FirstOrchid "ถึงอย่างไรวันนี้ ก็ดีกว่าเมื่อวาน"
Group Blog
 
All Blogs
 

บันทึกช่วยจำของ “เหลียงจี้จาง”

บันทึกช่วยจำของ“เหลียงจี้จาง”“เหลียงจี้จาง”เป็นพิธีกรดังของ TVB ในฮ่องกงและเป็นนักเขียนด้วย บันทึกช่วยจำที่เขาเขียนให้ลูก ได้รับการเผยแพร่เป็นวงกว้างเมื่อไม่นานมานี้ นอกจากแสดงถึงความห่วงหาอาทรที่พ่อมีต่อลูกเฉกเช่นคุณพ่อทั่วๆไป มุมมองของเขาบางเรื่อง(แบบสังคมฮ่องกง) แม้บางคนจะเคยประสบมาบ้างเหมือนกัน อ่านแล้วก็ยังอดอึ้งไม่ได้ เลยถ่ายทอดสู่กันฟัง...

ลูกรัก..ที่พ่อเขียนบันทึกช่วยจำฉบับนี้ให้ลูก มีเหตุผลอยู่ 3 ประการ คือ

1. สรรพสิ่งล้วนอนิจัง จะมีชิวิตอยู่ได้อีกนานเท่าใดไม่มีใครบอกได้ พ่อจึงคิดว่า บางเรื่องพ่อน่าจะสั่งเสียไว้แต่เนิ่นๆ ย่อมจะดีกว่า

2. เพราะพ่อเป็นพ่อของลูก ถ้าพ่อไม่บอกลูก ไม่มีใครหรอกที่เขาจะบอกลูกแบบที่พ่อบอก

3. สิ่งที่พ่อบันทึกไว้นี้ ล้วนเป็นประสบการณ์อันแสนเจ็บปวดที่พ่อได้เรียนรู้มา มันจะทำให้ลูกไม่ต้องเสียเวลาไปเรียนรู้มันอีกในชีวิตของลูก ขอให้จำสิ่งต่างๆเหล่านี้ไว้ให้ดี



1. คนที่ไม่ดีต่อเรา ไม่ต้องไปใส่ใจนัก ในชีวิตคนเรา ไม่มีใครมีหน้าที่ที่จะต้องมาดีต่อเรา ยกเว้นพ่อกับแม่ของลูก สำหรับคนที่ดีกับลูก นอกจากลูกต้องหวงแหนและขอบคุณเขาแล้ว ยังต้องคอยระวังตัวไว้ด้วย เพราะคนเราทุกคน ทำอะไรย่อมมีจุดประสงค์ เขาทำดีกับลูก ใช่ว่าเขาจะทำเพราะชอบลูกเสมอไป ลูกต้องตระหนักจุดนี้ให้ดี อย่าเพิ่งรับเขาเป็นเพื่อนเร็วเกินไป
(น่ากลัวไหม)

2.ไม่มีคนที่ทดแทนกันไม่ได้ และไม่มีสิ่งใดที่ต้องมีให้ได้ถ้าเข้าใจจุดนี้ หากวันใดคนข้างกายของลูกไม่ต้องการลูกอีกต่อไป หรือวันใดที่ลูกต้องเสียสิ่งที่รักที่สุดไป ลูกจะได้เข้าใจ ว่านี่ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายอะไรเลย

3. ชีวิตนี้แสนสั้น (จะอยู่แค่ 160 ปีเอง 55)หากลูกยังใช้ชีวิตอย่างไม่เห็นคุณค่า พรุ่งนี้ลูกจะพบว่าชีวิตจะหลุดลอยไปไกลยิ่งขึ้น ดังนั้น ยิ่งรู้จักถนอมชีวิตเร็วเท่าใด เวลาที่ลูกจะได้รับความสุขจากชีวิตก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้นหาความสุขเสียแต่วันนี้ ดีกว่านั่งหวังให้มีอายุยืนนาน

4. ในโลกนี้ไม่มีเรื่องรักนิรันด์กาล ความรักเป็นเพียงความรู้สึกชั่ววูบ โดยความรู้สึกนี้ย่อมเปลี่ยนไปตามกาลเวลาและอารมณ์ หากสิ่งที่ลูกรักมากที่สุดจากลูกไป ขอให้รอคอยอย่างอดทน ให้เวลาช่วยชะล้าง ให้จิตใจค่อยๆตกตะกอน แล้วความทุกข์ของลูกจะค่อยๆจางหายไป..อย่าวาดหวังความรักให้สวยเกินไป และอย่าซ้ำเติมการอกหักให้ทุกข์เกินเหตุ

