Group Blog
 
All Blogs
 

เปิดเทอมสองแล้ว ก็เริ่มนินทาอาจารย์.... ภาคหนึ่ง

ฉันรู้สึกว่าตัวเองโชคร้ายชะมัด ทำไมได้ปิดเทอมแค่สองสัปดาห์ แล้วก็ต้องเปิดมาเรียนใหม่อีกแล้ว แถมยังมารู้เกรดที่แสนเศร้าได้ C เลขด้วย เลขเป็นวิชาที่ไม่ชอบที่สุดเลย นอกจากนั้นวิชาตัดอนาคตก็ยังคะแนนดิ่งเหว แสนเศร้า ฮือ ฮือ ฮือ...อาไรเนี้ยยยย!!!
ขอบอกก่อนเรื่องทำบล็อก คือ ก็เห็นบล็อกสวยๆ ที่คนอื่นทำ ช่างสวยงามเหลือเกิน... เอ ... แล้วทำไมของตัวเองไม่ทำบ้าง ... แท่น แท๊น...
ทำไม่เป็น! นั่นเอง (Y_Y วอนผู้มีจิตศรัทธา หนูก็อยากให้บล็อกมีเสียงเพลงเหมือนกันง่ะ)

ช่างมันดีกว่า....นุ...
เปิดเทอมสองคราวนี้คณะให้ลงวิชาเลือกได้ตามสมัครใจ ซึ่งคณะของฉันจะมีแค่เทอมเดียว นอกนั้น บังคับเลือก ‘ต้องเรียนอันนี้’ หมด
เพราะฉะนั้น เนื่องจาก....เหตุว่า.... เทอมนี้เลือกได้เทอมเดียว ฉันจึงเลือกลงวิชาที่เรียนตอนเที่ยงวัน (มันติดวิชาอื่นหมดแล้ว) ชื่อวิชาว่า Thai – Eng Translation
ฮั่นแน่ ฟังชื่อแล้วดูไฮโซหะรูหะรา กะเขาบ้างไหมเนี่ย
อื่ม...ตอนแรกกะว่าจะลง Man and art and music ต่อจากเทอมแรกสักหน่อย คราวนี้จะได้บาโรค โรโกโก้เต็มรูปแบบ โอพระเจ้าจอร์จมาเกิดในยุคเรอเนสซองค์ วิชาอะไรก็ม่ายยู้.... แต่ขอบอกเทอมที่แล้วได้ A วิชา Man and civilization ด้วย อะแน่ๆ ๆ จะชมว่าเก่งล่ะจิ ...เงียบก่อน... เท่าที่ถามมา ไม่มีใครได้ B+ สักคน อืม... มันน่าภูมิใจ จริง จริ๊ง ได้ A วิชาที่เขาได้กันหมดทั้งคณะนี่ (บุญที่ไม่ บีบวกอยู่คนเดียวเท่าไหร่แล้ว)... ส่วนวิชาไหนเพื่อนได้ A ...หึ หึ หึ .... เราก็ขอเกรดขำ ขำ ก็พอ
เทอมนี้แบบว่า มีวิชาใหม่ แปลก มากมาย ชนิดโอ้ตะลึงพระเจ้าจอร์จ นี่ฉันกดลงทะเบียนอะไรลงไป เช่น วิชาพิฆาตมาร Organic Chemistry มันก็คือ เคมีอินทรีย์นั่นเอง...แหม... เบ เบ นะ อ่านชื่อวิชาแล้ว แบบว่า เรียนอะไร้ ก็ อัลเคน อันคีน อันไคน์ แมวๆ อะไรแถวๆ นี้...โถ โถ่... แต่แบบว่าพอเอาคอร์ส เอาท์ไลน์ มาดู....
อื่ม...อื่ม.... มันเป็นแบบนี้นะ

E = X(bar) – 2sd
D = X(bar) – 1sd
C = X(bar)
B = X(bar) + 1 sd
A = X(bar) + 2 sd

ส่วน A+ B+ ก็ บวกลบไปอีก 0.5 sd นะ ... เอ..เอ..ตาโตเท่าไข่ห่านอยู่พักหนึ่ง ก็ชักเริ่มกลับมามองตัวเอง แล้วสิ่งมีชีวิตในที่อยู่อาศัยใต้ X- bar แบบเราละก๊ะ...เกรดจะอยู่แถวๆ ไหนเนี่ย ....อ๊ายย๋า.... ดีมากเลยค่ะ ดีมากเลย Y_Y สงสัยเทอมนี้ได้เปลี่ยนไปเลี้ยงหมาแทนเลี้ยงแมว
อืม... แล้วคุณล่ะ? เลี้ยงอะไร?
A ants
B birds
C cats
D dogs
E Elephants
ช่างมีขนาดตัวเพิ่มขึ้นตามลำดับจริงๆเลย นี่แหละๆ เรามันคนเลี้ยงก็ต้องพัฒนาความสามารถ เลี้ยงตัวที่มันใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จริงไหมครับ


ว่าๆไปแล้ว พูดเรื่องเกรดทำไม มันไม่โสภาเนอะ ปิดเทอมนี้วี่ไปเที่ยว กทม. มา แวะไปงานสัปดาห์หนังสือมาด้วย โอ้โฮ คน อะไรมันจะคนเยอะขนาดนั้นก็ไม่รู้ จริงๆแล้ววี่คิดว่า....ตรูไปซื้อข้างนอกแบบไม่มีส่วนลด แต่มีความปลอดภัยต่อชีวิตไม่ดีกว่ารึเนี่ย? แทบเอาตัวออกมาไม่รอด ...
ฮืม... แต่คราวนี้ก็ดีมากเลยครับ ไปยืนคว้างรอเพื่อนอยู่กลางห้องอะไรสักอย่างจำชื่อไม่ได้ ตรงที่มติชนอะ เพื่อนมันทิ้ง (แง้) แต่ว่า....นี่เลย บุญช่วย กำลังยืนๆอยู่ดีๆ เอ...เห็นใครคนหนึ่งเดินผ่าน .... เขาคนนั้นคือ คุณ อาจินต์ ปัญจพรรค์ ถ้าจำไม่ผิดนะ มีคนของสนพ.มติชนช่วยถือแขนออกไป สักพัก คุณบินหลา สันกาลาคีรี (ชื่อเหมือนหอพักนศ.แพทย์ มอ.เลย) เดินถือโทรศัพท์เป็นพรีเซนเตอร์รึเปล่าก็ไม่รู้ ผ่านไปอีกคน ...แหมๆ โชคดี ‘อย่างแรง’ สักพักไปอีกบูธหนึ่งเพื่อเจอพี่โป่ง แล้วก็ได้เจอนักเขียนในดวงใจ ... คุณอาริตา กับคุณโสภี พรรณราย... น่ารัก มาก มาก เลย ปลื้ม สุดสุด >< น่ารักและท่าทางใจดีกันทั้งสองคนเลย แบบว่าเดินออกจากบูธก็ตัวลอย ลอย
มาที่บูธของพิมพ์คำ ก็เจอ.... คุณดวงตะวัน กับคุณกรมาศ สองคน โอ้โฮ ยังไม่แก่ (เหมือนที่เคยคิดไว้) เลย....ประทับใจมาก ... ส่วนตัววี่คิดว่า..อืม...เก่งมากเลย ประสบความสำเร็จตั้งแต่ยังอายุไม่มาก
ก้มลงมองตัวเอง...อื่ม... แล้วเราละเนี้ย นอกจากจะตกมีนแล้วยังไม่ได้เริ่มทำอะไรให้เป็นนิมิตหมายอันดีต่อชีวิตเลยสักอย่าง เฮ้อๆๆๆๆ เอาน่า สวยไว้ก่อนแล้วกัน (ตรงหนายยยย?)


