วิธีการแปลง DVD คาราโอเกะมาทำเป็น VCD คาราโอเกะ
[ 1. ]
1. ใช้โปรแกรม Smart Ripper แยกไฟล์ DVD เป็นไฟล์ VOB เท่าจำนวนเพลงที่มีในแผ่น //www.oknation.net/blog/afterclick/2007/09/04/entry-1
2. ใช้โปรแกรม VOB Editor แยกไฟล์ VOB แต่ละเพลง ออกเป็น 21 ไฟล์ภาพ 22 ไฟล์ดนตรี 23 ไฟล์ดนตรี+เสียงร้อง VobEdit 0.6 Freeware //www.free-codecs.com/download/VobEdit.htm
3. ใช้โปรแกรม MPEG Video Wizard รวม 3 ไฟล์ในข้อ 2 ให้เป็นไฟล์ MPEG (ภาพ+เสียง 1 track 2 channel)
4 ใช้โปรแกรม Nero เขียนลงแผ่นเป็น VCD
เครดิต OngYingYai : //www.karaoke-soft.com
[ 2. ]
DVD Karaoke จะบรรจุเสียงได้หลาย Track แต่ละ Track ก็อาจมีหลาย Channel เช่น 2 Channel หรือ 5.1 Channel หรืออื่นๆ นิยมแยกเสียงดนตรี ไว้ Track หนึ่ง และแยก "เสียงร้อง+ดนตรี" ไว้อีก Track หนึ่ง
แต่ VCD Karaoke มีข้อจำกัดคือ บรรจุเสียงได้ Track เดียว 2 Channel เท่านั้น โดยนิยมให้ Channel ซ้าย เป็นเสียงร้อง และให้ Channel ขวาเป็น "เสียงร้อง+ดนตรี"
ที่ต้องทำคือ 1. แยก (Demultiplex) ภาพและเสียงจาก DVD แยกเก็บไว้ก่อน โดยใช้โปรแกรม VobEdit VobEdit 0.6 Freeware //www.free-codecs.com/download/VobEdit.htm
2. นำเสียงจาก DVD มาทำเป็น VCD ตามข้อจำกัดของ VCD โดยใช้โปรแกรม Sony SoundForge หรือ Sony Vegas 2.1 นำ Track เสียงดนตรี จาก DVD Karaoke (ซึ่งมี >= 2 Channel ดังกล่าวข้างต้น) มายุบให้เหลือ Channel เดียว 2.2 นำ Track "เสียงร้อง+ดนตรี" (ซึ่งมี >= 2 Channel ดังกล่าวข้างต้น) มายุบให้เหลือ Channel เดียว
3. นำภาพที่เก็บไว้จาก 1. มารวมกับเสียงที่ผลิตใหม่ตาม 2. จะใช้ Sony Vegas
เครดิต sap0525 : //www.thaidvd.net
Create Date : 28 กรกฎาคม 2554 | | |
Last Update : 28 กรกฎาคม 2554 22:22:15 น. |
Counter : 11551 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
เศรษฐศาสตร์ แห่งความจริง
เศรษฐศาสตร์ แห่งความจริง
จะขอเริ่มต้นด้วยการแยกเรื่องราวทางเศรษฐกิจออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรก คือ ส่วนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับตลาดเก็งกำไร เช่น เรื่องของ ดอกเบี้ย เงินเฟ้อ การคำนวณ GDP มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ การลงทุน หรือเรื่องของการทำธุรกิจ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้เราสามารถคิดได้อย่างเป็นเหตุ เป็นผล, ใช้เหตุผลตรงไปตรงมาในระดับปกติธรรมดาในการคิดได้ ส่วนที่สอง เป็นเรื่องของตลาดเก็งกำไร เช่นตลาดหุ้น ตลาดอัตราแลกเปลี่ยน ตลาดซื้อขายล่วงหน้า ตลาดซื้อขายทอง ตลาดซื้อขายน้ำมัน ฯลฯ ตลาดเก็งกำไรเหล่านี้ไม่ได้มีเหตุผลตรง ๆ ในแบบที่เราคิดกัน ไม่สามารถใช้เหตุผลในระดับปกติธรรมดา แบบที่เราใช้ในการทำธุรกิจ ฯลฯ ในการเอาชนะ หรือคาดการณ์ทิศทางราคาให้ถูกต้องได้ เราจึงเห็น คนเก่ง ๆ มีการศึกษาสูง เป็น ด็อกเตอร์ เป็นหมอ เป็นนักวิชาการ เป็นนักธุรกิจ ที่ประสบความสำเร็จ หาเงินได้มากจนร่ำรวย พอมาเล่นหุ้นกลับขาดทุน คาดการณ์ทิศทางราคาผิดตลอด เพราะหลักการเหตุผลมันคนละอย่างกัน วิธีการหลักคิดที่ใช้ในการทำธุรกิจ แล้วประสบความสำเร็จจนร่ำรวย พอเอาหลักการเหตุผล มาใช้ในตลาดหุ้นกลับขาดทุน เพราะตลาดหุ้นไม่ได้มีเหตุผลตรง ๆในแบบที่เราคิดกันแต่อยู่เหนือกฎเกณฑ์ของเหตุและผล ถ้าตลาดหุ้นเป็นเหตุ เป็นผลและใช้เหตุผลวิเคราะห์คาดการณ์ทิศทางราคาได้ คนเก่ง ๆ มาเล่นหุ้นต้องได้กำไรไม่ใช่ขาดทุนกันเป็นส่วนใหญ่เช่นนี้
