Group Blog
 
All blogs
 

ไร้มารยาท


เป็นที่รู้กันทั่วๆไปว่่า ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีระเบียบวินัย บ้านเมืองสะอาด จะซื้ออะไร จะทำอะไรก็ต่อคิว จะกินข้าวกลางวันก็ต้องต่อคิวยาวเป็นชั่วโมง เค้าทำกันจนติดนิสัย และเป็นความพอใจ เป็นความต้องการของเค้าเองที่ไม่คิดเบื่อที่จะต้องต่อคิว

ด้วยเหตุนี้ก็ประชาชนชาวยุ่นก็เลยติดเป็นนิสัยกันมาจากรุ่นทวดยันรุ่นหลาน ซึ่งอันนี้เราก็ต้องขอชื่นชม อยากให้บ้านเมืองเรามีระเบียบวินัยมั่ง

แต่ก็เหอะ....
คนดีมีวินัยมันมีทั้งโลกซะเมื่อไหร่...
ไอ้ที่ว่า"คนญี่ปุ่น" มีระเบียบ มีวินัย ทำอะไรต่อคิวเข้าแถว

คนญี่ปุ่น"อันตราย"ก็เห็นจะมี พวก"ป้าๆ" หรือที่เค้าชอบเรียกกันว่า "โอะบ้ะจัง" แกจะเป็นประเภท ทำอะไรตามใจฉัน ตัวอย่างเช่น ขี่จักรยานก็ขี่มันเต็มถนน ไม่สนใจรถที่ขับมาข้างหลัง(รถมันก็ไม่ยอมบีบแตรไล่แฮะ)
ออกจากสี่แยกนึกจะตรงไป ก็ตรงไปเลย ไม่มีการชลอดูรถก่อน สร้างความเดือดร้อนให้กับคนขับรถใหญ่เสียจริงๆ(อันนี้ก็เห็นกะตาเลย สี่แยกหัวมุมบ้าน(สมัยเช่า้บ้านอยู่)เลย กระเด็นกันเห็นๆ แต่ป้าแก แก่หนังเหนียว ไม่ยักเป็นอะไรแฮะ)

เรื่องนี้เราก็เจอมากะตัวแหม็บๆ

เมื่อต้นอาทิตย์ไปส่งของที่ไปรษณีย์มา มีเรื่องกวนใจ กวนอารมณ์จ๊อดให้ขุ่นมัว เป็นเรื่องของป้าไม่มีมารยาทน่ะ
เราจะส่งจดหมาย ก็ยืนตามจุดที่เค้ากำหนด เพราะว่าคนก่อนหน้าเราเพิ่งเสร็จ แล้วเจ้าหน้าที่ก็ยังเคลียร์งานจากคนลูกค้าคนเก่าไม่เสร็จ ก็ก้มหน้าก้มตาทำงานอยู่ จึงยังไม่ได้เรียกเรา เราก็ยืนรออยู่ที่จุด

ภายในเสี้ยวเวลาไม่กี่วินาที ก็มีลมผ่านเราไป ฟิ้วววววว....

เฮ้ย...ป้า!!!!! มาจากไหนว๊ะเนี่ยะ..... แซงตูนี่หว่า????...
เราคิดไป พร้อมๆกับอึ้งและงงอยู่แป๊บนึง

จังหวะนั้นมีป้ามาต่อหลังเราอยู่คนนึงด้วย เค้าก็เ็ห็นว่าป้าคนนั้นแซงเรา

ป้าคนหลังถามเรา..."ต่อคิวอยู่รึป่าวจ๊ะเนี่ย?"
เรา..(พูดเสียงดัง).." ใช่...ต่ออยู่...อุตส่าห์รอตั้งนาน ...แซงไปเลยอ่ะ.."
ป้าคนหลัง.."ใช่ม๊า???" แล้วป้าแกก็ขำนิดๆ

ป้าคนที่แซง..หันมาดูเรานิดนึง แล้วไม่สนใจ ส่งจดหมายต่อ

แหม๊.......เรางี๊อยากตืบจริงๆเลย ....คนอาไร๊...ไม่มีมารายาทเอาซะเลย...หมั่นเขี้ยวว่ะ

.................................