เวลาใกล้หมดแล้ว แอบชิ่งมาเขียนบล็อก เรื่องสุดท้ายวันนี้นินทาอาจารย์ให้ฟังดีกว่า
เทอมนี้ลงวิชาแปลกไป อาจารย์ก็แปลกเกือบหมดทุกคน แบบว่า... นี่เลย (สาธุ ใครไปบอกอาจารย์ขอให้ได้เกรดเดียวกับเรา หึ หึ หึ) เริ่มจาก Biostat ก่อน
Biostat เรียกเป็นภาษาไทยว่า ชีวสถิติ อาจารย์เป็นคนพุ ไท ไม่ ค่อย ชะ ... อ่านแล้วรู้ใช่เป่า ว่าไม่ชัดแบบลูกครึ่งอะไร
ใช่แล้วน้อ... ไทย... จีน... นั่นเอง นอกจากจะพูดไม่ชัดแล้วก็ยังสูงวัยอีกต่างหาก น่าน... ทำไมไม่มีวิชาเรียนกะอาจารย์หนุ่มๆ หล่อๆ เก่งๆ แบบในนิยายบ้างละเนี้ยยยย ไปไหนกันหมดค้า!!! (ปล. อาจารย์ขาอภัยหนูด้วย)
เอาเป็นว่า ถึงแม้อาจารย์จะพูดไม่ค่อยชัดแต่อาจารย์ก็เป็นอาจารย์สูงวัยที่ใจดีมาก อาจารย์เตรียมพาวเวอร์พอยท์ มาสอน บทแรก แล้วอาจารย์ก็เริ่ม สอน สอน สอน
แปะโมง...แปะโมงสิห้า...แปะโมงคึ่ง...และ...
“เอ่อ... หมดแล้วล่ะนักเรียน....”
เราก็มองหน้า.... แปดโมงครึ่ง แหม... หมดเร็วจัง...
อาจารย์ก็พูดต่อแบบอายๆ...
“ครูนึกว่าจะสอนนานกว่านี้...”
ฮ่า ฮ่า.... ถ้าอาจารย์เป็นแบบนี้บ่อยๆ รักตายเลย....


วิชาที่สองที่เรียนก็คือวิชา Exercise For Health
เพื่อนบอก ลงเลย A ชัวร์ๆ ... ชัวร์รึเปล่าไม่รู้ เทอมที่แล้วมันบอก Man so A ชัวร์ ... แล้ว B มันโผล่มาจากไหน ฮ่วย โพยก็โพยเถอะช่วยอะไรไม่ได้สักอย่าง (วิชานี้เพื่อนก็ได้ เอ กันหมดเหมือนกัน) แต่ไหนๆก็ไหนๆแล้ว เนื่องจากมันเป็นวิชาหมวดพละวิชาเดียวที่เป็นการเรียนแบบเลคเช่อร์.... เพื่อการประหยัดพลังงาน วี่จึงเลือกลงวิชานี้
ก่อนไปเรียน เพื่อนกระซิบ... ระวังนะ อาจารย์แปลกๆ
หึ หึ... แปลกยังไงน้อ... แปลก แบบนี้ล่ะ... อาจารย์แกเดินเข้ามาสอน มาถึงก็ กระแอมๆ แล้วหันมาถาม
“Ex – Health ใช่ป่าว?”
เราก็มองหน้ากัน... วิชานี้มีหลายคณะเรียน แต่เซคชั่นละ ยี่สิบห้าคน อาจารย์บอก ลงชื่อได้เลย แล้วแกก็เริ่มสาธยาย
“วิชานี้นะ เรียนหนัก รุ่นพี่เธอบอกหรือเปล่า ต้องนัดทำงานพิเศษ หกโมงเช้า เย็น ค่ำๆ เที่ยงคืน ...กลัวมั้ย?...กลัวก็รีบๆไปถอน.... ต้องทำวิจัยให้ครูด้วยนะเธอ... เนี่ย เมื่อก่อนครูจบบริหาร”
อืม...บริหารแล้วมาสอนทำไมล่ะเนี่ย...
“บริหาร ร่างกาย”
หันไปดูเพื่อนข้างๆ...แหม...อาจารย์คะ น่าจะออกหนังสือแข่งกับ หม่ำ มุกแป้ก นะคะ
“แล้ววิชานี้นะเธอ ถ้าเธออยากได้เอ... ง่ายๆเลย ... นี่เลย คนนั้น คนนั้น และคนนั้น” แกชี้ไปทางหลังห้อง ที่มีเพื่อนคณะอื่นอยู่
“ถ้าอยากได้เอ นี่เลย ชั่งน้ำหนักนะ แล้วจดไว้ จบเทอมนี้เมื่อไหร่ ถ้าน้ำหนักลดได้ ห้ากิโล เอาเอไปเลย แต่ถ้าไม่ครบนะ... ตัดหนึ่งประจุ”
แล้วแกก็หันมาที่วี่
“เธอ ทำไมตาแดงๆ”
กำลังอ้าปากจะบอกพอดีว่า เพราะว่าไม่เคยตื่นมาเรียนตอนแปดโมงเช้ามาก่อนน่ะสิคะอาจารย์ ตามันก็เลยแดง เพราะว่าหัวจะโขกโต๊ะเลคเช่อร์แล้นนนน แต่แกก็พูดต่อว่า
“ตาแดงแสดงว่าตาร้อน...อิจฉาตาร้อนละซี่ เกรดแบบนี้มีเฉพาะคนพิเศษๆเท่านั้น”
หึ ... หึ... หึ
ตอนแรกที่เพื่อนบอกว่าอาจารย์แก แปลกๆ ... คือ จะขยายความตอนนี้ล่ะ
คือเนื่องจาก วิชานี้คนอยากเรียนเยอะ จึงมีคนไปขอเปิดเซคชั่นใหม่ ... ซึ่งเพื่อนของเพื่อนวี่ไปขอเปิด แล้วอาจารย์ ...แก...ให้ ... โยน...เหรียญ... ทาย...หัว...ก้อย!!!
ทายถูกเปิดให้ ทายไม่ถูก
ปรากฏว่า ครั้งแรก เพื่อนวี่ทายถูก.... แกบอก ไม่เอาๆ เอาใหม่
ครั้งที่สอง... ถูกอีก...
เอาใหม่!
ครั้งที่สาม...ก็ถูก...(เธอยอดมาก)
ก็เอาใหม่
ครั้งที่สี่....ถูกอีกแล้นนนนนน
ครั้งสุดท้าย...
ครั้งที่ห้า...พระเจ้าจอร์จ ซูเปอร์โกล.... แม่นอย่างกะตาเห็น
สรุป...เลยได้เปิด....
อืม เป็นการขอเปิด section ที่ไม่ธรรมดาจริงๆ ส่วนเพื่อนของเพื่อนข้าพเจ้าก็น่าจะไปเรียนวิชาคุณไสยอาถรรพ์หมอดูแม่นๆ เพราะมันแม่นเหลือเกิน


วิชาสุดท้ายที่จะเผาอาจารย์ก็คือวิชา communication skill ...
วิชานี้อาจารย์น่ารักมากกกกกก แกเป็นคนผิวคล้ำๆ อ้วนๆหน่อย ขี้อายอย่างรุนแรง สอนไปแกก็จะเขิน เอามือปัดแถวๆซอกคอ...แล้วชายตาให้เด็กๆ ...
อาจารย์เข้ามาถึงก็ทำตาโต แล้วถาม
“เธอ นี่คอมมู เซคชั่นศูนย์หนึ่งเหรอ?”
“ค่ะอาจารย์”
อาจารย์ก็ปาดเหงื่อ
“ทำไมมันเยอะขนาดนี้ล่ะ ครูว่าเธอไปถอนดีกว่า”
เจ้ย แล้วจะถอนยังไงล่ะเนี้ย.... มันวิชาบังคับเรียน
แล้วแกก็มองอีกหลายรอบ บ่นพึม
“มันเยอะจริงๆ”
แต่แกก็เริ่มสอน เริ่มจีบเพื่อนแถวหน้าไปด้วยโดยปริยาย เพื่อนฉันมันอายจนหน้าแดง ไปถึงหู เพราะมันก็ผู้ชาย อาจารย์ก็ผู้ชาย แล้วแถวหน้าสุด คือเพื่อนคนที่เล่าไปตอนบล็อกที่แล้ว ว่ามันอ่านหนังสือเช้า เที่ยง เย็น ก่อนนอน
เม้าเพื่อนคนนี้ก่อน เวลามันเรียน มันจะจดเลคเช่อร์ จดดะ จดไม่เงยหน้าเงยตา (ท่ามันจด ถือปากกาเป็นอาวุธ แล้วหรี่ตาเล็งตัวอักษร แล้วก้มจดยิกๆ เพื่อนบอกว่ามันจดแม้กระทั่งมุกแป้กของอาจารย์)
อาจารย์เริ่มสอนก็ชูหนังสือเล่มเล็กๆในมือขึ้นมา ถามว่า
“ใครมีหนังสือเล่มนี้บ้าง”
แน่นอน ห้องฉันก็มีกันหลายคน อาจารย์ก็เปิดๆ คร่าวๆ จบ แกบอกว่า
“เนี่ย...ไปอ่านเสียสิ สิบห้านาทีก็จบแล้ว แล้วก็จบ... ไม่ต้องมาเรียน”
ทั้งห้องเหวอ อาจารย์หันไปถามทีมชาติ
“จริงไหมเธอ?”
แต่ขณะนั้น ทีมชาติก้มจด ยิก ยิก ยิก คำถามอาจารย์กลายเป็นอากาศธาตุแล้วแกก็หน้าเจื่อน หันมามองแนวร่วมอีกทั้งห้อง แล้วพยักหน้า
“อืม...”
แล้วอาจารย์ก็เริ่มปล่อยมุกอีก การสื่อสาร คือ ฯลฯ
และแน่นอนว่า พี่ทีมชาติ ... ยิก ยิก ยิก...
“การสื่อสารแบ่งได้เป็น...”
...ยิก..ยิก...ยิก...
“การ สื่อ...”
แล้วอาจารย์ก็เท้าสะเอว ก้มลงมองไอ้ทีมชาติเยาวชนรุ่นใหญ่ ด้วยสายตาแบบว่า....
แล้วมันก็เริ่มรู้ตัว เงยหน้าขึ้นมาจ้องตาอาจารย์เขม็ง...มือเกร็งจับปากกา เริ่มหรี่เล็งปากอาจารย์
อืม... ยิก...ยิก...ยิก
อาจารย์แกก็ถอนหายใจ ... แล้วเลิกยุ่งกับมันอีกเลย (แกกลัวโดนมันด่าเอา เอิ้กๆ ว่าไม่พูดอะไรให้จด)
เด็กเงียบ ... หลังจากนั้นอาจารย์ก็บอก
“เนี่ย... คนเรามีหลายเหตุผลที่จะทำอะไร เช่นนักศึกษาลงเซคชั่นนี้ ก็เพราะตามเพื่อน หรืออยากเรียนเอง มีใครลงมาเพราะชอบเรียนบ้าง? เดี๋ยวผมให้เอเลย”
ปรากฏว่า ตอบ....ชอบ...กันหมดทั้งห้องเลย...
อาจารย์แกจึงบอกว่า...
“ดีมาก...นักศึกษาเซคชั่นนี้” เอาไมค์ออกห่าง แล้วทำปาก “ ‘ตอแ-ล’ กันเก่งทุกคนเลย”
แล้วแกก็ยักไหล่...
“นี่แหละนักศึกษา วิธีการสื่อสารแบบตรงไปตรงมา ต้องเซนเซอร์ด้วย เดี๋ยวเธอเอาเทปมาบันทึก” แล้วหันไปหาทีมชาติ
“ใช่ไหมเธอ?”
มือเกร็งจับปากกา ห่อปากมาดมั่น ตาหรี่เขม็ง....
ยิก...ยิก...ยิก...



