Life without love is like a tree without blossoms or fruit. Kahlil Gibran
Group Blog
 
All blogs
 

วันเวลาหมุนช้าที่อีสานและ สปป.ลาว

วันแรก

ปฐมนิเทศน์

หลังจากอารัมภบทในเรื่องอันไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับการเดินทางเท่าใดนักมาพอสมควร วันเดินทางจริงก็มาถึง เพื่อนกลุ่มแรกที่รับหน้าที่ฝึกปฏิบัติเป็นบริษัทนำเที่ยวมารอรับลงทะเบียนตั้งแต่ประมาณ 6 โมง ส่วนรถออกจริง 5 ทุ่ม ฉันขนของไปลงทะเบียน แล้วก็สังเกตการปฏิบัติงานของสหายร่วมชั้นเรียนได้สักพัก จิบน้ำส้มคั้นเย็นๆ น้ำส้มอร่อยมากๆ (ที่ท้องไม่ผูกตลอดทริปก็ได้น้ำส้มของบริษัทนี้ช่วยหลายขวด เป็นพระคุณอย่างมาก)

วันนั้นเป็นวันอังคาร พวกไฟไม่ลนก้นไม่เตรียมตัวทั้งหลายยังสัญจรอยู่แถวตลาดนัดมอ ซื้อหาเสื้อใส่ไปออกทริป เพื่อนฉันหลายคนที่เสื้อเหม็นใหม่ยังไม่ได้ซัก ฉันเองขอตัวกลับก่อน เพราะต้องกลับมาจัดระเบียบข้าวของส่วนที่เหลืออีกที ไม่ต้องการเอาอะไรไปเกิน แล้วก็ไม่อยากให้อะไรขาด เดินทางไกลๆ ทำให้คนรอบคอบ หลายคนรอบคอบขึ้น แต่หลายคนก็มิได้นำพา

สามทุ่ม ฝนตกปรอยๆ ได้เวลานัดไป orientation แล้ว สัมภาระส่วนหนึ่งถูกส่งขึ้นรถ ทั้งๆที่ลูกทัวร์ยังไม่ได้เช็คของอีกที ทำให้บริษัทสมมติคืนนี้ถูกติงนิดหน่อย แต่ความผิดพลาดในครั้งแรกจะย้ำเตือนถึงความรอบคอบในครั้งต่อๆไป

อาจารย์ผู้นำทริปได้มาชี้แจงถึงรายละเอียดของการเดินทาง มีการเปิดทัวร์ที่นี่ ฝนยังคงตกอยู่ แต่หนักขึ้นกว่าเดิม ทำให้ทุกคนไม่สามารถเดินไปสักการะสมเด็จพระนเรศวรได้ การสักการะจึงทำขึ้นที่คณะวิทยาการฯ เสร็จสิ้นพิธีต่างๆก็ได้เวลารถออกพอดี หลังจากฉันได้ที่นั่งแล้วพอไฟมืด ฉันก็ลืมตาตื่นอีกทีที่จังหวัดปราจีนบุรี


พุงยิ้มที่ตลาดเช้าปราจีนบุรี

เช้าที่ปราจีนบุรี ประมาณไม่เกิน 7 โมงเช้าในตอนนั้น ตลาดสดกำลังคึกคักทีเดียว นานแค่ไหนไม่รู้ที่ฉันไม่ได้ตื่นเช้าขนาดเห็นพระบิณฑบาต ว่าแล้วก็ฉลองศรัทธาตัวเองด้วยการตักบาตรเช้าที่ตลาดปราจีนบุรีเสียเลย

ที่ตลาดเรากินข้าวมันไก่ ซึ่งอร่อยแตกต่างกับที่มอมาก ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน หลังจากนั้นซาลาเปาทอดร้านปาท่องโก๋ก็ทำคะแนนความอร่อยไม่แพ้กัน ซาลาเปาทอดที่นี่จะกรอบนอกนุ่มใน รสหวานกำลังดี เหมือนกินแป้งหวานๆทอด ไม่เคยกินซาลาเปาทอดรสแบบนี้ที่ไหน เป็นการตบท้ายมื้อเช้าที่ดีมาก แต่นั่นยังไม่หมด เพราะฉันเดินไปเจอขนมปังปิ้งทานมแผ่นละ 5 บาท จึงลองซื้อมาชิมดู อร่อย แต่ฉันให้คะแนนซาลาเปาทอดที่หนึ่ง