จบไปเรื่องนึง

มีอีกเรื่องนึง อันนี้แบบอุ่นๆเลย...เมื่อเช้าวันนี้

ทุกวันนั่งรถไฟแล้วต้องไปต่อรถเมล์ เป็นรถเมล์ต้นสาย ก็ต้องออกตามเวลาเป๊ะ... เพราะฉะนั้น กว่ารถจะมาที คนก็ออกจากรถไฟตั้งไม่รู้เท่าไหร่ แต่เรามักจะออกเร็วเป็นประจำ เลยได้ต่ออยู่ที่หัวแถว

วันนี้เร็วเป็นพิเศษเลยได้อยู่ที่คนที่ ๑ ในขณะที่ผุ้คนหลั่งไหลออกจากสถานีรถไฟเพื่อมาต่อรถคันเดียวกับเราเยอะมากๆ ๕-๖๐ คนเห็นจะได้ ฉะนั้น แถวมันถึงได้ยาวเหยียดเป็นหางว่าว คนที่ออกมาจากสถานีรถไฟก็ไม่เท่าไหร่ แต่คนที่ออกมาจากด้านตรงข้ามทางออกรถไฟ(ก็คือทางด้านต้นสายที่เรายืนอยู่) มันจะต้องเดินไกลมากๆเพื่อที่จะไปต่อท้ายแถว

ฉะนั้น มันก็จะมีได้พวก"ลักไก่ไร้มารยาท" ทำโมเม ต่อหัวแถว จริงๆก็เห็นหลายหนแล้ว แต่ไม่เจอกับตัวเอง ดูแล้วก็หมั่นเขี้ยวเหมือนกัน แต่คนญี่ปุ่น เค้าก็ไม่ค่อยบอก หรือโวยวาย(เป็นบ้านเราเมิงเจอยำทีนแน่ๆ) เต็มที่ก็ได้แต่ เหลือบๆ มองๆ ให้ไอ้คนที่มาแซงมันรู้ตัว เ

มันก็รู้ตัวอยู่แล้วหล่ะ ทำไมมันจะไม่รู้ล่ะ ก็มันรู้ว่าแถวย๊าวยาว มันถึงได้มาหยอดแซงแถวง่ะ...เราดูแล้วรำคาญลูกตา

มาถึงคิวเรา ..

วันนี้เช้า เราอยู่หัวแถว ยืนรอรถอยู่เกือบ ๑๐ นาทีได้มั๊ง กว่ารถจะมา แถวมันยาวเป็นกิโล แล้วก็มีเด็กหนุ่มน่าจะประมาณเกือบๆ ๓๐ ได้ โผลมาจากทางด้านต้นป้ายรถเมล์ ตอนแรกมันก็เดินจะเดินไปท้ายแถว แต่แล้วมันก็วกกลับมาที่หัวแถว (เราเหลือบๆดูมันอ่ะถึงได้รู้)

แล้วมันก็คงเปลี่ยนใจ เพราะแถวยาวมาก มีโอกาสไม่ได้ขึ้นรถก็เป็นไปได้ เพราะคงแน่นมากๆ แล้วมันก็มายืนทางด้านซ้ายของเรายืนห่างเล็กน้อย (ทางซ้ายต้องไม่มีคน เพราะว่าเราเป็นคนแรกของแถว )มาถึงมันก็มาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ แล้วต่อหัวแถวเลย

โห.......หยั่งงี้ก็สวยซิว๊ะ......(เราคิดใจใจ)

คิดไม่คิดอย่างเดียว .... ปากพูดมือทำงานด้วย

"ปลายแถวอยู่ที่โน่นค่ะ ไม่ใช่ที่นี่" เราทำพูดหน้าตาเรียบๆ ด้วยสำเนียงสุภาพ(แบบตูจะฆ่าเมิง) พร้อมชี้นิ้วไปที่ท้ายแถว

แล้วป้าๆ ลุงๆที่ต่อๆจากเราก็มองกันใหญ่เลย

ไอ้นั่นมันคงอาย เลยต้องถอยทัพไปต่อท้ายแถว...