5. แม้ว่าคนหลายคนที่ประสบความสำเร็จในโลกนี้ไม่ได้เรียนมาสูง แต่ไม่ได้หมายความว่า หากไม่ขยันเรียน แล้วจะได้ดีความรู้คืออาวุธ คนเราอาจสู้แล้วรวย แต่ไม่มีทางรวยได้ หากปราศจากอาวุธสู้.. จำไว้

6. พ่อจะไม่ขอให้ลูกเลี้ยงดูครึ่งชีวิตหลังของพ่อ เพราะพ่อก็จะไม่เลี้ยงดูครึ่งชีวิตหลังของลูกเช่นกัน
เมื่อลูกโตพอจนเป็นอิสระได้แล้ว พ่อก็หมดหน้าที่แล้วเช่นกัน หลังจากนั้นไป ลูกจะนั่งรถเมล์หรือจะนั่งรถเบ๊นซ์ จะกินหูฉลามหรือจะกินบะหมี่ยำๆ ลูกต้องเลือกเอง

7. ต้องทำดีต่อผู้อื่น แต่อย่าหวังว่าผู้อื่นต้องทำดีต่อเรา เราปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างไร มิได้หมายความว่าผู้อื่นก็จะปฏิบัติตอบต่อเราในแบบเดียวกัน.. ลูกต้องเข้าใจในข้อนี้ จะได้ไม่หาทุกข์ใส่ตัวโดยไม่จำเป็น

8. พ่อซื้อล๊อตเตอรี่มาตลอดชีวิต ยังยากจนเหมือนเดิม แม้แต่รางวัลเลขท้ายยังไม่เคยถูกเลย
นี่เป็นบทพิสูจน์ว่า คนเราจะเจริญก้าวหน้าได้ ต้องขยันขันแข็งอย่างเดียวเท่านั้นในโลกนี้ไม่มีมื้อเที่ยงที่ไม่ต้องเสียตังค์ (No free lunch)

9. ญาติ มิตร หรือสหาย ล้วนเป็นกันชาตินี้ชาติเดียว ฉะนั้น จงหวนแหนโอกาสที่ได้อยู่ด้วยกันและแสนมีค่านี้ เพราะในชาติหน้า ไม่ว่าท่านจะรักใครหรือชังใคร ท่านก็จะไม่มีโอกาสได้พบกันอีก (หมายเหตุ ถึงพบกันก็ไม่รู้)





 

Create Date : 14 ธันวาคม 2552    
Last Update : 4 มีนาคม 2554 21:34:32 น.
Counter : 620 Pageviews.  

คุณมี 2 ทางเลือก

คุณมี 2 ทางเลือก Smiley




เจอรรี เป็น ผจก.ร้านอาหารผู้มีอารมณ์เบิกบานเสมอ หากมีใครถามเขาว่าเป็นอย่างไรบ้าง เขาจะตอบเสมอว่า คงจะดีกว่านี้ถ้าผมมีคู่แฝด พนักงานในร้านมักจะลาออกตามหากเขาเปลี่ยนงานเพื่อติดตามเขาไปทุกๆ ร้าน ทำไมหรือ ก็เพราะเจอร์รี คือผู้สร้างขวัญและกำลังใจที่เป็นธรรมชาติมาก  วันใดที่พนักงาน มีเรื่องเลวร้าย เขาจะไปหาทันทีและบอกเล่าสิ่งที่อยู่ด้านบวกของเรื่องนั้นให้ฟัง

คนแบบนี้ที่ทำให้ฉันสนใจอยากรู้จักนัก ดังนั้นวันหนึ่ง ฉันจึงไปหาเจอร์รีและถามเขา ผมไม่เข้าใจเลย ไม่มีใครที่เป็นบวก มองโลกด้านดีตลอดเวลาเช่นคุณ ทำได้งัยเนี่ย  เจอร์รีตอบ "ทุกเช้าที่ตื่นนอน ฉันจะพูดกับตัวเองว่า ฉันมี 2 ทางเลือก คือเลือกมีอารมณ์ดีหรือไม่ดี" ฉันจะเลือกมีอารมณ์ดีเสมอ แต่ละครั้งทีมีเรื่องเลวร้าย เราเลือกได้ว่า

จะตกเป็นเหยื่อ หรือ จะเรียนรู้จากมัน

ฉันจะเลือกเรียนรู้เสมอ ทุกครั้งที่มีใครมาต่อว่า ฉันสามารถเลือกยอมรับหรือชี้นำสู่ด้านบวกมาให้ ฉันจะเลือกด้านบวกของมันเสมอ "แต่มันไม่ง่ายเสมอไปนะ" ผมแย้งขึ้น "ถูกต้อง" เจอร์รีบอก ชีวิตเต็มไปด้วยทางเลือก ยามที่ตัดเอาส่วนที่ไม่เกี่ยวข้องออก ก็จะมองเห็นทางเลือกนั้นได้