มีคนอยู่น้อยนิดในโลกที่เข้าใจสิ่งนี้ หนึ่งในนั้นคือ WARREN BUFFET อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่สามารถบอกได้ว่าทำอย่างไรจึงจะได้รู้ว่าเมื่อไรหุ้นจะขึ้นและเมื่อใดหุ้นจะลง วิธีเอาชนะตลาดหุ้นจนประสบความสำเร็จจนร่ำรวยของเขา หลักคิดที่เป็นหัวใจนั้น ตั้งอยู่บนฐานที่ว่า เราไม่สามารถรู้ได้หรอกว่า เมื่อใดหุ้นจะขึ้นและเมื่อไรจะลง การพยายามกะเก็งวงจรของตลาดจึงทำให้ประสิทธิภาพและผลตอบแทนต่ำกว่าที่ควรจะเป็น วิธีการทำกำไรจากตลาดหุ้นของเขา คือการซื้อหุ้นที่ธุรกิจมีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างแข็งแกร่งในระยะยาวพยายามซื้อในเวลาที่ตลาดตกต่ำมูลค่าหุ้นต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน และสามารถนั่งดูหุ้นที่ตัวเองซื้อราคาปรับลงไปอีกกว่าครึ่งได้โดยไม่รู้สึกขวัญผวา เมื่อซื้อแล้วให้ถือหุ้นที่ดีไว้ตลอดไปเท่าที่นานได้ ขายหุ้นที่ไม่ดีที่ผิดพลาดออกไป ฯลฯ (รายละเอียดอ่านหนังสือของ WARREN BUFFET) ไม่ใช่พยายามทำกำไรจากตลาดหุ้นโดยการพยายามกะเก็งวงจรของตลาด แต่เป็นการทำกำไรจากตลาดหุ้นโดยซื้อหุ้นที่ดีมีคุณค่า โดยไม่ต้องสนใจและไม่ต้องรู้ว่าหุ้นจะขึ้น-ลง เมื่อไรอย่างไร
แต่คนส่วนใหญ่ในโลกนี้ไม่เชื่อเช่นนั้น ส่วนใหญ่พยายามที่จะเข้า-ออก ให้ถูกจังหวะของตลาด โดยคิดว่าตัวเองทำได้ คนส่วนใหญ่ 98% จึงขาดทุนไม่ประสบความสำเร็จในตลาดหุ้น เพราะเขาใช้ “เหตุผล” ในการวิเคราะห์ทิศทางตลาดหุ้น วิธีเดียวที่จะชนะตลาดหุ้น ตลาดอัตราแลกเปลี่ยน ตลาดซื้อขายน้ำมัน ฯลฯ ซึ่งก็คือ สามารถคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจได้ถูกต้อง ต้องใช้และเข้าใจทฤษฎีเศรษฐศาสตร์แห่งความจริง
ทฤษฎีนี้อธิบายว่าความจริงแท้ไม่ใช่สิ่งที่ตาเห็น หูได้ยินและสัมผัสได้ แต่ความจริงจะอยู่ลึกลงไปข้างในไม่สามารถพิสูจน์ได้ด้วยประสาทสัมผัส ถ้าคิดในแบบทั่ว ๆ ไป เราจะคิดว่าเราก็สามารถทำกำไรจากตลาดหุ้นได้ ขึ้นอยู่กับการติด - ตามใกล้ชิดข้อมูลข่าวสาร วิเคราะห์สถานการณ์ตัวเลขต่าง ๆ ได้ถูกต้อง แต่ถ้าคิดตามหลักความจริงแล้ว จะเห็นว่าพวกเราบุคคลธรรมดาทั่วไป เช่น เป็นนักธุรกิจ นักวิชาการ อาจารย์ ฯลฯ อยู่ในระดับล่างสุดแล้วที่เข้าไปซื้อขายในตลาดเก็งกำไรได้ ระดับต่ำหรืออยู่ล่างกว่า พวกเรา ๆ คือ คนชั้นแรงงานซึ่งไม่มีปัญญา ลงทุนในตลาดเก็งกำไร นอกนั้นมีแต่ระดับสูงกว่าเรา ไล่จากล่างสูงขึ้นไปก็คือเริ่มจาก กองทุนในประเทศ ธนาคารในประเทศ ธนาคารต่างประเทศ กองทุนต่างประเทศ จนถึงระดับสูงที่สุด คือระดับ จอซ โซรอส หรือเทียบเท่า จะเห็นว่าพวกเราอยู่ระดับล่างสุดที่ซื้อขายอยู่ในตลาดเก็งกำไร