.....และแล้วมันก็ไม่ได้ขึ้นรถคันเดียวกับเรา เพราะว่ารถเต็ม....อิอิ..สมน้ำหน้า


........แต่พักนี้ไม่รู้เป็นไง...มีเรื่อง ..ขวางหู ขวางตา กวนตา กวนใจ บ่อยจริงๆ....เอ๊ะ....รึว่าเรา...เป็น...."โอะบ้ะจัง" ซะแล้วละนี่....




 

Create Date : 26 มกราคม 2549    
Last Update : 26 มกราคม 2549 20:20:55 น.
Counter : 298 Pageviews.  

โมโหอิ่ม...

เหตุเกิด...สดๆร้อนๆ ตะกี๊นี้เอง...

หลังจากอยากกิน"ราเม็ง"(ก๋วยเตี๋ยวญี่ปุ่น) มาหลายวันมากๆ ชวนลูกเท่าไหร่ก็ไม่เคยที่จะยอมไปกินกับเราเลย เจ้าหล่อนว่า มันเยอะ...กินไม่หมด (สงสัยกลัวอ้วนมากกว่า)

นี่้ถ้าพ่อบ้านเราอยู่ละก็ แค่กระดิกริมฝีปากนิดเดียวเท่านั้นแหล่ะ เดินตามก้นต้อยๆไปกินกะเราซะนานแล้ว นี่ดันไม่อยู่ซะนี่...

วันนี้หลังเลิกงาน กะว่า "เอาวะ...เป็นตายร้ายดียังไง ตูต้องกินราเม็งให้ได้" น่านนน...ว่าไปนั่น

แล้วก็คิดจริง ทำจริงซะด้วย ปกติไม่เคยเดินเข้าไปกินราเม็งในร้านราเม็งคนเดียวเลยนะเนี่ยะ ....นี่ด้วยความอยากจัด

ร้านเป้าหมายเป็นเจ้าอร่อย ที่ไปกินประจำกะพ่อบ้าน วันนี้ยอมลุยเดี่ยว พกความกล้า แล้วก็พกตังค์ไปด้วย ตั้ง"พันเยนแน่ะ" ปกติเป็นคนไม่ค่อยพกตังค์น่ะ( จริงๆแล้วไม่ค่อยจะมีให้พกน่ะ)

เปิดประตูร้านเข้าไป ในร้านไม่มีคนเลย อ้อ..มีซิ มีลูกค้าหนุ่มๆ นั่งโซ๊ยอยู่คนเดียวที่เค้าท์เตอร์

เข้าไปในร้านตั้งพักนึงก็ยังไม่ได้ยินเสียง "いらっちゃいませ~"(อิรัชชัยมาเซะ/ยินดีต้อนรับค่า-ครับ)เหมือนทุกๆครั้ง

คงเพราะไม่มีลูกค้า เด็กเสริฟเลยไปช่วยพ่อครัวอยู่ในครัว นั่นก็ไม่เท่าไหร่ มันไม่เจ็บใจเท่ากับ

ไอ้พ่อครัว(คนทำก๋วยเตี๋ยว)มันเห็นเราแล้วมันก็ยังไม่พูดต้อนรับ หนำซ้ำยังทำเป็นมองเราแบบแปลกๆ
เหมือนกับว่า เจ๊คนนี้หน้าตาแปลกๆ จะมากินก๋วยเตี๋ยว รึจะมาปล้น...อะไรประมาณนั้น

