|
โมโหอิ่ม...
เหตุเกิด...สดๆร้อนๆ ตะกี๊นี้เอง...
หลังจากอยากกิน"ราเม็ง"(ก๋วยเตี๋ยวญี่ปุ่น) มาหลายวันมากๆ ชวนลูกเท่าไหร่ก็ไม่เคยที่จะยอมไปกินกับเราเลย เจ้าหล่อนว่า มันเยอะ...กินไม่หมด (สงสัยกลัวอ้วนมากกว่า)
นี่้ถ้าพ่อบ้านเราอยู่ละก็ แค่กระดิกริมฝีปากนิดเดียวเท่านั้นแหล่ะ เดินตามก้นต้อยๆไปกินกะเราซะนานแล้ว นี่ดันไม่อยู่ซะนี่...
วันนี้หลังเลิกงาน กะว่า "เอาวะ...เป็นตายร้ายดียังไง ตูต้องกินราเม็งให้ได้" น่านนน...ว่าไปนั่น
แล้วก็คิดจริง ทำจริงซะด้วย ปกติไม่เคยเดินเข้าไปกินราเม็งในร้านราเม็งคนเดียวเลยนะเนี่ยะ ....นี่ด้วยความอยากจัด
ร้านเป้าหมายเป็นเจ้าอร่อย ที่ไปกินประจำกะพ่อบ้าน วันนี้ยอมลุยเดี่ยว พกความกล้า แล้วก็พกตังค์ไปด้วย ตั้ง"พันเยนแน่ะ" ปกติเป็นคนไม่ค่อยพกตังค์น่ะ( จริงๆแล้วไม่ค่อยจะมีให้พกน่ะ)
เปิดประตูร้านเข้าไป ในร้านไม่มีคนเลย อ้อ..มีซิ มีลูกค้าหนุ่มๆ นั่งโซ๊ยอยู่คนเดียวที่เค้าท์เตอร์
เข้าไปในร้านตั้งพักนึงก็ยังไม่ได้ยินเสียง "いらっちゃいませ~"(อิรัชชัยมาเซะ/ยินดีต้อนรับค่า-ครับ)เหมือนทุกๆครั้ง
คงเพราะไม่มีลูกค้า เด็กเสริฟเลยไปช่วยพ่อครัวอยู่ในครัว นั่นก็ไม่เท่าไหร่ มันไม่เจ็บใจเท่ากับ
ไอ้พ่อครัว(คนทำก๋วยเตี๋ยว)มันเห็นเราแล้วมันก็ยังไม่พูดต้อนรับ หนำซ้ำยังทำเป็นมองเราแบบแปลกๆ เหมือนกับว่า เจ๊คนนี้หน้าตาแปลกๆ จะมากินก๋วยเตี๋ยว รึจะมาปล้น...อะไรประมาณนั้น
ทำให้เรารู้สึกโมโหมากๆ แต่ก็ต้องอดทนไว้ เพราะว่าอยากกินก๋วยเตี๋ยวของมันอ่ะ
้เท่านั้นแหล่ะ เด็กเสริฟถึงออกมาจัดที่นั่งให้ พร้อมเสริฟน้ำ ด้วยความที่โมโห เราก็เลยสั่งก๋วยเตี๋ยวแบบเสียงแข็งๆ
เด็กเสริฟคงรู้ว่าเราไม่พอใจอะไรอยู่ แต่ก็พยายามทำตามหน้าที่ของเค้า
ซักครู่ ก๋วยเตี๋ยวก็ถูกนำออกมาเสริฟ เด็กเสริฟ " ก๋วยเตี๋ยวอย่างที่สั่งใช่ไหนคะ?" เรา..."......."เงียบ..ไม่มีเสียงตอบ แค่พยักหน้าตอบทีเดียวพร้อมๆกับหน้าหงิกๆ
ด้วยความอยากจัด ก็เลยจัดการโซ้ยก๋วยเตี๋ยวเบื้องหน้าซะราบคาบภายในไม่ถึง ๑๐ นาที น้ำเนื้อ ไม่มีเหลือร่องรอยไว้ให้เห็น หุหุ... (ก็มันหย่อยนี่..