จบก่อนแล้วกัน ซ้า ...ธุ...

ปล.. อาการแปลกๆ ของอาจารย์ดังที่เล่ามานี้ ก็คือส่วนหนึ่งของการปล่อยมุกของอาจารย์ทั้งสิ้น เจตนาของอาจารย์ทุกคนจริงๆแล้ว คือให้เราเข้าใจโลก และเป็นคนดีที่สุด คอนเฟิร์มว่า อาจารย์น่ารักจริงๆ และเทอมสองของวี่ ก็เต็มไปด้วยสีสัน 'อย่างแรง'

อิ อิ อิ




 

Create Date : 03 พฤศจิกายน 2548    
Last Update : 3 พฤศจิกายน 2548 23:26:06 น.
Counter : 570 Pageviews.  

หนึ่งเทอมผ่านไป เข้าเทอมสองแล้ว

และแล้วครับ... วี่ก็ลืมไปว่า วี่มีบล็อกเป็นของตัวเองไปหนึ่งเทอมเต็มๆ
หนึ่งเทอมที่ผ่านมานี้ ไม่รู้มันเกิดอะไรขึ้นกับวี่ครับ มัน 'ช็อค' วี่มากๆเลย ประมาณว่า พระแม่เจ้านี่ฉันหลุดมาในโลกของ 'อะไรไปแล้ว'
ฮืม... มันเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัวครับ หนึ่งเทอมผ่านไป เรียนๆ แล้วก็เล่นๆ เล่นไปเล่นมา คะแนนมิดเทอมออก
ไอหย๋า... ทำไมฉันอยู่ ใต้มีนหมดทุกวิชาเลยละเนี่ย หันกลับไปมองอีกครั้ง โอ๊ยตายแล้ว คนนั้นก็อ่านหนังสือ คนนี้ก็อ่านหนังสือ คนโน้นก็อ่านหนังสือ
มีเพื่อนวี่คนหนึ่ง แบบว่า... มันอ่านหนังสือ
เช้า ... เที่ยง... บ่าย...เย็น...ค่ำ...ดึก...ดึกมาก...ใกล้สว่าง...และเช้า...
เป็นวัฏจักรนะครับ ^_^ สุดยอด ยกให้มันไปหนึ่งคน
พอเกรดออก ... ก็ขำๆ นะครับ ขำๆจริงๆเลย แฮ่ๆ .... คะแนนใต้มีน เกรดก้อ... แถวๆนั้นแหละครับ Y_Y
ตอนวี่เขียนตอนนี้อยู่เทอมสองแล้ว นึกเหตุการณ์เทอมหนึ่งไม่ค่อยออก แต่จะอัพเดทของเทอมสองให้นะครับ จะบอกว่าเทอมนี้ สุดยอด...ฮีกแว้ว




 

Create Date : 02 พฤศจิกายน 2548    
Last Update : 2 พฤศจิกายน 2548 21:10:24 น.
Counter : 312 Pageviews.  

A little bit mental disorder .... New Freshy Disorder




1. Home Sick

2. Social Avoidant

3. Man - Huntase Activated (Conflicted Situation)

4. Maladaptive ... Malfunction ><

T_T





(ว่างๆจะเอาที่เขียนไว้มาแปะให้ ... วันนี้ลืมเอามา)

poison ivy




 

Create Date : 08 กรกฎาคม 2548    
Last Update : 8 กรกฎาคม 2548 9:50:07 น.
Counter : 404 Pageviews.  

เอนท์ตรง..กับการสอบสัมภาษณ์แพทย์ครั้งที่สองในชีวิต

วันนี้ไปอ่านเว็บบอร์ดหมอมา มีการทะเลาะแย่งคอมพิวเตอร์กันระหว่างหมอกับพยาบาล …อันนี้ก็เป็นเรื่องธรรมดาโลกนะคะ คนทำงานใกล้กันก็ต้องมีขัดกันบ้าง แต่หมอก็เป็นแฟนกับพยาบาลกันหลายคู่ได้เหมือนกัน

ว่าด้วยเรื่องพยาบาลแย่งคอมหมอ ฉันก็เจอเหมือนกันค่ะ แย่งกันได้ทุกวันเลย พยาบาลชอบมาไล่ ไม่ยอมให้เล่นคอม แล้วก็สถาปนาตัวเองขึ้นมาเล่นแทน เล่นแชทกับเพื่อนได้ทุกวี่ทุกวัน ให้ฉันไปเล่นตอนดึกๆ ดูซี ต้องนอนตอนตีห้า เพราะว่าตอนหัวค่ำพยาบาลชิงเล่นคอม จะอิดออดก็ไม่ได้ เล่นนานสักพัก พยาบาลก็จะตะโกนลั่นมาเลยว่า

“ไปกวาดบ้านได้แล้ว”

ดูซี…พยาบาลอะไรไม่รู้ ดุเอาๆ กล้าขึ้นเสียงได้ไงเนอะ…

แต่ฉันก็ไม่กล้าเถียงนะ กลัวพยาบาลจะตัดค่าขนม เดี๋ยวไม่มีใครส่งให้เรียนจนจบหกปี

วันนี้พยาบาลเลิกเล่นเร็ว เพราะว่าสั่งงานใช้ฉันทำเรียบร้อยแล้ว (ดูๆ มาใช้งานกันได้) ใช้ให้ฉันลงข้อมูลประวัติผู้ป่วยจากโฟลเดอร์ เต็มลังเลย ที่จริงฉันก็ไม่อยากช่วยหรอก แต่สงสารพยาบาล อายุก็มากแล้ว แถมเป็นโรคหัวใจอ่อนๆ ด้วย ไม่อยากให้เล่นคอมนาน เดี๋ยวจะย่ำแย่ไปเสีย ก็เลยลงทุนลงข้อมูล ในโปรแกรม ‘ห่วยๆ’ ให้เอง

ย้ำว่า เซ็งกับโปรแกรมที่กำลังใช้อยู่ตอนนี้มากเลย มันไม่สะดวกเหมือน MSN (เกี่ยวกันมั้ยเนี้ย) ส่วนพยาบาลเหรอ…โน่น ไปจิ๊จ๊ะคุยโทรศัพท์กับเพื่อนเรียบร้อยแล้ว ช่วงนี้เขากำลังเห่อครีมหน้าเด้ง ไปซื้อมาใช้ หน้าเด้งวันเด้งคืน (เดินไปไหนมาไหนด้วยเขาทักว่าแม่ซ้วยสวย…ไม่ทักลูกสักคน แย่ชะมัด) ภูมิใจใหญ่ รายงานด่วน ตอนนี้จ้อไม่หยุดเลย