ทำให้เรารู้สึกโมโหมากๆ แต่ก็ต้องอดทนไว้ เพราะว่าอยากกินก๋วยเตี๋ยวของมันอ่ะ

้เท่านั้นแหล่ะ เด็กเสริฟถึงออกมาจัดที่นั่งให้ พร้อมเสริฟน้ำ
ด้วยความที่โมโห เราก็เลยสั่งก๋วยเตี๋ยวแบบเสียงแข็งๆ

เด็กเสริฟคงรู้ว่าเราไม่พอใจอะไรอยู่ แต่ก็พยายามทำตามหน้าที่ของเค้า

ซักครู่ ก๋วยเตี๋ยวก็ถูกนำออกมาเสริฟ
เด็กเสริฟ " ก๋วยเตี๋ยวอย่างที่สั่งใช่ไหนคะ?"
เรา..."......."เงียบ..ไม่มีเสียงตอบ แค่พยักหน้าตอบทีเดียวพร้อมๆกับหน้าหงิกๆ

ด้วยความอยากจัด ก็เลยจัดการโซ้ยก๋วยเตี๋ยวเบื้องหน้าซะราบคาบภายในไม่ถึง ๑๐ นาที น้ำเนื้อ ไม่มีเหลือร่องรอยไว้ให้เห็น หุหุ... (ก็มันหย่อยนี่..

อิ่มหนำสำราญแล้ว ก็ว่าจะเช็คบิลแล้วออกไปเลย แต่"ใจมันไม่ยอม"ออกไปเปล่าๆน่ะ ขอให้ได้ทำอะไรซักอย่างก็ยังดี

ว่าแล้วก็"ตามใจ"ตัวเองซะหน่อย
เรา..."โกะชิโซะซะมาเดะชิตะ...ก๋วยเตี๋ยวร้านนี้กินกีทีกี่ทีก็อร่อยนะ"(หยอดคำหวานไปก่อน ให้รู้ว่าเราเป็นลูกค้าประจำ)
เด็กเสริฟ..."ขอบคุณมากๆค่ะ ....ขอคิดค่าอาหารนะคะ...เจ็ดร้อยเยนค่ะ"
เรา..."นี่เธอ...ปกติไม่ค่อยมีผู้หญิงเข้ามากินราเม็งคนเดียวเหรอ?"
เด็กเสริฟ..."ือืมมม...เวลาหยั่งงี้ ไม่ค่อยมีค่ะ"
เรา..."มิน่าล่ะ...ทั้งเธอและพ่อครัวถึงได้มองฉันแปลกๆ"
เด็กเสริฟ..."..????..."ทำท่างงๆ ไม่ตอบอะไร
เรา..."แล้วเวลาลูกค้าเข้าร้านน่ะ แค่พูด อิรัชชัยมาเซะ ให้ซักประโยคนึง ฉันซึ่งเป็นลูกค้าก็ดีใจแล้ว นี่อะไร...ไม่พูดต้อนรับ แถมยังทำมองฉันแบบตัวประหลาดอีกแหน่ะ อย่าทำอย่างนี้กับลูกค้าคนอื่นๆนะ ร้านเธอจะไม่มีคนเข้าอีก และฉันก็จะเข้าเป็นครั้งสุดท้ายด้วย...."
ว่าเสร็จเราก็เดินสะบัดก้นหญ่ายๆออกนอกร้านไปเลย
เด็กเสริฟ..."....(สงสัยเอ๋อ..รับทาน..)????..."





 

Create Date : 17 มกราคม 2549    
Last Update : 17 มกราคม 2549 18:15:56 น.
Counter : 372 Pageviews.  

"ごみがあったら出してください!"

