๆ (ดีจริงมั้ยไม่รู้เพราะเราไม่รู้ร้านอื่น) แต่ก็คุยสนุกดี เครื่องเรือใหญ่มาก พ่อบอกว่าเอาไปวิ่งในทะเลได้สบาย


แต่พี่แกว่าถ้าเครื่องเล็กไปไม่ไหว เออก็แปลก



ร้านค้าค่อนข้างหนาแน่นในเขตตลาด เรือเยอะด้วย (พี่เค้าบอกว่าวันนี้ไม่เยอะนะ ช่วงวันหยุดจะเยอะมาก)



แล้วเราก็ได้กินก๋วยเตี๋ยวเรือ แท้ๆ เสร็จแม่ค้าหน้าใสไป 1 ราย



น่ากินมะละคะ



การจราจรแน่นขนัด แออัด ยัดเยียด



 


ผลไม้เยอะและถูกและอร่อยด้วยค่ะ ชมพู่ ทางใต้เนี่ย (หาดใหญ่และตรัง) โลละประมาณ 50 ที่นี่ 20 โอ้วแม่เจ้า




น้ำเต้าหู้จ้า มันออกขมๆไปหน่อย คงเพราะบอกว่าเอาไม่หวาน (หรือไม่เกี่ยว)



โชว์นางแบบ มามี้เอง


 



ของที่ขายก็มีหลากหลายค่ะ กระเป๋าสวยดี



ร้านกาแฟ แอบซอกตึก



มีวิตตอง (ปลอม) ขายด้วย แม่เจ้า



งานไม้แกะสลัก ขายกันได้ทุกที่ที่มีฝรั่งออกหากิน ไม่เข้าใจ ถ้าเค้าอยากได้งานท้องถิ่นก็หายาก ขายกันแต่ของโรงงาน มาเหมือนๆกันหมด ทั้ง เชียงใหม่ ราชบุรี ภูเก็ต ที่ตรังยังมีเลย



ชอบรูปนี้ ควันฟุ้งๆ สวยดี



 


แม่ค้านั่งนินทากัน (?)



ของเล่น ไก่กุ๊กๆจิกข้าวเมื่อลูกตุ้มแกว่ง ชิ้นนี้น้องสาวชอบมาก


และ พระเจ้าช่วย กล้วยทอดคร่า



มะม่วงกวนและละมุด เจ้านี้คุณยายแม่ค้าแกเชียร์ว่าจะหมดแล้ว ให้ช่วยซื้อหน่อย แกจะได้กลับบ้าน ด้วยความเห็นใจคนแก่เลยซื้อไปแยะจนของหมดแล้ว พอขากลับยังเจอแกลอยลำอยู่ เราเลยบอกแม่ว่าพอลับหลังเราปุ้บสงสัยแกเอาของที่ซ่อนขึ้นมาขายต่อปั้บ แล้วแกก็หลอกลูกค้ารายต่อไปแหงๆ ฮ่าๆๆๆๆๆ



spice ขายฝรั่งจ้า



แล้วเราก็เข้าไปดูเค้าทำน้ำตาลมะพร้าวกัน เคี่ยวให้ดูเห็นๆ หอมมาก มันเป็นร้านขอยของที่เค้าเอาเตาเคี่ยวมาดึงลูกค้า ที่จริงเราอยากไปดูที่ชาวบ้านเคี่ยวในสวนมากกว่า แต่เห็นว่าเค้าทำแต่ตอนเช้า เลยแห้ว



ขอกันแบบนี้ ให้มากกว่าที่เค้าบังคับจ่ายอีกนะ



เดวค่อยมาต่อ มันแฮง แย่แล้ววว






Free TextEditor




 

Create Date : 21 มกราคม 2552   
Last Update : 21 มกราคม 2552 23:55:24 น.   
Counter : 772 Pageviews.  

ตรัง-ราชบุรี มกรา52: กิน(ไม่)หรู (แต่อร่อย) อยู่สบาย (กระเป๋า)

เผอิญว่าชีวิตติดล้ออีกครั้ง เมื่อน้องสาวสุดที่รักได้เป็นตัวแทนไปแข่งขันวิทยาศาสตร์ ชิงถ้วยพระราชทานจากสมเด็จพระนางเจ้าฯ ที่ ราชบุรี (รร บรมราชินีนาถ) ครอบครัวของเราซึ่งไปไหนไปกันไม่เคยขาดสมาชิก ก็เตรียมการออกเดินทาง


ออกจากตรังวันที่ 15 มกรา เวลาหมุนล้อ 12.28 น. ท่านพ่อซึ่งเป็นสิงห์เหยียบก็ทำความเร็วเยี่ยมเช่นเคย (ความเร็วเฉลี่ย 120 กม/ชม)


งานนี้ยืมรถคุณลุงหมอไปเพราะรถที่บ้านอยูในสภาพไม่พร้อมซักกะคันSmiley


ขับพรวดเดียวจากตรังก็ถึงปากน้ำปราณ ประจวบ เวลาประมาณ ทุ่มกว่าๆ นับเวลาหลงในความมืดอีกประมาณ 15 นาที ท่านพ่อรีเควสร้านอาหารปากน้ำปราณที่มีหมึกแดดเดียว คราวที่แล้วมากิน ติดใจมากมาย