อาหารการกินของชาวปราจีนบุรีไม่ได้มีอะไรแตกต่างกับแถวบ้านเรานัก เนื่องจากปราจีนเองก็เป็นจังหวัดในเขตภาคกลางตอนล่าง เอกลักษณ์ด้านอาหารยังไม่เด่นชัดนัก ถึงจะอยู่ติดชายแดนก็ตาม ราคายังอยู่ในเกณฑ์ย่อมเยา ส่วนรสชาติถือว่าบอกต่อได้ไม่เสียหาย

อิ่มหนำจากเวลาอาหารเช้า เราเดินทางกันต่อไปที่วัดแก้วพิจิตร บริเวณริมแม่น้ำบางปะกง วัดที่มีสถาปัตยกรรม 4 ชาติรวมกันอยู่คือ ไทย จีน ยุโรป และเขมร เป็นวัดที่อุปถัมภ์โดยตระกูลอภัยวงศ์ ตระกูลของเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ ที่นี่เราได้เข้าไปชื่นชมความงามภายในโบสถ์ นมัสการหลวงพ่ออภัย ปางอภัยทาน ซึ่งมีแห่งเดียว เนื่องจากเป็นการสร้างขึ้นจากการขอพร 3 ประการของเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ คณะของเราก็ได้นมัสการเพื่อขอพรอันประเสริฐทั้ง 3 ข้อนั้นด้วย

เรามีเวลาถ่ายรูป ให้อาหารปลา และเดินชมรอบวัดกันไม่นาน ก็ต้องออกเดินทางไปยังโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ ตั้งอยู่ไม่ไกลจากวัดแก้วพิจิตรนัก ซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่สวยที่สุดตั้งแต่ฉันเคยไปมา โรงพยาบาลนี้เป็นที่บ่มเพาะความรู้ด้านสมุนไพรไทยและนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์มากมาย ทั้งในทางการแพทย์และความงาม เจ้าหน้าที่นำเราชมส่วนของตึกเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ซึ่งแนตึกพิพิธพัณฑ์หลัก ตัวตึกมีสีเหลืองสวยงามสไตล์ยุโรปสมัยรัชกาลที่ 5 ภายในเป็นที่จัดแสดงสมุนไพรต่างๆ รวมทั้งยังคงสภาพการเป็นอาคารประทับสำหรับกษัตริย์อยู่

สละกระเป๋าตังด่วน

พอหมดเวลานำชม จะเป็นเวลาเสียเงิน ฉันซื้อผลิตภัณฑ์สมุนไพรจำพวกเครื่องสำอางมานิดหน่อย ราคาไม่แพงมากนัก แต่เพื่อนทุกคนตั้งใจที่จะซื้อครีมหน้าเด้งกันมาก จนเห็นเจ้าหน้าที่ต้องไปเพิ่มของ เพราะไม่พอจำหน่าย เปิดเทอมมาหวังว่าทุกคนคงหน้าเด้งกันยกเอกเลยทีเดียว แค่ที่แรกเท่านั้นทุกคนสวมวิญญาณนักช๊อปได้ไม่อายใคร แต่หนทางยังอีกยาวไกลนัก สวนทางกับจำนวนเงินในกระเป๋าสตางค์สิ้นดี

เป็นเวลาสายๆแล้วในตอนนี้ เราเดินทางสู่อรัญประเทศเพื่อไปรับประทานอาหารเวียดนามตำรับญวนแท้ๆ ซึ่งขอบอกว่าอร่อยมากถึงมากที่สุด โดยเฉพาะแหนมเนือง รสชาติได้ใจไปเต็มๆ เหมาะสมกับที่เป็นร้านขึ้นชื่อแม่ช้อยนางรำถึงแม่จะเดินเข้ามาในซอยเกือบจะลึกก็ตาม ลูกค้าดูเหมือนจะตั้งใจมากินจริงๆ

