Love Actually is....
Group Blog
 
All blogs
 

Love Actually is..เขียนเรื่องความรัก เพราะไม่อยากให้ “คนมีรัก” ทำร้ายกันอีกต่อไป (บทที่ 2)



สวัสดีค่ะ


วันนี้เราอยากจะเขียนเรื่อง “อีกมุมหนึ่ง” ของความรัก .........เป็นมุมที่เราอยากเรียกว่า “มุมมืด”


เราทุกคนมี “มุมมืด” ด้วยกันทั้งนั้นค่ะ เรามี คุณก็มี แต่เมื่อไหร่ที่มันเป็น “มุมมืด” ของพวกเราเอง พวกเรามักเชิดหน้าขึ้น มองฟ้า บอกว่า "ฉันไม่แคร์ ฉันมีเหตุผลของฉัน” เพื่อหลีกเลี่ยงการ “ยอมรับ” ว่าเราก็มี “มุมมืด”


ขอออกตัวอีกครั้งนะคะ เราไม่ใช่ผู้เชียวชาญด้านความรัก สิ่งที่เราเขียนล้วนนำมาจากมุมมองของเรา ที่ได้มาจากประสบการณ์ของตนเอง และของคนรอบข้างที่ทั้งสิ้น เราไม่ได้เชี่ยวชาญ เราก็เคย “พลาด” (รู้เท่าไม่ถึงการณ์) และเราก็เคย “ผิด” (ตั้งใจทำทั้งที่รู้ว่าไม่ถูก) เราจึงอยากเขียนขึ้นมา เพราะ “มุมมืด” นี้ เป็นมุมที่ “คนมีรัก” คนมักไม่พูดถึงกันเท่าไหร่


เมื่อเกิดปัญหาตรงหน้า ทุกคนล้วนอยากมีทางออก อยากแก้ปัญหา หวังให้สวรรค์เมตตาว่าในวันรุ่งขึ้น ขอให้ปัญหาหมดสิ้นไป บ้างก็เฝ้าถามตัวเอง ฉันผิดอะไรหรือ ทำไมต้องเจอเหตุการณ์อย่างนี้ ทำไมเขาทำอย่างนั้น ทำไมคนนั้นทำอย่างนี้    


เป็นเรื่องที่แปลกนะคะ คนเราต่างกัน ชีวิตไม่มีซ้ำกันเลย แต่ปัญหาที่เจอ ทำไมเรารู้สึกว่ามัน “ซ้ำ” กันมากๆ และเมื่ออยู่ในปัญหา เราทุกคนย่อมมุ่งมั่นหา “ทางออก” เหมือนกันหมด หรือบางทีพวกเราก็ลืมไปว่าทางออกมันก็คือ “ทางเข้า” นั่นเอง ขอเตือนกันก่อน บทนี้มี “ความอ่านยาก” อยู่นะคะSmiley ไม่ใช่ยากเพราะภาษา หรือเราเขียนอะไรยาก แต่อ่านไปเถอะ แล้วคุณจะรู้สึกได้เองว่ามัน “ยาก” ที่จะทำใจอ่านให้จบ 


ไม่อย่างนั้น มุมนี้คงไม่ถูกมองว่าเป็น “มุมมืด” มุมที่มาจากก้นบึ้งของ “ความร้ายกาจ”Smiley ในใจของพวกเรา ทุกคนมีมุมนี้มากน้อยต่างกัน แต่ก็มีด้วยกันทั้งนั้น เราก็มี เราก็เคยทำด้วย (เคยรับกรรมมาแล้วด้วย) มุมที่เราทุกคนหลีกเลี่ยงที่จะยอมรับว่า “มี” บอกกับตัวเอง และคนอื่นว่า “ฉันทำเพราะฉันรัก”  


ลองเปิดใจอ่านสักตั้งนะคะ


เชื่อไหมคะ ปัญหาเรื่องความรัก ความสัมพันธ์ จะลดลงได้อีกเยอะ หากเมื่อไหร่ที่คุณ “มีรัก” คุณไม่ “ทำร้าย”


