ย่าติง แชงกรีล่าแห่งสุดท้าย ตอนที่ 4

ตอนเช้าพวกเราตื่นตั้งแต่ 6 โมงครึ่ง รู้สึกว่าเมื่อคืนหลับแบบไม่เต็มอิ่มเท่าไหร่

เนื่องจากเมื่อคืนกลับมาดึกไปหน่อย (ไม่หน่อยล่ะ) อาบน้ำเรียกความสดชื่นกันแล้ว จิบน้ำชาล้างคอไป 1 แก้ว ก็แบกกระเป๋าลงมาจากห้องพัก นั่งรอเพื่อนอยู่ข้างล่าง

7 โมงกว่าๆ เพื่อนเรามาถึง และพาพวกเราไปกินบะหมี่ซี่โครงหมูแกล้มกับไข่ดาว ตบท้ายด้วยน้ำชาล้างคออีกหลายอึก แล้วรีบสาวเท้าก้าวยาวๆ ออกไปหน้ามหาวิทยาลัยเพื่อขึ้นรถแท็กซี่ไปสถานีรถประจำทาง โดยพวกเราเดินสวนทางกับนักศึกษาที่มาเรียนกัน นักศึกษาที่จีนนี่แต่งตัวกันยังไงก็ได้ ไม่เห็นเขาต้องบังคับให้แต่งเครื่องแบบอะไรเลย ก็เห็นประเทศเขาเจริญเอาๆ



รถแท็กซี่ที่พวกเราขึ้นมาก็คือเหมือนเดิม ไม่เปิดแอร์ แต่เปิดหน้าต่างให้ลมโกรก เฮียคนขับสูบบุหรี่แค่ 1 มวนก็ถึงแล้ว พวกเราขึ้นรถที่ ซินหนานเหมินชี่เชอจ้าน (新南门汽车 站 , xinnanmenqichezhan) คือที่สถานีแห่งนี้นอกจากจะมีรถไปห่ายหลัวโกวแล้ว ยังมีรถไปยังสถานที่ท่องเที่ยวแห่งอื่นๆ ในมณฑลเสฉวนนนี้อีกด้วย เช่น เต้าเฉิง คังติ้ง หย่าเจียง จิ่วไจ้โกว เล่อซาน เอ่อเหมยซัน เป็นต้น เราตรงเข้าไปซื้อตั๋วรถ โชคยังดีที่ยังมีตั๋วรถเที่ยว 10 โมงเช้าเหลืออยู่ ( 1 วันมีแค่ 1 เที่ยวเท่านั้น) ราคาใบละ 114 หยวน (ประมาณ 500 กว่าบาท)



ตั๋วทุกใบจะมีกรมธรรม์ประกันภัยติดมาอยู่ข้างหลังตั๋วเลย หลังจากหมดกังวลเรื่องตั๋วแล้ว พวกเราเลยหาซื้อน้ำขวดติดกระเป๋าไว้ นัดแนะเวลา และวิธีการติดต่อกันจนได้เวลาขึ้นรถจึงเดินออกไปที่ลานจอดรถ โดยทุกคนต้องนำกระเป๋าผ่านเข้าเครื่องเอ็กซเรย์ก่อนที่จะนำกระเป๋าขึ้นรถ พวกเราค่อนข้างแปลกใจกับสภาพรถมากๆ เลยเพราะเป็นรถปรับอากาศอย่างดี ประมาณรถวีไอพี 32 ที่นั่งที่วิ่งอยู่ในประเทศไทย ร่ำลาเพื่อนเราที่มาส่งแล้วจัดแจงยัดกระเป๋าใบย่อมๆ ไว้ใต้ท้องรถ เรากับพี่ก็เดินขึ้นไปหาที่นั่งบนรถ (ตามเบอร์ที่ระบุในตั๋ว) เท่าที่ดูๆ ผู้โดยสารที่อยู่บนรถนอกจากพวกเรา 2 คนแล้วคนอื่นๆ เป็นคนท้องถิ่นหมดเลย จนกระทั่งมี 2 หนุ่มแบกกระเป๋าใบโตขึ้นรถมานั่นแหละ ค่อยใจชื้นที่มีเพื่อนร่วมชะตากรรม ถึงจะไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้คุยกันซักคำมั้ยก็เหอะ
10 โมงปุ๊บ รถออกปั๊บเลยไม่มีรีรอ อิดออดเลย แปลกใจพอสมควร (ตลอดเวลาที่นั่งรถโดยสารสาธารณะที่นี่รถจะออกตรงเวลาตลอดเลย) แต่ก็ดีสำหรับพวกเราจะได้จัดสรรเวลาได้ลงตัวพอดีๆ ไม่ต้องเผื่อเวลา