อิ่มท้องกันแล้วก็เดินทางสู่โรงเกลือ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากร้านอาหารเวียดนามเท่าใดนัก แต่ก่อนจะข้ามไปสู้ราคากัน เรามีโอกาสได้เรียนรู้ระเบียบพิธีการเข้าเมืองที่ด่านอรัญประเทศติดต่อกับจังหวัดบันเจยเมนเตยของกัมพูชา ที่นี่เราเห็นชีวิตคนเขมรเดินเข้าออกผ่านด่าน ขนสัมภาระใส่รถลากขนาดพอดีข้ามไปข้ามมา รวมทั้งเห็นคนไม่ทราบสัญชาติแต่งตัวดีมีอันจะกินถือกระเป๋าใบใหญ่ๆคาดว่าข้างในคงเป็นเงินที่จะเอาไปสนุกสนานกันในคาสิโน เราเรียนรู้และร้อนกันพอหอมปากหอมคอ ก็ปั่นจักรยานฟรีสไตล์ ใครอยากซื้ออะไรก็เลือกเอาเต็มที่ เราใช้เวลาที่นี่กันนานพอสมควร นานพอที่จะซื้อหาของที่ต้องการและไม่ต้องการแต่บังเอิญชอบกันตามสบาย

ซื้อของที่โรงเกลือก็พอจะรู้ๆกันอยู่ว่าเป็นสินค้ามือสองเสียเป็นส่วนใหญ่ และมักจะตาดีได้ตาร้ายเสีย ต่อราคาก็ต้องใช้ความพยายามกันนิดหน่อย แต่สำหรับคนที่ซื้อของบ่อยๆไม่ใช่ปัญหา แต่เป็นเรื่องน่าสนุกด้วยซ้ำ ที่นี่ฉันได้รองเท้าผ้าใบซึ่งฉันชอบมันมากมาหนึ่งคู่ ด้วยราคาลดเกือบ 50% จากที่เจ้าของร้านบอก ถือเป็นความภูมิใจมาก เพราะเพื่อนๆบอกว่ายังสวยและใหม่อยู่เลยเมื่อเทียบกับราคาที่จ่ายไป แต่ขี่จักรยานวนไปวนมา ก็ไม่มีอย่างอื่นที่ถูกใจ เนื่องจากแต่ละร้านขายของคล้ายๆกัน แต่ของที่ได้ไปจะเป็นชิ้นเดียว และไม่น่าจะซ้ำกับใคร หลังจากพอใจแล้วก็กดเงินเพิ่ม เพราะขนาดวันแรกยังไม่ผ่านพ้นไป แต่ทรัพย์ละลายไปไม่ต่างกับเสียเหงื่อเลยทีเดียว

แนะนำสำหรับการซื้อของที่โรงเกลือคือถ้าคุณต่อราคาแล้วคุณควรจะซื้อ เพราะไม่งั้นอาจได้รับผรุสวาทวาจาโดยไม่จำเป็น การต่อราคานั้นต่อได้เต็มที่ บอกราคาให้ต่ำว่าครึ่งหนึ่งไว้ก่อน แต่ขอแค่ต่อแล้วให้ซื้อ ไม่ใช่ต่อจนสุดๆแล้วไม่เอา นอกจากนั้น เมื่อเจอของที่ถูกใจแล้วควรจะซื้อเลย เพราะถ้ารอไปร้านข้างหน้าคุณจะไม่เจอของชิ้นเดียวกันอีก และบางทีอาจไม่เหลือเวลาพอให้กลับมาร้านเดิม ยิ่งถ้าไปครั้งแรก รับรองต้องหลงกันบ้าง เพราะซอยไหนๆก็เหมือนกันหมด เพราะหากไม่ตัดสินใจซื้อ อาจจะต้องกลับมาเสียดายภายหลัง

เกือบจะหมดวันแรกแล้ว ความเสียหายเริ่มเกิดกับผิวหน้า ผิวตัว และเงินในกระเป๋า แต่ทั้งหมดนั่นถือว่าแลกกับประสบการณ์และความสุขอันประเมินค่าไม่ได้

เราเชคอินคืนแรกกันที่โรงแรมอินเตอร์ โรงแรมขนาดกะทัดรัดแนวชายแดน ที่นี่เราทำกิจกรรมร่วมกันในตอนกลางคืน คือแต่ละกลุ่มต้องทำการแสดง ฉันก็ได้ทำอะไรซึ่งไม่เคยทำมาก่อนในชีวิต ตลกแต่มันมากๆ ถือว่าพิสูจน์ว่าเราก็ใจกล้าหน้าด้านเหมือนกัน เมื่อเรากล้าแล้ว เราจะไม่กลัว ครั้งต่อๆไป เราจะทำได้ดีขึ้นและดีขึ้น

