เพราะตามีคู่เดียว อย่าปล่อยให้ตาเสื่อมก่อนวัยอันควร


พฤติกรรมการใช้งานหน้าจอคอมพิวเตอร์และสมาร์ทโฟนดูเหมือนจะเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อสายตาของหนุ่มสาวในยุคปัจจุบัน  ซึ่งพบว่าโรค Computer Vision Syndrome หรือ ซีวีเอส กลายเป็นโรคยอดฮิตของคนยุคดิจิทัลไปแล้ว  ดังนั้น เราจึงควรหันมาสังเกตดวงตาของเราว่ามีความผิดปกติจากสัญญาณเตือนดวงตาเสื่อมกัน
  • มีอาการแสบตา เคืองตา คันตา โดยปกติคนเราจะต้องกระพริบตาอยู่ตลอดเวลา โดยมีอัตราการกระพริบตาประมาณ 20 ครั้งต่อนาที เพื่อเกลี่ยน้ำตาให้คลุมผิวตาให้ทั่ว แต่หากจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟนเป็นเวลานานๆ จะทำให้เรากระพริบตาลดลงกว่า 60% ทำให้ผิวตาแห้ง แสบตา เคืองตา คันตา หากเป็นมากจะเกิดอาการตาแดง ตาสู้แสงไม่ได้ ปวดเบ้าตา มีอาการอ่อนล้าทางประสาทตาได้

  • ตาพร่ามัว มองเห็นภาพซ้อน มักเกิดกับคนที่ใช้สายตาจ้องมองหน้าจอเป็นเวลานานๆ ติดต่อกันโดยเฉลี่ยมากกว่า 3.5 ชั่วโมงขึ้นไป การเพ่งมากจนกล้ามเนื้อตาอ่อนล้า ทำให้ในเริ่มแรกอาจมีอาการคล้ายคนสายตาสั้น ต้องจองมองใกล้ๆ ต่อมาจะรู้สึกตาพร่ามัว มองเห็นเป็นภาพซ้อน แต่อาการจะดีขึ้นหากได้พักสายตา

  • เมื่อยตา ตากระตุก เมื่อดวงตาต้องเพ่งหรือจับจ้องอยู่กับหน้าจอที่มีแสงจ้าหรือแสงสะท้อนเป็นเวลานานๆ หรือการใช้คอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟนในห้องที่มีแสงสว่างไม่เพียงพอ จะส่งผลให้กล้ามเนื้อหนังตาเกร็งตัวจนผิดปกติ อาการเริ่มต้นอาจมีแค่การกระตุกเกร็งของกล้ามเนื้อตาไม่มาก ทำให้กระพริบตาถี่ขึ้นกว่าปกติ หากเป็นมากขึ้นกล้ามเนื้อหนังตาจะเกร็งจนต้องกระพริบตาแรงๆ

  • ปวดกระบอกตา การใช้สายตาเป็นเวลานานๆ ในการจ้องและเพ่งหน้าจอเกินกว่า 6 ชั่วโมง เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดอาการปวดกระบอกตา โดยจะมีอาการปวดบริเวณระหว่างหัวคิ้ว ไปจนถึงศรีษะ หากยังคงใช้สายตาจ้องมองต่อไป จะทำให้มีอาการรุนแรงมากขึ้น เช่น ตามัว วิงเวียน และมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนได้

Credit : //www.bangkokbiznews.com/news/detail/599360

Picture : https://www.facebook.com/lasiklaservisionthai




Create Date : 22 กันยายน 2558
Last Update : 3 มิถุนายน 2559 14:55:00 น.
Counter : 804 Pageviews.