คุณจะเลือกวิธีปฏิบัติกับเรื่องนั้น
คุณจะเลือกวิธีที่ผู้คนจะส่งผลกระทบต่ออารมณ์คุณ
คุณเลือกที่จะมีอารมณ์ดีหรือไม่ดี
คุณจะเลือกวิธีใช้ชีวิตของคุณเอง

หลายปีต่อมาได้รับทราบมาว่า เจอร์รีได้ทำสิ่งผิดพลาดที่ไม่นึกฝันขึ้น เขาลืมและเปิดประตูหลังร้านทิ้งไว้ จากนั้นตอนเช้า มีโจรติดอาวุธ 3 คนเข้าร้าน สิ่งที่โจรต้องการ ปล้น นะซิ ขณะที่เจอร์รีกำลังพยายามไขตู้เซฟอยู่ มือที่สั่นเทาด้วยความกลัวจนกุญแจหมุนรหัสลื่นหลุดไป เจ้าโจรเกิดตกใจจึงลั่นกระสุนใส่เขา โชคยังดีที่เขาถูกนำส่งโรงพยาบาลทันเวลา หลังจากเข้าผ่าตัด 18 ชั่วโมง พักฟื้นใน ICU. หลายสัปดาห์ เจอร์รีออกจาก รพ. โดยมีเศษกระสุนฝังในอยู่

ผมได้พบเจอร์รี 6 เดือนหลังเกิดเหตุ เมื่อผมถามเขาว่าเป็นไงบ้าง เขายังคงตอบว่า "คงจะดีกว่านี้ ถ้าผมมีคู่แฝด อยากดูแผลมั๊ย" ผมปฏิเสธที่จะดูแผล แต่ถามสิ่งที่เขาคิดในใจตอนโจรเข้าร้าน เขาตอบว่า "สิ่งแรกที่คิดคือฉันน่าจะปิดประตูหลังร้าน" "จากนั้น พอถูกยิงและล้มลง คิดได้ว่ามี 2 ทางเลือกคือ อยู่หรือตาย และฉันเลือกจะอยู่"

แล้วไม่กลัวเลยหรือ ผมถาม เจอร์รีกล่าวต่อ "เวรเปลเยี่ยมมาก เขาให้กำลังใจฉันตลอดทางว่าไม่เป็นไร" แต่เมื่อไปถึงห้องฉุกเฉินและได้เห็นสีหน้าของหมอและพยาบาล ฉันรู้สึกกลัวมากจริงๆ ภายในตาของพวกเขา ฉันอ่านได้ว่า "เขาต้องไม่รอดแน่แท้" ฉันรู้ว่าฉันคงต้องทำบางอย่าง

"คุณทำอะไรล่ะ" ผมถาม เจอร์รีบอก มีพยาบาลคนหนึ่งตะโกนถามฉันว่า "ฉันเป็นภูมิแพ้ยาอะไรบ้างหรือเปล่า" "เป็น" ฉันตอบชัด

เหล่าหมอและพยาบาลหยุดทำงานเพื่อรอคำตอบจากฉัน ฉันสูดหายใจลึก และร้องลั่นว่า "แพ้กระสุน!!!"

ท่ามกลางเสียงหัวเราะ ฉันบอกว่า "ฉันเลือกจะมีชีวิตอยู่ ช่วยผ่าตัดฉันทีเพราะฉันยังมีชีวิต ฉันยังไม่ตาย"

เจอร์รี รอดได้ด้วยฝีมือหมอบวกกับทัศนคติที่สุดยอดของเขา ผมได้เรียนรู้จากเขา ทุกๆวัน คุณมีทางเลือกที่จะสนุกสนานหรือชิงชังกับชีวิต แต่จะมีสิ่งหนึ่งที่เป็นของคุณเสมอ ไม่มีใครควบคุมหรือเอาของคุณไปได้ ก็คือ ทัศนคติของคุณ

ถ้าคุณควบคุมมันได้ สิ่งอื่นที่เหลือก็ไม่มีอะไรยากอีกต่อไป Smiley





Free TextEditor




 

Create Date : 06 พฤศจิกายน 2552    
Last Update : 6 พฤศจิกายน 2552 23:59:28 น.
Counter : 707 Pageviews.  