ถ้าเรากำไรแล้วใครจะขาดทุน ? มันไม่มีแล้วเนื่องจากเราอยู่ระดับล่างสุด เราจึงจะเป็นผู้ขาดทุนเสมอ โดยเม็ดเงินจะออกจากกระเป๋าเราไปสู่ระดับที่สูงกว่า – สูงสุด เนื่องจากในตลาดหุ้นมีคนกำไร ก็ต้องมีคนขาดทุน * เป็นวิธีคิดตามหลักความเป็นจริง ไม่ใช่ตามสิ่งที่ตาเห็น ดังนั้นเราจึงจะต้องไม่ซื้อ ในขณะที่คนทั่วไปส่วนใหญ่ซื้อในทางกับกันเราต้องขาย และต้องซื้อในเวลาที่คนส่วนใหญ่ขาย คือต้องเป็นส่วนน้อย และเนื่องจากคนส่วนใหญ่ตัดสินใจซื้อขายในตลาดเก็งกำไรด้วย ”เหตุผล” เราจึงต้องไม่ใช้เหตุผลในการตัดสินใจซื้อหรือขายเรื่องราวจึงกลายเป็นว่า เมื่อใดมีข่าวดี มีแต่เหตุผลด้านดี ๆ ตัวเลขทางเศรษฐกิจที่ดี ๆ ที่บ่งบอกว่าราคาหุ้นจะขึ้นต่อไปอีก MASS ตัดสินใจซื้อขายหุ้นด้วยเหตุผลในระดับปกติธรรมดายอมซื้อ เมื่อใดเหตุผลชัดเจน MASS แทบทุกคนก็ย่อมเห็นและซื้อกันหมด มองไปทางไหน ถามใคร ๆ ก็บอกหุ้นน่าซื้อ แต่เราลืมไปว่าคนไทยแทบทุกคนซื้อหุ้นกันอยู่ได้อย่างไร และใครขาย ? เพราะซื้อต้องเท่ากับขายเสมอแสดงว่าอีกด้านหนึ่งที่เรามองไม่เห็นว่าเป็นใคร กำลังขายอยู่ ซึ่งก็คือระดับ โซรอส จึงจะMATCH เกิดเป็นราคาได้ เมื่อ MASS ซื้อระดับผู้ชนะขาย ราคาก็เริ่มปรับตัวลงมาเรื่อย ๆ ข่าวร้ายก็ออกมาเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตามราคาที่ต่ำลงเรื่อย ๆ โดยที่ข่าวร้ายเหล่านี้ เราไม่สามารถเห็นได้เลย ก่อนที่ราคาจะปรับตัวลงมา ก่อนที่ราคาจะลงจะมีแต่ เหตุผล – ข่าวดี ว่าราคาจะชึ้นต่อไปอีก เมื่อราคาปรับตัวลงเรื่อย ๆ จนต่ำถึงจุดบริเวณหนึ่งที่มีแต่ข่าวร้าย เหตุผลด้านไม่ดีที่บ่งบอกว่าราคาจะปรับตัวลงต่อไปอีก มองอย่างไรก็ไม่เห็นเหตุผลว่าราคาจะขึ้นได้อย่างไร MASS เล่นหุ้นด้วยเหตุผลก็ขาย ด้านผู้ชนะ MATCHING ด้านซื้อ ราคาก็เริ่มปรับตัวขึ้นไปเรื่อย ๆ เหตุผลด้านดี ๆ ก็ออกมาอ้างอธิบายมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยที่เหตุผลเหล่านี้เราไม่สามารถเห็นได้เลย ก่อนที่ราคาจะขึ้นมา มีแต่เหตุผลว่าราคาจะลงต่อ
ตัวอย่าง หลังจากอิรักบุกยึดคูเวตในปลายปี 2533 สมัยนายกชาติชาย ราคาหุ้นได้ปรับตัวลดลง จาก 1140 จุด ลงไปเรื่อย ๆ มากเคลื่อนไหวอยู่ประมาณ 500-800 จุด ประมาณ 1-2 ปี และ 800-1000 จุด ประมาณ 1-2 ปี ในช่วงเวลาตั้งแต่ปี 2534-2536 เป็นช่วงปรับฐานของเศรษฐกิจไทย เป็นช่วงเวลาที่มีแต่ข่าวร้ายมากกว่าข่าวดี ปี 2530-2533 เป็นช่วงเวลาที่เศรษฐกิจบูมมาก ราคาอสังหาริมทรัพย์ปรับตัวสูงขึ้นมาก มีการเก็งกำไรสูงมาก อุตสาหกรรมเติบโตไปรองรับกับราคาที่ดินที่เพิ่มขึ้นมากไม่ทันเมื่อเศรษฐกิจดีถูกตัดตอนลงไปในปี 2533 สิงหาคม เมื่ออีรักบุกยึดคูเวต ราคาหุ้นปรับตัวลงมาเรื่อย ๆ เงินทุนหยุดไหลเข้า เกิดสภาพเงินตึงในระบบ คนส่วนใหญ่ติดหุ้นซื้ออสังหาริมทรัพย์เก็บไว้ในราคาแพง แล้วขายไม่ทัน , ลงทุนเกินตัว ขาดสภาพคล่องในระบบเกิดสภาพ OVER SUPPLY มีความต้องการขายมากกว่าซื้อ ธนาคารพาณิชย์ก็ยอมปล่อยให้คนที่ไม่แข็งแรงพอล้มไป โดยการไม่ปล่อยกู้เพิ่ม เป็นช่วงเวลาของการปรับสมดุลของ DEMAND และ SUPPLY ไม่สามารถยกระดับอุตสาหกรรมการผลิตให้ขึ้นไปสอดคล้องกับราคาที่ดินที่สูงขึ้นมากได้ ก่อนปี 30 เรา EXPORT อะไร ปี 33-36 เราก็ยัง EXPORT เน้นเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า เหมือนเดิม แต่ราคาอสังหา ปรับตัวสูงขึ้นเป็น 10 เท่าแล้ว ทำให้ต้นทุนสินค้าสูงขึ้นมาก แข่งขันไม่ได้ ค่าแรงจำเป็นต้องขึ้น ก็ขึ้นไม่ได้มาก จะทำให้ต้นทุนสินค้าสูงขึ้นอีก ชนชั้นล่างลำบากมากขึ้น คนรวยก็มีปัญหา นายกอานันท์ ปัญญารชุน ถึงกับเคยกล่าวว่า ถ้าต้องขึ้นค่าแรงอีกในช่วงเวลานั้นอุตสาหกรรมไทยตายหมดแน่ ๆ อีกทั้งยุโรปขู่ตัด GSP ไทย, ขาดดุลบัญชีเดินสะพัดสูง อาจต้องลดค่าเงินบาทอีก ทั้งยังมีการปฏิวัติมีพฤษภาทมิฬ ที่ลดความน่าเชื่อถือต่างชาติไม่กล้ามาท่องเที่ยว มาลงทุน มองอย่างไรก็เป็นช่วงเวลาที่มีแต่ข่าวร้ายมากกว่าเรื่องดี ๆ อยู่มากมาย ตลาดหุ้นขึ้นไปทดสอบ 1000 จุด แล้วไม่ผ่าน 2 ครั้งแล้ว ปรับตัวลงมาประมาณ 800 จุด ครั้งที่สามผ่านและทะลุขึ้นไปถึง 1700 จุดใน 3 เดือน ถามว่าเหตุผลอยู่ตรงไหน ? เมื่อข่าวร้ายหรือเหตุผลชัดเจนมาก MASS ยิ่งขายมากหุ้นยิ่งขึ้นได้แรงมาก สถานการณ์นี้เกิดทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นไป ก็ไปกำหนดให้สถานการณ์ดี ตัวเลขทางเศรษฐกิจดี เหตุผลคำอธิบายดี – มีมาก ขึ้นเรื่อย ๆ ตามราคาที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงจุดสูงสุดที่ MASS เข้าไปซื้อกันมากที่สุดแล้วจึงเริ่มปรับตัวลง
มีตัวอย่างอีกมากมายหลายสิบตัวอย่างที่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทยในลักษณะแบบนี้ จะขออธิบายในโอกาสต่อไปจะเห็นว่าถ้าเราเข้าใจในทฤษฎีนี้เราจะสามารถกำไรได้ตลอดทั้งขาขึ้นและขาลงอย่างมากมาย
ตามทฤษฎีนี้ ราคาจึงเป็นตัวกำหนดสถานการณ์ ไม่ใช่สถานการณ์กำหนดราคา ไม่ใช่มีข่าวดีแล้วหุ้นขึ้น แต่หุ้นขึ้นแล้วมีข่าวดีตามมา เศรษฐกิจดี ตามมา ตัวจบสุดท้ายที่เป็นตัวพลิกกลับที่จุดสูงสุดและจุดต่ำสุด คือ ผลประโยชน์ของระดับผู้ชนะในโลก ไม่ใช่เหตุผลหรือข้อมูลข่าวสารสถานการณ์
แน่นอนว่าไม่ใช่ราคากำหนดสถานการณ์อยู่ด้านเดียว สถานการณ์ก็กำหนดราคาด้วย เป็นทฤษฎี TWO WAY REFLEXIBILITY INTER ACTION ของ จ้อช โซรอส ที่อธิบายว่า เมื่อใดผลประกอบการของบริษัทดี ส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้น ในทางกลับกันราคาหุ้นที่ปรับตัวสูงขึ้นก็ส่งผลสะท้อนกลับไปให้ผลประกอบการของบริษัทดีขึ้นอีก และผลประกอบการที่ดีขึ้นก็ส่งผลสะท้อนกลับไปให้ราคาหุ้นสูงขึ้นอีก กลับไปมาเช่นนี้จนถึงจุด ๆ หนึ่งที่เกินปัจจัยพื้นฐาน ราคาก็เริ่มปรับตัวลง ราคาที่ลดลงก็ส่งผลสะท้อนไปที่ผลประกอบการของบริษัทให้แย่ลง ซึ่งก็ส่งผลสะท้อนกลับไปให้ราคาหุ้นตกต่ำลงอีก จนถึงจุดที่ โซรอส บอกว่าต่ำเกินไปราคาก็เริ่มขึ้นใหม่ โดยเขาไม่บอกความลับสุดท้ายว่าเป็นเรื่องของผลประโยชน์ของพวกเขาเอง จุดต่ำสุดคือจุดที่มีแต่เหตุผลว่า จะลงต่อที่ทำให้ MASS ขายออกมามาก และจุดสูงสุดคือจุดที่มีแต่เหตุผลว่าจะขึ้นต่อไปอีก MASS จึงซื้อกันมากที่สุด การบอกเพียงว่าสูงและต่ำเกินไปทำให้ผู้อ่านหนังสือของ จอซ โซรอส ถึงแม้เข้าใจแต่ก็จับจุดสูงสุด ต่ำสุดไม่ออก เพราะเลื่อนลอยและวัดไม่ได้ว่าตรงไหน คือ สูงเกินไปแล้ วและต่ำเกินไปแล้ว