คืนนี้หลังจากทำการแสดงจบกลุ่มของฉันเข้าสู่ภาวะตึงเครียด เนื่องจากวันรุ่งขึ้นจะเป็นหน้าที่ของกลุ่มที่ต้องรับหน้าที่เป็นบริษัททัวร์ เราซักซ้อมและแจกแจงรายละเอียดของงานในวันรุ่งขึ้น ทุกคนง่วงนอนอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็นอนกันได้แค่คนละไม่เกินสามชั่วโมง เนื่องจากตีสามต้องลงมาสแตนบายด์ จนถึงวันนี้ยังไม่เข้าใจว่าเราจะลงมากันตั้งแต่ตีสามทำไม ในเมื่อวันนั้นทุกอย่างสามารถเตรียมการเสร็จภายในครึ่งชม. ก่อนที่ลูกทัวร์ท่านอื่นๆจะลงมาในเวลาเกือบ 6 โมงเช้า แต่นั่นทำให้เข้าใจคำว่าหน้าที่และความรับผิดชอบได้เป็นอย่างดี

หลับล่ะ เจอกันวันที่สองนะคะ




 

Create Date : 17 มิถุนายน 2551    
Last Update : 17 มิถุนายน 2551 22:37:33 น.
Counter : 290 Pageviews.  

วันเวลาหมุนช้าที่อีสานและ สปป.ลาว

ก่อนเก็บกระเป๋า

ทริปอีสานครั้งนี้ เรารู้ตัวล่วงหน้าและหาข้อมูลคร่าวๆก่อนจะเดินทางจริงตั้งเกือบเดือน จริงๆแล้วเป็นการวางแผนการเดินทางที่ค่อนข้างยาวนาน เวลาเดินทางจริงๆน่าจะแจ่มชัดในเรื่องของข้อมูล อะไรที่ต้องไม่พลาดที่จะทำ อะไรไม่ควรทำ แต่เอาเข้าจริงดูเหมือนทั้งหมดจะไม่ช่วยอะไร เพราะอารมณ์ของการเดินทางแบบมีคนนำพา กับลุยเดี่ยว มันช่างต่างกันในเรื่องของความรู้สึกจริงๆ คนเรามักจะไม่ขวนขวาย เมื่อรู้ว่ามีผู้นำทาง มีผู้จัดการให้ แต่ถ้าในทางกลับกัน หากเราเดินทางเอง เราจะรู้เรื่องทุกกระเบียดนิ้ว อย่างไรก็ตามแต่ ฉันหลงรักการเดินทางเองกับคนจำนวนน้อยที่สุดยิ่งนัก

และวันเวลาที่จะต้องยัดอุปกรณ์ยังชีพใส่กระเป๋าก็มาถึง มันก็ไม่ได้มากมายอะไรหรอก เสื้อผ้าสำหรับ 4-5 วัน เครื่องใช้ส่วนตัว แต่กลายเป็นว่าเก็บไปเก็บมากระเป๋าของฉันต้องเปลี่ยนขนาดไปใช้กระเป๋าลากแทน ส่วนเป้คู่ใจทำได้แค่ใส่กล้อง

พูดถึงกล้อง จริงๆแล้วถ้าไม่สันทัดเรื่องการถ่ายรูปมากนัก กล้องคอมแพคตัวเล็กๆที่คุณสมบัติเพียบ น่าจะเหมาะมือ เหมาะพกพาเวลาไปเที่ยวนานๆมากกว่า เพราะไอ้เจ้า DSLR-LIKE ที่สู้อุตส่าห์เก็บเงินแรมปีถอยออกมานั้น เริ่มสร้างความปวดเมื่อยต้นคอเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งเวลาที่ไปเที่ยวกับหมู่คณะ มักไม่เคยเลยสักครั้งที่จะมีเวลาตั้งระบบแมนนวลที่ตั้งใจจะใช้ เลยเสียดายมากที่หากมีกล้องคอมแพคน้อยๆออปชั่นเพียบอีกสักตัวเวลาไปทัวร์ที่ไม่เหมาะแก่การเดินช้าคงดี

