นิดหนึ่งนี้อุทิศแด่ชาวนา ผู้ต่ำต้อยน้อยหน้าเหลือแสน ลำบากยากจนข้นแค้น ไป่แม้นชาวฟ้ามหานคร โดย อ. ดีพร้อม ไชยวงศ์เกียรติ

“ ซีโอฟาร์ม” จับกลิ่นเหม็นให้สัตว์เลี้ยงแสนรัก

สัตว์เลี้ยงแสนรักสำหรับเด็กๆ ไม่ว่าจะเป็นเด็กเล็กเด็กใหญ่อย่าง หนูแก๊สบี้กระต่าย สุนัข แมว หรือสัตว์เลื้อยคลานนานาชนิดล้วนต่างถูกซื้อถูกขายให้ผู้ที่สนใจนำไปเลี้ยงดูแล สัตว์เลี้ยงเหล่านี้ในระยะแรกก็จะได้รับการเอาอกเอาใจเป็นพิเศษมักจะมีการเปลี่ยนถ่ายน้ำอาหารและภาชนะรองพื้นที่เก็บพวกมูลของสัตว์เหล่านี้อยู่เป็นประจำทำให้ไม่ค่อยมีปัญหาต่อสัตว์เลี้ยงและผู้ที่อยู่อาศัยใกล้ชิด หมายถึงกลิ่นเหม็นจากสัตว์และของเสียที่สัตว์เหล่านั้นขับถ่ายออกมา

ของเสียที่อยู่ในรูปของแข็ง อย่างเศษอาหารและมูลหรืออยู่ในรูปของเหลวอย่างปัสสาวะ น้ำ ที่อาจจะหกเลอะเทอะเปรอะเปื้อนก่อนให้เกิดการบูดเน่าก่อให้เกิดของเสียในรูปของก๊าซในรูปแบบต่างๆทั้ง มีเทน (Ch4), แอมโมเนีย (NH3-) และก๊าซไข่เน่า (H2S) ก๊าซของเสียเหล่านี้ถ้าปล่อยให้มีการหมักหมอนานเข้า มากเข้าก็จะก่อให้เกิดความเครียดต่อสุขภาพของสัตว์เลี้ยง ทำให้หายใจไม่สะดวกระคายเคืองต่อเนื้อเยื้อที่ละเอียดอ่อนอย่างเยื่อบุนัยน์ตา น้ำมูก น้ำตาไหลเกิดความเครียดจนกินอาหารได้น้อย หรือหยุดกินอาหาร และสามารถส่งผลทำให้ถึงตายได้ด้วยเช่นกันถ้ายังไม่มีการแก้ไขอย่างเร่งด่วน

ปัญหาต่างๆ เหล่านี้สามารถแก้ไขให้หมดไปได้ด้วยการใช้ ซีโอฟาร์ม ZeoFarm ซึ่งเป็นหินแร่ภูเขาไฟที่นำมาปรับแต่ง (formulate) มีค่าความสามารถในการจับหรือแลกเปลี่ยนประจุบวก(C.E.C. = Catch Ion Exchange Capacity) อยู่ที่ 165 meq/100g. มีคุณสมบัติที่ดีต่อการนำไปใช้จับกลิ่นเหม็นในคอกสัตว์ฟาร์มสุกร เป็ดไก่หรือแม้กระทั่ง ฟาร์มโค-กระบือที่พบปัญหาน้ำตาไหลตาบอดปวดแสบปวดร้อนจากการแพ้แอมโมเนีย ที่ระเหยจากพื้นคอก เมื่อก๊าซแอมโมเนียรวมตัวกับน้ำตากลายเป็นด่าง เปรียบเหมือนนำด่างไปป้ายตาทำให้เกิดการระคายเคืองอักเสบไม่สบายได้ จากเหตุผลดังกล่าวนี้จึงสามารถนำ ซีโอฟาร์มนำไปใช้ในการจับกลิ่นเหม็นในสัตว์เลี้ยงแสนรักของหนูๆ ได้อย่างสบายหายห่วงหรืออาจจะนำไปผสมร่วมกับทรายแมวในอัตรา 1 : 1ก็ได้ด้วยเช่นกัน

มนตรี บุญจรัส

ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ www.thaigreenagro.com




 

Create Date : 07 ธันวาคม 2556   
Last Update : 7 ธันวาคม 2556 17:43:45 น.   
Counter : 777 Pageviews.  

ทำไมไม่เลี้ยง “ควาย”

ทำไมไม่เลี้ยง "ควาย"