"โกะมิกะอัตตะระด๊ะชิเตะกุดาซัย" เป็นเสียงพูดของเด็กหนุ่มวัยกระเตาะประมาณ ๒๐ ได้มั๊งเป็นชาวญี่ปุ่นแต่หน้าตาคมเข้มไปทางคนแถบอิตาลี่(มั๊ง?) เราจะได้ยินเสียงเค้าทุกวัน ยกเว้นวันหยุดของเค้า เด็กคนนี้มีหน้าที่ทำความสะอาดอาคารสถานที่ รวมถึงดูแลขยะด้วย ซึ่งขยะก็จะเป็นประเภทถุงมือ และผ้าปิดปากซะส่วนใหญ่

ทุกวันทำงานเราจะได้ยินเสียงเปิดประตูห้องทำงาน พร้อมๆกับเสียงของเค้า"ถ้ามีขยะกรุณาเอาออกมาด้วย!" เป็นน้ำเสียงที่เข้มๆห้วนๆ เราฟังแล้วรู้สึกกลัว แล้วเราก็ไม่เคยหันไปคุยกับเค้าด้วยแหล่ะ ได้แต่ก้มหน้าก้มตาทำงานของตัวเอง ปล่อยให้พี่ที่ทำอยู่ในห้องเดียวกันเป็นคนจัดการรวมปากถุงขยะแล้วเอาไปส่งเค้า

เรารู้สึกไม่ค่อยสอบลักษณะการพูดของเค้ามาตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำงานแล้ว "คนอะไรพูดจาห้วน ไม่มีมนุษย์สัมพันธ์เลย"เราคิดแบบนั้น แล้วเราก็ไม่สนใจเค้า

จนกระทั่งวันนี้เค้าก็คงดำเนินงานของเค้าแล้วก็โผล่หน้ามาที่ห้องพร้อมกับพูดประโยคเดิมอีก แต่ในห้องทำงานมีแค่เราอยู่คนเดียว แล้วเราก็ไม่เคยทิ้งขยะซะด้วย เราก็ทำเฉย...

ที่ห้องทำงานจะเป็นประเภทปลอดเชื้อโรค คนนอกจะไม่ค่อยได้เข้ามานักถ้าไม่มีกิจ เพราะฉะนั้น ขยะก็ต้องเอาออกไปไว้เองด้วยแหล่ะ

เจ้าหนุ่มนั่นโผล่มาอีก พูดประโยคเดิม และเสียงเดิม เราก็เลยต้องมัดปากถุงเอาขยะออกไปให้เค้า แต่เค้ากำลังถูพื้นอยู่ แล้วเราก็ไม่รู้ด้วยว่าเอาขยะวางไว้ที่ไหนดี
เราก็ถาม "ขยะอาไว้ที่ไหนดีคะ"
เค้าตอบ "ที่โน่น" ทำเสียงแข็งเหมือนเดิม แล้วบุ้ยหน้าไป
เราก็ ....ที่ไหนหว่า มันไม่มีที่วางนี่หว่า?
เราถามอีกแบบเดาเอา..."ที่นี่ใช่รึป่าว?"
เค้าตอบ "ใช่!" ห้วนๆสั้นๆ แล้วไม่มองหน้าเราด้วย
เราก็...เอาวะที่นี่แหล่ะเว้ย....น่ากลับshipหายไอ้เด็กคนนี้

ทนไม่ไหว พอพี่ที่ทำงานด้วยกันเข้ามา เรารีบฟ้องเลย...
เล่าให้เค้าฟังหมด...
พี่เค้าหัวเราะใหญ่เลย...

เค้าว่า...
เด็กคนนั้นน่ะ มีปัญหาทาง"ระบบประสาท" ที่ทำงานเค้าจ้างไว้ทำงาน แล้วก็ไม่ได้มีแค่นี้นะ มีอีก ๒ คนมีปัญหาคล้ายๆกันเลยหล่ะ
คนแรก (เจ้าเด็กคนนี้แหล่ะ) เป็นประเภท พูดจาห้วน ไม่สนใจใคร ดูก้าวร้าวในบางครั้ง
คนที่ ๒ รูปร่างอ้วนท้วน ยิ้มง่าย ดูท่าทางใจดี เราเคยเห็นเค้ารอรับขยะ มัดปากถุงให้เรียบร้อย
คนที่ ๓ ชอบพูดจาเหมือนเด็ก เข้าถึงตัวเวลาพูด หรือที่ว่าชอบเจ๊าะแจ๊ะ(แบบเด็กๆ)