ยิ่งถ้าเป็นมัคคุเทศก์ เรื่องกล้องต้องตัดทิ้งไปเลย มันจะกลายเป็นภาระกับเรามาก เพราะเราจะไม่ได้ถ่ายรูป เราทำได้แค่เลือกมุมถ่ายรูปให้คนอื่น ส่วนรูปเราน่ะหมดสิทธิ์

แต่นั่นก็เป็นเพียงประสบการณ์ส่วนตัว ของใครก็ของมัน ไกด์บางคนอาจจะเที่ยวไปถ่ายไปก็ได้ แต่ครั้งนี้เราไปสอบวิชาไกด์ อดถ่าย ถ่ายรูปนะ ส่วนอื่นถ่ายคล่องดีค่ะ

พร้อมแล้ว ก็ลุยกันเลย ขอบอกก่อนว่า ทริปนี้มีนิสิตปี 4 ไปกันทั้งหมด 89 คน ใช้รสบัสสองชั้นจำนวนสองคัน วุ่นวายขนาดไหน คิดดู พร้อมจริงๆแล้วก็ลุยเลย




 

Create Date : 17 มิถุนายน 2551    
Last Update : 17 มิถุนายน 2551 22:13:06 น.
Counter : 233 Pageviews.  

ความรู้สึกตกผลึก..ที่เชียงใหม่ (วันก่อนกลับ)

วันนี้วันอาทิตย์
แน่นอนพลาดไม่ได้ ถนนคนเดิน
แล้วเวลาก่อนไปถนนคนเดินทำอะไรดี
ไปไหว้พระธาตุดีกว่า

หลังจากที่เคยเมาอ้วกเมื่อหลายปีก่อน
เราก็รู้วิธีที่จะนั่งรถแดงไม่ให้เมาแล้ว
นั่งแบบไม่คิดว่ามันจะเมา มันก็ไม่เมาแฮะ
นั่งตรงที่ติดคนขับอ่ะ ในสุด มันจะไม่ได้กลิ่นน้ำมัน
แล้วก็เอาหน้าไปรับลมเย็นๆ มองไปข้างหน้าอย่างเดียว
บวกกับถ้าโชคดีเจอคนขับขับดี ไม่เมาชัวร์!

ถ้ามาเชียงใหม่แล้วไม่ได้มาไหว้พระธาตุก็เท่ากับว่ามาไม่ถึง
ใครๆก็ว่าอย่างนั้น
แต่เป็นธรรมเนียมอยู่แล้วที่ต้องมา
ในเมื่อทั้งแม่โทรสั่งว่าให้มา และเพื่อนบอกว่าต้องมา
ในที่สุด ก็พาตัวเองเดินขึ้นบันไดเกือบสามร้อยขั้นจนถึง


สบายอกสบายใจแล้วก็เดินเล่นให้พอเวลาที่รถแดงนัดลง
ไม่ได้ดูอะไรมากหรอก เพราะยังเหนื่อยอยู่
ถ่ายรูปวิวเชียงใหม่ไว้ทุกครั้งที่มา
เชียงใหม่ก็ยังสวยเหมือนเดิม

กลับถึงตีนดอยก็โบกรถไปหลังมอ
นัดเพื่อนเก่าสมัยม.ต้นเอาไว้
6 ปีแล้ว ที่ไม่ได้เจอกัน
แต่มิตรภาพมันแปลก มันเหมือนถูกแช่แข็งไว้
กลับมาเจอกัน ก็ยังเหมือนเดิม
เพื่อนก็ยังเป็นเพื่อน

กินข้าวร้านที่เพื่อนพาไป ร้านเค้าน่ารักดีอ่ะ
ระหว่างทางที่ซ้อนมอเตอร์ไซด์ไป บรรยากาศเหมือนอยู่เกาหลี
เพราะทางมันขึ้นๆลงๆ
บ้านรอบๆก็น่ารักทั้งนั้น

ร้าน add love ไม่ไกลจากมอชอมากนัก
อาหารอร่อยดี ไม่แพงนะเมื่อเทียบกับปริมาณ
ไม่รู้ว่าตอนนี้ขึ้นราคาหรือยัง
อะไรๆก็แพงขึ้นไปเสียทุกอย่าง