ชีวิตคนเรานะ ฉันก็เศร้าเหมือนกัน เกิดมามีแม่สวย ทั้งบ้านมีแฟนกันหมดแล้วยกเว้นตัวเอง … หน้าฉันเหมือนพ่อมากมั้ง ก็เลยไม่ค่อยสวย ส่วนน้องหน้าเหมือนแม่ สาวๆติดเกรียวกราว แค่อยู่มอสอง ฉันรับโทรศัพท์แทนมันแทบจะเป็นลมตาย ประเดี๋ยวๆก็

“ฮัลโหล ขอสาย … หน่อยค่ะ”

ฉันกลายเป็นโอเปอเรเตอร์ไปแล้ว จนกระทั่งว่าสนิทกับแฟนน้องไปโดยปริยาย แต่ต้องคอยผัดเขา ว่าน้องไม่อยู่ ไปโน่นมานี่ ว่าไป ….อิจฉาจริง จริง

วู๊ยยย…อิจฉาคนสวีทกัน (เอฟเฟ็คจากการแอบฟังคนกำลังคุยโทรศัพท์)



กลับมาเข้าเรื่องดีกว่า หลังจากตกสัมภาษณ์แพทย์ชนบทไปแล้ว ฉันก็ได้แต่ตีอกชกหัวตัวเองด้วยความเคืองแค้น และทำตัวเป็นนักสืบสาวไปค้นหาข้อมูลว่าอาจารย์เด็กสมบูรณ์มีคู่เกย์กี่คน แล้วฉันก็รู้ว่า…ฮ่าๆ ๆ ไม่รู้ไม่ชี้ (ใครคาบไปบอกขอให้แฟนนอกใจ หรือไม่ก็กินแห้วไปตลอดสามร้อยชาติ)

หลังจากนั้นฉันก็ดำรงตนอยู่ด้วยความเครียด (อันสุดยอด) เอาคะแนนเอนท์ไปยื่นก่อน ยื่นโควต้าเอนท์ตรง พร้อมกับลุ้น ว่าจะติดหรือเปล่า

ที่จริง คะแนนที่ได้ก็สูงพอจะทำให้สบายใจได้ แต่มันก็ไม่ได้มากมายอะไรนะ ฉันรู้ว่า ทุกคนก็กังวล เพราะวันหนึ่ง คนที่ได้คะแนนสูงมาก มันก็มาบ่นว่า

“แก…เมื่อคืนฝันร้ายว่ะ ฝันว่า อาจารย์ลืมส่งใบยื่นคะแนน”

ฮ่าๆ อยู่ตรงไหนมันก็กังวลไปล่ะนะคุณ ฉันเองก็รอลุ้นคะแนนต่อ และอดแอบสงสัยไม่ได้ว่า ทำไมเขาถึงไม่ให้ฉันติดหนอ เขารังเกียจฉันมากเลยหรืออย่างไร ฉันไม่เหมาะกับการเป็นหมอชนบท หรือฉันไม่เหมาะกับการเป็นหมอ ทั้งๆที่ฉันก็รู้สึกว่าฉันอยากเป็น (เพราะอะไรค่อยว่ากันทีหลัง)



หลังจากนั้น ไม่นานนัก คะแนนเอนท์ก็ออก …ติดหมอ ตามความคาดหมาย แต่แอบเครียดกำลังสองเลยล่ะคุณ ไม่เชื่อลองมาตกสัมภาษณ์ไปแล้วรอบหนึ่งแบบฉันดูนะ

ฉันก็รอไปเรื่อยๆ จนกระทั่งวันสอบสัมภาษณ์มาถึง ตามกำหนดการณ์ …

ใช่แล้วครับท่าน..เหมือนเดิม ที่เดิม และ…

ฉันต้องแหกขี้ตาตื่นเหมือนเดิม… ทั้งที่อยากจะบอกพ่อกับแม่ ‘อย่างแรง’ ว่า เดี๋ยวมันเก๊าะอีหรอบเดิม ไปตั้งแต่ตีห้าแล้วเริ่มสอบสัมภาษณ์เกือบเก้าโมงเช้า (ไปรอตั้งแต่เจ็ดโมง)

แต่…แหมคุณ… คนมันตื่นเต้นก็เลยรีบไป ฉันก็ตื่นเต้นนิดๆเหมือนกันล่ะ

คราวนี้ฉันเครียดหนัก กังวลจี๊ดๆ อยู่ในใจ ตั้งแต่คืนก่อนสัมภาษณ์ นอนไม่หลับ ไม่รู้จะเจอคนสัมภาษณ์คนเดิมอีกไหม รุ่นพี่ก็มาปลอบ ว่า ไม่เป็นไรหรอก เขาไม่ได้เข้มงวดมาก แต่ฉันก็ยังกังวลอยู่ดี ตอนเช้าที่ขับรถไปนั้นไม่เท่าไหร่ ไปถึง เขาก็ให้ไปสอบข้อเขียน ซึ่งก็เป็นข้อสอบชุดเดิม ที่มีการแก้เล็กน้อย เพิ่มเรื่องสถานการณ์ ทสึนามิ ขึ้นมา และมีถามว่า ถ้ามีโครงการเรียนต่อปริญญาเอก คือเรียนหมอ ตอนจบ เราจะได้ปริญญาโทสหเวชศาสตร์มา หนึ่งใบด้วย เขาก็จะมีถาม ว่าคุณสนใจจะเรียนต่อปริญญาเอกเลยไหม

ก็ เหมือนเดิม…

คุณคิดยังไงกับคนที่เป็นแฟนแล้วเดินจับมือกัน… ไม่ค่อยสมควรค่ะ (คำตอบในใจ : อิจฉาค่ะ)

คุณคิดว่า หมอเป็นอภิสิทธิ์ชนไหม?… ไม่ค่ะ หมอก็เป็นคนธรรมดา และเป็นผู้ให้บริการคนไข้เหมือนคนปกติ (คำตอบในใจ : โคตรเลยค่ะ)

อาจจะมีถามถึงฐานะทางบ้าน ว่าเป็นยังไงบ้าง อะไรประมาณนี้ ซึ่งทั้งหมดก็เป็นข้อมูลที่เขาจะเอาไปสอบสัมภาษณ์ต่อไป …เขียนกันมือหงึกเลยค่ะ แอบคิดในใจว่า เอาคำตอบเก่าตรูมาใช้ใหม่ไม่ได้เรอะ!!! (ขี้เกียจนี่นา)

หลังจากทำข้อเขียนเสร็จแล้ว เราก็จะไปพักผ่อนกันตามอัธยาศัย ซึ่งข้อเขียนมันเลท เลยเหลือเวลาพักอีกแค่ไม่กี่นาที ดังนั้นจึงไม่มีใครไปกินข้าวกัน แม่ฉันก็มานั่งให้กำลังใจ (เขารู้ว่าฉันเครียดมาก) ไม่นานก็เข้าไป เหมือนเดิม คือ เขาจะให้ไปนั่งรอในห้องๆหนึ่ง แล้วคุณจะไม่ได้กลับมาที่ห้องนั้นอีกเลย (ไม่รู้ทำไม)

ฉันก็เข้าไปนั่ง สักพัก เขาก็มาเรียก ไปนั่งรอที่หน้าห้องสัมภาษณ์ …อยากจะบอกว่า ตอนนั้น panic แ-ก มากมาก เหงื่อไหลไคลย้อย ใจเต้นแรง บีบรัด มือซีดขาว มีอาการแบบ sweatin’ heart tremblin’ และอะไรอีกหลายอย่างมากมาย และเมื่อมีหมอผู้หญิง สวยๆ ยื่นหน้าออกมาเรียก ฉันก็อยากจะส่งสัญญาณ SOS เหลือเกิน ว่า หมอ…หนูไม่ไหวแล้ว … แต่ก็เดินเข้าไป

ตอนเดินขาสั่น มือก็สั่น สั่นยิ่งกว่าคราวที่แล้วอีก ในใจคิดว่าว่า ฉันจะทำยังไงดี ฉันจะผ่านไหม ฉันจะยังไง โอ๊ยเครียด (เครียดๆ บล็อกนี้เครียดอย่างแรง) เดินเข้าไปด้านใน นั่งลงบนเก้าอี้ มีอาจารย์สามคน ผู้หญิงสวยๆคนหนึ่ง กับผู้ชายอ้วนๆอีกคนหนึ่ง (เป็นแพทเทิร์นเลยเนอะ) และอีกคนท่าทางติสท์ๆ หน่อย หน้าตาใจดีกันทั้งสามคนเลย