สรุปว่าทั้งสามคนนี้ ถ้าเป็นบ้านเรา ก็จะเรียกว่า เป็นประเภท "ไม่เต็มบาท" หรือ "ติงต๊อง" รึจะเรียกว่า "เอ๋อ"ดีล่ะ แต่ไม่ถึงขั้นปัญญาอ่อนชนิดไม่รู้เรื่องเลยหรอก

ทั้งสามคน ทำงานได้ทีละอย่าง ทำตามคำสั่งเท่านั้น ทำหลายๆอย่างพร้อมๆกันไม่ได้ เนื่องจากระบบประสาทสั่งงานไม่สมบูรณ์

พอเรารู้เท่านั้นแหล่ะ กลับกลายเปลี่ยนความคิด จากเดิมที่รู้สึกไม่พอใจ กลายมาเป็นความรู้สึก "ทึ่ง"

ทึ่ง...มี ๓ อย่างคือ..

๑. ทึ่งที่เด็กเหล่านี้แม้จะสติปัญญาจะไม่สมบูรณ์ แต่เค้าก็ทำงานหาเลี้ยงชีพของเค้าได้ (ผิดกับไอ้พวกสมบูรณ์ทุกอย่าง แต่ชอบทำตัวปัญญากลวง) ซึ่งถ้าเป็นบ้านเรา เด็กเหล่านี้คงอยู่กับบ้านเฉยๆ หรือไม่ก็เดินลอยชายเป็นคนบ้าตามถนนที่เราเห็นบ่อยๆ

๒. ทึ่งที่บริษัทเปิดโอกาสเปิดโอกาสให้เค้าได้มีงานทำ มีรายได้ ถึงแม้จะเป็นงานง่ายๆ หรือบางทีเป็นงานใช้แรงงานก็ตาม บริษัทก็จะดูความเหมาะสมตามสภาพของเด็กคนนั้น

๓. ทึ่งที่รัฐบาล(ญี่ปุ่น)เค้าดูแลประชากรของเค้าเป็นอย่างดี ให้การศึกษา ให้ความรู้ จนเค้าสามารถที่จะดูแลช่วยเหลือตัวเองได้
ที่สำคัญ เด็กพวกนี้ได้นั่งรถเมล์ หรือ รถไฟ "ฟรี" ด้วยหล่ะ อันนี้เราเห็นกะตาเลย เค้าแค่โชว์บัตร(อะไรซักอย่างนึงแหล่ะ)แค่นั้นเอง....


............อยากให้เมืองไทยเราให้ความสำคัญกับประชาชนเหมือนเมืองเค้ามั่งจังเลย......




 

Create Date : 11 มกราคม 2549    
Last Update : 11 มกราคม 2549 20:42:05 น.
Counter : 336 Pageviews.  

หล่อนเท่ห์มาก

อยู่ญี่ปุ่นมาก็เฉียดๆ ๖ ปีแล้ว มีโอกาสนั่งรถบัสที่ญี่ปุ่นยังไม่ถึง ๑๐ ครั้งเลย จนกระทั่งได้มาทำงานที่บริษัทแห่งหนึ่ง ซึ่งมันต้องต่อรถเมล์ไปอีก นั่นแหล่ะ ถึงได้มีโอกาสสัมผัสกับชีวิตคนทำงานบนรถเมล์

รถเมล์ตอนเช้าๆ ถึงมันจะแน่นยังไง มันก็ให้ความรู้สึกต่างจากรถเมล์ในเมืองบางกอกบ้านเรามากๆ เพราะมันแน่น แต่ไม่มันไม่อัดเป็นปลากระป๋อง ชนิดล้นออกมานอกประตู