รถแล่นออกนอกเมืองไม่นาน 2 ข้างทาง ก็กลายสภาพเป็นชนบทแล้ว มองไปทางไหนมีแต่เขียวๆ ไม่มีอาคารทรงสูงเหลี่ยมๆ ให้เห็นเป็นที่ขัดตาเลย มีแต่บ้านของชาวบ้านหลังไม่ใหญ่มาก และเป็นพื้นที่เกษตรกรรมซะเกือบหมด เขาว่ากันว่ามณฑลเสฉวนนี่เป็นแหล่งเพาะ
ปลูกอาหารที่สำคัญแห่งหนึ่ง เพื่อเลี้ยงคนจีนทั้งประเทศ หรือจะเรียกได้ว่าตั้งเมื่อ 2,000 – 3,000 ปีก่อนแล้วมณฑลเสฉวน เป็นอู่ข้าวอู่น้ำที่สำคัญแห่งหนึ่งเลยทีเดียว ไม่อย่างนั้นขงเบ้งคงไม่บอกกับเล่าปี่ตอนที่ 3 พี่น้องร่วมสาบานพากันขี่ม้าดั้นด้นไปเชิญขงเบ้ง
ลงจากเขาเพื่อให้มาเป็นกำลังสำคัญในการช่วงชิงแผ่นดินหรอกว่า เล่าปี่ต้องลงหลักปักฐานที่นี่ให้ได้เสียก่อนจึงจะคิดทำอย่างอื่น เนื่องจากมีความอุดมสมบูรณ์ และมีชัยภูมิเหมาะแก่การป้องกันศัตรูเพราะว่ามีเทือกเขาเป็นกำแพงธรรมชาติ ยากแก่การเดินทัพเข้ามาโจมตี

ธารน้ำแข็งห่ายหลัวโกว (海螺沟冰川 , hailuogoubingchuan) อยู่ในพื้นที่ปกครองตนเองชนชาติจ้าง ในเขตอำเภอหลู่ติ้ง (泸定县 , ludingxian) ห่างจากเฉิงตูไปทางทิศตะวันตกประมาณ 319 กิโลเมตร อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลแค่ประมาณ 2,850 เมตรเท่านั้น เป็นธารน้ำแข็งที่อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลน้อยมากๆ แห่งหนึ่งในโลก ในบริเวณของธารน้ำแข็งห่ายหลัวโกวนี้มีธารน้ำแข็งน้อยใหญ่รวมกันประมาณ 5 สาย แต่บางสายมีเฉพาะในฤดูหนาวเท่านั้น เป็นธารน้ำแข็งที่ไหลลงมาจากภูเขาหิมะกงก่า (贡嘎山 , gonggashan) โดยที่ยอดเขาสูงสุดนั้นอยู่ที่ความสูง 7,556 เมตร

รถมาจอดพักรับประทานอาหารกลางวันกันที่หย่าอัน (雅安 , yaan) โดยรถจอดในสถานีขนส่งแห่งหนึ่ง เรากับพี่ลงจากรถลงมาก็ต้องงงกับ 2 หนุ่มที่แบกกระเป๋าใบโตขึ้นมาที่สถานีขนส่งที่ยืนรอเรา 2 คน พร้อมกับรอยยิ้ม พอเรายิ้มตอบพวกเขา 2 คนก็ชวนพวกเราไปกินข้าวด้วยกันทันที เราก็ไม่ปฏิเสธอยู่แล้วเพราะว่าต้องการหาคนช่วยสั่งอาหารให้อยู่เหมือนกัน เพราะจากประสบการณ์ในการสั่งอาหารจีนที่ผ่านมา รูปร่างหน้าตาของอาหารไม่ตรงกับที่จินตนาการตอนอ่านในเมนูเลย