ตราบเท่าที่เคยได้ยินได้ฟังมาตั้งแต่เล็กจนโต แล้วลองคิดเล่นๆ ดูว่า สัตว์อะไรหนา? ที่โง่ที่สุดในโลกใบนี้ ถ้าจะลองเดาเอาเองจากข้อมูลและประสบการณ์อันน้อยนิด ก็คงจะเดาว่ามันต้องเป็น “ควาย” แน่ๆ (ไม่รู้จริงหรือเปล่า) เพราะเจ้าสัตว์เท้ากีบ สี่ขา มีสองเขา ตัวโต แข็งแรงสีดำสนิทนี้ ชื่อของมันมักจะถูกนำมากล่าวขานในด้านลบเสียเป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะในแง่ของการตำหนิเตียนเชิงดูถูกเหยียดหยามในเรื่องของสติปัญญาว่า “โง่เหมือน...ควาย” “โง่เป็น...ควาย” บ้าง ไม่พอใจใครก็ด่าว่า “ไอ้...ควาย” หรือรำคาญใครที่รับฟังแล้วไม่ตอบสนอง นิ่งเฉยทำท่าไม่รู้เรื่องก็จะว่า “สีซอให้ควายฟัง” บ้าง ลูกที่เกิดมาแล้วไม่เลี้ยงดูพ่อแม่แถมไถเงินไปใช้ในทางที่ไม่ถูกไม่ควรก็จะ ถูกเรียก ว่า “ไอ้ลูกทรพี” (ทรพี ก็คือลูกควายในตำนานที่เฝ้าวัดรอยเท้าจนสุดท้ายก็ฆ่าพ่อที่เป็นควายของตัว เองที่ชื่อว่า ทรพา นั่นงัย) เพศที่สามที่หน้าตาสยึมกึ๋ย ก็อาจจะโดนเด็กวัยรุ่นปากมันแซวได้ว่าเป็น “กระเทยควาย” อันนี้ไม่แนะนำให้ลอกเลียนแบบถ้าไม่อยากโดนตบนะครับ ส่วนในเรื่องของมุกตลกที่ไม่ขำ ไม่น่าจะนำมาเล่น แต่ยังดึงดันที่จะเล่นเขาก็จะเรียกว่า “มุกควาย” ฮ่า ๆ ขำกันไหมครับ บางครั้งการเรียกขานชื่อควายในบางสถานที่ก็ฟังดูไม่ค่อยสุภาพ แต่จริงๆเป็นคำที่ใช้ในภาษาถิ่นอันนี้ถือว่าเป็นเรื่องปรกติธรรมดาควายที่ นั่นคงจะคุ้นเคยและไม่ว่าอะไร โดยเฉพาะถ้าใครลองได้ไปแถบภาคอีสานก็จะได้ยินบ่อยๆ สามีที่ไม่ชอบอยู่บ้านหรือไปทำงานต่างจังหวัดบ่อยๆ ภรรยาอยู่ทางนี้ก็มักจะมีหนุ่ม ๆ มาจีบ มาแซว ถ้า ไปรับรักหรือร่วมรักกับหนุ่มที่ไม่ใช่สามีตนเองกลับมาชาวบ้านก็จะแอบนินทา ให้ได้ยินว่า “ถูกสวมเขา (ควาย)” ก็เอาควายไปเกี่ยวอีกเหมือนกัน ในแต่ละคำที่ยกตัวอย่างมาให้ฟังนั้น อาจทำให้ควายรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจอยู่ไม่น้อยทีเดียวถ้ามันรู้ภาษาของมนุษย์ แต่จะว่าไปก็ยังไม่เคยเห็นมันโกรธเคืองสักที แถมไม่เคยปริปากบ่น ไม่เคยว่า ไม่เคยประท้วง ไม่ก่อความวุ่นวาย ไม่ก่อม็อบ ไม่หยุดงาน ไม่เผาเมือง เหมือนสัตว์บางประเภทอีกด้วยฯลฯ

ต่อไปขออนุญาตนำเรื่อง ควาย ๆ มาเล่าสู่กันฟังว่า “ควาย” จะมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องอะไรบ้าง

- ในปัจจุบันที่จังหวัดชลบุรีก็จะมีประเพณีวิ่งควายซึ่งได้รับความนิยมเป็น อย่างมาก สามารถดึงนักท่องเที่ยวทั้งไทยและเทศให้เข้ามาชมได้มากโขอยู่ สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำให้แก่จังหวัดชลบุรีเป็นอย่างมาก

- วงดนตรีเพื่อชีวิตที่โด่งดังค้างฟ้ามาเนิ่นนานในปัจจุบันก็ใช้เขาควายเป็น สัญลักษณ์แถมยังชื่อวงก็ใช้คำว่า คาราบาว ภาษา ตากาล็อก ประเทศฟิลิปินส์ แปลเป็นไทยก็แปลว่า “ควาย”

- เมื่อหลายปีก่อนก็มีภาพยนตร์ชื่อ บางระจัน และมีตัวละครชื่อนายทองเหม็น ตัวแทนชาวบ้านบางระจันใช้ควายเป็นพาหนะเข้าไปรบและฆ่าพม่าตายหลายคน ควายที่เขาโค้งเป็นวงพระจันทร์ตัวนั้น ยังจำได้ไหมครับว่าเขาชื่อ “พี่บุญเลิศ” ซึ่งสร้างความประทับใจให้ผู้ชมอยู่นานเหมือนกัน

- จังหวัดสุพรรณบุรี ก็ใช้ควายเป็นจุดขาย มีการนำเสนอรูปแบบการทำนาแบบโบราณย้อนยุคมีควายหลายชนิดให้ดูชม มีทั้งควายเผือก ควายทุย ควายแคระ ควายยิ้ม (ควายที่พิการฟันเหยินออกมานอกปาก) ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้ควายเป็นตัวเอก ชาวบ้านเขาเรียกว่า “บ้านควาย”

- ใช้เป็นสำนวน “ทรพี” ดังที่ได้เล่าไปแล้วในย่อหน้าแรก ใช้เปรียบเทียบกับลูกอกตัญญู

- ควายธนู คือของขลังชนิดหนึ่งที่หมอผีปลุกเสกขึ้นมา อาจจะทำจากทองแดง หรือขี้ผึ้ง ใช้สำหรับปราบผี หรือในพิธีไสยศาสตร์ต่างๆ

- เป็นชื่อเพลง “เขมรไล่ควาย” บางคนอาจจะสงสัยว่าทำไมเขมรต้องไล่ควาย ถ้าลองมองย้อนกลับไปในวัยมัธยมต้นที่เพื่อนๆบางคนอยู่ในวัยคึกคะนอง สรวญเสเฮฮาและไม่ค่อยตั้งใจเรียนสักเท่าไรไปถามคำถามนี้กับอาจารย์เข้า สงสัยอาจารย์จะต้องตอบกลับมาแน่เลยว่า “ก็ไล่ควายส่งมาเรียนกับชั้นงัยยะ”