ในรูปนี่อร่อยมากเลยอ่ะ เพื่อนสั่งมาให้ลองชิม
เป็นกล้วยกับชอคโกแลต เขามีชื่อเรียกล่ะค่ะ แต่ดิฉันจำไม่ได้

บรรยากาศในร้าน ไม่ได้ค่าโฆษณานะ แต่ถ้าอยู่แถวนั้นลองไปดูละกัน
ร้านเงียบๆน่านั่ง ถ้าไปตอนแดดร่มจะสามารถนั่งที่สวนหลังร้านได้
เล็กๆ แต่บรรยากาศได้ใจมาก


หัวค่ำ อากาศกำลังดีมาก
รถมอเตอร์ไซด์สองคน กับสี่คน
มุ่งตรงไปท่าแพทันที

ถนนคนเดินวันนี้คนเยอะมาก
อัดกันเดิน ของน่ารักเยอะมาก
จนเลือกไม่ถูกว่าจะซื้ออะไร
เดินไปเดินมา สี่ทุ่มยังไม่รู้ตัว
ของก็ไม่ได้ ต้องกลับแล้ว

ถนนคนเดินประตูท่าแพเป็นอะไรที่มีเอกลักษณ์ของตัวเองมาก
ตั้งแต่พื้นถนนที่เป็นอิฐเรียงกันเหมือนที่ กรุงปราก
street show ที่นี่ก็เป็นของที่นี่โดยตัวมันเอง
ของที่ขายก็มียี่ห้อเชียงใหม่โดยตัวของมันเอง
ทุกอย่าง รู้สึก ได้ตั้งแต่มาถึงเชียงใหม่วันแรกแล้ว

จนถึงวันจะกลับ
ถึงเพิ่งเข้าใจว่า ความรู้สึกของตัวเอง ยังอยู่ที่นี่อยู่เลย
แต่ก็เป็นการจากเพื่อพบกันใหม่
หากมีโอกาศคงจะกลับไปตกหลุมรักเชียงใหม่อีกเป็นแน่แท้

ก็แหงล่ะ แค่อากาศเย็นๆเข้าปอดไป
ก็คิดถึงขึ้นมาแล้ว




 

Create Date : 09 พฤษภาคม 2551    
Last Update : 9 พฤษภาคม 2551 8:17:10 น.
Counter : 735 Pageviews.  

ความรู้สึกตกผลึก..ที่เชียงใหม่ (วันที่ 2)

การไปเที่ยวที่ไม่ดีอีกอย่างคือ ไปซุกหัวนอนกับเพื่อน
มันจะทำให้โปรแกรมรวนไปหมด
เนื่องจากมีคนหลายคนในห้องนอนเดี่ยวกัน
ซึ่งต่างคนต่างจุดประสงค์ในการมาถึง
และที่สำคัญ เพื่อนไม่ได้รู้สึกว่าเราไปเที่ยว
แต่รู้สึกว่าเราไป เยี่ยม มันต่างหาก
ข้อดีคือ จะอยู่กี่วันก็ได้
คำนวนแล้ว มีค่าเท่ากัน เงินซื้อความสบายใจได้
ถ้าหากตั้งใจ จะเที่ยวจริงๆ
แต่เวลาซื้อมิตรภาพ เรื่องนี้ ใครๆก็รู้

แทนที่จะเป็นเช้า เลยเป็นสายของวันนี้ สายจริงๆ เกือบ 11 โมงแล้ว
เราเริ่มต้นกันที่ สวนสัตว์เชียงใหม่
เป็นสวนสัตว์ที่ใช้พลังในการเดินค่อนข้างมาก
นอกจากทางที่ลาดชันแล้ว ยังต้องระวังรถสวนตลอดเวลาอีกด้วย
เพื่อนร่วมทริปถามว่าจะไปทำไมสวนสัตว์
เราคิดว่า อะไรที่ยังไม่เคยไป ก็น่าไปดูชมทั้งนั้นแหละ
แล้วก็ไม่เคยมีที่ไหนที่รู้สึกว่า มาทำไม
เพราะอย่างน้อยก็หายข้องใจด้วยการมาให้ถึง
และเป็นตัวช่วยตัดสินใจครั้งต่อไป ว่าจะมาอีกหรือไม่ ก็เท่านั้น