เขาก็เริ่มถาม… ว่า ชื่ออะไรเรียนที่ไหน เป็นยังไงบ้าง สอบเอนท์ยากไหม ฉันก็ตอบไปเรื่อยๆ และนี่คือคำถามที่เขาจะถามบ่อย

ทำไมถึงอยากเป็นหมอ…… ชอบค่ะ ชอบอาชีพนี้ ประทับใจการทำงานของหมอ (โกหกหน้าตาย 555) ตอบไปประมาณนี้ หรือไม่ก็ บอกไปเลย…อยากช่วยเหลือคนค่ะ (ไอ้โม้…)

เอาประมาณเป็นว่า หนูไม่หวั่นแม้วันมามาก … ไม่ใช่นะ…คือ ทำงานหนักแค่ไหนหนูก็ไม่หวั่น หนูชอบอาชีพนี้ ประทับใจคนโน้นคนนี้ เห็นคนไข้นั่งตาดำๆ หน้าซีดๆ แล้วก็สงสาร คิดว่าเรามีความรู้ ก็อยากช่วยเหลือ อะไรก็ตอบไป

อีกคำถาม อันนี้สำคัญมากนะคุณ อย่าตอบให้เหมือนเพื่อนฉันนะ เขาจะถามว่า

‘แล้วถ้าคุณเอนท์ไม่ติดหมอ คุณจะเลือกอะไร’

จงตอบอะไรก็ได้ที่มันเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์สุขภาพ เช่น ทันตะฯ เภสัช หรืออะไรเทือกๆ นี้ อาจจะมีแบบหินๆหน่อย เขาถามว่า

“อยากช่วยคน แล้วทำไมไม่เรียนพยาบาล”

ฉันก็อึ้ง …นึกไม่ออก ก็ตอบไปว่า…

“คิดว่าอยากช่วยแบบนี้มากกว่าค่ะ”

ในใจคิดว่า ตรูไม่อยากเป็นพยาบาลเฟ๊ย! (อยากเป็นพยาบาลแล้วฉันจะมาสอบหมอทำไม…แต่เรียนพยาบาลก็มีข้อดีนะ คือ… คุณมีสิทธิ์ได้เป็นแฟนหมอมากกว่าหมอด้วยกันเอง)

คุณอย่าตอบว่า … ‘จะเรียนวิศวะ’ เป็นอันขาดนะคุณ ไหนๆคุณก็อยากเรียนหมอ (ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร) แล้ว คุณก็ช่วยโกหกๆ ไปให้มันตลอดรอดฝั่งหน่อยนะค้า เพื่อนและรุ่นพี่ฉันตกกันมาหลายคนแล้วค่ะ ประเภทตอบวิศวะนี่ ออกมานั่งหน้าซีดเลย

ตอนนั้น ที่สอบสัมภาษณ์หมอชนบท เขาก็ถามคำถามนี้ ฉันตอบไปว่า

“ก็จะยื่นคะแนนเอนท์ตรงค่ะ”

เขาถามกลับ

“แล้วถ้าเอนท์ตรงไม่ติดล่ะ”

“ก็ยื่นเอนท์กลางค่ะ”

(อันด้านล่างนี้เป็นบทที่ฉันเตี๊ยมไว้ก่อนเข้าห้องสอบ)

“แล้วถ้าเอนท์กลางไม่ติด”

“ก็จะเลือกเรียนสาขาที่ใกล้เคียงกันไปก่อนแล้วค่อยเอนท์ใหม่ปีหน้าค่ะ”

“แล้วถ้าปีหน้าไม่ติด”

“ก็จะหาแฟนเป็นหมอค่ะ” (เอิ้กกกกก)

แต่ตอนสัมภาษณ์จริงๆ เขาหยุดแค่ เอนท์กลาง แล้วถามต่อว่า จะเป็นหมอให้ได้เลยใช่ไหม ฉันก็พยักหน้าอย่างมั่นใจ

“ใช่ค่ะ” …ก็หนูอยากเป็นนี่คะ

อาจารย์ที่สอบสัมภาษณ์เอนท์ตรงเขาใจดีมากๆ เขาถามว่า

“เอ๊ะ แล้วหนูไม่ได้สมัครโครงการแพทย์ชนบทพิเศษหรือคะ?”

เราก็ตีหน้าเศร้า อยากจะร้อง ถามทำไมเนี่ย

“สอบค่ะ แต่ไม่ผ่านค่ะ”

อาจารย์ผู้หญิงสวยๆก็ทำหน้าเห็นใจ…

“แล้วหนูรู้ไหมคะ ว่าทำไมหนูถึงไม่ผ่าน”

“ไม่ทราบค่ะ” …เพราะหนูสวยเกินไป แน่ แน่!

“เขาคงเห็นว่าหนูไม่เหมาะกับหมอชนบทมั้งคะ”

อาจารย์ผู้ชายอ้วนๆ เสริม

“หนูอาจเหมาะกับทำงานโรงพยาบาลในเมือง”

โอ๊ย…แบบนี้รักตายเลย 555

อาจารย์อีกคนที่ท่าทางติสท์ๆ ก็ใจดี เขาถามว่า แล้วพ่อแม่ส่งเราเรียนไหวหรือเปล่าน่ะ ทางบ้านเป็นยังไงบ้าง แล้วรู้ไหม ถ้ามีปัญหาต้องไปปรึกษาใคร ฉันก็สั่นหน้า บอกว่าไม่รู้ เขาก็เลยบอกว่า

“นี่…ถ้าเป็นนักศึกษาแล้วนะ เธอจะมี ผู้ปกครอง เพิ่มมาอีกหลายคนเลย จะมีพี่เพิ่มมาอีก ห้าหกคน แต่เธออย่าไปหวังอะไรกับพี่พวกนี้มากนะ”

“บางคนเขาก็เอาตัวไม่รอดเหมือนกัน” อาจารย์ผู้หญิงเสริม

ก็นั่งหัวเราะกันไป อาจารย์ก็พูดเพิ่มเติม

“เดี๋ยวจะเขียนแนบให้แล้วกันนะคะ ว่าอาจต้องขอทุนการศึกษา … แล้ว ถ้ามีปัญหา ก็ปรึกษาอาจารย์ที่ปรึกษา นะ หรือไม่ก็ขึ้นไปที่ตึก…”

แบบนี้คือมั่นใจได้แล้วใช่ไหม?…ฮ่าๆ ตัวลอยไปเลย

นั่งคุยกันอีกสักพัก อาจารย์ก็ถามว่า มีอะไรจะถามไหม… ที่จริง ฉันก็ไม่มีอะไรจะถาม แต่ก็ เวลามันเหลือ อาจารย์บอกถามได้นะ เราก็เลยนั่งคุยกันเรื่อง Neuro อีกนิดหน่อย ว่าเรื่องเครื่องมือพวกการตรวจ MRI หรือ fMRI แล้วก็ amygdala กับพวก Limbic System

ก็ว่าไป… (แต่คราวนี้เก็บ Mapping The Mind ฝังดินไว้ข้างบ้านเลย)

รอบนี้ผ่านสมใจ แต่ปั้ดโธ่… คนหล่อที่มองไว้นะ ดันตกสัมภาษณ์ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น หัวใจสลาย…

ม่ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย…. ไปด้วย ฉานไปด้วยยยยยยยยยยย

ฮ่าๆๆๆๆ

ตัวเรานี่ช่างเพ้อเสียจริง ที่จริงแล้วเป็นคนหลงตัวเองมากๆเลยล่ะค่ะ ^_^ (ก็หนูสวยนี่นา)





 

Create Date : 01 พฤษภาคม 2548    
Last Update : 1 พฤษภาคม 2548 0:28:14 น.
Counter : 1937 Pageviews.  

บรรยากาศหลังเอนท์ กับประสบการณ์สอบสัมภาษณ์หมอชนบท...