อิ่มหนำสำราญแล้ว ก็ว่าจะเช็คบิลแล้วออกไปเลย แต่"ใจมันไม่ยอม"ออกไปเปล่าๆน่ะ ขอให้ได้ทำอะไรซักอย่างก็ยังดี
ว่าแล้วก็"ตามใจ"ตัวเองซะหน่อย เรา..."โกะชิโซะซะมาเดะชิตะ...ก๋วยเตี๋ยวร้านนี้กินกีทีกี่ทีก็อร่อยนะ"(หยอดคำหวานไปก่อน ให้รู้ว่าเราเป็นลูกค้าประจำ) เด็กเสริฟ..."ขอบคุณมากๆค่ะ ....ขอคิดค่าอาหารนะคะ...เจ็ดร้อยเยนค่ะ" เรา..."นี่เธอ...ปกติไม่ค่อยมีผู้หญิงเข้ามากินราเม็งคนเดียวเหรอ?" เด็กเสริฟ..."ือืมมม...เวลาหยั่งงี้ ไม่ค่อยมีค่ะ" เรา..."มิน่าล่ะ...ทั้งเธอและพ่อครัวถึงได้มองฉันแปลกๆ" เด็กเสริฟ..."..????..."ทำท่างงๆ ไม่ตอบอะไร เรา..."แล้วเวลาลูกค้าเข้าร้านน่ะ แค่พูด อิรัชชัยมาเซะ ให้ซักประโยคนึง ฉันซึ่งเป็นลูกค้าก็ดีใจแล้ว นี่อะไร...ไม่พูดต้อนรับ แถมยังทำมองฉันแบบตัวประหลาดอีกแหน่ะ อย่าทำอย่างนี้กับลูกค้าคนอื่นๆนะ ร้านเธอจะไม่มีคนเข้าอีก และฉันก็จะเข้าเป็นครั้งสุดท้ายด้วย...." ว่าเสร็จเราก็เดินสะบัดก้นหญ่ายๆออกนอกร้านไปเลย เด็กเสริฟ..."....(สงสัยเอ๋อ..รับทาน..)????..."
Create Date : 17 มกราคม 2549 | | |
Last Update : 17 มกราคม 2549 18:15:56 น. |
Counter : 372 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
"ごみがあったら出してください!"
"โกะมิกะอัตตะระด๊ะชิเตะกุดาซัย" เป็นเสียงพูดของเด็กหนุ่มวัยกระเตาะประมาณ ๒๐ ได้มั๊งเป็นชาวญี่ปุ่นแต่หน้าตาคมเข้มไปทางคนแถบอิตาลี่(มั๊ง?) เราจะได้ยินเสียงเค้าทุกวัน ยกเว้นวันหยุดของเค้า เด็กคนนี้มีหน้าที่ทำความสะอาดอาคารสถานที่ รวมถึงดูแลขยะด้วย ซึ่งขยะก็จะเป็นประเภทถุงมือ และผ้าปิดปากซะส่วนใหญ่
ทุกวันทำงานเราจะได้ยินเสียงเปิดประตูห้องทำงาน พร้อมๆกับเสียงของเค้า"ถ้ามีขยะกรุณาเอาออกมาด้วย!" เป็นน้ำเสียงที่เข้มๆห้วนๆ เราฟังแล้วรู้สึกกลัว แล้วเราก็ไม่เคยหันไปคุยกับเค้าด้วยแหล่ะ ได้แต่ก้มหน้าก้มตาทำงานของตัวเอง ปล่อยให้พี่ที่ทำอยู่ในห้องเดียวกันเป็นคนจัดการรวมปากถุงขยะแล้วเอาไปส่งเค้า
เรารู้สึกไม่ค่อยสอบลักษณะการพูดของเค้ามาตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำงานแล้ว "คนอะไรพูดจาห้วน ไม่มีมนุษย์สัมพันธ์เลย"เราคิดแบบนั้น แล้วเราก็ไม่สนใจเค้า
จนกระทั่งวันนี้เค้าก็คงดำเนินงานของเค้าแล้วก็โผล่หน้ามาที่ห้องพร้อมกับพูดประโยคเดิมอีก แต่ในห้องทำงานมีแค่เราอยู่คนเดียว แล้วเราก็ไม่เคยทิ้งขยะซะด้วย เราก็ทำเฉย...