เพื่อนใหม่เราสั่งกับข้าวมา 4 อย่าง เป็นประเภทผัด 3 อย่าง และน้ำซุปอีก 1 อย่าง พวกเรา 4 คนนั่งกินข้าวกันคุยกันไปจึงได้รู้ว่า 2 หนุ่มนี่มาจากมาเก๊า ลางานมาเที่ยว 20 วัน โดยมีจุดหมายปลายทางที่ลาซาเท่านั้น คือระหว่างทางที่ไหนสวยก็แวะนานหน่อย (ทำเอาพวกเรา 2 คนขอบตาร้อนผ่าว) โดยจะไปธารน้ำแข็งห่ายหลัวโกวก่อน แต่พวกเขา 2 คนไม่รู้จักเต้าเฉิง หรือย่าติง

พวกเขาพอรู้ว่าเรา 2 คนมาจากประเทศไทยก็ออกอาการงง เพราะว่าเท่าที่พวกเขารู้มาคนไทยจะชอบไปเที่ยวแบบเป็นหมู่คณะ เพิ่งจะรู้ว่ามีประเภทที่ออกเดินทางด้วยตัวเองเหมือนกัน พวกเรา 2 คนเลยถือโอกาสเปลี่ยนความคิดพวกเขาในจุดนี้ให้กับพี่น้องแบกเป้ชาวไทยทั้งหลายด้วยเลย อาหารมื้อนี้ตกคนละ 10 หยวน แล้วยังได้เพื่อนชาวต่างชาติมาอีก 2 คน ซึ่งถือได้ว่าเป็นสีสันในการเดินทางที่มากับคณะทัวร์รับรองไม่ได้เจออย่างแน่นอน



หลังจากหนังหน้าท้องกับหนังหน้าอกตึง (อิ่มท้องกับอิ่มใจได้คุยกับเพื่อนใหม่ที่ความคิดคล้ายๆ กัน) คนขับรถก็บีบแตรเสียงดังลั่น พวกเราเลยต้องรีบจ่ายเงินแล้ววิ่งไปขึ้นรถกัน นั่งต่อไปได้แค่ประมาณ 3 ชั่วโมงกว่า รถก็ติดเป็นแถวยาวไม่ขยับเลย ชะเง้อคอมองดูเห็นเป็นแถวยาวเหยียดเลย สักพักหนึ่งก็มีแม่ค้าถือตะกร้าเล็กๆ ใส่ผลไม้ขึ้นมาขาย (เหมือนดักรออยู่แล้ว) ลูกอะไรก็ไม่รู้เหมือนกัน หลายอย่างมาก คิดว่าเป็นแอปเปิ้ลแบบลูกเล็กตะกร้าหนึ่ง ส่วนที่เหลือเป็นอะไรก็ไม่รู้ดูไม่ออก ถามแม่ค้าแล้วก็ยิ่งงงหนักเข้าไปอีก เพราะไม่รู้จักทำให้จำชื่อผลไม้ไม่ได้ พี่เขาซื้อลูกที่ไม่รู้จักมาลองชิม 1 ตะกร้า รสชาติก็เปรี้ยวบ้าง ฝาดบ้าง แปลกดี เหมือนแอปเปิ้ล ดีกว่านั่งเฉยๆ รอเวลารถขยับ ส่วน 2 หนุ่มมาเก๊านั่นแก้เซ็งโดยการจีบสาวจีนที่นั่งรถมาคนเดียวแบบ 2 รุม 1