0 comment
ตาแดงร้ายแรงถึงขั้นตาบอดได้


อาการของโรคตาแดง       

  1. ตาขาวบวมแดง มีขี้ตามาก
  2. ระคายเคืองตา คันหรือเจ็บตา 
  3. ปวดตา
  4. สู้แสงไม่ได้ น้ำตาไหลมาก


โดยอาการเหล่านี้อาจเริ่มเป็นเพียงข้างเดียวก่อนแล้วจึงลุกลามไปอีกข้างหนึ่ง

การดูแลรักษาเบื้องต้น

  1. ถ้าน้ำสกปรกกระเด็นเข้าตา หรือมีสิ่งแปลกปลอมเข้าตา แนะนำให้ล้างตาด้วยน้ำสะอาด หรือน้ำยาล้างตาเบื้องต้น สังเกตุอาการหลังจากนั้นว่า มีอาการที่บ่งบอกว่าอาจจะติดเชื้อหรือไม่ ตามที่ได้กล่าวข้างต้น ถ้าอาการ ไม่ดีขึ้นใน 1-2 วันควรรีบพบแพทย์

  2. หลีกเลี่ยงการขยี้ตา เนื่องจากทำให้ตาบวมมากขึ้น และมือที่เปื้อนเป็นแหล่งที่ทำให้เชื้อโรคแพร่ กระจายมากขึ้น เมื่อไปจับสิ่งของต่างๆ

  3. หมั่นล้างมือให้สะอาดด้วยน้ำสะอาดและสบู่ ควรเช็ดมือให้แห้ง

  4. ถ้าใส่คอนแทคเลนส์อยู่ ควรถอดออก หยุดใส่โดยเปลี่ยนเป็นใส่แว่นแทน จนกว่าอาการดีขึ้น เนื่องจากจะมีโอกาสติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อนร่วมด้วยได้มาก

การรักษาโรคตาแดง
เมื่อได้รับการตรวจจากแพทย์แล้ว ผู้ป่วยมักจะได้รับยาหยอดตา อาจเป็นกลุ่มยาลดอาการระคายเคือง ลดการอักเสบในกรณีเกิดจากเชื้อไวรัส หรืออาจได้รับยาปฏิชีวนะชนิดหยอดร่วมด้วย ถ้ามีการติดเชื้อแบคทีเรีย แพทย์อาจให้ยาแก้ปวด ลดคัน เพื่อบรรเทาอาการ อาการมักค่อยๆดีขึ้นภายใน 1 สัปดาห์

ถ้ามีขี้ตามาก แนะนำให้ใช้สำลีชุบน้ำบิดหมาดๆหรือกระดาษสะอาดซับ และทิ้งลงถังขยะ ไม่ควรใช้ผ้าเช็ด เนื่องจากเชื้อโรคจะสะสมในผ้าได้และแพร่กระจายได้มากกว่า ไม่ควรใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่น ล้างมือให้สะอาดบ่อยๆ อาจใส่แว่นกันแดดเนื่องจากเมื่อโดนแสงอาจมีอาการระคายเคืองมากขึ้นไม่ควรใช้ผ้าปิดตาเพราะจะทำให้ติดเชื้ออื่นร่วมด้วยได้มาก ควรหยุดพักงาน หรือหยุดเรียนจนกว่าอาการดีขึ้นเนื่องจากติดต่อง่ายมาก

ถ้ามีอาการ สู้แสงไม่ได้ ตามัวลง หรือขี้ตามากขึ้น อาจมีภาวะแทรกซ้อนเช่นมีการอักเสบของกระจกตาร่วมด้วย
ควรรีบกลับไปพบแพทย์

การป้องกันโรคตาแดง

ทำได้โดยหลีกเลี่ยงไม่ให้ฝุ่นละอองหรือน้ำเข้าตา เด็กๆ ไม่ควรเล่นน้ำที่ท่วมขังอยู่หากฝุ่นละอองหรือน้ำเข้าตา ควรรีบล้างด้วยน้ำสะอาด หมั่นล้างมือ หลีกเลี่ยงการขยี้ตา หากเป็นไปได้ควรแยกผู้ป่วยจากสมาชิกอื่นในครอบครัว เพื่อลดการแพร่ระบาดของโรค

อาการตาแดง เคืองตา น้ำตาไหล อาจเกิดจากสาเหตุอื่น เช่น

  • สิ่งแปลกปลอมเข้าตา ทำให้มีอาการเคืองตา ตาแดงขึ้นทันที ภายหลังมีสิ่งแปลกปลอมเข้าตา เช่น ผงฝุ่น เศษเหล็ก แมลง สารระคายเคือง เมื่อล้างหรือเขี่ยออกอาการก็จะ ทุเลาได้ภายใน 1 - 2 วัน