งงใช่ไหมคะ คนมีรัก จะไปอยากทำร้ายใครได้อย่างไร


“ความรัก” คืออะไร สำหรับเรา ยามคำว่า “รัก” เปลี่ยนไปตามวัย ตามประสบการณ์


ไม่น่าเชื่อว่า ผู้ที่ให้คำตอบนิยามของคำว่า “รัก” แก่เราได้ เป็น “พระ” ค่ะ ผู้ทรงศีลกลับนิยามกิเลสชื่อ “รัก” ได้ตรงใจเรามากๆ


“รักคือการผูกพันธ์ในความดี” หลวงพ่อที่เรานับถือเคยพูดเอาไว้


แต่ท่านต่อด้วยประโยคว่า "ถ้าดีไม่ได้ ก็เลิกผูกพันธ์" ชัดๆ หมดสงสัยเลยค่ะ


รักต้อง “ดี” คิดดี พูดดี ทำดี เห็นดี ใฝ่ดี หวังดี เมตตาดี


ถ้าไม่ "ดี" อย่ามาใช้คำว่า "รัก" จะดีกว่า


ลองดูเหตุการณ์คุ้นๆ ในตอนต่อไปนะคะ เหมือนบทละครเลยค่ะ แต่ “เราทุกคน” ครั้งหนึ่งในชีวิต ต้องเคยได้ยิน เคยเจอ เคยเห็น หรือแม้กระทั่ง “เคยทำ” เรื่องแบบนี้เอง 





 

Create Date : 05 ธันวาคม 2552    
Last Update : 6 ธันวาคม 2552 18:42:47 น.
Counter : 500 Pageviews.  

ตอนที่ 1 ........ร้ายเพราะ "ไม่ได้เริ่ม"

“เค้ามาจีบชั้นเอง สาบานได้ ไม่เคยไปยุ่งเลย ก็รู้แล้วว่าเค้ามีแฟน แต่ชั้นอยู่ของชั้นดีๆ ไม่ใช่เหรอ ชั้นไม่เคยโทรหา ไม่เคยอะไรเลย เค้ามาเองตลอด”


เพื่อนคนนี้จริงๆ แล้วเธอเป็นคนตรงไปตรงมา และเราเชื่อ 100% ว่าเธอพูดจริง เพื่อนเราไม่จีบผู้ชายที่มีแฟนแล้วแน่นอน เมื่อฝ่ายชายมาจีบ ให้ความพิเศษเกินเลย เธอจึงถือว่าเธอไม่ผิด


แต่ว่า.....................เธอรู้ว่าเค้ามีแฟนแล้ว เธอ “ปฏิเสธ” ได้ไม่ใช่เหรอ เขามาจีบ เขาโทรมา เขามาหา อาสาไปส่ง เธอ “เลือก” ที่จะ”ไม่เปิดโอกาส” ได้ไม่ใช่เหรอ


บางคนบอกว่าปฏิเสธไม่ได้จริงๆ เขาเป็นเพื่อนสนิท เป็นรุ่นพี่ที่ทำงาน เป็นนาย เป็นญาติของคนที่เคารพ ฯลฯ ต้องยอมเพราะ “เกรงใจ”


เราขอถามกลับนิดเดียวค่ะ ”ถ้าเขาเป็นทั้งหมดที่ว่า เป็นเพื่อน เป็นนาย เป็นญาติของคนรู้จัก แต่ถ้าเขาไม่ใช่คนที่ “ถูกใจ” ด้วย ยังจะเปิดโอกาสเช่นนี้ไหม”?