ที่ห้องทำงานจะเป็นประเภทปลอดเชื้อโรค คนนอกจะไม่ค่อยได้เข้ามานักถ้าไม่มีกิจ เพราะฉะนั้น ขยะก็ต้องเอาออกไปไว้เองด้วยแหล่ะ
เจ้าหนุ่มนั่นโผล่มาอีก พูดประโยคเดิม และเสียงเดิม เราก็เลยต้องมัดปากถุงเอาขยะออกไปให้เค้า แต่เค้ากำลังถูพื้นอยู่ แล้วเราก็ไม่รู้ด้วยว่าเอาขยะวางไว้ที่ไหนดี เราก็ถาม "ขยะอาไว้ที่ไหนดีคะ" เค้าตอบ "ที่โน่น" ทำเสียงแข็งเหมือนเดิม แล้วบุ้ยหน้าไป เราก็ ....ที่ไหนหว่า มันไม่มีที่วางนี่หว่า? เราถามอีกแบบเดาเอา..."ที่นี่ใช่รึป่าว?" เค้าตอบ "ใช่!" ห้วนๆสั้นๆ แล้วไม่มองหน้าเราด้วย เราก็...เอาวะที่นี่แหล่ะเว้ย....น่ากลับshipหายไอ้เด็กคนนี้
ทนไม่ไหว พอพี่ที่ทำงานด้วยกันเข้ามา เรารีบฟ้องเลย... เล่าให้เค้าฟังหมด... พี่เค้าหัวเราะใหญ่เลย...
เค้าว่า... เด็กคนนั้นน่ะ มีปัญหาทาง"ระบบประสาท" ที่ทำงานเค้าจ้างไว้ทำงาน แล้วก็ไม่ได้มีแค่นี้นะ มีอีก ๒ คนมีปัญหาคล้ายๆกันเลยหล่ะ คนแรก (เจ้าเด็กคนนี้แหล่ะ) เป็นประเภท พูดจาห้วน ไม่สนใจใคร ดูก้าวร้าวในบางครั้ง คนที่ ๒ รูปร่างอ้วนท้วน ยิ้มง่าย ดูท่าทางใจดี เราเคยเห็นเค้ารอรับขยะ มัดปากถุงให้เรียบร้อย คนที่ ๓ ชอบพูดจาเหมือนเด็ก เข้าถึงตัวเวลาพูด หรือที่ว่าชอบเจ๊าะแจ๊ะ(แบบเด็กๆ)
สรุปว่าทั้งสามคนนี้ ถ้าเป็นบ้านเรา ก็จะเรียกว่า เป็นประเภท "ไม่เต็มบาท" หรือ "ติงต๊อง" รึจะเรียกว่า "เอ๋อ"ดีล่ะ แต่ไม่ถึงขั้นปัญญาอ่อนชนิดไม่รู้เรื่องเลยหรอก
ทั้งสามคน ทำงานได้ทีละอย่าง ทำตามคำสั่งเท่านั้น ทำหลายๆอย่างพร้อมๆกันไม่ได้ เนื่องจากระบบประสาทสั่งงานไม่สมบูรณ์
พอเรารู้เท่านั้นแหล่ะ กลับกลายเปลี่ยนความคิด จากเดิมที่รู้สึกไม่พอใจ กลายมาเป็นความรู้สึก "ทึ่ง"
ทึ่ง...มี ๓ อย่างคือ..
๑. ทึ่งที่เด็กเหล่านี้แม้จะสติปัญญาจะไม่สมบูรณ์ แต่เค้าก็ทำงานหาเลี้ยงชีพของเค้าได้ (ผิดกับไอ้พวกสมบูรณ์ทุกอย่าง แต่ชอบทำตัวปัญญากลวง) ซึ่งถ้าเป็นบ้านเรา เด็กเหล่านี้คงอยู่กับบ้านเฉยๆ หรือไม่ก็เดินลอยชายเป็นคนบ้าตามถนนที่เราเห็นบ่อยๆ
๒. ทึ่งที่บริษัทเปิดโอกาสเปิดโอกาสให้เค้าได้มีงานทำ มีรายได้ ถึงแม้จะเป็นงานง่ายๆ หรือบางทีเป็นงานใช้แรงงานก็ตาม บริษัทก็จะดูความเหมาะสมตามสภาพของเด็กคนนั้น
๓. ทึ่งที่รัฐบาล(ญี่ปุ่น)เค้าดูแลประชากรของเค้าเป็นอย่างดี ให้การศึกษา ให้ความรู้ จนเค้าสามารถที่จะดูแลช่วยเหลือตัวเองได้ ที่สำคัญ เด็กพวกนี้ได้นั่งรถเมล์ หรือ รถไฟ "ฟรี" ด้วยหล่ะ อันนี้เราเห็นกะตาเลย เค้าแค่โชว์บัตร(อะไรซักอย่างนึงแหล่ะ)แค่นั้นเอง....
