Malaysia 2009: สงกรานต์ เที่ยวมะละกา จ้า
สงกรานต์ที่ผ่านมา ก็เหมือนทุกๆปี บ้านเราหนีสงครามน้ำ แอบไปเที่ยวไกลๆอีกแล้ว ปีนี้เราไปเที่ยว มะละกา ใน มาเลเซียกันค่ะ ............. ใครไปเที่ยวมาเลก็จะนึงถึงกันแต่กัวลาลัมเปอร์หรือเก็นติ้งกันเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากบ้านเราไม่เที่ยวเหมือนชาวบ้าน ไม่ชอบเมืองใหม่ แต่ชอบเที่ยวที่ๆมีประวัติศาสตร์ให้ศึกษาชื่นชม หรือไม่ก็ไปแนวธรรมชาติไปเลยมากกว่า มะละกา ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของคาบสมุทรมลายู ชื่อ มะละกาเป็นทั้งชื่อ เมือง และ ชื่อรัฐ ค่ะ มะละกา เป็นเมืองที่เรียกว่า Multicultural city เนื่องจากเป็นเมืองท่าเก่าตั้งขึ้นตั้งแต่ คศ 14 ตามตำนานเค้าว่า (ใครว่า) แหล่งรวมผู้คนและวัฒนธรรมผสมผสาน ทั้ง มาเล จีน อินเดีย โปรตุเกสฮอลันดา (ดัชท์ หรือ เนเธอแลนด์ นั่นเอง) มะละกา ตกเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งอั้งม่อที่กล่าวมานี้ในยุคล่าอาณานิคม จนมาเลเซียประกาศเอกราชก็ประกาศที่ มะละกา นี่เองค่ะ พล่ามมามากมาย เดี๋ยวจะเล่าเรื่อง ทริปหฤหรรษ์ นี้ให้ฟังค่ะ ก่อนอื่นเลย ทริปนี้เป็นปริปขับรถเอง เน้นกินและชมบ้านเมืองเป็นหลัก เลยมีแต่รูปของกินๆๆๆ ใครกลัวเลี่ยนก็ทำใจหน่อยนะฮะ แผนการเดินทาง จะเรียกว่ามีก็ไม่ค่อยจะได้เพราะเราไม่ได้แพลนว่าจะนอนไหนกี่คืนๆ แต่เอาแค่ว่าไปถึงมะละกาแล้วกลับเท่านั้นเอง บ้านเรา พ่อแม่ ลูกสาว สอง ออกเดินทางจากหาดใหญ่ตั้งแต่ 10 โมง ไปถึงด่านที่สะเดาราวๆเที่ยง เนื่องจากเสียเวลารอรถอยู่ ไปถึงแล้วจิเป็นลม รถมาก คนมากมายมหาศาล เต็มด่าน เชื่อแล้วว่าด่านช่วงเทศกาลเป็นด่านนรกจริงๆ ผ่านด่านไทยมาได้ ก็มีป้าแต้ม เอารถตู้มารับ นี่เป็นสภาพบรรยากาศด่าน ฝั่งมาเล ห่างจากด่านไทยราวๆ 1 กม ได้มั้ง หลังจากฝ่าด่านได้ ก็เป็นเวลาราวๆ4 โมงเย็นได้แล้ว เราก็ไปกินข้าวบ้านป้าแต้มในมาเลกัน ทางไปก็บรรยากาศบ้านเรานี่เอง มีสวนยางมากมาย บ้านป้าสีชมพูสดใส ไสตล์มุสลิม ป้าเป็นพี่สาวของพี่ที่ร้าน แต่งงานกับคนมาเลย์มาได้ 20 กว่าปีแล้ว เจ้า made in malaysia คันนี้แหละจะพาเราเที่ยว สภาพโบราณพอได้ พวกฟังก์ชั่นต่างๆ ไม่ค่อยดีแล้ว แต่เครื่องยนต์ยัง ok อยู่ เช่าที่เมือง จิตรา เมืองชายแดน ที่นี่หารถใหม่ๆไม่ค่อยมี กินข้าวเสร็จออกจากบ้านป้าก็เล่นเอาเย็นแล้ว ขึ้นทางด่วนโลด ถนนดีมาก เรียบกริบ ถ้าผ่านเมือง จิตรา แล้วจะเจอที่เก็บตังค์ทางด่วน ซึ่งเราต้องจ่ายเรื่อยๆ ไปกลับ มะละกา ก็เกือบๆ 2000 