ขำๆ แต่ไม่โง่ กับพระมหาสมปอง เรื่องวัตถุดิบ



ญาติโยมหลายท่านมักถามว่า

"ท่านบวชเรียนมาตั้งแต่อายุยังน้อย อยู่ในเพศบรรพชิตมามากกว่าครึ่งชีวิต
มีโอกาสสัมผัสชีวิตฆราวาสไม่มากนัก แล้วเอาข้อมูล วัตถุดิบหรือมุกมาจากไหนหนักหนา"


อาตมาก็ตอบว่า หลักๆ เลยก็คือ การอ่าน นอกจากนั้นก็หนัง ละคร ที่ญาติโยมดูกันนั่นแหละ

พอตอบออกไปอย่างนี้ โยมก็สวนกลับทันที "ไม่ผิดข้อห้ามหรือท่าน"

อาตมาก็จะอธิบายไปว่า ดูเพื่อให้เท่าทันกิเลสจะได้สกัดมันถูก และที่สำคัญ หากอาตมาไม่รู้หรือไม่เข้า ใจตลอดจนไม่เท่าทันเรื่องราวทางโลกและ จะมาบรรยายธรรมให้ญาติโยมรู้สึกอินกันได้อย่างไรซึ่งนอกจากการอ่าน การดูและการฟังแล้ว หลายวัตถุดิบที่นำมาสร้างเป็นมุกฮา ก็ได้มาจากการพูดคุยกับเหล่าโยมๆ นี่แหละ

อย่างวันหนึ่งระหว่างที่อาตมากำลังฉันเพลอยู่ก็มีโยมท่านหนึ่งโทร.มา

" พระอาจารย์เหรอคะ นี่อาตมาเองนะคะ"
" หา อะไรนะ"
" พระอาจารย์เหรอคะ นี่อาตมาเองค่ะ"
" ถ้าโยมแทนตัวว่าอาตมา แล้วอาตมาจะแทนตัวอาตมาว่าอะไร"
" อ๋อ ขอโทษค่ะ"


หลังจากนั้นก็คุยธุระกันจนจบ อาตมาก็กล่าวว่า

" เจริญพร"
" ค่ะ เจริญพรเช่นกัน"
แน่ะ มีอวยพรให้พระด้วย


ข้างต้นก็คือ สิ่งที่มักจะเกิดขึ้นบ่อยๆ ระหว่างพูดคุยกับเหล่าญาติโยม จนถือว่าเป็นเรื่อง
ปกติสำหรับอาตมาไปแล้ว หรืออย่างก่อนหน้านี้มีโยมผู้หญิงคนหนึ่ง เดินถือสังฆทานมาอย่างมาดมั่นพอเข้ามาในกุฏิแล้ว เธอก็มุ่งตรงไปที่พระบวชใหม่รูปหนึ่งทันที

" ถวายสังฆทานค่ะ"


พระบวชใหม่ด้วยความที่ยังจำบทสวดต่างๆ ไม่ค่อยคล่องนัก จึงหยิบหนังสือขึ้นมาดู

" ไม่ต้องค่ะ" โยมผู้หญิงคนนั้นกล่าวอย่างหนักแน่นตามสไตล์สาวมั่น


" ดิฉันท่องได้ค่ะ เพราะคุณยายพาเข้าวัดตั้งแต่เด็กๆ" เธอพนมมือขึ้น ก่อนกล่าวว่า
" อิมานิ มะยัง ภันเต สะปะริวารานิ คิกขุ สังโฆ" ( ที่ถูกต้อง จะต้องเป็น ภิกขุ สังโฆ)


พระบวชใหม่มีสีหน้างุนงง ก่อนหันมาถามอาตมา

" คิกขุสังโฆ นี่มันฟังทะแม่งๆ นะหลวงพี่"


อาตมาเกรงว่าโยมผู้นั้นจะหน้าแตก ก็เลยตอบไปว่า

" คิกขุ แปลว่า น่ารัก สังโฆ แปลว่า สงฆ์ คิกขุสังโฆ ก็คือ แด่พระสงฆ์ผู้น่ารัก"

เท่านั้นแหละ พระใหม่รูปนั้นนั่งยืดทั้งวันเลย

แต่ก็มีบางกรณี ที่การพูดผิดของคุณโยมทำให้อาตมาแทบจะสำลัก
อย่างเมื่อเร็วๆ นี้ มีโยมท่านหนึ่งโทรศัพท์มา

" หลวงพี่ขา ขอเรียนเชิญนิมนต์ค่ะ"
" ไปไหนล่ะโยม"
" ไปมรณภาพที่บ้านน่ะค่ะ"