  • เยื่อตาขาวอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย ผู้ป่วยจะมีอาการตาแดง หนังตาบวม มีขี้ตาแฉะ ลักษณะสีเหลืองหรือเขียว มักเป็นที่ตาทั้ง ๒ ข้าง โดยเป็นข้างหนึ่งก่อนแล้วค่อยลามมาอีกข้างหนึ่ง

  • เยื่อตาขาวอักเสบจากการแพ้ ผู้ป่วยจะมีอาการคันตามาก มักจะคันตรงหัวตา ต้องขยี้ ยิ่งขยี้ก็ยิ่งคัน ถ้าขยี้มากๆ หนังตาจะบวมและช้ำ ผู้ป่วยมักมีน้ำตาไหล ตาขาวมีสีแดงเรื่อๆ มักมีประวัติเป็นคนที่แพ้อะไรง่าย หรืออาจมีโรคภูมิแพ้ (เช่น ลมพิษ หวัด ภูมิแพ้) ร่วมด้วย

  • เยื่อตาขาวอักเสบจากไวรัสเริมหรืองูสวัด ผู้ป่วยจะมีอาการเคืองตา ตาแดง น้ำตาไหลแบบเดียวกับเยื่อตาขาวอักเสบจากไวรัส แต่มักมีประวัติว่ามีผื่นเริมหรืองูสวัดขึ้นที่บริเวณใบหน้าหรือบริเวณใกล้ตาก่อนจะมีอาการตาอักเสบ

  • แผลกระจกตา มักมีประวัติถูกใบหญ้าหรือพืชผักบาดตา หรือมีสิ่งแปลกปลอมเข้าตา หรือมีการใช้เลนส์สัมผัส (ไม่ถูกวิธี) ผู้ป่วยจะมีอาการปวดตา เคืองตา ตาแดง น้ำตาไหลต้อหินเฉียบพลัน ผู้ป่วยจะมีอาการปวดตาข้างหนึ่งอย่างรุนแรง ตาพร่ามัว ซึ่งเกิดขึ้นเฉียบพลัน จะพบว่า ตาขาวข้างนั้น มีลักษณะแดงเรื่อๆ กระจกตาบวมและขุ่น

อาการตาขาวแดงเป็นปื้น (แบบรอยห้อเลือด) อาจเกิดจากการได้รับบาดเจ็บ (เช่น ถูกแรงกระแทก ถูกต่อย) หรือจากการไอแรงๆ ทำให้หลอดเลือดฝอยที่ใต้ตาขาวแตกเป็นรอยห้อเลือด ซึ่งจะค่อยๆ จางหายไปภายใน 1 - 2 สัปดาห์

คนไม่น้อยอาจมองว่า มีความรุนแรงน้อย...เป็นแล้วไม่ค่อยแสดงอาการเจ็บป่วยเหมือนโรคชนิดอื่นๆ ทำให้ขาดความระมัดระวัง

แต่ในความเป็นจริงโรคตาแดงคือ โรคติดต่อที่มีความอันตรายมากโรคหนึ่ง เพราะหากปล่อยไว้ หรือไม่เข้ารับการรักษาอย่างถูกวิธี

อาจเกิดการติดเชื้อ...ร้ายแรงถึงขั้นตาบอดได้

CRADIT

//www.laservisionthai.com/th/EyeCare/Conjunctivitis.htm

//www.doctor.or.th

//www.thairath.co.th/content/203659




Create Date : 19 กันยายน 2558
Last Update : 3 มิถุนายน 2559 14:55:24 น.
Counter : 929 Pageviews.