เรามุ่งหน้าสู่เมือง อิโป เป็นทางผ่านแวะพัก 1 คืน อิโปตั้งอยู่ในอีกรัฐนึง คือ เปรัก เรามาถึง อิโป (Ipoh) ก็เกือบๆ สามทุ่ม เพราะมัวหลงทางอยู่ครึ่งชมก่อนเข้าทางด่วน อิโป เป็นเมืองใหญ่อันดับสามของประเทศ มีคนจีนเยอะ ที่นี่รุ่งเรืองเพราะเหมืองแร่เมื่อกาลก่อน ในอิโปมีพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับแร่ด้วย เสียดายเราไปถึงค่ำแล้ว พรุ่งนี้ต้องเดินทางต่อเลยอด มีเรื่องนึงที่ประทับใจในประเทศนี้ ก็คือแทบทุกเมืองจะมีพิพิธภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับท้องถิ่นนั้นๆ ราคาก็ไม่ได้แยกสำหรับต่างชาติ เลยไม่ได้แพงโหดเหมือนบ้านเรา คนละ 20- 50 บาท เท่านั้นเอง เราขับวนไปมั่วๆ ในเมือง เพราะดูแผนที่ไม่ทัน เข้าไปในดง รร เจอ รร หน้าตาพอใช้ เลยเข้าไปถามดู ราคา 89 เหรียญ ชื่อ โรงแรม Grand view Hotel พนักงานก็ลิ้นแบบแขก พูดรัวมาก ปล เราเนื่องในฐานะที่ภาษาอังกฤษแข็งแรงที่สุดในบ้านเลยเป็น นาวิเกเตอร์ของทริปและเป็นล่ามด้วย (ตอนเราไป เหรียญมาเล หรือ ริงกิต ก็ราคาราวๆ9.6 บาทไทย เราเอาเข้าใจง่ายก็คูณสิบไปเลย) เข้า รร เสร็จก็ไปกินข้าว เห็นภัตตาคารจีนน่าลองใกล้ รร เลยบุกเข้าไป ถึง ตกใจ นึกว่าเค้าเลี้ยงฉลองอะไรกัน เพราะคนเยอะมาก เสียงข้างในดังมากๆ เหมือนคนเมาทะเลาะกัน ปรากฎว่าวันที่เราไปป็นวันเสาร์ แล้วดันตรงกับวันเกิดใครหลายคนที่มาจัดเลี้ยงที่นี่ มื้อนี้ซาบซึ้งถึงธรรมชาติของคนจีนเลย ว่า ฉาวแบบจีน เป็นยังไง เข้าไปถึง ตามสไตล์ภัตตาคารจีน เค้าก็แจกอุปกรณ์การกินและของกินเล่น รวมทั้งผ้าเย็นซึ่งเราไม่เคยใช้เลยตลอดทุกมื้อ การกินมื้อแรก มั่วมากๆ เพราะพนักงานพูดอังกฤษ แทบไม่ได้ เจ๊จะจีนอย่างเดียว เราก็สั่งหลำๆไปตามเมนู (ภาษาใต้ แปลว่า มั่ว) ปรากฎว่า ได้กุ้งชุบแป้งทอด แกงจืด และ ไก่นึ่งซีอิ้วใส่ขิงค่ะ รสชาติใช้ได้ โดยเฉพาะแกงจืด ไม่จืด แต่กลมกล่อมมากๆ ใส่เครื่องเยอะ โดนไป 680 บาท ยามเช้าที่อิโป พนักงาน รร บอกว่ามี morning market ทุกเช้าวัน อาทิตย์ เราโชคดีที่มาตรงพอดี เราก็นึกว่าเค้าจะขายของกิน ที่ไหนได้ ขายพวกของเก่า ของมือสอง ถึงมือร้อย พ่อชอบมากแต่ก็ไม่ได้ซื้ออะไร ส่วนเราซื้อ หนังสือเรียนชีววิทยาสำหรับเด็กให้น้อง 1 เล่ม ไว้อ่านภาษาอังกิดเก่งเมื่อไรค่อยอ่าน (ตอนนี้ เธอก็อ่านได้หน่อยๆ น้องเราเพิ่ง ป 4 เอง) กองทัพเสื้อแดง ยึดพาดหัวหนังสือพิมพ์ทุกฉบับในเมือง เรากินเช้ากันที่ หน้า รร นี่แหละ อะไรๆก็อยู่แถวนี้เพราะเป็นเขตกลางเมืองพอดี เราชอบ แกงราดข้าวที่เค้าห่อมาขาย โรตีแกง