ว่าด้วยเรื่องเอนทรานซ์ไปแล้ว ต่อไปจะมาดูบรรยากาศหลังเอนทรานซ์

ตอนช่วงเอนทรานซ์นั้น ก็จะมีการสอบโควต้าพิเศษเข้ามาเป็นระยะๆ ไม่ว่าจะเป็นหมอศิริราช หมอจุฬา
หมอมหิดล หมออะไรสุดแล้วแต่จะหมอ แล้วก็พวกทุนกพ. ไปเรียนต่อต่างประเทศ อะไรต่างๆพวกนี้ ฉันไม่ได้ลงสมัครสักอัน เพราะว่าตั้งใจแน่วแน่ ว่าจะเรียนแถวๆบ้านแน่นอน เหตุผลหลายๆอย่าง บ้านไม่รวย แม่ไม่ค่อยสบาย (อยู่บ้านคนเดียวไม่อยากทิ้งไปไกลๆ) ตอนนั้นคิดว่า ถ้าไปเรียนกรุงเทพฯหรือต่างประเทศเราต้องปรับตัวอีกหลายอย่าง ไม่แน่ใจว่าจะไหวไหม มันเสี่ยงไปนิด แม่ต้องเลี้ยงลูกสองคนคือฉันกับน้อง ส่วนพ่อเลิกกับแม่มานานแล้ว ถ้าอยู่ใกล้ๆก็จะได้ช่วยลดภาระนิดหนึ่ง ตกลงก็คือไม่สมัครอะไรเลย สมัครแต่โครงการแพทย์ชนบทพิเศษ (ที่จริงทำฟอร์ม รู้ว่าสมัครไปก็ไม่ติดแค่นั้นเอง แหะๆ)

เจ้าโครงการนี้มีข้อดีคือไม่ต้องเอนทรานซ์ ไปเข้าค่ายคัดเลือก โดยผ่านการสอบสามส่วนคือ ฝึกงาน ข้อเขียน และสัมภาษณ์ เขาจะรับประมาณยี่สิบคน ก็ไปสมัครกับเขาด้วย สัมภาษณ์รอบแรกสบายมาก ผ่านฉลุย ไปเข้าค่ายกับเขา ตอนไปเข้าค่ายนี่เราแฮปปี้มากๆ คิดว่าทำได้อยู่แล้ว แหม… นักเรียนโรงเรียนชั้นนำของจังหวัด (อวดข่มหน่อยเฟ๊ย) แถมมาดมั่น มั่นใจ อะไรซิบะละกั๊ส ไปหมด จนเพื่อนคนหนึ่ง ชีเกิดอาการ ‘เกลียดขี้หน้า’ ฉันอย่างแรง…อันนี้ช่วยไม่ได้ ซวยจริงๆ ไปเหยียบหัวแม่เท้ามันตอนไหนก็ไม่รู้ เซ็งๆ … ไม่เซ็งได้ไง อยู่ดีๆมีคนมาเกลียดหน้า แถมเท่านั้นไม่พอ ทำอะไรมันก็จะคอยมองด้วยสายตาจับผิด… เลยเชิดใส่มันซะเลย ฮ่าๆ ๆ สะใจเว้ย!!


เข้าค่ายเสร็จแล้ว ก็ไปฝึกงาน ตอนนี้ได้มีโอกาสใกล้ชิดหมอหล่อๆมากขึ้นกว่าเดิม เดินทางไปถึงโรงพยาบาลชุมชนที่จะฝึกงานด้วยใจเต้นโครมคราม ไปวันแรกก็เจอแจ๊คพ็อต กำลังสงสัยว่าทำไมคนเต็มโรงพยาบาล ก็มีคำตอบให้ในอีกไม่กี่อึดใจว่า

“วันนี้มีทหารโดนยิง ตาย เขาเพิ่งเอาศพมาโรงพยาบาล มีทหารชั้นผู้ใหญ่มากันเต็มไปหมด”

พระเจ้าจอร์จ แย่แล้ว เขาก็ลากฉัน และผองเพื่อน เข้าไปในห้องฉุกเฉิน หรือ ER (Emergency Room) เข้าไปทักทายกับหมอ (สาธุๆ ขอให้มี ขอให้มี) เข้าไปปุ๊บ เจอคนแรกคือผู้อำนวยการโรงพยาบาล

ผู้หญิง!

แป่ว…

สวัสดีค่ะหมอใหญ่… ไหว้ไป แล้วพลันก็หันไปเห็นหมอใส่แว่น (ผู้ชายด้วยวุ้ย) แต่หน้าตาเอ๋อมาก คาดว่าน้ำลายกำลังจะย้อย …เอ้ย ๆ ไม่ใช่ ที่จริงก็คือดูดีพอใช้ได้ หมอเขามอง มอง มอง และมอง … มองอะไร เหมือนฉันมีเขางอก ก่อนจะชี้

“เฮ้ย น้อง รุ่นไหน?”

ปั้ดธ่อ! พี่โรงเรียนของฉันนั่นเอง รุ่นดึกดำบรรพ์ไหนก็ไม่รู้ เพื่อนมากระซิบว่า อยู่น่ากลัวจังเลย

แฮ่… ก็กลัวๆเหมือนกัน

วันแรกๆก็มาเฝ้า Observe ไปตามเรื่อง ดูไปดูมา อันนี้จะมีภาษีกว่าฝึกงานที่โรงพยาบาลสิบวันเพื่อเอาไปเข้าศิริราชเล็กน้อย อันนั้นตอนไปฝึกรู้สึกว่าไม่ได้ฝึกหมอเลย ฝึกพยาบาลมากกว่า ด้วยงานที่เขาให้ทำก็มีแต่

1. ปูเตียง

2. คุยกับคนไข้


3. เดินไปเดินมา

4. แอบเหล่หมอ (ซึ่งจะมีเยอะกว่าในโรงพยาบาลชุมชน นศพ.ยกขบวนมากันทีหนึ่ง พวกเราก็กรี๊ดสลบ)


แล้วคนไข้แต่ละคนที่จะให้ไปคุยนะคุณ เขาก็ง่วงนอนอยากนอน คนไข้ก็ง่วง คนฝึกก็อยากนอน พยาบาลก็
ทำหน้าดุสิบวันมีความสุขอยู่วันเดียว วันที่เข้าห้องผ่าตัด เพราะได้ใกล้ชิดหมอ (หล่อ .. หล่อ) ตอนนั้นอุตส่าห์ย้ายรอบไปอยู่รอบเช้ากับเพื่อน กะว่าจะได้กรี๊ดเต็มที่ ฮ่าๆ

อันที่จริงใครคิดจะชอบหมอ ลองพิจารณาดูดีๆนะ จากประสบการณ์ที่เจอมาเยอะ หมอนี่ ถือว่าเป็นกลุ่ม ‘ดูดี’ เพราะ สะอาด ภูมิฐาน ทำให้ส่วนใหญ่ใครเห็นหมอก็จะ กรี๊ด กรี๊ด และกรี๊ด … แต่เดี๋ยวก่อน! ถ้าคุณหยุดพิจารณาใบหน้าขาวๆ ใสๆ ใต้แว่นกรอบหนาๆ นั้นอีกชั่วอึดใจ ความอัปลักษณ์น้อยๆมันก็จะค่อยผุดๆ โผล่ๆ มา จนแบบ ดูๆไปแล้วไม่เห็นหล่อตรงไหนเลย คนขายซาลาเปาข้างบ้านยังหล่อกว่าเป็นกอง

คือว่าเพราะความสะอาดและภูมิฐาน และท่าที (ที่น่าจะ) ทรงปัญญา ทำให้เรารู้สึกโดยภาพรวมว่าหมอนั้นหล่อ ที่จริงแล้วต้องแยกให้ออก ว่ามัน ไม่ใช่ (อย่างเด็ดขาด --- ฉันทำวิจัยมาแล้ว) ต้องดูดีๆนะ


กลับมาที่เรื่องฝึกงานโรงพยาบาลชุมชน ซึ่ง ก็ไม่มีอะไรมาก แต่จะเผาเพื่อน ว่าคนที่บอกว่าหมอรุ่นพี่ฉันหน้าตาหน้ากลัวนั้น วันหนึ่งมันก็ไปนั่งหน้าห้องตรวจ นั่งไปนั่งมา ตอนเย็นมากระซิบกับเราว่า

“แก…เค้าว่า…หมอนี้ก็น่ารักดีนะ”

“จ๊ะ?”

“เค้าว่า…เค้าชอบหมอแล้วแหละ”

“หาาา” ฉันสำลักชาเย็นที่กำลังดูดจนขึ้นจมูก

“แกว่าอะไรนะ”

“เค้าชอบหมออ่ะ… วันนี้แอบไปนั่งดูมาตั้งนาน หมอน่ารักมากๆเลย”

แล้วมันก็นั่งบิดตัวไปมาเป็นเบคอน ชีสต์ ทวิสต์ ด้วยความเขินอาย และก็ตกเป็นความซวยของฉันและเพื่อนอีกสามสี่คนที่ต้องคอยฟังความเพ้อของมันที่มีต่อหมอ ในที่สุดมันก็กินแห้วไป สงสารจัง


หลังจากฝึกงานเสร็จแล้ว ก็เป็นการสอบข้อเขียน ซึ่งเป็นข้อสอบแบบบูรณาการ มันยากมากๆ ในความคิดของฉัน แนวข้อสอบจะออกประมาณว่า ถ้าเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้น สมมติฐานของมันคืออะไร ก็จะมี ถ้า…แล้ว แล้ว..ถ้า อะไรมาห้าช้อยส์ ก็เลือกเอา …ดูเหมือนง่าย แต่ที่จริงมันจะมึนมาก มีเพื่อนคนหนึ่งบอกว่า ข้อสอบแบบนี้เวลาคิดคะแนน แต่ละคำตอบจะมีคะแนนลดหลั่นกันไป คือ สมมติตอบ a จะได้ 5 คะแนน ตอบ b จะได้ 4 คะแนน ซึ่งจะไม่มีข้อใดถูกต้องแน่นอน