ส่วนคนไทยทั่วไปรวมถึงผู้บริหารประเทศ เมื่อเห็นเศรษฐกิจดีขึ้นจากจุดต่ำสุดขึ้นมาโดยที่พื้นฐานยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง หรือเห็นว่าแย่ลงจากจุดสูงสุด ก็สรุปว่าเป็นเรื่องของความเชื่อมั่น เชื่อถือของชาวต่างชาติ โดยที่ไม่เข้าใจในทฤษฎีนี้ว่าเป็นเรื่องของผลประโยชน์ของคนระดับ TOP ของโลกที่ทำให้เงิน-ไหล เข้า-ออก ความเชื่อมั่นก็ทำให้เงินต่างชาติไหล เข้า-ออก เช่นกันแต่เป็นต่างชาติทั่วไปที่เหมือน ๆ พวกเรา คือเป็นคนธรรมดา นักธุรกิจ ฯลฯ ซึ่งอาจกำไรก็ได้ขาดทุนก็ได้ เหมือนพวกเรา ไม่ใช่ต่างชาติที่มีนัยยะ ที่กำไรเสมอแบบ จ้อช โซรอส
ถ้าราคาหุ้นเคลื่อนตัวไปในทิศทางที่ตรงข้ามกับเหตุผลอยู่ตลอดเวลาจริง ตามที่ได้อธิบายมานี้ ทำไมคนทั่วไปจึงไม่เห็นและจับจุดไม่ได้สักที อธิบายได้ดังนี้ คนทั่วไปส่วนใหญ่ในโลกนอกจากตัดสินใจซื้อ-ขายหุ้นด้วยเหตุผลแล้ว ยังมีการเปรียบเทียบอดีตอีกด้วยว่าเคยเกิดอะไรขึ้นและเป็นอยู่มาโดยดูจากความคล้ายความเหมือน แล้วจึงใช้ตัดสินใจประกอบกับเหตุผล ยกตัวอย่างมีข่าวดีแล้ว MASS เข้าไปซื้อหุ้น แล้วหุ้นตกสัก 2 ครั้ง ครั้งที่ 3 มีข่าวดี เหตุผลดี ๆ ให้เห็น MASS ก็ไม่กล้าซื้อหุ้นแล้วแม้มีข่าวดีเพราะซื้อตอนข่าวดีมา 2 ครั้งแล้ว ขาดทุน ครั้งที่ 3 มีข่าวดีราคาก็จึงขึ้นได้ จึงดูเหมือนกับว่าราคาหุ้นเคลื่อนตัวไปด้วยเหตุผล เป็นเหตุผล คือมีข่าวดีแล้วหุ้นขึ้น จะเห็นว่าแท้จริงแล้วราคาหุ้นก็ยังคงเคลื่อนตัวไปด้วยจิตวิทยาอยู่ดี กล่าวคือ จะเคลื่อนตัวไปด้วยเหตุผลในครั้งที่เราไม่ใช้เหตุผลในการตัดสินใจซื้อขายและ เคลื่อนตัวไปในทิศทางที่ตรงข้ามกับเหตุผลในครั้งที่เราใช้เหตุผล สรุปก็คือเคลื่อนตัวไปในทิศทางที่เรา (MASS) ขาดทุนอยู่ตลอดเวลา
ในโลกยุค GLOBALIZATION นี้ ราคากำหนดสถานการณ์ได้รุนแรงและกว้างขวางกว่าแต่ก่อนมาก เพราะคนในโลกเข้าสู่เกมการเงิน ภาคเก็งกำไรกันมากกว่าแต่ก่อนมาก ภาคเศรษฐกิจจริง เช่น มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ ประชานิยม การลงทุน ฯลฯ ในตัวของมันเองนั้น ก็สามารถกำหนดสถานการณ์ให้ดีขึ้นหรือแย่ลงได้ แต่น้ำหนักจะน้อยกว่าราคาในตลาดเก็งกำไรที่เคลื่อนไหวขึ้นลงเป็นตัวกำหนดสถานการณ์ได้รุนแรงกว่ามาก เช่น ถ้าออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่หุ้นกำลังจะขึ้นอยู่แล้ว (คุณทักษิณเป็นนายกสมัยแรก) ก็จะเกิดผล ++ ต่อเศรษฐกิจต่อสถานการณ์ทั้งผลดีต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และผลดีต่อสถานการณ์จากราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นด้วยเหตุผลของกลไกของมันตามทฤษฎีผลประโยชน์ แต่ถ้าออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ดี ๆ ในเวลาที่หุ้นจะต้องลงอยู่แล้วตามกลไกของมัน (คุณทักษิณเป็นนายกสมัยที่สอง และคุณสมัครเป็นนายก) หุ้นก็จะลงอยู่ดี และราคาหุ้นที่ปรับตัวลงก็จะไปกำหนดให้สถานการณ์ให้แย่จนกลบผลดี สถานการณ์ดี อันเกิดจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจไปจนเกือบหมด
ในกรณีที่มีเหตุการณ์ไม่คาดคิดที่เราไม่อาจรู้ล่วงหน้า เช่น สงคราม แผ่นดินไหว จลาจล โรคระบาด ก็ไม่สามารถหักลบทิศทาง ราคาในตลาดเก็งกำไร ไม่ให้เคลื่อนตัวไปในทิศทางที่ MASS ขาดทุนอยู่ตลอดเวลาได้ ในภาพใหญ่ แต่อาจทำให้เปลี่ยนแปลงในระยะไม่กี่วัน หรือในช่วงหนึ่งได้ จะขออธิบายยกตัวอย่างคร่าว ๆ เนื่องจากมีรายละเอียดมากเกินกว่าจะอธิบายในที่นี้ได้หมด กล่าวคือ ในกรณีมีเหตุการณ์ไม่คาดคิดเรื่องใหญ่ ๆ ที่ไม่ดีเกิดขึ้นมา ในบริเวณที่ MASS ขายกันมากอยู่ ซึ่งตามทฤษฎีนี้ เป็นช่วงเวลาที่หุ้นกำลังจะต้องขึ้นอยู่แล้วเหตุการณ์นั้นก็ไม่สามารถเปลี่ยนให้หุ้นเป็นขาลงได้ แต่อาจทำให้ลงได้เล็กน้อยหรือปานกลางในไม่กี่ชั่วโมง หรือหลาย ๆ วัน หุ้นก็ต้องขึ้นอยู่ดีตามที่ต้องขึ้นอยู่แล้ว เมื่อราคาหุ้นขึ้นไปเรื่อย ๆ คนทั่วไปที่คิดตามภาพที่เห็น เชื่อในภาพสะท้อนของตลาดเก็งกำไร ต่อข่าวสารเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็จะสรุปว่า ข่าวร้าย เหตุการณ์นั้นไม่มีผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน ราคาจึงขึ้นต่อไปได้ เช่น สึนามิ เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่หุ้นจะลงมาก ๆ ไม่ได้เนื่องจาก MASS ขายอยู่มากในช่วงเวลานั้น ราคาหุ้นลงวันเดียวก็ปรับตัวขึ้นอยู่ดี ทั้ง ๆ ที่เป็นเรื่องใหญ่มากราคาหุ้นที่ปรับตัวสูงขึ้นก็ไปกำหนดให้สถานการณ์โดยรวมดี การเคลื่อนตัวของราคาในตลาดเก็งกำไรจึงเป็นตัวกำหนดสถานการณ์และสร้างความรู้ให้เกิดขึ้นในสมองเราในแบบที่ไม่ถูกต้อง เหตุการณ์ไม่คาดคิดด้านไม่ดีหลาย ๆ เหตุการณ์นั้นถ้าเกิดขึ้นในเวลาที่ MASS ซื้อกันอยู่หุ้นจึงปรับตัวลงได้
เหตุการณ์ 911 ก่อการร้ายใน NEW YORK ที่เกิดขึ้นคิดด้วยเหตุผลแล้ว น่าจะทำให้เงินดอลล่าร์สหรัฐอ่อนอย่างมากแต่ราคาแทบไม่เปลี่ยนแปลงเลยในวันนั้น เนื่องจากกลไกการ MATCHING ระหว่าง MASS กับระดับผู้ชนะในโลกในเวลานั้นไม่สามารถทำให้ค่าเงินเหรียญอ่อนได้ เราเห็นอย่างนั้นเราก็เชื่อและอธิบายได้อยู่ดี ดังนั้นถ้าเราซื้อหุ้นในเวลาที่ MASS ขายกันหมดอยู่จริง ๆ จึงไม่ต้องกลัวเลยว่ามีเหตุการณ์ไม่คาดคิดใด ๆ ในโลกเกิดขึ้นแล้วเราจะขาดทุน กลไกราคาตามทฤษฎีนี้ได้ครอบคลุมทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้วราคาเป็นตัวกำหนดสถานการณ์ แม้ว่าราคาปรับตัวสูงขึ้นทั้งทั้งที่มีเหตุการณ์ไม่คาดคิดร้ายแรงเกิดขึ้นคนทั่วไปก็เชื่อ-คิดตาม-และอธิบายตามสิ่งที่ตาเห็นได้อยู่ดีว่าเป็นเพราะอะไร (ในด้านขายก็ตรงข้ามกัน)