คิดดูนะคะ ตอบตัวเองดังๆ ด้วย


ผ่านเวลามาเรื่อยๆ คำว่า "ชั้นไม่ได้ทำอะไร" กลับกลายเป็น "ถ้าแฟนเค้าดีจริง เค้าก็คงรักกันดี ไม่เปลี่ยนใจมาหาชั้นหรอก" ในบางครั้งที่เธอหงุดหงิดกับคำถามทางสายตาของผู้คน แต่เธอยังยืนยันหนักแน่น "ชั้นไม่ได้เริ่มซะหน่อย คิดว่าอย่างชั้นต้องแย่งแฟนคนอื่นด้วยเหรอ"


คนตรงๆ อย่าง Love Actually is.. มีหรือจะเงียบ เธอเอาใหญ่ ฉันเลยถามกลับบ้าง


"ฉันไม่ได้ถามว่าเริ่มก่อนรึเปล่า จะมาพูดซ้ำๆ ทำไมล่ะ เขาเริ่มก่อน ฉันรู้อยู่แล้ว"


(และฉันก็ไม่พูดต่อ เรารู้จักกันมานนาน และเธอคงได้ยิน"บางอย่าง"ทางสายตาของฉันแล้ว)


.............เธออึ้ง...............


หรือลึกๆแล้ว เธออยากได้ยินสิ่งที่เธอพูดนี้เอง เพื่อบอกว่า “ไม่ผิด” บอกกับตัวเอง ไม่ได้บอกฉัน สายตาฉันไม่โกหก เธอรู้ดีเมื่อฉันมองตา เธอจึงพูดโดยไม่สบตา เพราะสายตาฉัน “ไม่ยอมรับข้อแก้ตัวของเธอ”


การที่เธอไม่ได้เริ่ม ไม่ได้หมายความว่าเธอ “ไม่ผิด” เธอไม่เริ่ม แล้วมันต่างอะไรเมื่อเธอ “อนุญาต” ให้เกิดเรื่องนี้ขึ้น


ผ่านมาจนกลายเป็นคำว่า “ฉันไม่แคร์ ของอย่างนี้เรื่องหัวใจมันห้ามกันไม่ได้ ใครจะว่าไงก็ช่างมันสิ” เธอพูดคำนี้ เมื่อพบว่า สังคมรอบข้างเริ่มมีปฏิกริยากับความสัมพัน์ของเขาและเธอ ......................ครั้งนี้ฉันเลือกเงียบ.......................ฉันพูดทางสายตาหมดแล้วเพื่อนรัก


คนเราห้ามใจไม่ได้ แต่ “ความรู้ผิดชอบชั่วดี” ทำให้คนเรา “เลือก” ที่จะยับยั้ง “การกระทำ”ได้


คนเรา หากละทิ้งความผิดชอบชั่วดี ปล่อยให้ไหลไปตามจิตที่หลงตามความอยาก ก็คือ “ไม่มีสติ” นี่เอง


ใจห้ามไม่ได้ แต่”การกระทำ” ห้ามได้ ไม่ใช่หรือ? มันเป็น “ทางเลือก” ว่าจะทำหรือไม่ทำ ไม่มีใครห้ามใครได้ คงเหลือแต่เจ้าตัวเท่านั้น ที่จะนำตนเองไปไหนต่อไหน


ถึงวันนี้ วันที่เธอร้องไห้ เขาร้องไห้ แฟนเขาร้องไห้ มาด่ากัน มามีเรื่องกัน เข้าหน้ากันไม่ติด อาจลาออกจากงาน อับอายสายตาผู้คน การนินทา บ้างแสดงออกทางสีหน้า บ้างทำเฉย แต่แววตาไม่เคยเฉยเหมือนการกระทำ ลับหลังเขาก็ว่าร้ายเธอกันอยู่ดี (เคยเป็นหนึ่งในคนพวกนี้มั๊ยคะ นี่ก็มุมมืดเหมือนกัน)


แรกๆ เธอคิดว่าจะจบเรื่องนี้ซะที เธอพยามยามตีจาก แต่เมื่อฝ่ายชายยังขอติดต่อกับเธอ ในฐานะ “พี่น้อง” เธอก็ชื่นหน้ายินดี “ฉันบริสุทธิ์ใจ” อีกครั้งหนึ่ง ในฐานะน้องสาว


ไม่นานนักก็กลายเป็นน้องสาว ที่เขาแวะมาค้างที่คอนโด ที่แฟนเขายังตามราวี และเขาก็ยังไม่เลิกกับแฟน และเธอก็ยังคงร้องไห้ แต่แล้วก็คงดำเนินอยู่ในความสัมพันธ์ที่วนเวียนอยู่กับการเลิก ไม่เลิก เลิก ไม่เลิก อยู่อย่างนั้น ไม่รู้จะกี่นานต่อกี่นาน


ใครทำร้ายเธอ ใครทำร้ายทุกคน ถ้าตอบได้ว่า "ใครเริ่ม" แล้วปัญหาจบไหม?