ส่วนตัวแล้วเกลียดข้อสอบแบบนี้ชะมัดเลย เราคิดไม่ตรงกับคนอื่น ก็ยังไม่มีใครรู้นี่นาว่าถูกหรือผิด สมมติฐานจะเป็นยังไงก็ได้ทั้งนั้น (เข้าข้างตัวเอง) ก็ทำไปเรื่อยๆ ออกคนที่สอง ปกติจะออกจากห้องสอบเร็ว คือทำเสร็จรวดเดียวไม่มีทวน (แฮ…ขี้เกียจ) รีบๆๆๆๆ อย่างรุนแรง ตอนนั้นก็ยังมั่นใจว่า ทำได้แน่ๆ คือ อย่างน้อยฝึกงานก็ฝึกได้ เต็มที่เลย ทุ่มเทกับโครงการนี้มาก เพราะว่าอยากกลับมาทำงานที่บ้าน (บ้านอยู่ในโรงพยาบาลชนบทเหมือนกัน) ก็คิดว่า ถ้าเป็นหมอ ยังไงก็จะกลับมาอยู่โรงพยาบาลนี้อยู่แล้ว

สอบข้อเขียนเสร็จก็รอสอบสัมภาษณ์อย่างสบายใจ ก็แค่เตรียมตัวไปพูดให้ฟังเท่านั้น คิดไว้ตอนแรก แต่พอวันจริงมาถึง เครียดชิเป๋งเลย สอบสัมภาษณ์พวกโครงการพิเศษนี่มันจะโหดร้ายกว่าสอบสัมภาษณ์แบบทั่วไป ของโครงการที่ฉันไปสอบนี่ เขาจะให้ผู้ปกครองเข้าไปสอบด้วย ครั้งหนึ่ง และนักเรียนเข้าไปสอบคนเดียวอีกครั้งหนึ่ง

ตอนเช้า ฉันก็รอพ่อมารับ พ่อมาสาย แม่โมโหมาก (คู่นี้ทะเลาะกันประจำ หย่ากันแล้วก็ยังทะเลาะกันอยู่) รีบไปมากๆ เขาบอกว่ารายงานตัวตอนแปดโมงเช้า ออกไปกันตั้งแต่ตีห้าแน่ะคุณ รีบขนาดไหนคิดดู ตื่นเต้นมาก กินอะไรก็ไม่ลง ไปถึงปุ๊บก็รีบขึ้นไปรายงานตัว ปรากฏว่า สัมภาษณ์เกือบๆเที่ยงแน่ะ มารายงานตัวสักเก้าโมงก็ยังทัน (ทำไมฉันต้องแหกขี้ตาตื่นมาจนเช้าขนาดนี้ด้วย)

ก่อนสอบสัมภาษณ์จะมีสอบสัมภาษณ์ข้อเขียน ซึ่งมันจะมีข้อสอบอยู่สามชุด แต่ละชุดจะมีเอกลักษณ์ของมันเอง แต่เอกลักษณ์เด่นรวมที่ทุกชุดมีเหมือนกันหมดก็คือ ‘ปริมาณ’

ชุดละราวๆ ยี่สิบหน้า ชุดแรกเป็นคำถามให้ตอบ แบบว่า คุณคิดว่าคนเดินจูงมือกัน …… <- ช่องว่างเว้นให้ตอบนิดหน่อย หรือ คุณมีความสุขกับชีวิต …. <- ช่องว่างเว้นให้ตอบอีกนิด แล้วด้านหลังๆ ก็จะเป็นคำถามที่ยาวขึ้น เช่น คุณคิดยังไงกับคำว่า แพทย์เป็นอภิสิทธิ์ชน จะเว้นให้สักประมาณ ห้าบรรทัด (บ้าจี้เขียนกันมือหงึก)

ชุดที่สองก็จะเป็นคำถามเกี่ยวกับทางบ้าน ให้กรอกประวัติตัวเอง พื้นฐานการศึกษา พี่น้องกี่คน รายได้พ่อแม่ งานที่พ่อหรือแม่ทำ หรืออะไรอีกก็แล้วแต่ เพื่อนสน่งเพื่อนสนิทกรอกกันตาเหลือก

อันสุดท้ายเขาจะให้วาดรูป เช่น วาดรูปชุมชนของคุณ วาดรูปคุณเมื่อตอนเป็นหมอ วาด อะไรต่อมิอะไร สองสามรูป วาดได้ก็วาดไป เหนื่อยนิดหน่อย ส่วนฉันไม่มีฝีมือด้านวาดรูปเลย ก็เลยเขี่ยๆไป ตรงนี้เป็นทริคทางจิตวิทยาของเขาเล็กน้อย ข้อสอบที่มีเยอะทำให้เราไม่มีเวลาในการโกหก หรือเสกสรรปั้นแต่งคำพูด ถ้าเขาเห็นว่าข้อสอบของเราตอบไปไม่สัมพันธ์กับเวลามากๆ เขาก็จะเอะใจ ดังนั้นก็ตอบไปตามใจคิด ประเดี๋ยวเขาก็จะเอาข้อสอบเหล่านี้ไปซีร็อคแล้วก็แจกให้กับคนที่จะมาสัมภาษณ์เรา

ส่วนการสัมภษณ์โดยบุคคลากร ตอนสอบสัมภาษณ์แบบปากเปล่าครั้งแรกนี้ เขาจะจัดห้องให้เราอยู่กับเพื่อนๆ และแบ่งเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งจะสัมภาษณ์เดี่ยวก่อน ส่วนอีกกลุ่มจะสัมภาษณ์รวมกับผู้ปกครอง สลับกันไป ฉันได้สอบสัมภาษณ์พร้อมผู้ปกครองเป็นคนแรก (แจ็คพ็อคอีกแล้วครับท่าน)

ฉันก็เข้าไป พร้อมกับพ่อ และ แม่ ตื่นเต้นมาก ประมาณว่า คุณพ่อเขาชอบทำอะไรแปลกๆ ฉันก็เข้าไปนั่ง ตอนนี้คนถูกสัมภาษณ์สามคน คนสัมภาษณ์คนเดียว ไม่ตื่นเต้นมาก เข้าไปถึงปุ๊บ เป็นอาจารย์หมอผู้หญิง น่ารักมากๆ ใจดี พูดเพราะ ยิ้มหวาน เขาจะพูดแบบว่า นุ่มมากๆเลย ก็ถามเรื่องทั่วไป เกี่ยวกับทางบ้าน

“รักพ่อหรือแม่มากกว่ากันคะ?”

“คุณแม่คิดว่าลูกเหมาะที่จะเรียนไหมคะ?”

“คุณพ่อ…”

ฯลฯ บลาบลาบลา อะไรก็ว่าไป ช่วยกันตอบอย่างสนุกสนาน พ่อฉันก็นั่งเงียบอยู่นาน ก่อนจะปล่อยหมัดเด็ดตอนสุดท้าย ด้วยการโผล่งว่า

“ผมอยากให้ลูกเป็นนักการเมืองครับ!”

พรู้ด…

แม่กับฉันสะดุ้งเฮือกแบบว่า ถ้ากินกาแฟอยู่คงจะพ่นใส่หน้าอาจารย์หมอไปแล้ว หน้าค่อยๆเหลือสองนิ้วทีละน้อย ระหว่างที่พ่อพูดไป แอบสังเกตเห็นหน้าอาจารย์หมอแบบว่า อึ้งรับประทานไปบ้าง ซวยแล้วสิเรา…

แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีอะไร อาจารย์บอกว่า …

“ถ้าทำคะแนนฝึกงานกับคะแนนข้อเขียนมาดี ก็น่าจะได้แน่ๆค่ะ”

ฉันเป็นคนโชคดีเล็กน้อยตอนสอบสัมภาษณ์ ไม่ว่าจะสอบอะไรนะ มักจะมีเซ้นส์บอกตอนสอบเสมอ ทำให้มั่นใจได้เลย เมื่อตอนมัธยมต้นเคยสอบสัมภาษณ์เข้าโครงการวิทยาศาสตร์ระดับประเทศครั้งหนึ่ง สอบสัมภาษณ์เสร็จ อาจารย์ก็จะเปรยๆว่า…

“อยากรู้อะไรไปถามต่อไปค่ายแล้วกันนะ”

ก็เดินออกมาอย่างหน้าชื่นตาบาน ตอนสอบสัมภาษณ์โครงการนี้ครั้งแรก หมอที่สอบสัมภาษณ์คัดเลือกก็จะพูดว่า