ยังมีเรื่องราวและการยกตัวอย่างต่าง ๆ ของสถานการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทยอีกมากมาย ที่อยากเขียนแต่เนื่องจากเวลา และหน้ากระดาษที่จำกัดและเกรงว่าจะยาวเกินไป จึงจะขอสรุปปิดท้ายไว้ดังนี้ว่า ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์แห่งความจริง เป็นทฤษฎีที่บอกเราในเรื่องของ “จังหวะเวลา” ที่จะซื้อหรือขาย ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากที่สุดในโลกนี้ ถ้าใครไม่เข้าใจในทฤษฎีนี้แม้จะทำธุรกิจเก่งแค่ไหนก็จะมาเสีย มาขาดทุนในตลาดเก็งกำไรนี้อยู่ตลอดเวลา เสียมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับว่าทำเกินตัวแค่ไหนหรือไม่ นักธุรกิจหรือผู้บริหารประเทศที่เก่งที่ประสบความสำเร็จจึงจะต้องมีความรู้ เรื่องธุรกิจหรือเรื่องการบริหารประเทศ เพียงอย่างเดียวไม่พอ จะต้องรู้เรื่องของจังหวะเวลาที่ควรซื้อ-ขาย ลงทุนด้วย แต่เนื่องจากเป็นเรื่องที่ยากที่สุด และคนส่วนใหญ่ไม่รู้ ไม่เข้าใจแต่คิดว่ารู้แล้ว เราจึงได้เห็นธุรกิจที่ดีที่มีการบริหารจัดการดี มีระบบดี สินค้าขายดี บางบริษัทแทบไม่พอขาย แต่กลับขาดทุนล้มละลายกันมากมาย เนื่องจากขาดความเข้าใจในเรื่องของจังหวะเวลา
ในกรณีที่เป็นผู้บริหารประเทศความเข้าใจในทฤษฎีเศรษฐศาสตร์แห่งความจริง จะทำให้สามารถออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ-ลงทุน-บริหารประเทศได้ถูกจังหวะเวลา ทำให้ผลที่ลงไป 10 แต่กลายเป็น 15,20,50 มิฉะนั้นทำให้ผลที่ทำไว้ในภาคเศรษฐกิจจริงที่ทำไว้ 10 อาจได้แค่ 8,7,2 หรือติดลบก็ได้
ประเทศที่เจริญและประสบความสำเร็จ เช่น อเมริกา สิงค์โปร์ ฯลฯ ล้วนแต่เข้าใจในศาสตร์แห่งจังหวะเวลาทำให้ประเทศเหล่านี้มีกำไรจากการลงทุนในตลาดเก็งกำไรทั่วโลกมากมายมหาศาลไม่รู้จบ และลงทุนตัดสินใจซื้อขายบริหารประเทศ ตัดสินใจเรื่องราวต่าง ๆ ถูกจังหวะเวลา ย่อมได้ผลลัพธ์ ทวีคูณ แต่แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนในประเทศเหล่านี้จะเข้าใจด้วย เศรษฐกิจของประเทศเหล่านี้ก็ย่อมมีวงจรขึ้นลงปกติเหมือนประเทศอื่น ๆ เพียงแต่ภาครัฐหรือกองทุนใหญ่ที่เข้าใจทฤษฎี จะกำไรตลอดเมื่อใดเศรษฐกิจของอเมริกาปรับตัวลงคนที่ขาดทุนก็คือประชาชนคนอเมริกัน ภาคเอกชน หรือภาครัฐที่ไม่รู้ไม่เข้าใจ ความจริงแท้ในระบบเศรษฐกิจว่าคือ อะไร ไม่ใช่ระดับ จ๊อช โซรอส อยู่ดี ที่จะกำไรเสมอแม้วงจรเศรษฐกิจของประเทศเขาเองหรือ ประเทศใด ๆ ตกต่ำเป็นขาลง
หลังจากเข้าใจตามทฤษฎีแล้วว่าราคาในตลาดเก็งกำไร (ยกตัวอย่าง หุ้น) เคลื่อนตัวไปด้วยหลักการอะไร แต่ปัญหาก็คือว่าแล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าตรงไหน MASS ซื้อกันหมดอยู่ และตรงไหน MASS กำลังขายอยู่ เพื่อที่เราจะได้ซื้อขายตรงข้าม ไม่เป็น MASS ซึ่งก็คือต้องเรียนรู้วิธีอ่านจากกราฟราคา จะสามารถเห็นว่าตรงไหน MASS กำลังตัดสินใจอย่างไรอยู่ (ไม่ใช่การดูทางเทคนิคต่าง ๆ ทั่วไป ซึ่งก็คือ MASS เช่นกัน) ภาคปฏิบัติการอ่านกราฟจะทำให้เข้าใจสิ่งที่อ่านมาทั้งหมดนี้ได้อย่างถ่องแท้ชัดเจน
บริเวณราคาที่เป็นจุดสูงสุด หรือต่ำสุดในวงจรใหญ่ ๆ ระยะปีหรือหลายปี เราจะสามารถรู้สึกสัมผัสได้เอง แม้ไม่เคยเรียนรู้วิธีดูกราฟ ว่าบริเวณราคา-สถานการณ์-เหตุผลแบบนี้ MASS กำลัง (ยกตัวอย่าง) ซื้อกันหมดอยู่ จากการที่มีแต่เหตุผลด้านดี ๆ ที่บ่งบอกว่าราคาขึ้นต่อ มองไปทางไหนถามใคร ๆ ก็มองโลกในแง่ดี ซื้อหุ้น-ลงทุน กันหมด แสดงว่าราคากำลังจะลงในด้านขายก็ตรงข้ามกัน แต่ถ้าเป็นเวลาทั่ว ๆ ไปใ นวงจรระดับ กลาง ๆ จะรู้สึก-สัมผัสยากต้องอ่านจากกราฟเท่านั้น