มันอยู่ที่ใครจะ “หยุด” ไม่ใช่หรือ


*เชื่อไหมคะ เรื่องนี้ทำให้เรานึกถึงคำบอกเล่าเรื่อง "นรก" คือภพภูมิที่วิญญาณต้องลงไปวนเวียนใช้กรรมในกระทะทองแดง ร้อน จนขาดใจตาย แต่ก็จำต้องฟื้นอีกเพื่อใช้กรรมต่อ เมื่อใดคิดหนี ยมฑูตจะคอยเอาหอกทิ่มแทง ลากกลับมาทรมานในกระทะเช่นเดิม ไม่มีวันตาย ไม่มีวันสิ้นสุด จนกว่าจะ "สิ้นกรรม"


เราว่าเรื่องนี้ มีครบทั้ง นรก กระทะทองแดง หอก ยมฑูต และ “ความไม่สิ้นสุด”





 

Create Date : 05 ธันวาคม 2552    
Last Update : 6 ธันวาคม 2552 18:43:09 น.
Counter : 668 Pageviews.  

ตอนที่ 2 ..................ร้ายเพราะเป็น "ผี"


"ชั้นไม่ได้ทำอะไรนี่นา เลิกกันแล้วก็เป็นเพื่อนกัน ไม่ได้เกลียด ก็โทรคุยกัน เจอกันบ้าง แล้วรูปคู่ใน facebook นั่นก็ลงไว้นานแล้ว แฟนใหม่มันอยากมาดูเอง แล้วก็ไปวีนกันเอง ประสาท โรคจิต"  


เธอคนนี้ เลิกกับแฟนมาหลายเดือนแล้ว แต่ยังโทรหาเขา ไปหาเขาสม่ำเสมอ เธอบอกว่า “เพื่อนกัน” ซึ่งเธอก็รู้ว่าฝ่ายชายมีแฟนใหม่เรียบร้อยแล้ว


คำว่า “เพื่อน” ที่เธอใช้ เหมือนเป็น “เครื่องมือ” หนึ่งที่เธอใช้ทำสงครามจิตวิทยากับ “แฟนใหม่” ของแฟนเก่าเธอ เป็นเครื่องมือที่ดูแล้วบริสุทธิ์ใจ บางครั้ง เมื่อมีใครไม่เห็นด้วย เธอจะโทษความเลวร้ายให้ผู้นั้นทันทีด้วยคำว่า “ใครคิดยังไงก็แล้วแต่คนนั้น ชั้นบริสุทธิ์ใจ ใครคิดในทางไม่ดีก็แปลว่าใจคนคิดนั่นแหล่ะไม่ดีเอง”


เธอบอกว่าเป็น "เพื่อน" ดังนั้น วันเกิดเขาเธอจึงไปดักรอหน้าออฟฟิศ เพื่อยื่นเค้กที่เธอทำเองให้เขาเหมือนทุกปีที่คบกัน ด้วยข้อมือที่สวมกำไลชื่อย่อเขาและเธอ โดยมีแฟนใหม่เขายืนตีสีหน้าไม่ถูกเป็น background เธอโทรหาเขาเกือบทุกวัน และเมื่อใดที่ลำบาก เธอก็ยังพึ่งเขาเสมอ ขอให้ "ช่วยเหลือ" ประจำ เหมือนว่าทเธอมี "เพื่อน" เพียงเขาคนเดียว เมื่อแฟนใหม่เขาเห็นรูปคู่เธอและเขาสมัยยังคบกัน ใน facebook ที่เธอใช้เป็นหน้าปกอัลบั้ม ก็โกรธไฟลุกเอากับฝ่ายชายเพราะเหลืออด