มีครั้งนึงที่กรุงเทพ สมัยเป็นวัยสะรุ่นต้องนั่งรถเมล์ผ่านหน้ารามทุกวัน ในรถเมล์น่ะเหรอ แน่นอน อัดยิ่งกว่าปลากระป๋องอีก เรายืนอยู่ด้านในบริเวณกลางๆ ฝั่งที่มองเห็นคนบนฟุตบาต เราเห็นเด็กนักเรียนผู้ชาย ประมาณ ม.๒ รึ ม.๓ นี่แหล่ะ วิ่งหน้าตั้ง เพื่อที่จะมาขึ้นรถเมล์คันที่เรานั่ง แต่จังหวะเดียวกัน รถเมล์ก็กำลังออกตัว คงนึกภาพออกนะว่า พี่โชว์เฟอร์แกน่ะ เวลาออกตัวรถน่ะ เรียกได้ว่า ถ้าคนไม่แน่น รถก็มีโอกาสเหินหน้าได้ยังไงยังงั้น

เด็กคนนั้นกระโดดเกาะราวบันไดด้านประตูหน้ารถเมล์พร้อมๆกับที่รถออกตัว วันนั้นฝนตก ลื่นด้วย เด็กคนนั้นลื่นล้ม มือหลุดออกจากที่จับข้างประตูรถ ตกลงไปทันที ขณะเดียวกัน เราเองก็รู้สึกเหมือนว่ารถมันเหยียบขอนไม้อะไรสักอย่าง แป๊บเดียวก็มีคนตะโกนโหวกเหวกดังลั่น

เด็กคนนั้นถูกรถเหยียบที่ขา ถูกเหยียบในขณะที่ผู้โดยสารแน่นคันรถ คิดเอาเองว่าน้ำหนักรถบวกน้ำหนักคนทั้งคันรถรวมกันเป็นเท่าไหร่ เด็กคนนั้นไม่ร้องเลย...สงสัยจะยังชาอยู่ แต่เรา.....เห็นแล้วเศร้าสลด

มาเข้าเรื่องหล่อนเทห์มากดีกว่า ที่ว่าเท่ห์นั้นก็คือ หล่อนเป็น "โชว์เฟอร์ขับรถบัส"น่ะ หลายคนที่ใช้บริการรถเมล์บ่อยๆ คงได้เห็น แต่คนที่เรานั่งรถเค้าในวันนั้น หล่อนหน้าตาเก๋ไก๋มากเลย จัดว่าน่ารักเลยหล่ะ วัยก็คงประมาณ๓๐ต้นๆเห็นจะได้ (แต่จริงๆแล้วดูน่าจะ ๒๐ กว่าๆมากกว่า เพราะหน้าอ่อน)

ตอนผู้โดยสารขึ้นรถก็ไม่มีใครสนใจ พอรถเริ่มออกตัว โชว์เฟอร์จะต้องประกาศแจ้งผู้โดยสาร พอเสียงหวานๆผ่านไมค์ทะลุลำโพงมาเข้าหูผู้โดยสารเท่านั้นแหล่ะ เราสังเกตเห็นพวกมนุษย์เงินเดือนทั้งหลายชะเง้อชะแง้ดูกันใหญ่

เราก็พลอยชะเง้ิิอไปดูกะเข้าด้วยหล่ะ ..... เท่าที่รู้มา คนที่จะเข้ามาทำโชร์เฟอร์นั้นไม่ได้เป็นกันง่ายๆ ต้องผ่านการสอบอย่างเข้มงวดมาก โดยเฉพาะผู้หญิง เราว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะมาควบคุมรถใหญ่ๆ และขับในถนนที่แคบๆ เวลาโค้งทีนึงเจอโค้งหักศอกเก้าสิบองศาก็ผ่านได้สบายๆ

เราถึงได้ว่า....หล่อนเท่ห์มาก.....ทึ่งจริงๆ..