0 comment
อย่าทำร้ายตากันอีกเลย


หมั่นตรวจสุขภาพตาปีละครั้ง หากมีกรรมพันธุ์หรือโรคประจำตัวเช่น เบาหวาน ความดัน ควรตรวจปีละ 2 ครั้ง ตรวจเพื่อให้รู้ถึงภาวะเสี่ยง โรคตาบางชนิดไม่แสดงอาการเจ็บปวด หรือหสัญญาณเตือนใดๆ อาจสูญเสียการมองเห็นได้อย่างเฉียบพลัน

1.การสูบบุหรี่ จากผลการวิจัยมากมายที่พูดถึงอันตรายของบุหรี่ รวมถึงการสูบบุหรี่ยังเป็นภัยคุกคามต่อดวงตาเช่นกัน เช่น โรคต้อกระจก ,โรคจอประสาทตาเสื่อม,โรคม่านตาอักเสบ(uveitis), โรคเบาหวานขึ้นตา หรือแม้แต่โรคตาแห้งก็ตาม

2.การรับประทานอาหารไม่มีประโยชน์ การรับประทานอาหาร Fast food จนเป็นปกติส่งผลให้ร่างกายได้รับวิตามินจากผักและผลไม้ไม่เพียงพอ ดวงตาต้องการวิตามินในการซ่อมแซม และช่วยในการปกป้องดูแล

3.ไม่สวมแว่นกันแดด การออกแดด พบเจอแสง UV โดยตรง โดยไม่ได้รับการป้องกัน เป็นการทำร้ายดวงตา ทำให้เกิดได้ทั้งต้อลม ต้อเนื้อ

4.การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ การพักผ่อนที่ดีที่สุดคือการหลับ การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอเร่งให้เกิดให้เกิดริ้วรอยรอบดวงตา ทำให้เกิดการหมองคล้ำใต้ตา ตาแห้ง และมองเห็นไม่ชัด

5.การดื่มน้ำน้อยไป   การดื่มน้ำอย่างน้อยวันละแปดแก้วน้ำ ดีต่อสุขภาพอย่างที่รู้กันอยู่ แต่ในทางกลับกันเมื่อการดื่มน้ำน้อยไปไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายส่งผลโดยตรงต่อการผลิตน้ำตาที่ช่วยให้ความชุ่มชื้นแก่ดวงตา  ทำให้เกิดอาการตาแห้ง  ตาแดงและเปลือกตา บวมช้ำ

6.การขยี้ตา  การขยี้ตาเป็นการทำลายเส้นเลือดเล็กๆภายใต้ผิวหนังบริเวณรอบดวงตา ทำให้เกิดการหมองคล้ำ ตีนกา และถุงใต้ตาก่อนวัยอันควร

7.ไม่เคยเข้ารับการตรวจสุขภาพตา   การตรวจสุขภาพตาเพื่อให้รู้ก่อนถึงปัญหา ภาวะเสี่ยง โรคตาบางชนิดไม่แสดงอาการเจ็บปวด หรือสัญญาณเตือนใดๆ เช่นโรคต้อหินเฉียบพลัน



Create Date : 09 กันยายน 2558
Last Update : 3 มิถุนายน 2559 15:00:05 น.
Counter : 824 Pageviews.

1 comment
อายุกับสายตายาว สามารถแก้ได้


         สายตายาวตามอายุ มักจะเกิดกับทุกคนที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป ทุกคนย่อมตระหนักดีอยู่แล้วว่า ดวงตาของมนุษย์เรามีเลนส์แก้วตาตามธรรมชาติอยู่ด้านใน อย่างไรก็ตาม มีน้อยคนนักที่ทราบว่า  เลนส์แก้วตานี้จะค่อย ๆ ลดประสิทธิภาพไปเมื่ออายุมากขึ้น โดยจะเริ่มมีความยืดหยุ่นน้อยลง  และกล้ามเนื้อตาก็จะเริ่มเสื่อมสภาพลงเช่นกัน ซึ่งต่างก็มีผลต่อความสามารถในการมองเห็น  โดยเฉพาะการมองในระยะใกล้ ซึ่งภาวะนี้เรียกว่า “ภาวะสายตายาวตามอายุ” 

แว่นอ่านหนังสือได้นำมาใช้ในการแก้ปัญหาให้กับผู้ที่มีปัญหาทางสายตามายาวนาน อย่างไรก็ตาม