ฝ่ายชาย ผู้ไม่เคยเด็ดเดี่ยวหนักแน่น เขามีแฟนเก่าเป็น "เพื่อนพิเศษ" และก็มีแฟนใหม่เป็น "คนรัก" แต่เขาลืมหน้าที่ของ "คนรัก" ที่ต้องถนอมน้ำใจกัน รวมถึงลืมหน้าที่ "เพื่อน" ในการชักจูงเพื่อนให้คิดชอบ ปฏิบัติชอบ ด้วยความอ่อนแอของตนเอง จนเขามีเพื่อนที่คนเรียกกันว่า “ผีแฟนเก่า” และมีคนรักที่คนมองว่าเป็น “แฟนขี้วีน” ไป เขามีความสุขดีอย่างนี้หรือ?


“ช่วยไม่ได้ ก็ให้ผู้ชายมาบอกชั้นเองสิว่าไม่อยากเป็นเพื่อนกับชั้นแล้ว”


เธอพูดท้าทาย เพราะรู้ใจดีว่าฝ่ายชายไม่มีทางทำอย่างนั้น เขารู้สึกผิดเมื่อครั้งเลิกกับเธอแล้ว เขาย่อมไม่กล้าหักหาญน้ำใจเธออีก เธอจึงสบโอกาส “หลอกหลอน” ชีวิตของเขาและแฟนใหม่ โดยอาศัยโอกาสของคำว่า “เพื่อน” เธอดูถูกคำว่า “เพื่อน” ได้ขนาดนี้ บางทีฉันเองยังหวั่นๆ ว่าวันนึง ฉันจะกลายเป็น “เครื่องมือแห่งความต้องการ” ของเธอคนนี้บ้างไหม เพราะฉันก็เป็นเพื่อนเธอนี่นา ฉันเริ่มกลัว ไม่อยากไว้ใจเพื่อนคนนี้เต็มร้อยเช่นเคย นอกจากฉันแล้ว คนอื่นๆ จะรู้สึกอย่างนี้ไหม รู้สึก “ไม่อยากไว้ใจ” เพื่อนคนนี้ไหม แล้วเธอจะเหลือใคร “จริงใจ” กับเธอ เมื่อเธอเองแสดงออกถึงความ “ไม่จริงใจ”


ในความเป็น “เพื่อน” นั้น หลายครั้งเธอก็เรียกร้องโกรธขึ้งเอากับเขา เมื่อเขาไม่สามารถมาหาได้หรือทำตามที่เธอต้องการได้ เขามีแฟน มีภาระที่ต้องดูแล บางทีเธอมาร้องไห้กับฉัน ทั้งๆ ที่ร้องไห้ แต่เธอยังคงยืนยันคำว่า “เพื่อน”


เธอสะอึกสะอื้นตัดพ้อ “ทำไมล่ะ แค่ขอให้เขามาหาวันนี้วันเดียว มาไม่ได้เลยเหรอ วันนี้ฉันเหงา ก็เป็นเพื่อนกันทำไมแค่นี้ให้ไม่ได้ เห็นนังนั่นสำคัญมากเลยเหรอ สำคัญกว่าเพื่อนอีกเหรอ มันใจร้ายมากๆ” ครั้งหนึ่ง ฉันเกิดสงสัยในความเป็น "เพื่อน" นั้นมันต่างกันยังไง ฉันถามเธอตรงๆ....