สามแม่ลูกก็ชอบ แต่พ่อไม่ชอบเลย กินเช้าเสร็จก็ออกเดินทางต่อ เห็นฝูงตึกในกัวลาลัมเปอร์ (KL) ไกลๆ เห็นยอดตึดแฝดเล้กเท่าฝ่ามือ แวบเดียว เราไม่แวะ kl แต่จะไปมะละกาเลย ไปถึง มะละกา ก็ราวๆบ่ายสาม มีเรื่องระทึกขวัญ คือ เราแยกจากทางด่วนเข้าเส้นทางหลวง 19 แล้วหาปั้มน้ำมันไม่เจอ ที่จริงตรงปากทางมีอยู่แห่งนึงแต่พ่อไม่แวะเพราะอยู่อีกด้านของถนน เราก็นั่งลุ้นกันตลอดทาง ขับมาได้ไกลหลายสิบกิโลด้วย น้ำมันขอดก้นถังแล้ว พอเจอปั๊มก็แวะทันที การเติมน้ำมันที่นี่ก็ต้องไปจ่ายตังที่เคาน์เตอร์แล้วมาเติมเอง คนขายพูดอังกิดได้มั่งไม่ได้มั่ง เราก็ 30 ริงกิตโลด เสียวอย่างเดียวคือกลัวไปเติมเอาดีเซลเข้าน่ะสิ ที่มะละกา เราวนๆหา รร เจอแห่งนึงไม่น่าจะแพงมากเลยเข้าไปถาม ราคาเท่าเมื่อคืนคือ 89 เหรียญ เราขอเตียงพิเศษ เพิ่งอีก 20 เหรียญ ชื่อ รร select star ค่ะ ที่จริงมี รร สวยๆที่เค้าเอาตึกเก่ามาทำด้วย ชื่อ รร บาบ๋า และ พูริ บนถนนยองเกอร์ ย่านท่องเที่ยว ใครสนใจก็ติดต่อดูราคาไม่แพงเท่าไร ที่จริงก็อยากไปนอนนั่น แต่พ่อเหนื่อยแล้วเลยเอาง่ายไว้ก่อน สภาพเมือง เฉอะแฉะไปด้วยฝน ที่ถนนยองเกอร์ หรือ ฮังเชบัต นี้เป็นถนนคนเดินที่เค้าจะปิดถนนกลางคืน เราไปตอนเค้ายังจัดร้านอยู่ อาหารต้องกินในมะละกา นี่เลย ต้องข้าวมันไก่ก้อนกลม ร้านฟอโมซา เค้าจะเอาข้าวมันมาปั้นเป็นก้อนกลมๆ กินกับไก่ต้มซีอิ้ว รูปร่างหน้าตาแปลกดีแต่เราว่าจืดไปหน่อย ข้าวมันไก่เบตง แซบกว่า เราสั่งเต้าหู้ หมูย่าง ห่อหมกปลา และ แกงจืดลูกชิ้นด้วย เต้าหู้อร่อยมาก ร้านนี้โด่งดังที่สุดในเมือง มีหลายสาขา แต่งร้านแบบจีนๆ แดงได้ใจ โดนไป 500 กว่าบาท ไม่แพงๆ รุ่งเช้าเราไปเดินกันที่ ดัทช์สแควร์และเยี่ยมเยียนมิวเซียมทั้งหลายรอบเนินเขาเซนต์ปอล ก่อนถึงย่านสีแดง เราจอดรถที่ริมแม่น้ำ ผ่านโบสถเซนต์ ฟรังซิส เซเวียร์ ซึ่งเป็นโบสถ์ที่มีประวัติยาวนานเหมือนกัน สร้างใน ปี 1849 โดยคณะฑูตฝรั่งเศส ซึ่งสร้างเพื่อ อุทิศ ถวายแด่ เซนต์ ฟรังซิส เซเวียร์ ผู้เผยแพร่ศาสนาคริสนต์ในดินแดนแถบนี้ ดูยังไงๆโบสถ์ก็เอียง ว่าไหม ดัทซ์สแคว์ เป็นจัตุรัสเล็กๆ ที่ตึกรอบๆทาสีแดงทั้งหมด รวมถึงย่านตึกแดงที่อยู่ถัดกันด้วย มีน้ำพุ หอนาฬิกา โบสถ์คริสมะละกา ย่านนี้เป็นศูนย์กลางของการปกครองสมัยที่ ฮอลันดา ครองมะละกาตลอดช่วง 154 ปี เสาน้ำพุสร้างโดยอังกฤษ ซึ่งเค้าบอกว่าเป็นหลักฐาน เพียงอย่างเดียวของอังกฤษที่ทิ้งไว้ที่นี่ (แต่เราว่ามีอีกอย่างก็คือภาษาอังกฤษนั่นเอง) โบสถ์คริส มะละกา สร้างโดย ฮอลันดา เป็น โปรแตสแตนท์ ตามฮอลันดา ต่อมาข่าวว่าเมื่ออังกฤษมาครองที่นี่เลยเปลี่ยนเป็นแองกลิกัน เราไปถึงโบสถ์ยังไม่เปิด แต่พอดีหลวงพ่อผู้ดูแลเดินมาพอดี ท่านเป็นอินเดีย พูดอังกิดเป็นไฟ ใจดีมากๆ ท่านเปิดโบสถ์ให้เราเข้าไป แล้วก็อธิษฐานให้พวกเราด้วย พ่อก็ทำเนียนรับพรไปตามเรื่อง ขำมาก ภายในไม่ให้ถ่ายรูป น่าเสียดายมาก เพราะมีหลายๆอย่างที่น่าสนใจ ทั้งภาพ the last supper ใครวาดก็ไม่รู้ แต่โบราณแล้ว พื้นโบสถ์เป็นหินสลัก ซึ่งด้านล่างเป็นที่ฝังศพเก่าแก่ของชาวดัชท์ ม้านั่งโบราณ และเสาโบสถ์เค้าว่านำเข้าจากบอร์เนียวตั้งกะยุคโน้น หลังจากออกจากโบสถ์ เราก็ไปเดินชมมิวเซียม มีเป็นสิบอาคารเลย เดินเหนื่อยมาก เอารูปมาลงเฉพาะบางอันนะ ออ ที่จริงมีมิวเซียมที่เค้าทำเป็นรูปเรือของชาวดัชท์ ประมาณว่าสร้างเรือจากไม้ขึ้นมา 1 ลำ เอามาตั้งบนบกแล้วทำเป็นมิวเซียม ข้างในก็จำลองสภาพเรือแล้วก็มีนิทรรศการต่างๆ ลงทุนๆ เราไม่ได้เอารูปมาอยู่ในกล้องแม่ เสียดายจัง อันนี้เป็นรูปสลักของ เจิ้งเหอ แม่ทัพเรือของจีนอันเกรียงไกรที่เดินทางร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำไปทั่วเอเชีย แอฟริกา ท่านมาแวะที่มะละกาหลายครั้ง เป็นธรรมดาของคนจีน ใครเก่งเป็นตำนานก็ยกย่องเป็นเทพเจ้า ชาวจีนเรียกท่านว่า ซำปอกง (เมืองไทยเราก็มีศาลนะ) โบสถ์ เซนต์ปอล ตั้งอยู่บนเนินเขาเซนต์ปอล ภายในมีหินสลักเป็นป้ายหน้าหลุมศพตั้งอยู่ เป็นโบสถ์ที่สร้างโดยโปรตุเกส นักบุญ หรือ เซนต์ ฟรังซิส เซเวียร์ พ่อเราเป็นคนถ่ายรูปนี้ ถ่ายได้แนวมาก สภาพบ้านเรือนริมแม่น้ำมะละกา ที่จริงถ่ายรูปมาเยอะกว่านี้แต่เอาลงไม่ไหว หลังจากเที่ยวจนเหนื่อยแล้วเราก็ออกจากมะละกา ไปนอนที่อิโปอีก1 คืน ได้กินที่ภัตตาคารจีนอีกตามเคย แต่เปลี่ยนที่ (สังเกตว่า คำบรรยายสั้งลง เริ่มอัพบลอกไม่ไหวแล้ว หิว จ้าก ) ข้าวผัด ไก่นึ่ง ผัดปลาและหมู อร่อยมาก คืนสุดท้ายเราไปนอนกันที่ปีนัง เพื่อไปกินอาหารอินเดียร้านนี้โดยเฉพาะ อร่อย แปลก เจ้าของใจดี ชวนคุยกันหลายเรื่องน่ารักมากๆ เราเคยมาเมื่อปีที่แล้วเค้าจำได้ด้วย เครื่องคอมเริ่มรวน เอาเป็นว่าอัพแค่นี้แล้วกันค่ะ เรื่องราวยาวไปหน่อยคงไม่เบื่อกันนะคะ ใครสนใจเที่ยวแบบขับรถเองที่มาเล ไม่ยาก แค่ทำตามขั้นตอน กฎหมายให้ถูกต้อง มีแผนที่ในมือไม่ต้องกลัวค่ะ ถึงเป็นชาวมุสลิมหรืออินเดียหน้าตาดุ แต่จริงๆแล้วเค้าใจดีกันมากๆเลยค่ะ ไปแล้ว บายๆๆ
Free TextEditor
Create Date : 19 เมษายน 2552 |
| |
|
Last Update : 19 เมษายน 2552 17:19:12 น. |
| |
Counter : 1422 Pageviews. |
| |
|
|