เรื่องเที่ยวไม่เห็นต้องคิดอะไรมาก
แค่"รู้สึก"ว่าอยากไป ก็ออกเดินทางได้แล้ว
มีเพื่อนร่วมทางสักคนที่อยากไปกับเรา สนใจเหมือนกับเราก้อพอ



เราใช้เวลาที่นี่กันนานพอสมควร เกือบๆจะเย็นได้
สวนสัตว์เชียงใหม่กว้างมาก 50 บาทเดินคุ้มเลย ได้เหงื่อด้วย
เมื่อยก้อนั่งรถราง ไหนจะหลงทางอีก
เลยไม่ทันดูแพนด้า เสียดายมากๆ

ออกจากสวนสัตว์เลยแวะกินไอติมนมแท้ๆ ที่อยู่ตรงกันข้ามกับสวนสัตว์
เดินข้ามมานิดเดียวก็ถึง อร่อยชื่นใจดีมาก
จากนั้นก็โบกรถแดงกลับที่พัก
หมดไปอีกวัน โดยที่ยังไม่ทันทำอะไรเลย

เดินเล่นแถวรินคำเหมือนเดิม
แต่วันนี้ความรู้สึกไม่เหมือนเดิมแล้ว
วันนี้รู้สึกชอบเชียงใหม่จัง
ทั้งๆที่ยังไม่ทันสำรวจอย่างถี่ถ้วน
แต่บรรยากาศช้าๆรอบตัวๆ
มันรู้สึกเหมือนเวลาไม่เดินเลย
เพราะบางครั้งก็ไม่รู้ว่าจะเร่งรีบกับชีวิตไปทำไมนักหนา
แต่เอาเข้าจริงก็ไม่มีมนุษย์หน้าไหนยอมแพ้ที่จะเดินแข่งกับเวลา
เพราะมันต้องเป็นอย่างนั้นไง
โลกมีทางเลือกมากมาย หากจะมีสักกี่คนใช้โอกาสในการเลือกได้

ที่เชียงใหม่วันนี้ก็เช่นกัน
เอาแค่ได้อากาศเย็นๆเข้าปอดไป
ก็ตกหลุมรัก อย่างไม่มีทางเลือกแล้ว




 

Create Date : 09 พฤษภาคม 2551    
Last Update : 9 พฤษภาคม 2551 7:50:07 น.
Counter : 252 Pageviews.  

ความรู้สึกตกผลึก..ที่เชียงใหม่

ปลายเดือน มกราคม ปีนี้จองตั๋วรถไฟ ไปเชียงใหม่
ไปดูอะไรที่เชียงใหม่ดี เดิมทีว่าจะไปปาย แต่มีหลายอย่าง ทำให้
ปายไม่ถึงฝัน สรุปกะเพื่อนว่า เชียงใหม่ก็เชียงใหม่
แต่ขอเป็นเชียงใหม่ แบบที่ไม่เคยไปละกัน

ว่าแล้วก้อจัดแจงเก็บเสื้อผ้า ตั้งใจจะนั่งหวานเย็นไป
แต่ไปๆมากลับได้ไปสปริ๊นเตอร์ซะงั้น
ไม่ได้ตั้งใจ แต่คนที่ไปด้วยเขาขอ
เราก้อเอาก้อเอา ไม่ค่อยได้อารมณ์เท่าไหร่
เอาแต่ได้ใจไว้ก่อน เอาไงเอากัน เพื่อนทั้งคน


เวลาไปผ่านยาวนาน ผ่านถ้ำขุนตาลเมื่อไหร่ไม่รู้
รู้ตัวอีกทีตอนทำฝรั่งข้างหลังตกใจจากการพิงเก้าอี้อย่างรุนแรง
เค้าคงคิดว่ารถไฟตกหลุมอากาศรึเปล่า
แทนที่เราจะขอโทษ ดันมุดเบาะลงไป
น่าอายชะมัด