- มหิงสา หมายถึง ควายป่า

- ปลิงควาย ตัวดำใหญ่ เหนียวหนืด ยืดระโยงรยางค์ เมื่อดูดเลือกตัวก็จะยิ่งพองใหญ่ขึ้น น่าจะไม่ค่อยถูกกับสุภาพสตรีสักเท่าไร

- สมัยก่อนมีการจดทะเบียนควาย เรียกว่า "ตั๋วรูปพรรณ" สมัยนี้ได้ยกเลิกไปแล้ว เหลือแต่เพียงในตำราให้นักศึกษากฎหมายท่องเท่านั้น

- สัตว์พาหนะ อันได้แก่ ช้าง ม้า วัว ควาย ลา ฬ่อ แค่นี้เท่านั้น อูฐ แม้จะขี่ได้แต่ก็ไม่ใช่สัตว์พาหนะตามกฎหมายของประเทศไทย

- คดีลักควายเป็นคดีคลาสสิกของการเรียนวิชาความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ ของนักศึกษากฎหมายทุกสถาบัน

- นายฮ้อย คือคำเรียกของหัวหน้ากองคาราวานควาย ในภาษาอีสาน เคยถูกทำมาสร้างเป็นละครชื่อว่า นายฮ้อยทมิฬ

- กะลาเขาควาย เป็นชื่อการละเล่นเด็กไทยชนิดหนึ่ง //www.childthai.org/e-book/play/play01/play007-3.htm

- ควายไม่ได้ไม่ชอบสีแดง เพราะสัตว์มองไม่เห็นสี คนที่บอกว่าเข้าป่าแล้วให้ใส่สีกลมกลืนเพื่อสัตว์ไม่ตื่นจึงไม่ถูกต้อง

- “น้ำหนัง” เป็นอาหารของภาคเหนือที่ทำมาจากหนังควายจริงๆ เป็นที่โปรดปรานของชาวล้านนา การทำน้ำหนังจะเลือกเอาแต่หนังควายดิบเท่านั้น เมื่อได้หนังมาแล้ว จะนำมาตากแดดจนแห้ง ตัดเป็นชิ้น ๆ เผาขนออกนำไปแช่น้ำให้นุ่ม หลังจากนั้นขูดขนออกจนเห็นเนื้อหนังขาว แสดงว่าสิ่งสกปรกหมดแล้ว นำไปต้มจนเปื่อยยกขึ้นมาใส่ครกตำหรือบด จนเหลวเละเป็นน้ำ จึงเรียกว่า “น้ำหนัง”

- กีฬาชนควาย ที่เกาะสมุย สำหรับผู้นิยมซื้อบัตรได้ที่บังกะโลที่ท่านเข้าพัก

- "ขายควายช่วยแม่" เป็นเพลงฮิตของนักร้องลูกทุ่งมนสิทธ์ คำสร้อย ที่แสดงถึงประโยชน์ของควายได้ แม้ฟังแล้วน้ำตาจะไหล

- ขายควายส่งคนเรียน มีประโยชน์กว่า ขายควายส่งควายมาเรียน

- หมีควายเป็นสัตว์ที่ไม่เกี่ยวกับควายเลย แต่เพราะสีดำตัวใหญ่เลยเรียกหมีควาย ถ้าตัวเล็กกว่าเรียกหมีคน ( ห้ามอ่านผิด )

- ค ควาย เป็นอักษรในภาษาไทยที่ใช้สะกดคำว่า คน ทั้งๆที่มีอีกษร ฅ ฅน อยู่แล้ว

- ที่เชียงใหม่ก็มีบ้านควายไทยเหมือนกัน

- กาดงัวกาดควาย เป็นภาษาเหนือ เป็นสถานที่ขายของเก่า เช่น พวกมอไซด์เก่า ของเก่าๆ ในอดีตมีวัวควายขายจริงๆ

- บทอาขยานที่ใช้ท่องในวัยเด็กของบุคคลบางท่าน เคยได้ยินกันไหมครับ

นกเอี้ยงเลี้ยงควายเฒ่า

นกเอ๋ยนกเอี้ยง....................................คนเข้าใจว่าเจ้า เลี้ยงซึ่งควายเฒ่า

แต่นกเอี้ยงนั้นเลี่ยงทำงานเบา..............แม้อาหารก็ไปเอาบนหลังควาย

เปรียบเหมือนคนทำตนเป็นกาฝาก.......ร้มากเอาเปรียบคนทั้งหลาย

หนีงานหนักคอยสมัครงานสบาย..........จึงน่าอายเพราะเอาเยี่ยงนกเอี้ยง เอยฯ

แหม! เจ้าควายนี่ช่างดีและมีมากจริงๆ ถ้าอย่างนั้นเรามาทำความรู้จักกับควายให้ลึกกันอีกนิดนึงนะครับ...ความจริง แล้วควายนั้นเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ อยู่ในตระกูล Bovidae จัดอยู่ในกลุ่มของสัตว์ที่เคี้ยวเอื้องมีกีบคู่ โตเต็มวัยเมื่ออายุ 5 – 8 ปี ตัวผู้จะตัวใหญ่กว่าตัวเมียเล็กน้อย การแบ่งชนิดและสายพันธุ์จะแบ่งตามภูมิศาสตร์และสถานที่ โดยอาศัยลักษณะรูปร่างภายนอกเพียงคร่าว ๆและมักจะเรียกตามภาษาท้องถิ่น โดยไม่มีมาตรฐานแน่นอน จะแบ่งเป็น 2 กลุ่มคือควายป่าและควายบ้าน ควายบ้านจะแบ่งเป็นสองพวกใหญ่ๆที่ยอมรับกันทั่วไป จะมีอยู่สองชนิด คือ ควายปลัก (Swamp buffalo) และควายน้ำ (River buffalo) ถ้าได้รับการดูแลให้น้ำท่าอาหารอย่างดีจะมีน้ำหนักได้ถึง 300 – 600 กิโลกรัม ควายป่าจะมีน้ำหนักมากกว่าคือ 800 – 1,200 กิโลกรัม ส่วนควายที่ตัวใหญ่ ๆ ขนฟู (ไบซัน) นั้นจะเป็นญาติห่าง ๆ กันกับควายไทยของเรา