 

Create Date : 10 มกราคม 2549    
Last Update : 10 มกราคม 2549 17:30:29 น.
Counter : 329 Pageviews.  

成人の日

วันนี้ออกจากบ้านไปขึ้นรถไฟแต่เช้าตามปกติ สิ่งที่แปลกหูแปลกตาไปจากทุกๆวันก็คือ จะเห็นเด็กหนุ่มเด็กสาว ใส่ชุดกิโมโน หรือสูทร สุดหล่อสุดสวย เดินกันให้กวักไกว่

ใช่แล้ว...วันนี้เป็นวัน 成人の日(เซอิจินโนะหิ) หรือวันบรรลุนิติภาวะ ของคนญี่ปุ่นนั่นเอง เด็กที่อายุครบ ๒๐ ปีในปีนี้ จะเข้าร่วม"พิธีบรรลุนิติภาวะ"ที่ทางการของแต่ละเขตแต่ละอำเภอเป็นผู้จัด แล้วเด็กในเขตนั้นๆก็จะไปเข้าร่วมฟังกัน

หลายคนมีพ่อแม่แต่สวยแต่งหล่อตามลูกไปร่วมพิธีด้วย ส่วนใหญ่รวมตัวนัดกันกับเพื่อนเฮโลกันไปเป็นกลุ่มๆ บางคนก็หอบลูกเข็นเต้า เอ้ย..หอบเต้าเข็นลูกมาเข้าร่วมพิธีกันก็มี

อายุ ๒๐ ถือว่าเป็นผู้ใหญ่แล้ว สามารถกินเหล้า สูบบุหรี่ได้โดยไม่ผิดกฏหมาย(แต่เห็นมันทั้งดูดทั้งดื่มตั้งกะยังไม่ ๒๐ กันเลยอ่ะ) รวมทั้งถ้าหากกระทำผิด ก็จะได้รับโทษตามกฏหมาย โดยไม่มีลดหย่อนเหมือนกับเด็กๆแล้วด้วย

อายุ ๒๐ ....เราว่ายังไม่โตอ่ะ....ดูยังไงมันก็ยังไม่เป็นผู้ใหญ่ ยิ่งเห็นตามทีวีที่เอาตัวอย่างไอ้พวกบ้าๆมาออกทีวีแล้วยิ่งกลุ้ม แต่งตัวกันยังกับมาเฟียรุ่นซามูไร แถมพกเหล้าเป็นขวดๆ เข้ามาดวดในงานพิธี กินเสร็จเขวี้ยงขวดขึ้นเวทีขณะที่ประธานยังพูดอยู่เลย แม๊....มันเลวกันจริงๆ... ชกต่อยกันในงานพิธีมั่ง ... ร้องรำทำเพลงในขณะที่มีงานธีมั่ง....

แล้วหยั่งงี้มันจะเป็นผู้ใหญ่ได้เหรอว๊ะเนี่ยะ...??

นึกๆแล้วก็กลุ้มในแทนพ่อแม่พวกมัน

ว่าแต่ลูกชาวบ้านเค้า ....ลูกตัวเองอีก ๓ ปีก็จะเป็นผู้ใหญ่แล้ว คงไปร่วมงานแบบนี้เหมือนกัน (แต่ดูท่าทางว่าลูกมันคงไม่ให้พ่อแม่มันตามไปร่วมพิธีด้วยแหงๆ )

แล้ว...อีก....๓ ปี...ข้างหน้า...ลูกเราจะ...เป็นผู้ใหญ่...แบบไหนน๊าาาาาา.....????..... ...




 

Create Date : 09 มกราคม 2549    
Last Update : 9 มกราคม 2549 20:39:32 น.
Counter : 363 Pageviews.  

1  2  3  

มาลัย1000ปี
Location :
Kanagawa Japan

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add มาลัย1000ปี's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.