“อื้ม…เหมาะมาก”

คราวนี้ก็เลยมีลุ้นเล็กน้อย ว่า ‘น่าจะได้แน่ๆ นี่คงสื่อความหมายอะไรออกมาบ้าง’ ซึ่ง ก็ทำใจลดความตื่นเต้นลงไปได้บ้าง เล็กน้อย หลังจากนั้นก็รอสอบรายบุคคล ระหว่างนั่งรอหน้าห้อง ก็เอาหนังสือไปอ่านด้วย หนังสือใหม่ เพิ่งได้มา ตื่นเต้นมากเลยเพื่อนซื้อมาฝากเมื่อวาน นั่งรออยู่ชั่วอึดใจ มีผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งโผล่หน้าออกมา บอกว่า

“หนู รอแป๊บนึงนะ”

“ค่ะ”

ทำหน้าสงบเสงี่ยมเข้าไว้ลูก… แล้วฉันก็นั่งอ่านหนังสือของฉันต่อไป สักพักเขาก็ยื่นหน้าออกมาใหม่

“เข้ามาได้แล้วค่ะ”

ตอนที่เดินเข้าไป เป็นอะไรที่ ขาสั่นมาก ไม่รู้จะนั่งยังไง ไม่รู้จะเอามือไปเก็บไว้ตรงไหน มือซ้ายทับมือขวา หรือมือขวาทับมือซ้าย หายใจเข้าออกไม่ค่อยจะทัน จากที่คนถูกสัมภาษณ์สาม คนสัมภาษณ์หนึ่ง กลายเป็น คนสัมภาษณ์สาม คนถูกสัมภาษณ์ (คือฉัน) คนเดียว

เขานั่งเรียงหน้ากันสามคน จากซ้ายไปขวา… ผู้หญิง แก่ๆ คนที่ออกมาเรียกฉัน ใส่แว่บกรอบรีแหลมๆเหมือนครูระเบียบ ชอบมองลอดแว่น (คนนี้น่ากลัวมากขอบอก) คนที่สองเป็นอาจารย์หมอหน้าตาน่ารักดี อ้วนกลมผมสั้นดูสมบูรณ์ และน่าจะเป็นคนขี้อาย (ในแว่บแรกที่คิด) เพราะแกไม่ถามอะไรเลยเอาแต่ก้มหน้าก้มตาจด คนสุดท้ายสวยมากๆ พูดก็เพราะ น่ารัก

เอาล่ะ เรามาเริ่มสัมภาษณ์กัน

อาจารย์เขาก็เริ่มยิงคำถามกันเข้ามาสองคน ซ้ายสุดกับขวาสุด คนกลางเงียบกินแรงเพื่อน เขาก็ถามไปนะว่า ทำไมถึงอยากเรียน คิดว่าจะอยู่ชนบทได้ไหม พ่อแม่มีส่วนในการตัดสินเลือกคณะหรือเปล่า ฉันก็ตอบไปตามเรื่อง (โกหกเต็มแม็ค) ตอบไปนะ ตอบไปได้สักพัก อาจารย์ก็บอกว่า

“เมื่อกี้เห็นเอาหนังสือเข้ามาอ่านหน้าห้องด้วย ไหนขอดูหน่อย”

ฉันก็เลยเดินออกไปหยิบมาให้ดู อาจารย์เปิดๆดู แล้วก็มองหน้ากัน สักพัก ถามว่ามีเล่มอื่นอีกไหม ก็หยิบออกมาให้ดู แล้วก็ เก็บ ‘คำสาปฟาโรห์’ ไว้ใต้กระเป๋าลึกๆเลย แบบว่าเขินอาย เมมฟิสของฉาน โผล่มาตกสัมภาษณ์แน่ๆเลย เล่มแรกที่เอาให้ดูนั้นเป็นหนังสือเกี่ยวกับ Neuro เล็กน้อย ชื่อ Mapping The Mind เล่มนี้สนุกดี ชอบตรงที่ภาพประกอบ ภาพประกอบไฮโซมากๆ เพื่อนซื้อมาฝาก พอเปิดเห็นภาพด้านในน้ำตาซึมเลย โอพระเจ้าจอร์จ ชอบมากมาก แต่ดูเหมือนอาจารย์เขาจะไม่ชอบกับเราด้วยแฮะ เขาส่งหนังสือคืนมาแล้วก็ถามว่า

“เธอคิดจะเรียนต่อเฉพาะทางไหม?”

กลิ่นแปลกๆแล้วไง อาจารย์ระเบียบก็มองลอดแว่นอยู่ได้ ด้วยสายตาอันเป็นคำถาม ส่วนอาจารย์สมบูรณ์ยังนั่งเงียบกินแรงเพื่อนเหมือนเดิม

“ตอนนี้ยังไม่คิดค่ะ” ฉันตอบ

“ตอนนี้ไม่คิด แต่ต่อไปไม่แน่ใจไหม”

โอ กรูไม่น่าตอบไปอย่างนั้นเลยจริงๆ

เซล์ฟหายหมดเกลี้ยง ในใจเหมือนมีไฟแดงๆที่กระพริบบนหลังรถตำรวจกำลังส่งสัญญาณเตือนวาบๆ บอกว่า

หายนะกำลังมาเยือนแล้ว…

หายนะกำลังมาเยือนแล้ว…

ลางร้ายเริ่มปรากฏนะคุณ ฉันก็ดั๊น เหลือบไปเห็นอาจารย์ครูระเบียบขยับปากกาหมุนๆ เป็นคำๆ คล้ายๆ ต. เต่า กับ ก. ไก่ อยู่ใกล้ๆกัน ส่วนอาจารย์สมบูรณ์ผู้แสนน่ารักเธอทำเสียฉันน้ำตาซึมเลย

คือเธอกางกระดาษให้คะแนน (อย่างไม่พยายามจะปิด) แล้วก็ขีดคะแนน มันจะเป็นเส้นสเกลจากหนึ่งไปห้า …มือของเธอก็อยู่แถวๆ สเกลด้านเลขหนึ่ง เลขสอง เลขสาม ไม่ยอมไปด้านหลังๆแม้แต่กระติ๊ด คนถูกสัมภาษณ์อย่างฉันก็เหลือบมองพลางแอบใจหาย กระตุก กระตุ๊กๆ เหมือนโดนเข็มจิ้มตูด (เศร้านะเว้ย)

หมดแล้ว ฉันก็โชว์การเสียมารยาทอีกรอบเมื่ออาจารย์ถามว่า มีอะไรจะถามอาจารย์ไหม ฉันก็หันไปทางอาจารย์สมบูรณ์ แล้วถามว่า

“อาจารย์มีอะไรจะถามหนูบ้างหรือเปล่าคะ?”

ก็อาจารย์แกเล่นนั่งเงียบ แล้วก็ติ๊กคะแนนประหารจิตใจของฉันเหลือเกิน (ยิ่งคิดยิ่งอาฆาต โอ๊ยๆ)

ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นฉันก็เดินออกจากห้องไปลงลิฟต์ที่อยู่ติดกันด้วยอารมณ์เงียบสงบ เดินลงไปบอกแม่ว่า…

“แม่ … ลูกคิดว่าลูกคงตกสัมภาษณ์ค่ะ”

แม่ก็งง แต่ก็บอกว่า

“ไม่เป็นไรหรอก ลูกทำเต็มที่แล้วใช่ไหม?”

“ค่ะแม่”

แม่ก็ไม่คิดอะไรมาก ก็นั่งโม้กับเพื่อนไป โม้ว่า ฉันตายแน่แล้ว เพื่อนอีกคนมันก็กลุ้มไม่แพ้กันเลย มันบอกว่า อาจารย์ถาม ว่าเห็นในนี้เขียนว่าเล่นเปียโนเป็น ในชนบทไม่มีเปียโนให้เล่นนะจ๊ะ (มันได้อาจารย์ชุดเดียวกับฉัน) ฉันก็ปลอบไปว่าอย่าคิดอะไรมาก รอวันผลออก

ผลออกหลังคะแนนเอนท์ออก ตอนนั้นไม่เครียดเท่าไหร่แล้ว เพราะคะแนนเอนท์ใช้ยื่นเอนท์ตรงได้ (น่าจะพอ) ผลก็ออกมาว่า ไม่มีชื่อเราอยู่จริงๆ

ถามว่าเสียใจไหม….

ตอบว่า…เล็กน้อย…

เฮ้อ… หายเซล์ฟไปเลย รู้แค่นี้แหละ…




 

Create Date : 30 เมษายน 2548    
Last Update : 30 เมษายน 2548 1:44:00 น.
Counter : 1579 Pageviews.  

1  2  

p.ivy
Location :
ปัตตานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add p.ivy's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.