............อยากให้เมืองไทยเราให้ความสำคัญกับประชาชนเหมือนเมืองเค้ามั่งจังเลย......
Create Date : 11 มกราคม 2549 | | |
Last Update : 11 มกราคม 2549 20:42:05 น. |
Counter : 336 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
หล่อนเท่ห์มาก
อยู่ญี่ปุ่นมาก็เฉียดๆ ๖ ปีแล้ว มีโอกาสนั่งรถบัสที่ญี่ปุ่นยังไม่ถึง ๑๐ ครั้งเลย จนกระทั่งได้มาทำงานที่บริษัทแห่งหนึ่ง ซึ่งมันต้องต่อรถเมล์ไปอีก นั่นแหล่ะ ถึงได้มีโอกาสสัมผัสกับชีวิตคนทำงานบนรถเมล์
รถเมล์ตอนเช้าๆ ถึงมันจะแน่นยังไง มันก็ให้ความรู้สึกต่างจากรถเมล์ในเมืองบางกอกบ้านเรามากๆ เพราะมันแน่น แต่ไม่มันไม่อัดเป็นปลากระป๋อง ชนิดล้นออกมานอกประตู
มีครั้งนึงที่กรุงเทพ สมัยเป็นวัยสะรุ่นต้องนั่งรถเมล์ผ่านหน้ารามทุกวัน ในรถเมล์น่ะเหรอ แน่นอน อัดยิ่งกว่าปลากระป๋องอีก เรายืนอยู่ด้านในบริเวณกลางๆ ฝั่งที่มองเห็นคนบนฟุตบาต เราเห็นเด็กนักเรียนผู้ชาย ประมาณ ม.๒ รึ ม.๓ นี่แหล่ะ วิ่งหน้าตั้ง เพื่อที่จะมาขึ้นรถเมล์คันที่เรานั่ง แต่จังหวะเดียวกัน รถเมล์ก็กำลังออกตัว คงนึกภาพออกนะว่า พี่โชว์เฟอร์แกน่ะ เวลาออกตัวรถน่ะ เรียกได้ว่า ถ้าคนไม่แน่น รถก็มีโอกาสเหินหน้าได้ยังไงยังงั้น
เด็กคนนั้นกระโดดเกาะราวบันไดด้านประตูหน้ารถเมล์พร้อมๆกับที่รถออกตัว วันนั้นฝนตก ลื่นด้วย เด็กคนนั้นลื่นล้ม มือหลุดออกจากที่จับข้างประตูรถ ตกลงไปทันที ขณะเดียวกัน เราเองก็รู้สึกเหมือนว่ารถมันเหยียบขอนไม้อะไรสักอย่าง แป๊บเดียวก็มีคนตะโกนโหวกเหวกดังลั่น
เด็กคนนั้นถูกรถเหยียบที่ขา ถูกเหยียบในขณะที่ผู้โดยสารแน่นคันรถ คิดเอาเองว่าน้ำหนักรถบวกน้ำหนักคนทั้งคันรถรวมกันเป็นเท่าไหร่ เด็กคนนั้นไม่ร้องเลย...สงสัยจะยังชาอยู่ แต่เรา.....เห็นแล้วเศร้าสลด
มาเข้าเรื่องหล่อนเทห์มากดีกว่า ที่ว่าเท่ห์นั้นก็คือ หล่อนเป็น "โชว์เฟอร์ขับรถบัส"น่ะ หลายคนที่ใช้บริการรถเมล์บ่อยๆ คงได้เห็น แต่คนที่เรานั่งรถเค้าในวันนั้น หล่อนหน้าตาเก๋ไก๋มากเลย จัดว่าน่ารักเลยหล่ะ วัยก็คงประมาณ๓๐ต้นๆเห็นจะได้ (แต่จริงๆแล้วดูน่าจะ ๒๐ กว่าๆมากกว่า เพราะหน้าอ่อน)
ตอนผู้โดยสารขึ้นรถก็ไม่มีใครสนใจ พอรถเริ่มออกตัว โชว์เฟอร์จะต้องประกาศแจ้งผู้โดยสาร พอเสียงหวานๆผ่านไมค์ทะลุลำโพงมาเข้าหูผู้โดยสารเท่านั้นแหล่ะ เราสังเกตเห็นพวกมนุษย์เงินเดือนทั้งหลายชะเง้อชะแง้ดูกันใหญ่
เราก็พลอยชะเง้ิิอไปดูกะเข้าด้วยหล่ะ ..... เท่าที่รู้มา คนที่จะเข้ามาทำโชร์เฟอร์นั้นไม่ได้เป็นกันง่ายๆ ต้องผ่านการสอบอย่างเข้มงวดมาก โดยเฉพาะผู้หญิง เราว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะมาควบคุมรถใหญ่ๆ และขับในถนนที่แคบๆ เวลาโค้งทีนึงเจอโค้งหักศอกเก้าสิบองศาก็ผ่านได้สบายๆ
เราถึงได้ว่า....หล่อนเท่ห์มาก.....ทึ่งจริงๆ..