ฟังเพลง อ่านหนังสือจบพอดี
สถานนีรถไฟเชียงใหม่ก็ปรากฎกายอยู่ตรงหน้าแล้ว

ค่ำๆ อากาศเย็นๆ (เดือนมกรานะ) รู้สึกดีมากเลย
แบกเป้ไปไม่ถึงไหน
มีป้าคนนึง มาอู้คำเมืองใส่ ประมาณว่าไปไหนกัน
เราก้อกะจะมาเรียกรถแดงหน้าสถานี
ป้าแกก้อตามไม่หยุด เราก้อเลยลองถามราคา
เป็นสองคน 70 ถามว่าไปรถไหน
ป้าบอกเหมาตุ๊กๆเลย
ก้อเลย เอาก้อเอา มันมืดแล้ว
อีกอย่าง ถือว่านั่งรถชมเมืองตอนกลางคืน
แล้วไม่รู้ด้วยว่า กาดรินคำที่ที่เราจะไปหาเพื่อน มันไกลจากสถานีมาก
ลุงแก่ๆที่ขับมาผอม ไม่ค่อยพูดอะไร สงสารแกจัง
ดึกแล้วยังไม่ได้นอน ก็เลยคิดว่า 70 ที่เสียไป ไม่ได้มากมายอะไรเลย
เมื่อซื้อบรรยากาศ แล้วก็ถ้ามันจะทำให้ลุงคนนึงกินอิ่มได้อีกมื้อหนึ่งน่ะ

เช้าวันรุ่งขึ้น
ก้อกะไว้แล้วว่าจะไม่เที่ยวเชียงใหม่อย่างที่เคยเที่ยว
คือพวกวัดต่างๆ เอาไว้ก่อนเลย
เราไปแบบอารมณ์ศิลปินดูมั่ง
ได้ข้อมูลงานแสดงศิลปะในเชียงใหม่หลายที่
แต่ไปลงเอยที่หอศิลป์ มอชอ
เงียบเหงากว่าที่คิดไว้มาก



บรรยากาศข้างในเงียบ ฉี่ จริงๆ
ไม่รู้ว่าถ่ายรูปได้ไหม เลยไม่ได้ถ่ายมาสักรูป

ข้างในเป็นงานแสดงภาพถ่ายขาวดำของศิลปินชาวญี่ปุ่น
จำชื่อไม่ได้ขอโทษนะคะ แต่สูจิบัตรงานยังอยู่
สวยมาก ขลังดี เพราะมันขาวดำด้วยล่ะมั้ง

ออกจากหอศิลป์ ไม่รู้จะไปตรงไหน
รถแดงมาอีกแล้ว จ้องตรงมาเลย
ตรงเข้ามาถามว่าน้องจะไปไหนกัน
เราก้อเลยถามเค้า ให้แนะนำที่เที่ยว
ที่ไม่ใช่วัดน่ะ จะเก็บไว้สุดท้ายก่อนกลับ

สรุปไปลงเอยที่ นิมมานเหมินทร์
ตั้งใจไว้แล้ว ว่าจะมา
เดินไปเดินมา อยู่แค่ร้าน iberry ร้านเดียว
นอกนั้นไม่กล้าย่างกรายเข้าไป
กลัวจะรู้สึกผิดที่ผิดทาง



เตร็ดเตร่จนเย็น
กลับมาหาอะไรกินแถวกาดรินคำ
เดินเล่นนิดหน่อยก้อหมดวันแล้ว
ยังไม่ทันทำอะไรเลยนะเนี่ย

การไปเที่ยวที่ไม่สนุกคือการที่มีเพื่อนร่วมทริปที่มีความสนใจต่างกัน
วันนี้ เราเลยชวดการไปเดินย่านเก่าวัดเกตการามเลย

พรุ่งนี้จะมาเล่าต่อละกันนะคะ




 

Create Date : 08 พฤษภาคม 2551    
Last Update : 8 พฤษภาคม 2551 23:01:13 น.
Counter : 811 Pageviews.  

1  2  

HowLentissimo
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Traveler
Bakery Seeker
I'm Everywhere as my heart wanna be.
A friend who is far away is sometimes much nearer than one who is at hand. Is not the mountain far more awe-inspiring and more clearly visible to one passing through the valley than to those who inhabit the mountain? 'Kahlil Gibran'
One friend in a lifetime is much, two are many, three are hardly possible. Friendship needs a certain parallelism of life, a community of thought, a rivalry of aim. 'Henry B. Adams'
PIXEL1EVENT on Facebook
Friends' blogs
[Add HowLentissimo's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.