เมื่อควายยังเล็กนั้น จะกินนมแม่อยู่ประมาณ ปีครึ่ง ถึงหย่านม โดยเรามักเรียกลูกควายที่ยังติดแม่ว่า ลูกแหง่ จนกลายเป็นสำนวนกระทบกระเทียบคนที่โตแล้วยังติดแม่ว่าเป็น “ลูกแหง่” ควายที่จะถูกนำมาฝึกใช้งานได้จะมีอายุได้ประมาณ สอง ถึง สามปี และจะใช้งานได้จนถึงอายุควายได้ 20 ปี ก็จะปลดระวาง หรือปลดเกษียณควาย โดยเฉลี่ยควายจะมีอายุประมาณ 25 ปี

บางคนอาจจะเข้าใจผิดคิดว่าควายป่าคือกระทิง ความจริงแล้วเป็นสัตว์คนละชนิดกันเลยครับ ควายป่ามีลักษณะเหมือนกับควายบ้านทุกประการเพียงแต่ว่าอาศัยอยู่ในป่าเท่า นั้น ปัจจุบันมีเหลืออยู่น้อยมาก ล่าสุดมีรายงานการค้นพบในป่าห้วยขาแข้งเหลือไม่ถึง 50 ตัวเท่านั้น คาดว่าสาเหตุหลักเกิดจากการถูกล่านำไปเป็นอาหาร

ส่วนใหญ่ควายไทยจะมีนิสัยสงบเสงี่ยม เจียมตัว เรียบร้อย ไม่โหดร้าย ป่าเถื่อน พูดจาให้คำสั่งกับมันก็ฟังรู้เรื่อง ให้ไปซ้าย ไปขวา กระตุกเชือกให้สัญญาณ พูดออกคำสั่ง ไปซ้ายพูด “ทูล” ไปขวาพูด “ถาด” ให้รีบตรงไปข้างหน้าออกเสียง “ฮึ่ย ๆ” บอกให้หยุดก็พูด stop เอ้ย! ไม่ใช่ พูดยอ หรือ หยู้ดดดดด ยาว ๆ เขาก็จะหยุด จะไม่เหมือนกับสัตว์บางจำพวก ที่บางครั้งใช้ภาษาง่ายๆ บอกให้อยู่รวมกันอย่างสงบ สันติ สามัคคีกัน อย่าทะเลาะเบาะแว้งกันก็ยังฟังไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจ แปลกมั้ย!

แต่ใครจะรู้บ้างไหมว่าอีกด้านหนึ่งของ “ควาย” นั้นยังมีประโยชน์และคุณูประการมากมายเพียงใด ที่คอยช่วยทำนาให้เรามีข้าวกิน, ในอดีตนั้นในช่วงฤดูทำนา ควาย จะทำหน้าที่ช่วยเหลือชาวไร่ ชาวนา คราดไถ ทำเทือก ขนย้าย ถ่ายเท ฟ่อน ฟางข้าวจากแปลงนาขึ้นสู่ลานข้าว มิหนำซ้ำยังต้องย่ำ ต้องนวดแยกเมล็ดออกจากตอซังฟางข้าวเพื่อให้ชาวบ้านำไปสีไปหุงกากินกันตาม วิถี ในกระบวนการสีขาวนี้ ก็ยังต้องใช้ควายเข้ามาช่วยอีกด้วยเหมือนกัน การคมนาคมหรือการขนส่ง ควายในอดีตก็มีบทบาทสำคัญในการช่วยขนย้ายถ่ายเทสินค้าหรือของป่าเทียมเกวียน เข้าไปขายในเมือง จะเห็นว่าควายนั้นมีส่วนช่วยชาวไร่ชาวนาหรือผู้ที่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมได้ รับความสะดวกสบายมิใช่น้อย

ควายเป็นสัตว์ที่มีความอดทนสูงมากต่างจากวัวซึ่งจะชอบอยู่เฉพาะที่แห้ง ๆ เท่านั้นไม่ชอบน้ำ ทำวัวให้มีบทบาทน้อยกว่าควายมากในการช่วยเหลือมนุษย์ในการทำการเกษตร (แต่ทำไมปัจจุบันควาย จึงค่อยๆถูกลดบทบาทและเหลือจำนวนน้อยกว่าวัวลงไปเรื่อย ๆ)