โห นิมนต์พระไปตายถึงที่บ้านเลย อาตมาจึงบอกไปว่า ถ้านิมนต์ไปงานศพไปให้ได้
แต่ถ้าเชิญไปมรณภาพนี่ ช่วงนี้อาตมาไม่ว่างจริงๆ ขอตัวเถอะนะโยม

จากตัวอย่างที่อาตมาเล่าไว้ข้างต้น คุณโยมอาจจะเห็นเป็นเรื่องขบขัน แต่มันก็สะท้อน
ให้เห็นความห่างเหินระหว่างคนกับวัดได้ในระดับหนึ่ง ปัจจุบันนี้คนจะนึกถึงวัดในกรณีพิเศษเท่านั้น เช่นงานบวช งานศพ ต่างกับสมัยก่อนที่วัดเป็นศูนย์กลางของชุมชน ฆราวาสกับพระจึงสนทนากันไหลลื่น ไม่มีคำแปลกๆ หรือผิดที่ผิดทางออกมาให้พระสุดุ้งแต่อย่างใด ถ้าพูดถึงศัพท์แสงที่แสลงใจแล้ว ตอนไปบิณฑบาตอาตมาจะเจอบ่อยมาก เช่นมีอยู่วันหนึ่งระหว่างที่กำลังเดินๆ อยู่ ก็ได้ยินเสียงใสๆ แว่วขึ้นมา

" แม่ๆ พระมาขอข้าว"
" มาเยอะไหมลูก"
" มา2 อัน"


โห เรียกอย่างกับชิ้นส่วนรถยนต์ นี่ถ้ามาเยอะๆไม่เรียกเป็นฝูงเลยเหรอ
ดังนั้นเวลาไปบรรยายธรรมให้นักเรียนฟังอาตมาจะนำเรื่องนี้ไปสอดแทรกเพื่อสอนเด็กๆ ด้วย

" ถ้าพระกิน เรียกว่า ฉัน"
" พระนอน เรียกว่า จำวัด" (บางคนเรียกขี้เกียจเป็นพระนอนไม่ได้)
" พระป่วย เรียกว่า อาพาธ"
" พระตาย เรียกว่า มรณภาพ" (ไม่ใช่เรียกป่อเต็กตึ๊งนะ)
" แล้วพระอาบน้ำล่ะ เรียกว่าอะไรเอ่ย"
คราวนี้อาตมาถามให้เด็กๆ ตอบบ้าง
" เรียกคนมาดู"




 

Create Date : 06 พฤศจิกายน 2552    
Last Update : 6 พฤศจิกายน 2552 21:30:06 น.
Counter : 936 Pageviews.  

อิฐสองก้อน

อาจารย์พรหม หรือพระวิสิทธิสังวรเถร เป็นชาวอังกฤษ เป็นลูกศิษย์หลวงปู่ชา ก่อนที่จะไปก่อตั้งวัดป่าโพธิญาณใกล้เมืองเพิร์ธ ประเทศออสเตรเลีย

ช่วงก่อตั้งวัดป่าโพธิญาณเมื่อปี ๒๕๒๖ พระอาจารย์พรหมเล่าว่า หลังจากซื้อที่ดินแล้ว เงินก็แทบไม่เหลือ ต้องสร้างวัดด้วยมือของตัวเอง ตั้งแต่ผสมปูน จนถึงการก่อกำแพงอิฐ

ท่านเล่าว่าตอนที่ลงมือทำ ก็รู้สึกว่าได้ทำอย่างประณีตที่สุด จนกระทั้งกำแพงอิฐเสร็จลง แต่พอถอยออกมายืนดู ก็พบว่าก่ออิฐพลาดไป ๒ ก้อน กำแพงอิฐเรียงเรียบสวยงาม แต่มีอยู่ ๒ ก้อนที่เอียงๆ


พระอาจารย์พรหมขอเจ้าอาวาสทุบกำแพงทิ้งเพื่อก่อใหม่ แต่เจ้าอาวาสไม่ยอม จากนั้นเป็นต้นมา ทุกครั้งที่พระอาจารย์พรหมพาแขกเยี่ยมวัด ท่านจะพยายามหลีกเลี่ยงไม่พาแขกเดินผ่านกำแพงบริเวณนี้ เพราะอายที่ก่ออิฐผิดพลาดไป ๒ ก้อน จนกระทั่งวันหนึ่ง พระอาจารย์พรหมกำลังเดินกับผู้มาเยือนวัดคนหนึ่ง เขาเห็นกำแพงอิฐนี้แล้วเปรยขึ้นมาว่า “กำแพงนี่สวยดี”