มามี้นางแบบ บรรยากาศร้าน ครัวทะเลสด นั่งสบายๆ อากาศหนาวมาก (เทียบจากที่บ้าน) ลมเย็นเจี๊ยบ



ร้านอยู่ตรงท่าเรือประมงเก่า หาไม่ยากค่ะ



กับข้าวได้แก่ ปลาสำลีแดดเดียว ยำซีฟู้ด ต้มยำน้ำข้น และหมึกแดดเดียว อร่อยมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆ + บรรยากาศให้ 10 เต็ม เสียค่าธรรมเนียมไป995 บาท


หลังจากอิ่มหนำกันแล้ว เราก็มุ่งหน้าต่อไปยัง หัวหิน ด้วยว่าเราติดใจ โรงแรม กอล์ฟ อินน์ ซึ่งเป็นโรงแรมเก่า ใกล้สถานีรถไฟหัวหิน เลยกะว่าไปนอนที่นั่นกัน โชคดีมากที่โทรไปจอง เพราะเหลือห้องเดียวแล้ว ราคา 800 ค่ะ



ถึงซะที อากาศเย็นเจี๊ยบอีกตามเคย มันเย็นมาตั้งแต่สุราษ แล้ว ไม่รู้โลกร้อนอีตรงไหน



ในห้อง กว้างมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ นอนได้สักสิบคน เก่าแต่สะอาด เรียบร้อยดีมาก สนใจโทรจองได้ที่ 032 512473 ค่ะ


เสียดายไม่ได้ถ่ายด้านหน้ามานะ รร นี้ตั้งอยู่ตรงหน้าสถานีรถไฟ ขับเข้ามาจากเพชรเกษมอยู่ทางด้านซ้ายมือค่ะ



ห้องน้ำ



กว้างๆ สบายๆ เสียอย่างนึงตรงที่ดันมีคอนเสิร์ตจัดข้าง รร หนวกหูมากๆ กว่าจะได้นอนก็เล่นเอาเกือบเที่ยงคืน ท่านพ่อกรนไปนานแล้วเราแม่ลูกยังไม่หลับ



ทางเดิน ระเบียงด้านหลังมองออกไปเห็นสถานี



 


ที่เห็นแดงๆคือสถานีรถไฟสไตล์ไทยจีนค่ะ สวยน่ารัก


ตื่นเช้ามา ไปกินโจ้ก เกาเหลาที่ริมถนนเพชรเกษม ในเมือง อร่อยมากเช่นกัน เสียดายไม่ได้ถ่ายรูปมา


แล้วเราก็พุ่งตรงดิ่งไปตามเพชรเกษม  ...ไปยัง


ยัง ... อะไรหว่า แมลงสาบยักษ์เกาะต้นไม่ ...ไม่ช่าย .. มันคือหิ่งห้อยอัมพวา


 



เดินทางบนถนนเพชรเกษม เลี้ยว ธนบุรี-ปากท่อ ไปเรื่อยๆ จะมีแยกซ้ายไป อ อัมพวาค่ะ และทางนี้เราจะไปตลาดน้ำดำเนินฯกัน ตามคำเรียกร้องของมามี้ ผู้มีความสุขกับการซื้อของฝากชาวบ้าน



อัมพวา เกี่ยวอะไรกับหน้าโขน ...ไม่ได้หาข้อมูลมา


ไปเรื่อยๆ จะมีแยกซ้ายเข้าตลาดน้ำดำเนินสะดวก ป้ายใหญ่โต ไม่ต้องกลัวหลง


วนหาที่จอดรถ มีแต่แบบเก็บตังSmiley ก็คิดว่าเอาวะ มาแล้วก็จ่ายๆมันไป ค่าจอด 20 บาท จอดปุ้บ นายหน้ามาปั้บ เช่าเรือมั้ยคะพี่


ก็คิดว่า เอาวะ (อีกรอบ) มาทั้งทีก็อยากสัมผัสบรรยากาศให้คุ้ม โดนไป 400 เรือติดเครื่องยนต์ (แพงมากเลยเที่ยบกับเราเช่าเรือไปออกทะเลอ่ะ) ใช้เวลาประมาณ 1 ชม ค่ะ พี่แกบอก ถ้าเป็นเรือพาย 300 ค่ะ


แล้วเราก็เดินตามพี่แกไปท่าเรือ ผ่านบ้านเรือนริมน้ำที่สกปรกมากกกกกกกกก มากพอๆกับที่เกาะลิบงเลย อันว่าไม่กล้าเดินเหยียบพื้นดินเลยล่ะ ดีที่เค้าทำทางปูนให้เดินนะ และแล้วเราก็ลงเรือกัน



การผจญภัยของเราจะเป็นเยี่ยงไร...ได้โปรดติดตาม ประเดี๋ยวต้องไปทอดไก่กินที่บ้านคุณชายก่อน (แกไม่ยอมทอด จะให้เราไปทอดให้)


หิวจริงๆ ไปและ ตุ้ดๆๆๆๆๆๆๆ






Free TextEditor




 

Create Date : 21 มกราคม 2552   
Last Update : 21 มกราคม 2552 22:29:37 น.   
Counter : 814 Pageviews.  


marinepig
Location :
สงขลา Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ลองอ่านดูไหม การพร่ำเพ้อตามอำเภอใจของฉัน
[Add marinepig's blog to your web]