"ฉันก็เป็นเพื่อน และฉันก็อยู่ตรงนี้กับเธอ ทำไมเธอยังร้องไห้ ยังเหงา จริง แล้วเธอต้องการ "เขา" หรือ "เพื่อน""


เธอเงียบไป.... (แต่ก็หยุดร้องไห้นะ ได้สติสักแป๊บก็ยังดี) 


เธอโกรธเขาได้ไม่นาน เมื่อเขาโทรมา หรือมาหา เธอก็อารมณ์ดีไปชั่วขณะ แต่ก็เหมือนเดิม ยังคงวนเวียนกับความ “ไม่พอ” ในสิ่งที่เขาให้ได้ในฐานะ “เพื่อน” ถึงวันนี้เธอยังคงเจ็บ แม้จะมีคนอื่นๆ แวะผ่านเข้ามาหยิบยื่นหัวใจให้แต่เธอก็ไม่เคยมองใคร ยังอยากจะเป็น “เพื่อน” กับเขาคนนี้เท่านั้น


เธอ “เป็นทุกข์” เพราะใครกัน


*เรื่องนี้ ทำให้เรานึกถึงคำบอกเล่าเรื่องของ "ผี" ที่ว่าคนเราเมื่อสิ้นลมหายใจลง ร่างกายดับสูญ หากแต่ "จิต" ยังเฝ้าวนเวียนกับสิ่งของ บุคคล หรือสถานที่ที่ยึดมั่นถือมั่นเอาไว้ ทำให้ไม่สามารถไปสู่สุขคติภูมิได้ บ้างออกหลอกหลอน บ้างกรีดร้องโหยหวนขอ "ส่วนบุญ" เพื่อประทังความทรมานจากไฟกิเลส (ความอยาก) ที่เผาตนเองอย่างไม่สิ้นสุด ..............ทรมานจนกว่าจะ "สิ้นกรรม" และเราว่า เรื่องนี้ก็มีครบทั้ง ผี การหลอกหลอน ความทรมาน การยึดติด และ “ส่วนบุญ” ไม่มีใครมีความสุขในการ “หลอกหลอน” และการยึดติดนั้นก็ทำให้ไปไหนไม่ได้ ทุกจิตวิญญาณก็อยากไป “สู่สุขคติ” กันทั้งนั้น แล้วเธอขังตัวเองทำไม  



 


 




 

Create Date : 05 ธันวาคม 2552    
Last Update : 6 ธันวาคม 2552 18:43:29 น.
Counter : 496 Pageviews.  

ตอนที่ 3 ..................ร้ายเพราะเป็น "เพื่อน"

“ไม่ไหวนะ แฟนมันคนนี้พวกชั้นทั้งกลุ่มรับไม่ได้หรอก แอ๊บสุดๆ ชีน่ะอย่างร้ายเลย ต่อหน้าก็แบ๊วๆ กระแดะได้อีก เห็นแล้วขนลุก จริงๆ ขี้อ่อยผู้ชายไปทั่ว ไอ้เพื่อนเราก็หน้ามืด ไม่ยอมหรอก จะมาหลอกเพื่อนชั้นล่ะจะโดนไม่ใช่น้อย”


เพื่อนในกลุ่มระเบิดอารมณ์ถึง "แฟนสาวของเพื่อนชาย" อย่างเผ็ดร้อน (จริงๆ แรงกว่านี้ แต่ขอตัดตอนหน่อยจ้า) ฉันเองก็ไม่ชอบน้องผู้หญิงคนนั้นเท่าไหร่นักบอกตามตรง


แต่เพื่อนเรา “รัก” เธอคนนั้น และเขาก็คบกันดี ปัญหาเดียวที่เพื่อนชายมาปรับทุกข์บ่อยๆ คือ ไม่กล้าพาแฟนมาเข้ากลุ่มเพื่อนเลย เพราะเหมือนเพื่อนจะเย็นชา และแฟนเองก็อึดอัด พอตอนหลังจะไปกับเพื่อน แฟนก็โกรธ หาว่าเลือกเพื่อนมากกว่าแฟน อยากจะพามาด้วยกันหมดเหมือนแฟนคู่อื่นๆ ในกลุ่ม ก็ไม่ได้อีก เพราะกลายเป็นไม่ชอบหน้ากันไปเลย ต้องคอยแบ่งภาค เดี๋ยวไปกับเพื่อน ไปกับแฟน เขาเหนื่อยใจ เขารักเพื่อน และรักแฟน