พระอาจารย์พรหมถามด้วยอารมณ์ขันว่า “คุณลืมแว่นสายตาไว้ในรถหรือเปล่า คุณไม่เห็นหรือว่ามีอิฐ ๒ ก้อนที่ก่อผิดพลาดจนกำแพงดูไม่ดี” แต่แล้วผู้มาเยือนคนนี้ก็เอ่ยประโยคที่ทำให้พระอาจารย์พรหมเปลี่ยนแปลงทัศนคติทั้งหมดที่เคยมีต่อกำแพงนี้ พร้อมกับเปลี่ยนแง่มุมที่มีต่อชีวิต
....ผู้มาเยือนท่านนั้นบอกว่า “ผมเห็นอิฐที่วางไม่ดี ๒ ก้อนนั้น แต่ผมก็ได้เห็นด้วยว่ามีอิฐอีกนับร้อยๆ ก้อนที่ก่อไว้อย่างสวยงาม”

นับเป็นครั้งแรกในรอบ ๓ เดือนที่พระอาจารย์พรหมสามารถมองเห็นอิฐก้อนอื่นๆ บนกำแพงนั้น นอกเหนือจากเจ้า ๒ ก้อนที่เป็นปัญหา ไม่ว่าจะเป็นอิฐที่อยู่ด้านบน ด้านล่าง ด้านซ้าย และด้านขวา ของเจ้าอิฐ ๒ ก้อนนั้นล้วนแต่เป็นอิฐที่ก่อไว้อย่างดีไม่มีที่ติ ยิ่งไปกว่านั้น จำนวนอิฐที่ดีมีมากกว่าเจ้าอิฐไม่ดี ๒ ก้อนนั้นมากมาย

ช่วง ๓ เดือนที่ผ่านมา สายตาของพระอาจารย์พรหมเฝ้าแต่มองอิฐ ๒ ก้อนนั้น ท่านยอมรับว่าสายตาของท่านมืดบอดต่อสิ่งอื่นๆ ท่านอยากทลายกำแพง เพราะมองเห็นแต่อิฐ ๒ ก้อนที่ผิดพลาด แต่ทันทีที่ความรู้สึกเปิดกว้าง มองเห็นอิฐก้อนดีๆ จำนวนมากบนกำแพงนี้ กำแพงเดิมที่อยากทลายก็กลับงดงามขึ้นมาทันที
“ใช่.... กำแพงนี่สวยดี”
พระอาจารย์พรหมหันไปบอกกับผู้มาเยือนคนนั้น


จนถึงวันนี้ พระอาจารย์พรหมก็นึกไม่ออกแล้วว่า อิฐก้อนที่ผิดพลาด ๒ ก้อนนั้นอยู่ตรงส่วนไหนของกำแพง ทัศนคติในการมองโลกที่เปลี่ยนแปลงทำให้อิฐ ๒ ก้อนนั้นเลือนหายไปจากความทรงจำ
พระอาจารย์พรหมเปรียบเปรยว่าคู่ชีวิตที่ตัดสัมพันธ์ หรือหย่าร้างกันก็เพราะทั้งคู่เพ่งมองแต่ “อิฐที่ไม่ดี ๒ ก้อน” ในตัวคู่ชีวิตของเขา คนที่คิดท้อแท้ อยากฆ่าตัวตายก็เพราะเรามองเห็นแต่ “อิฐ ๒ ก้อน” ในตัวเราเอง ทั้งที่ในความเป็นจริง นอกจาก “อิฐ ๒ ก้อน” ที่ผิดพลาดแล้ว ยังมี “อิฐก้อนที่ดี” และ “อิฐก้อนที่ดีจนไม่มีที่ติ” มากมายอยู่ในตัวเรา เพียงแต่เรามองไม่เห็นเท่านั้น

ท่านอาจารย์พรหมเตือนสติว่า อย่าให้ความผิดพลาดของ “อิฐที่ไม่ดี” เพียง “๒ ก้อน” ทำให้เราต้องทำลายกำแพงดีๆ จนพัง

ยังไม่จบเท่านี้ มีมุขต่อท้ายอีกนิด พระอาจารย์พรหมเล่าเรื่องนี้หลายครั้งในการบรรยายธรรม วันหนึ่งมีช่างก่อสร้างมาพบท่าน เพื่อบอกความลับเกี่ยวกับงานก่อสร้าง
ช่างก่อสร้างแทบทุกคนมักจะทำความผิดพลาดได้เสมอๆ เพียงแต่เขาไม่เรียกมันว่า “ความผิดพลาด” แต่ช่างก่อสร้างจะบอกลูกค้าว่ามันเป็น “เอกลักษณ์พิเศษ” ที่ไม่เหมือนบ้านไหนในละแวกนี้

จาก “ความผิดพลาด” กลายเป็น “เอกลักษณ์พิเศษ” มูลค่าเพิ่มเกิดขึ้นทันที ช่างก่อสร้างก็จะขอค่าใช้จ่ายเพิ่มอีก ๒,๐๐๐ – ๓,๐๐๐ เหรียญ

มุขตบท้ายนี้เด็ดจริงๆ พระอาจารย์พรหมต้องการเตือนให้คนเรานอกจากรู้จักมองข้อดีของตัวเราและคนอื่นแล้ว ยังให้มองหา “ข้อดี” จาก “ข้อบกพร่อง” อีกด้วย

เอกลักษณ์พิเศษในโลกนี้ ส่วนใหญ่มีจุดเริ่มต้นมาจาก “ความผิดพลาด”

“หอเอียงเมืองปิซ่า” ที่เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกก็ไม่ได้เกิดจาก “ความตั้งใจ” ความผิดพลาดทำให้ “หอ” ที่ควรจะ “ตรง” กลับ “เอียง” เอกลักษณ์ที่พิเศษไม่เหมือนใครนี้เองทำให้หอเอียงเมืองปิซ่ากลายเป็น ๑ ในสิ่งมหัศจรรย์ของโลก



จากหนังสือ “ชวนม่วนชื่น”




 

Create Date : 12 มีนาคม 2550    
Last Update : 12 มีนาคม 2550 23:50:50 น.
Counter : 1543 Pageviews.  

มหัสจรรย์ของ "ขาลง"

มหัศจรรย์ของชีวิตขาลง



หลังจากเกษียณจากราชการก่อนกำหนด ประมวล เพ็งจันทร์ ได้ทำสิ่งที่ไม่มีใครเคยทำมาก่อน นั่นคือเดินเท้าจากเชียงใหม่กลับไปยังบ้านเกิดที่เกาะสมุย

เป็นการจาริกที่ไม่มีเงินติดตัวเลยสักสลึงเดียว หากฝากชีวิตไว้กับน้ำใจของเพื่อนมนุษย์ตามเส้นทางที่ยาวเหยียดร่วม ๑,๕๐๐ กิโลเมตร
ตลอด ๖๖ วันของการเดินทาง เขาได้พานพบประสบการณ์มากมายที่ตราตรึงใจ และให้บทเรียนล้ำค่าแก่ชีวิต หนึ่งในนั้นได้แก่ตอนที่เดินขึ้นและลงจากดอยอินทนนท์

เขาเล่าว่าขณะที่เดินขึ้นดอยอินทนนท์นั้น รู้สึกเหนื่อยมากความย่ำแย่ของสภาพร่างกายที่สะสมมากหลายวันทำให้เกือบจะถอดใจเพราะหายใจแทบไม่ออก รู้สึกเหมือนจะขาดใจตาย จนต้องนอนแผ่แน่นิ่ง ทั้ง ๆ ที่เหลือเพียงกิโลเมตรกว่า ๆ
เขาคงจะอยู่ตรงนั้นอีกนาน หากไม่มีรถคันหนึ่งจอดรับเขาขึ้นไปถึงยอด ขากลับเขาเดินลงมาช้า ๆ แล้วเขาก็เพิ่งสังเกตว่าสองข้างทางนั้นมีสิ่งสวยงามอยู่มากมาย ไกลออกไปก็เป็นทิวทัศน์ที่ชวนพินิจ แต่ทั้งหมดนั้นเขาไม่ทันได้มองเลยขณะที่เดินขึ้นเขา เพราะใจนึกถึงแต่ยอดดอย อยากจะไปให้ถึงจุดหมายอย่างเดียว

ระหว่างเดินลงเขาได้หยุดดูทิวทัศน์อันกว้างไกล และชื่นชมกับธรรมชาติอันงดงามสองข้างทาง จิตใจเบิกบานและเป็นสุขอย่างยิ่ง แม้ตอนนั้นร่างกายจะเจ็บปวดก็ตาม
มหัศจรรย์ คือความรู้สึกของเขาเมื่อย้อนระลึกนึกถึงประสบการณ์ยามลงเขา



"ขาลง" นั้นมีเสน่ห์แต่มักถูกมองข้าม คนส่วนใหญ่มักให้ความสำคัญกับ ขาขึ้นมากกว่า เพราะมั่นใจว่ามีสิ่งใหม่ ๆ ที่ดึงดูดใจคอยอยู่ข้างบน ไม่ใช่แค่ทะเลหมอกหรือทิวทัศน์อันงดงาม ที่เห็นชัดเจนจากยอดดอยเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความสำเร็จ ชื่อเสียง เกียรติยศ เงินทอง ยามขึ้นถึงจุดสูงสุดของชีวิต