ปัจจุบันนี้มีการคิดค้นและพัฒนาวิธีการผ่าตัดเพื่อรักษาสายตามากมายหลายวิธี

เพื่อช่วยลดการพึ่งพาแว่นอ่านหนังสือ

สำหรับผู้ที่มีปัญหาสายตายาวตามอายุด้วยวิธี NV LASIK

 ซึ่งทำให้สามารถมองเห็นในระยะไกลได้ชัดในตาข้างหนึ่ง

และมองเห็นใกล้ได้ชัดในตาอีกข้างหนึ่ง ดวงตาแต่ละข้างจะมองเห็นวัตถุชัดเจนในระยะ

ที่แตกต่างกันออกไป แต่ด้วยหลักการของ Blended vision 

ผู้เข้ารับการรักษาจะสามารถมองเห็นได้ชัดทั้งไกล

และใกล้เมื่อใช้ตาทั้ง 2 ข้างพร้อม ๆ กัน

หรือหลังจากอายุเยอะแล้ว จนกลายเป็นต้อกระจกขึ้นมา

วิธีการรักษาก็จะเปลี่ยนเป็นเลนส์แก้วตาเทียม 

การผ่าตัดต้อกระจกวิธีนี้จะทำการรักษาด้วยการใช้คลื่นเสียงความถี่สูง (Ultrasound)

สลายต้อกระจกและดูดออกมา ซึ่งเป็นที่นิยมมากในขณะนี้ 

เนื่องจากแผลผ่าตัดจะมีขนาดเล็กเพียง 2.6-3.0 มิลลิเมตรเท่านั้น

จากนั้นแพทย์จะใส่เลนส์แก้วตาเทียมแบบพับได้ลงไป 

สำหรับผู้ที่มีปัญหาสายตาสั้น ยาว หรือเอียง ร่วมด้วยนั้น

แพทย์จะใส่เลนส์ที่มีกำลังขยายพอดีเข้าไปในตำแหน่งที่ต้องการ 

ทำให้สามารถกลับมามองเห็นได้อย่างรวดเร็ว

การผ่าตัดนี้ใช้เวลาน้อย และไม่จำเป็นต้องมีการเย็บแผล 

จักษุแพทย์ที่ชำนาญสามารถทำการผ่าตัดได้

โดยใช้ยาชาหยอดเฉพาะที่เท่านั้น ไม่ต้องฉีดยาหรือดมยาสลบ การผ่าตัดจึงมีความปลอดภัยมากขึ้น

^_^

คชจ เลนส์ ราคาขึ้นอยู่กับคุณสมบัติเลนส์ที่ใส่เข้าไป




Create Date : 24 มิถุนายน 2558
Last Update : 3 มิถุนายน 2559 14:58:50 น.
Counter : 1192 Pageviews.

0 comment
เบาหวานขึ้นตา เสี่ยงตาบอด ป้องกันดีกว่าแก้ไข


โรคเบาหวานขึ้นตา เป็นโรคแทรกซ้อนทางตาที่สามารถพบได้ในผู้ป่วยโรคเบาหวาน และสามารถส่งผลร้ายแรงถึงขั้นสูญเสียการมองเห็นอันเป็นผลมาจากภาวะจอประสาทตาเสื่อม

การป้องกันโรคเบาหวานขึ้นตาสามารถทำได้โดย
  • ควบคุมอาหาร ระดับน้ำตาลให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
  • ทานยาเบาหวาน และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
  • ควรเข้ารับการตรวจสุขภาพตาประจำปีโดยจักษุแพทย์ อย่างน้อยปีละ 1 ครั้งแต่หากเริ่มมีอาการผิดปกติ แพทย์อาจจะนัดตรวจบ่อยขึ้น ควรมาตรวจอย่างสม่ำเสมอ และปฏิบัติตามที่แพทย์แนะนำ



Create Date : 13 พฤษภาคม 2558
Last Update : 3 มิถุนายน 2559 14:58:01 น.
Counter : 728 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  

salinta
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]



หมีชอบกินปลาแซลม่อนที่ว่ายทวนน้ำ...
All Blog