เมื่อควายสิ้นชีพลง เราก็สามารถนำเนื้อหนังมังสามาทำเป็นอาหารแจกจ่าย แบ่งสันปันส่วนกินกันได้ทั้งหมู่บ้านจะตากแห้งทำเนื้อเค็มก็เก็บไว้ได้เป็น แรมปี หนังของควายก็สามารถนำมาใช้ประโยชน์เป็นเครื่องนุ่งห่ม รองเท้า กระเป๋า ในอดีตก็นำไปทำเป็นแอกคราดไถ (เครื่องมือที่ใช้สำหรับสวมคอควายเพื่อที่จะไถคราดนา มีอยู่ 2 ชนิดคือแอกควายคู่กับแอกควายเดี่ยว) ฯลฯ กระดูกของควายก็สามารถที่จะนำมาหมักเกลือทำน้ำปลา หรือนำไปบดป่นทำเป็นปุ๋ยปรับปรุงดินก็จะให้แร่ธาตุแคลเซียมแก่พืชได้เป็น อย่างดี เราสามารถที่จะใช้ควายช่วยทำงานไปได้ตลอด เมื่อหมดรุ่นพ่อรุ่นแม่ก็สามารถใช้รุ่นลูกได้อีก เพราะควายเป็นสิ่งมีชีวิตที่สามารถออกลูกออกหลานเพิ่มสมาชิกใหม่ให้เราได้ ตลอดตามธรรมชาติของมัน และถือว่าเป็นสิ่งที่มีประโยชน์และมีความสำคัญไม่น้อย ในกรณีที่ควายนั้นกินหญ้าไม่กินน้ำมันทำให้ไม่ต้องไปซื้อหาพลังงานมาเติมให้ เปลืองเงินทอง เมื่อขับถ่ายออกมาเป็นขี้ควายก็นำมาทำเป็นปุ๋ยหมักปุ๋ยคอกช่วยประหยัดเงินใน การซื้อปุ๋ยเคมี ส่วนตัวของควายเองก็ถือว่าเป็นสินทรัพย์ที่สามารถนำไปแปลงเป็นทุนในยามขาด แคลนเงินทอง จากการที่ส่งลูกหลานไปเรียนในเมืองแล้วขัดสนค่าเทอมในยามที่รัฐเขาไม่มีนโย บายการให้เงินทุนกู้ยืมในบางปี ถึงแม้ว่าเราจะใช้ประโยชน์จากควายมามากมายเพียงใด แต่ควายก็ถูกลดบทบาทและค่อย ๆ ถูกลืมเลือนจางหายไปจากความทรงจำเรื่อยๆ เมื่อมี “ควายเหล็ก” เข้ามาแทนที่

“ควายเหล็ก” อ้อ! ไอ้เจ้านี่ไม่ใช่ควายพันธุ์ใหม่อะไรหรอกนะครับ แต่เป็นเครื่องจักรที่เข้ามาทำงานแทนควายในยุคปัจจุบัน เจ้าสิ่งนี้คือตัวการสำคัญที่ทำให้ ควายไทยหายไปจากชีวิตชาวนา! (ทำไมเราจึงปล่อยให้มันเข้ามาแย่งอาชีพควายได้ละหนา) ทั้งที่มันก็นำพาความเสื่อมโทรมมาสู่โลกและทำลายสิ่งแวดล้อมในธรรมชาติ ควายเหล็กนั้นต้องใช้น้ำมันเป็นพลังงานในการขับเคลื่อน ซึ่งจะต้องมีมลพิษที่ขับออกมาเป็นมลภาวะในชั้นบรรยากาศเป็นสาเหตุสำคัญที่ ก่อให้เกิดปัญหาโลกร้อน ราคาก็แพง อีกทั้งในระหว่างที่ทำงานก็มีเสียงดังโหวกเหวกหนวกหูไปทั่วทั้งทุ่ง ถ้ามีอายุการใช้งานนานจนเกินกว่าจะซ่อมแซมก็ต้องขายทิ้งเป็นเศษเหล็ก หรือไม่ก็ปล่อยทิ้งไว้เป็นอนุสาวรีย์ประจำหมู่บ้านเป็นขยะเศษเหล็กที่ใช้การ ไม่ได้ซ่อมแซมก็ไม่คุ้มค่า ซากของควายเหล็กก็กินไม่ได้แล้วทำไมเรายังไม่หันกลับมาอนุรักษ์ ทำนุบำรุง รักษาของดี ๆ ที่ยั่งยืนนี้ให้อยู่กับเราไปนานๆ... น่าคิดกันไหมครับ

นายมนตรี บุญจรัส
วันเสาร์ที่ 22 พฤษภาคม 2553




 

Create Date : 22 พฤษภาคม 2553   
Last Update : 24 พฤษภาคม 2553 8:37:11 น.   
Counter : 527 Pageviews.  