ส่วนเธอผู้พูดนั้น พอรู้ว่าเพื่อนชายคนนี้อยู่กับแฟน ก็เพียรโทรไปถามธุระโน่นนี่ เดี๋ยวอัพ I-Phone เดี๋ยวเน็ตเสีย เดี๋ยวรถเช็คระยะ เดี๋ยวลืม password ต่างๆ ฯลฯ แล้วก็พาลจะไปพบ ทั้งๆ ที่รู้ว่าเขาอยู่กับแฟน


ฉันไม่เห็นว่าการกระทำของเธอคนนี้ เข้าข่าย “เพื่อนผู้หวังดี” ตรงไหนเลย


“เพื่อน” คืออะไร กัลยาณมิตร ที่คอยช่วยเหลือตักเตือนเมื่อเพื่อนหลงทาง คิดผิด ทำผิด ช่วยให้เพื่อนคิดได้ กลับตัวได้ “เตือนสติ” เพื่อน ประคับประคองกันไป


แต่ไม่ใช่ “หักหาญน้ำใจเพื่อน” เพื่อให้ทำตามสิ่งที่ตนต้องการ ไม่ใช่การเข้าก้าวก่ายชีวิตเพื่อน ยื้อยุดเขา ขัดขวางเขา บ่อนทำลายเขา เพื่อให้เป็นไปตามความต้องการของตนเอง


หากเราเตือนสติ “เพื่อน” โดยเพื่อนรับรู้แล้ว แต่ขอ “มีทางเลือกของตนเอง” สิ่งที่เราทำได้ก็คือ คอยสนุบสนุนดูแล หากเพื่อน “ล้ม” ก็ยังมีหัวไหล่พร้อมคอยให้ซบ หรือแม้หากเพื่อนประสบความสำเร็จในเส้นทางที่เลือก เราก็ควรมีรอยยิ้มรอยินดีที่ปลายทางเสมอ


ฉันเองก็อยากรู้ หาก “เพื่อน” คนนั้นเป็น “ผู้หญิง” หรือเป็น “เพื่อนชายคนอื่น” เธอคนนั้น จะเกลียดแฟนเขาขนาด “ลงมือขัดขวาง” ขนาดนี้ไหม


เริ่มเห็น “เพื่อนไม่จริงใจ” ในเรื่องนี้แล้วล่ะ


และการ “บ่อนทำลาย” เช่นนี้ ไม่อาจเรียกได้ว่า “ความรัก” แน่นอน


เรียกว่าอะไรดี?





 

Create Date : 05 ธันวาคม 2552    
Last Update : 6 ธันวาคม 2552 18:43:48 น.
Counter : 525 Pageviews.  

ตอนที่ 4 ....................ร้ายเพราะ "ไม่รู้"

“ฉันไม่รู้มาก่อนเลยว่าเขามีแฟน/ภรรยา แล้ว เขาหลอกฉันมาตลอด ทำดีกับฉัน เสมอต้น เสมอปลาย พาไปที่บ้าน ฯลฯ จนพึ่งมารู้ก็สายเกินไปแล้ว รักไปแล้ว จะให้ทำยังไง”


ประโยคนี้ common มากๆ เลยค่ะ ได้ยินบ่อยมากๆ


คุณโดนหลอกตลอดมา


คุณไม่เคยรู้เลย


ถ้ารู้จะไม่ทำสิ่งนี้ .........เราเชื่อ..............


เราเข้าใจคุณ เราไม่มีคำแนะนำอะไรที่แตกต่างไปจากจากเรื่องอื่นๆ ขอแค่ฝากคำถามสุดท้ายไว้ให้นะคะ


“ตอนนี้คุณ “รู้” แล้วไม่ใช่เหรอคะ”






 

Create Date : 01 พฤศจิกายน 2552    
Last Update : 6 ธันวาคม 2552 18:44:12 น.
Counter : 464 Pageviews.  

1  2  3  

Love Actually is..
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




As an ordinary girl, I wish to create this space as my own world. Everything, my life, interest, love, sharing...just everything.
Friends' blogs
[Add Love Actually is..'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.