เรานั่งอยู่บนรถได้อีกสักพักเฮียคนขับรถแกก็ดับเครื่องเฉยเลย (แสดงว่านานแน่ๆ) เท่านั้นแหละอยู่ไม่ได้แล้ว ต้องลงมายืดเส้นยืดสายข้างล่างเกือบหมดคันเลย ลงมาข้างล่างจึงรู้ว่ารถจอดติดกันเหมือนเข้าแถวหน้ากระดานเรียงหนึ่งแบบยาวมากๆ มองไปจนสุดความสามารถของลูกตาแล้วยังมองไม่เห็นหัวแถวเลย ส่วนใหญ่เป็นรถมินิบัสปรับอากาศที่บรรทุกนักท่องเที่ยวมาเต็มคันเลย จากการแอบฟังมั่ง บังเอญได้ยินคนอื่นคุยกันบ้าง สรุปได้ว่าสาเหตุที่ทำให้รถติดจนขยับไม่ได้นี่ก็คือ ข้างหน้ามีการสร้างถนนอยู่ทำให้ถนน 2 เลนเหลือใช้งานได้แค่ 1 เลนเท่านั้น เลยต้องสลับกันวิ่งทีละ 1 เลน ดังนั้นต้องอดทนรอต่อไปอีก
บริเวณที่รถจอดติดกันอยู่นี่ก็ไม่อะไรที่สวยงามน่าชมเลย ที่นั่งก็ไม่มี เดินไปเดินมาสักพักเราเลยขึ้นไปนั่งรอบนรถดีกว่า ปล่อยพี่เขายืนรับลมข้างล่างคนเดียว 2 หนุ่มมาเก๊านั่นยังไม่เลิกหยอดคำหวานใส่รูหูสาวจีนอีก ความพยายามสูงมาก ทั้งๆ ที่สาวจีนคนนี้ก็พูดไม่หยุดว่ามีแฟนแล้วๆ นั่งสำลักความหวานจนเคลิ้มๆ กำลังจะหลับต้องตกใจเพราะว่าผู้โดยสารที่ลงไปเดินอยู่ข้างล่างต่างก็วิ่งขึ้นรถมาหมดเลย เฮียคนขับต้อนผู้โดยสารขึ้นรถหมดก็กระโดดเข้าคอกติดเครื่องยนต์ออกเดินทางต่อเลย พวกเราเสียเวลาไปประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง รู้สึกว่าฤกษ์ไม่ดีแล้ว

รถจอดสนิทกลางเมืองห่ายหลัวโกวตอน 6 โมงครึ่งนิดๆ แต่ท้องฟ้ายังไม่มืดเลย เรากับพี่เอากระเป๋าขึ้นหลังเสร็จ หันไปเห็น 2 หนุ่มมาเก๊ายืนตาละห้อยมองสาวจีนคนนั้นที่มีแฟนโอบเอวเดินจากไป 1 ใน 2 คนนั้นเลยชวนพวกเราไปเดินหาที่นอนคืนนี้ด้วยกัน เรา 2 คนเลยได้นอนโรงแรมห้องละ 100 หยวนต่อคืนสบายไป (แพงที่สุดในบรรดาโรงแรมที่พวกเราได้พักตลอดการเดินทางคราวนี้) ซึ่งในตอนแรกเราหาได้ในราคาคืนละ 60 หยวนเท่านั้น แต่พี่เขาบอกว่านอนๆ ไปเหอะ มีเพื่อนดีกว่าไม่มีนะ

เข้าห้องมาวางกระเป๋าได้ขอนอนเล่นสักพักก่อนละกัน ไม่สำรวจห้องพักแล้วล่ะคราวนี้ คืนละตั้ง 100 หยวนคงจะดีแน่นอน พวกเรานอนเล่นสักครึ่งชั่วโมงกำลังเคลิ้มๆ ก็ต้องรีบงัดเอาเสื้อกันหนาวออกมาใส่กันแล้ว เพราะว่าขนาดอยู่ในห้องโรงแรมที่ปิดประตูหน้าต่างมิดชิด แอร์ก็ไม่ได้เปิด แต่รู้สึกได้ถึงความหนาวเย็นของอากาศ ข้างนอกคงจะเย็นมากกว่านี้อีกอย่างแน่นอน



Create Date : 28 กันยายน 2550
Last Update : 28 กันยายน 2550 13:23:05 น. 0 comments
Counter : 753 Pageviews.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

liminghui
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add liminghui's blog to your web]