หมา แมวและสัตว์เลี้ยง ไม่เครียดถ้าในกรงไม่มีก๊าซแอมโมเนียและไฮโดรเยนซัลไฟด์

สุขภาพของสัตว์เลี้ยงที่เรารักและห่วงแหนจะสมบูรณ์ดีได้ ส่วนหนึ่งเกิดจากการดูแลเอาใจใส่อย่างดีจากเจ้าของว่ามีความเข้าอกเข้าใจชีวิตความเป็นอยู่ของเขามากน้อยเพียงใด สัตว์เลี้ยงตัวใดขาดการดูแลเอาใจใส่ที่ดีเค้าจะหงอยเหงาเศร้าซึมไม่มีชีวิตชีวาและอาจจะมีอารมณ์แปรปรวน เกิดความเครียดส่งผลให้พฤติกรรม ก้าวร้าวจนเป็นอันตรายต่อเจ้าของ เด็กและเพื่อนบ้านในบริเวณใกล้เคียง
อีกสิ่งหนึ่งที่ควรดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษเพื่อไม่ให้เค้าเกิดความเครียดก็คือที่อยู่อาศัย ควรจะมีการดูแลรักษาให้สะอาดปราศจากกลิ่นเหม็นที่อาจส่งผลรบกวนต่อสุขภาพและจิตใจของเค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เลี้ยงไว้โดยการขังกรงอยู่ตลอดเวลา ซึ่งสัตว์เลี้ยงที่พูดถึงนี้ไม่จำเป็นจะต้องเป็นหมาและแมวเพียงอย่างเดียว อาจจะเป็นสัตว์เลี้ยงชนิดอื่นๆ ด้วย เช่น นก หนู กระรอก กระแต กิ้งก่า ฯลฯ ซึ่งล้วนแต่มีชีวิตจิตใจเหมือนกัน มีความต้องการดูแลเอาใจใส่เช่นเดียวกัน
ต้นเหตุของปัญหาที่ทำให้เกิดก๊าซที่เป็นอันตรายและกลิ่นเหม็น จนสร้างความเครียดความรำคาญให้แก่บรรดาสัตว์เลี้ยงเหล่านี้คือแอมโมเนียและไฮโดรเยนซัลไฟด์ ซึ่งสาเหตุเกิดมาจากการหมักหมมบูดเน่าของเศษอาหารที่เหลือและมูลปฏิกูลของตัวเค้าเอง วัตถุดิบของอาหารสัตว์จะผลิตให้มีปริมาณของโปรตีนสูงซึ่งส่วนมากจะมาจากถั่วซึ่งมีองค์กระกอบของกำมะถันหรือซัลเฟอร์อยู่ด้วย เมื่อถูกย่อยสลายจะเกิดก๊าซไฮโดรเยนซัลไฟด์หรือก๊าซไข่เน่า เมื่อมีปริมาณที่มากขึ้นสัตว์หายใจเข้าไปจะรวมตัวกับฮีโมโกลบิลในเม็ดเลือดแดงทำให้อ๊อกซิเจนในเลือดต่ำ หายใจออก เกิดความเครียด กินอาหารได้น้อย ตายง่าย ส่วนโปรตีนในอาหารที่มีกลุ่มของอมิดนแอซิดอยู่มากจะเกิดการสลายตัวเกิดกระบวนการแอมโมนิฟิเคชั่นได้ก๊าซแอมโมเนีย ซึ่งก๊าซนี้มีความเป็นด่างจัดมีค่าพีเอชประมาณ 11 ซึ่งทำให้เกิดการระคายเคือง สัตว์เลี้ยงสูดเข้าปอดจะรบกวนระบบทางเดินหายใจ แพ้มากน้ำมูก น้ำตาไหล ไอจามรุนแรง และมักเข้าใจผิดว่าเค้าป่วยหรือเป็นหวัดและพาไปหาหมอ แต่ก็ดีได้ในระยะสั้น ๆ เท่านั้น เพราะสาเหตุที่แท้จริงเกิดจากก๊าซของเสียต่างๆ ที่เป็นต้นเหตุที่แท้จริง
วิธีการแก้ไขปัญหาควรใช้หินแร่ภู่เขาไฟ ซึ่งมีคุณสมบัติโดดเด่นในเรื่องของการจับก๊าซพิษและกลิ่นเหม็นต่างๆ ได้ดีโดยเฉพาะ สเม็คไทต์ซึ่งมีค่าความสามารถในการจับกลิ่นอยู่ที่ 110 meq/100g.หรือจะเป็นไคลน็อพติไลไลท์จะอยู่ที่ 220 meq/100g. นำมาคลุกผสมกับอาหารก่อนให้สัตว์กินประมาณ 1 – 2% ของน้ำหนักอาหาร เพื่อให้ช่วยลดกรดและก๊าซตั้งแต่ในกระเพาะอาหารเมื่อขับถ่ายออกมากลิ่นและก๊าซต่างๆ จะไม่มี และให้หว่านโรยทับผสมกับทรายแมวหรือหว่ายเดี่ยว ๆ แทนทรายแมวก็ได้ตรงบริเวณที่ยังมีกลิ่นและก๊าซพิษอยู่จะทำให้กลิ่นและก๊าซต่าง ๆ หมดสิ้นไป ช่วยให้สัตว์อยู่อย่างสุขสบาย ไม่เครียด สุขภาพแข็งแรง ไม่ป่วยง่าย

กลิ่นและก๊าซพิษต่างๆ ซึ่งไม่มีสีไม่มีกลิ่นและเป็นสิ่งที่สร้างความรำคาญและเป็นอันตรายต่อสัตว์เลี้ยงทั้งหลายยังมีตัวช่วยแก้ไขปัญหาและลดความรุนแรง แต่เหตการณ์หรือผลกระทบบางอย่างที่เกิดแก่มนุษย์บางครั้งมีทั้งสี มีทั้งกลิ่นและแก๊สให้เห็นอยู่เต็มตา แต่กลับไม่มิวิธีแก้ปัญหาใด ๆ

มนตรี บุญจรัส
//www.thaigreenagro.com




 

Create Date : 12 สิงหาคม 2552   
Last Update : 12 สิงหาคม 2552 14:22:57 น.   
Counter : 465 Pageviews.  

หินแร่ภูเขาไฟ ช่วยจับกลิ่นของมูลและปัสสาวะสัตว์เลี้ยงแสนรักได้

เรื่องที่จะเขียนในวันนี้.....สำหรับท่านที่รักและชื่นชอบสัตว์เลี้ยงเป็นชีวิตจิตใจโดยเฉพาะอย่างยิ่งหมาและแมวแล้วละก็.....ไม่ต้องสาธยายกันมาก เพราะส่วนมากก็จะให้ความรักความเอ็นดูแก่เขาทั้งหลายเหล่านั้นกันเป็นอย่างดี มีอะไรกินก็จะกินด้วยกัน ไปเดินเล่นหรือไปสถานที่ไหน ๆ ก็มักจะไปด้วยกันเสมอ

และในบางครั้งเวลาจะไปเที่ยวหรือตากอากาศชายทะเลตามจังหวัดต่างๆ ก็อยากจะเอาเจ้าสี่ขาแสนรักไปด้วย ซึ่งก็ต้องมีการวางแผนและสืบเสาะแสวงหาข้อมูลและสถานที่กันอยู่พอสมควร ว่านจะมี
สานที่ที่ไหนบ้างนะ.......ที่เขาจะอนุญาตให้นำสัตว์เลี้ยงเข้าไปได้ด้วย เพราะจะได้อยู่ด้วยกันตลอดเวลาไม่ต้องพรากจากกัน อย่างน้อยก็ในช่วงระยะเวลาที่มีความสุข