Create Date : 10 มกราคม 2549 | | |
Last Update : 10 มกราคม 2549 17:30:29 น. |
Counter : 329 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
成人の日
วันนี้ออกจากบ้านไปขึ้นรถไฟแต่เช้าตามปกติ สิ่งที่แปลกหูแปลกตาไปจากทุกๆวันก็คือ จะเห็นเด็กหนุ่มเด็กสาว ใส่ชุดกิโมโน หรือสูทร สุดหล่อสุดสวย เดินกันให้กวักไกว่
ใช่แล้ว...วันนี้เป็นวัน 成人の日(เซอิจินโนะหิ) หรือวันบรรลุนิติภาวะ ของคนญี่ปุ่นนั่นเอง เด็กที่อายุครบ ๒๐ ปีในปีนี้ จะเข้าร่วม"พิธีบรรลุนิติภาวะ"ที่ทางการของแต่ละเขตแต่ละอำเภอเป็นผู้จัด แล้วเด็กในเขตนั้นๆก็จะไปเข้าร่วมฟังกัน
หลายคนมีพ่อแม่แต่สวยแต่งหล่อตามลูกไปร่วมพิธีด้วย ส่วนใหญ่รวมตัวนัดกันกับเพื่อนเฮโลกันไปเป็นกลุ่มๆ บางคนก็หอบลูกเข็นเต้า เอ้ย..หอบเต้าเข็นลูกมาเข้าร่วมพิธีกันก็มี
อายุ ๒๐ ถือว่าเป็นผู้ใหญ่แล้ว สามารถกินเหล้า สูบบุหรี่ได้โดยไม่ผิดกฏหมาย(แต่เห็นมันทั้งดูดทั้งดื่มตั้งกะยังไม่ ๒๐ กันเลยอ่ะ) รวมทั้งถ้าหากกระทำผิด ก็จะได้รับโทษตามกฏหมาย โดยไม่มีลดหย่อนเหมือนกับเด็กๆแล้วด้วย
อายุ ๒๐ ....เราว่ายังไม่โตอ่ะ....ดูยังไงมันก็ยังไม่เป็นผู้ใหญ่ ยิ่งเห็นตามทีวีที่เอาตัวอย่างไอ้พวกบ้าๆมาออกทีวีแล้วยิ่งกลุ้ม แต่งตัวกันยังกับมาเฟียรุ่นซามูไร แถมพกเหล้าเป็นขวดๆ เข้ามาดวดในงานพิธี กินเสร็จเขวี้ยงขวดขึ้นเวทีขณะที่ประธานยังพูดอยู่เลย แม๊....มันเลวกันจริงๆ... ชกต่อยกันในงานพิธีมั่ง ... ร้องรำทำเพลงในขณะที่มีงานธีมั่ง....
แล้วหยั่งงี้มันจะเป็นผู้ใหญ่ได้เหรอว๊ะเนี่ยะ...??
นึกๆแล้วก็กลุ้มในแทนพ่อแม่พวกมัน
ว่าแต่ลูกชาวบ้านเค้า ....ลูกตัวเองอีก ๓ ปีก็จะเป็นผู้ใหญ่แล้ว คงไปร่วมงานแบบนี้เหมือนกัน (แต่ดูท่าทางว่าลูกมันคงไม่ให้พ่อแม่มันตามไปร่วมพิธีด้วยแหงๆ )
แล้ว...อีก....๓ ปี...ข้างหน้า...ลูกเราจะ...เป็นผู้ใหญ่...แบบไหนน๊าาาาาา.....????..... ...
Create Date : 09 มกราคม 2549 | | |
Last Update : 9 มกราคม 2549 20:39:32 น. |
Counter : 363 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|