ใคร ๆ ก็อยากให้ชีวิตของตนอยู่ในช่วงขาขึ้น เพราะหวังจะได้เสพได้ครอบครองอะไรอีกมากมายที่ยังไม่เคยประสบสัมผัส แต่น่าคิดว่ามีสักกี่คนที่เป็นสุขอย่างแท้จริงในช่วงขาขึ้น ใช่หรือไม่ว่า ส่วนใหญ่เต็มไปด้วยความเครียด เพราะใจนั้นกังวลแต่จุดหมายปลายทาง และกลัวว่าจะไปไม่ถึง แถมยังหงุดหงิดหากเห็นใครแซงไปต่อหน้าต่อตา และเป็นทุกข์มากขึ้นเมื่อมีคนถึงจุดหมายปลายทางก่อน โดยเฉพาะคนที่ออกเดินพร้อมกับตัวเอง

ความเหนื่อยอ่อนบอบช้ำของประมวลยามเดินขึ้นเขา คงไม่ต่างจากหลายคนที่กำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น ยิ่งเร่งจะให้ถึงจุดหมายปลายทางมากเท่าไร ก็ยิ่งเหนื่อยมากเท่านั้น บางคนไปไม่ถึงเพราะหมดแรงเสียก่อน ต้องพักรักษาตัวกว่าสังขารจะอำนวย แต่บางคนก็ต้องยุติการเดินทางแต่เพียงเท่านี้

อันที่จริงประสบการณ์ยามขาขึ้นไม่จำเป็นต้องเต็มไปด้วยความทุกข์ แม้จะยังไม่ถึงเป้าหมาย แต่อย่าลืมว่าสองข้างทางนั้นก็อุดมไปด้วยสิ่งต่าง ๆ มากมายที่ให้ความสุขแก่เราได้ตลอดเวลา ประมวลมาค้นพบความจริงข้อนี้ยามเดินลงเขา แต่ถ้าใจเราไม่จดจ่อกับเป้าหมายข้างหน้ามากเกินไป
ในช่วงขาขึ้นเราก็สามารถเป็นสุขได้ หากรู้จักชื่นชมสิ่งดี ๆ ตามรายทางบ้าง



ความสุขนั้นมีอยู่รอบตัว แต่คนส่วนใหญ่มองไม่เห็น เพราะใจจดจ่อแต่ความสำเร็จที่รออยู่ข้างหน้า ผลก็คือขณะที่ความสุขข้างหน้ายังมาไม่ถึง เรากลับละทิ้งความสุขที่มีอยู่รอบตัว ทั้ง ๆ ที่เป็นสิทธิของเราโดยชอบธรรม กลายเป็นว่าเสียสองต่อ

จะไม่ดีกว่าหรือ ขณะที่ยังไปไม่ถึงจุดหมายปลายทาง เราก็เปิดใจชื่นชมสิ่งดี ๆ ที่มีอยู่รอบตัวหรือตามรายทาง แม้ความสุขข้างหน้ายังมาไม่ถึง แต่เราก็ได้สัมผัสกับความสุขที่มีอยู่แล้วทุกขณะ

แต่ถึงจะพลาดโอกาสนั้นไป ก็ยังไม่สาย เพราะขาลงเราก็ยังสามารถชื่นชมสิ่งดี ๆ ที่ให้ความสุขและความเบิกบานใจแก่เราได้ แต่นั่นหมายความว่าเราต้องไม่ห่วงหาอาลัยความสำเร็จที่กลายเป็นอดีตไปแล้ว หากยังมัวนึกถึงระสบการณ์อันตราตรึงใจบนยอดเขาที่ผ่านพ้นไปแล้ว ใจเราจะเปิดรับความสุขตามรายทางในยามขาลงได้อย่างไร

ขาลง ไม่ใช่ประสบการณ์อันน่าเศร้า หากเราเดินลงอย่างช้า ๆ และหัดพินิจพิจารณา เราจะมีความสุข เป็นสุขที่อาจจะยิ่งกว่าช่วงขาขึ้นหรือเมื่อถึงจุดสูงสุดของการเดินทางเสียอีก เพราะใจเป็นอิสระจากความคาดหวังทั้งปวง

ในยามนี้แหละที่เราอาจพบกับ มหัศจรรย์ของชีวิตที่ไม่เคยนึกฝันมาก่อน





 

Create Date : 21 มกราคม 2550    
Last Update : 21 มกราคม 2550 16:30:12 น.
Counter : 819 Pageviews.  

1  2  

sailub99
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




Friends' blogs
[Add sailub99's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.