และถ้าสถานที่ใดไม่อนุญาตให้นำสัตว์เลี้ยงเข้าไป ก็อาจนึกตำหนิในใจว่า.....เจ้าของสถานที่นี้.....ช่างใจจืด..ใจดำเหลือเกิน....ไม่รู้จักรักและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่สัตว์กันบ้างเลย..... ก็จะพรรณนากันไปตามแบบฉบับของแต่ละคนกันละครับ หรือบางคนอาจจะพาลไม่ไปใช้บริการเขาไปเลยก็เป็นได้.... จึงทำให้ต้องดั้นด้นเสาะหาสิ่งที่ดีและอำนวยความสะดวกให้กับทั้งสัตว์เลี้ยง และเจ้าของสัตว์เลี้ยงอยู่เสมอ รวมทั้งเรื่องอื่นๆ ด้วยไม่ว่าจะมีปัญหาอะไรที่จะเป็นอุปสรรคในการที่จะอยู่ร่วมกัน หรือทำให้สัตว์เลี้ยงนั้นเจ็บ ไข้ ได้ป่วย หรือไม่สบายทั้งกายทั้งใจ ก็จะรีบแก้ไขกันในทันที ทุกเรื่องแทบจะไม่มีข้อยกเว้น

ปัญหาต่าง ๆ ทั้งหลายที่เกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงของเรานี้ ยังคงมีอยู่ปัญหาหนึ่ง นั่นก็คือเรื่องของสถานที่ขับถ่ายของพวกเขา เพราะบางครั้งการขับถ่ายของเขาไม่ค่อยเป็นที่เป็นทางสักเท่าไร เรี่ยราดไปทั่ว หรือท่านใดที่มีการฝึกอบรมบ่มนิสัยให้สัตว์เลี้ยงมีระเบียบวินัย มีการขับถ่ายเป็นที่เป็นทางแล้ว แต่ก็ยังไม่วายเจอกับปัญหาในเรื่องของกลิ่นเหม็นจากของเสียที่เขาเหล่านั้นขับถ่ายออกมา สร้างความรำคาญใจทั้งตัวเองและสมาชิกในบ้านกันอยู่พอสมควรไม่มากก็น้อย

ฉะนั้น.... วันนี้จึงได้เตรียมข้อมูลและเทคนิคในการแก้ปัญหาในเรื่องของกลิ่นเหม็นที่มาจากเขาเหล่านี้กัน และบางท่านอาจจะนำไปประยุกต์ใช้กับสัตว์เลี้ยงอื่น ๆ ได้อีกเหมือนกันนะครับ ไม่ว่าจะเป็น หนู, กิ้งก่า, กระรอก กระแต, งูเหลือม, ปลาสวยงาม ฯลฯ โดยการประดิษ์ทรายจับกลิ่นที่ทำมาจาก หินแร่ภูเขาไฟ ที่ชื่อว่า สเม็คไทต์ และ ไคลน็อพติโลไลท์ นำมาโรยใส่ลงในกระบะขับถ่ายเพื่อใช้ในการจับกลิ่นต่าง ๆ ที่ไม่พึงประสงค์ออกไปจากชีวิตประจำวันของเรา เพื่อให้เราและสัตว์เลี้ยงของเราอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข

เรามาทำความรู้จักกับหินแร่ภูเขาไฟทั้งสองตัวนี้กันะครับ สเม็คไทต์ และ ไคลน็อพติโลไลท์ คือกลุ่มของหินแร่ที่ผ่านความร้อนเป็นล้าน ๆ องศา (แมกมา) ภายใต้แรงอัด แรงกดและแรงบีบอย่างมหาศาล ภายใต้บรรยากาศผิวเปลือกโลก เมื่อระเบิด และหลั่งออกมาจากปล่องภูเขาไฟ (ลาวา) แรงกดดันภายในอย่างมหาศาลลดเบาบางลงเหลือเพียง 1 บรรยากาศ ความแตกต่างที่มากและเกิดขึ้นอย่างฉับพลันนี้เอง ทำให้ลาวาเหลวเดือดพลุ่งพล่านระอุออกจากเนื้อหินละลาย ก่อให้เกิดรูพรุน ๆ และโพรงขนาดเล็กจำนวนมาก จึงมีที่ว่างที่สามารถจะจับก๊าซต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี ทำให้มีความสามารถในการจับกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ทั้งหลายได้เป็นอย่างดี

มูลสัตว์ทั้งหลาย เมื่อเกิดการบูดเน่า ย่อยสลายก็จะทำให้เกิด ก๊าซแอมโมเนีย, ก๊าซไฮโดรเย่นซัลไฟด์ ฯลฯ ซึ่งก่อให้เกิดกลิ่นเหม็นที่ไม่พึงประสงค์ และยังทำให้สมาชิกในบ้านเกิดอาการมึนงง เวียนหัว ปวดศรีษะได้นะครับ เพราะก๊าซไฮโดรเยนซัลไฟด์ หรือก๊าซไข่เน่า ก็คือก๊าซเดียวกันกับที่มนุษย์เราผายลมออกมานั่นเองครับ

วิธีการใช้ก็สามารถนำไปโรยทับมูลหรือฉี่ของสัตว์เลี้ยงของเราตามพื้นสนามหญ้าเพื่อจับกลิ่นได้ทันที และมูลและฉี่เหล่าหนั้นก็จะถูกเจ้า สเม็คไทต์ และไคลน็อพติโลไลท์ จับตรึงกลิ่นเหม็นและก๊าซต่าง ๆ เหล่านั้นให้กลายเป็นปุ๋ยละลายช้า และปล่อยกลับคืนสู่พืชอย่างช้า ๆ ช่วยทำให้พืชเจริญเติบโตดีและแข็งแรง

หรือจะนำหินแร่ภูเขาไฟเหล่านี้ไปคลุกผสมกับทรายหยาบ หรือทรายละเอียดที่เราใช้กันอยู่ก็ได้ครับ เพราะทรายธรรมดาเหล่านั้นไม่สามารถที่จะจับกลิ่นและของเสียได้ เพียงแต่ว่าช่วยซับความชื้นได้ในบางส่วนเท่านั้นเอง เมื่อผสมกันแล้ว สเม็คไทต์ และ ไคลน็อพติโลไลท์จะช่วยจับกลิ่นเหม็นและก๊าซต่างๆ มิให้ออกมารบกวนเราได้เป็นอย่างดีเลยครับ

ประโยชน์ของหินแร่ภูเขาไฟเหล่านี้ยังสามารถ ที่จะนำมาคลุกผสมกับอาหารของสุนัขหรือแมวได้อีกนะครับ โดยใช้ในอัตรา 2-3 % จะช่วยลด Aflatoxin และสารพิษอื่นๆ ที่อาจติดหรือปนเปื้อนมากับวัตถุดิบอาหาร, หรือจะเป็นอาหารสำเร็จรูป แต่วิธีการเก็บรักษาไม่ค่อยดี หรือมีอายุนานเกินไป หรืออยู่ในที่อับชื้น ทำให้ช่วยลดอันตรายจากอาหารเป็นพิษ หรือโรคระบบทางเดินอาหารที่อาจจะเกิดขึ้นแก่เขาได้

มนตรี บุญจรัส

ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ //www.thaigreenagro.com




 

Create Date : 12 สิงหาคม 2552   
Last Update : 12 สิงหาคม 2552 14:22:24 น.   
Counter : 440 Pageviews.  


greenagro
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 34 คน [?]




เกษตรปลอดสารพิษ ชีวิตจะปลอดภัย อายุขัยยืนนาน ลูกหลานรื่นเริง

สวัสดดีครับ สำหรับผู้ที่สนใจการทำเกษตรแบบปลอดสารพิษ ไม่ว่าจะเป็นมืออาชีพ มือสมัครเล่น มือใหม่ มือเก่า ก็เข้าได้ทุกคนครับ ขอเชิญเข้ามาเยี่ยมชมพูดคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้ที่นี่เลยนะครับ "ชีวิตจะได้มีสุขกับเกษตร"

ประวัติและผลงาน


ปี ชื่อหนังสือ ผู้แต่ง / เรียบเรียง จัดพิมพ์โดย สำนักพิมพ์
ปี 2535 พนักงานชมรมถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตร
ปี 2540 ธุรการ/จัดพิมพ์หนังสือ สมุนไพรใช้ในกุ้ง : ลูกใต้ใบ พญายอ ฟ้าทะลายโจร อ.ดีพร้อม ไชวงศ์เกียรติ ชมรมถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตร อักษรสยามการพิมพ์
ปี 2540 ธุรการ/จัดพิมพ์หนังสือ การเพาะเห็ดฟางแบบกองเตี้ย อ.ดีพร้อม ไชวงศ์เกียรติ ชมรมถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตร อักษรสยามการพิมพ์
ปี 2541 กองบรรณาธิการ พืชผักปลอดสารพิษด้วยภูไมท์ อ.ดีพร้อม ไชวงศ์เกียรติ ชมรมถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตร อักษรสยามการพิมพ์
ปี 2541 กองบรรณาธิการ การใช้ปูนและซีโอไลท์ ในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ อ.ดีพร้อม ไชวงศ์เกียรติ ชมรมถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตร อักษรสยามการพิมพ์
ศิลป์ การใช้ปูนและซีโอไลท์ ในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ อ.ดีพร้อม ไชวงศ์เกียรติ ชมรมถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตร อักษรสยามการพิมพ์
ปี 2542 กองบรรณาธิการ มะนาวด่านเกวียนปลอดสารพิษ อ.ดีพร้อม ไชวงศ์เกียรติ ชมรมถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตร อักษรสยามการพิมพ์
ปี 2542 ผู้จัดการชมรมถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตร
ปี 2553 บทความตีพิมพ์ นิตยสารผักเศรษฐกิจ บ. มิเดีย ออฟ กรีน กรุ๊ฟ จก. บ. มิเดีย ออฟ กรีน กรุ๊ฟ จก.
ปี 2554 บทความตีพิมพ์ เทคโนโลยีชาวบ้าน มติชน มติชน
ปี 2554 บทความดีพิมพ์ หลากวิธีการบังคับมะนาวนอกฤดู "เงินล้าน" เล่ม 2 พริ้ม ศรีหานาม บจ. นาคา อินเตอร์มีเดีย นาคา อินเตอร์มิเดีย

ปี 2555 คอลัมน์ประจำ/ไม่ประจำ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ, เดลินิวส์, ประชาชาติธุรกิจ, ฐานเศรษฐกิจ, ไทยโพสต์ ฯลฯ, นิตยสาร ไม่ลองไม่รู้, ผักเศรษฐกิจ, รักษ์เกษตร, เกษตรวาไรตี้ ฯลฯ

ปี 2556- ปัจจุบัน นักกจัดรายการวิทยุ สถานีวิทยุมก.บางเขน, มก. ขอนแก่น, มก. เชียงใหม่, มก. สงขลา และเครือข่ายสยามชัยเรดิโอ

ปัจจุบัน ประธาน/กรรมการผู้ัจัดการ ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ/บริษัท ไทยกรีนอะโกร จำกัด
[Add greenagro's blog to your web]