การที่แบงค์ชาติเข้าไปซื้อดอลล่าห์ในตลาดซื้อขายล่วงหน้าที่ 38 บาท ก็เพราะคิดตามเหตุตามผลและเปรียบเทียบอดีตนะครับ หรือการที่แบงค์ชาติแทรกแซงค่าเงินบาทไม่ให้อ่อนในปี 2539 จนหมดหน้าตัก ก็เพราะคิดด้วยเหตุผลเช่นกัน หรือการที่ภาครัฐและเอกชนไทยไม่ได้ซื้อตั๋วน้ำมันในตลาดซื้อขายน้ำมันล่วงหน้าเก็บไว้ในราคา 10 กว่าเหรียญ ก่อนที่ราคาจะขึ้นสูง ซึ่งจะทำให้เราได้น้ำมันราคาส่งมอบที่ 10 กว่าเหรียญ ตลอดระยะสัญญาไม่ว่าราคาในตลาดจะปรับตัวสูงขึ้นมากเท่าไรก็ตาม ก็เพราะด้วยเหตุผลในขณะนั้นมองอย่างไรก็ไม่เห็นว่าราคาจะขึ้นมากขนาดนี้ไปได้อย่างไร ในทางกลับกันเรากลับตั้งกองทุนมาพยุงและแทรกแซงราคาน้ำมันที่ 30 กว่าเหรียญเพราะคิดตามเหตุผลที่เห็นเปรียบเทียบได้ในขณะนั้น เนื่องจากเห็นว่าตลอดเวลาร่วม 10 ปีที่ผ่านมาพอน้ำมันขึ้นมาถึง 30 กว่าเหรียญ ราคาก็กลับลงไปทุกครั้งในที่สุด เป็นวิธีการเปรียบเทียบอดีตและคิดตามเหตุตามผลของ MASS ในขณะที่ประเทศสิงค์โปร์ซื้อน้ำมันที่ 12 เหรียญดอลลาห์สหรัฐต่อบาเรลไว้จำนวนมากมายมหาศาลสำหรับพอใช้ไป 5 ปี เมื่อมีคนซื้อล่วงหน้าได้ ย่อมหมายความว่า มีคนขายล่วงหน้า จึง MATCH เกิดเป็นราคาได้ นั่นหมายความว่าประเทศหนึ่งประเทศใดในกลุ่มโอเปค ตกลงขายล่วงหน้าให้สิงค์โปร์ไป หมายความว่าประเทศผู้ผลิตน้ำมันอย่างโอเปคก็ไม่ได้รู้ว่าราคาจะเคลื่อนไปในทิศทางใด ถ้ารู้ก็คงไม่ขายแน่นอน OPEC ก็คือพ่อค้าธรรมดาที่ไม่ได้เข้าใจทฤษฎี MASS การเคลื่อนตัวของกลไกราคาว่าเป็นไปด้วยหลักการอะไรเขาก็คิดตามเหตุตามผล เห็นว่ามีกำไรก็ขายถูกบ้าง แพงบ้างตามราคาที่ตกลงกันในตลาดแบบพ่อค้านักธุรกิจทั่ว ๆไป
เป็นเพียงไม่กี่ตัวอย่างของการตัดสินใจผิดพลาด ของทุก ๆ รัฐบาลและเอกชนไทยนะครับ ลองคิดดูว่าถ้าประเทศไทย ซื้อน้ำมันที่ 10 กว่าเหรียญดอลลาห์สหรัฐไว้ เพียงพอสำหรับหลาย ๆ ปี(อาจซื้อล่วงหน้าไว้โดยใช้ MARGIN) ขายดอลลาห์ที่ 40 กว่าบาท หรือแม้แต่ 50 กว่าบาท เราจะได้กำไรเป็นเม็ดเงินสดคืนกลับสู่ประเทศชาติและประชาชนขนาดไหน ลองนึกภาพดู (เหมือนกับกองทุนเทมาแสคของสิงค์โปร์) พิชัย จาวลา 24 มีนาคม 2551
จะขอยกตัวอย่างเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนทฤษฎีเศรษฐศาสตร์แห่งความจริง เมื่อปี 2551 ได้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจโลกขึ้น เริ่มต้นจากประเทศสหรัฐอเมริกา โดยตลาดหุ้นไทยตกลงจนต่ำสุดที่ประมาณ 400 จุด ในปลายปี 2551 และเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบไม่เกิน 500 จุด จนถึงเดือน มีนาคม 2552 ช่วงนั้นมีแต่ข่าวเหตุผลสถานการณ์ด้านไม่ดี ที่บ่งบอกและชี้ว่า หุ้นจะยังไม่ฟื้นตัวง่าย ๆ วิกฤติเพิ่งเริ่มต้นและหุ้นน่าจะลงต่อได้อีก สถานการณ์ก็ร้ายแรงมาก มองหาเหตุผลอย่างไร ก็ไม่เจอว่าทำไมจึงควรซื้อหุ้น เนื่องจาก 1) ความหนักหนาสาหัสของวิกฤติเศรษฐกิจครั้งนี้ มีความรุนแรงที่สุด ในประวัติศาสตร์ของระบบทุนนิยมโลก 2) วิกฤติครั้งนี้เกิดทั่วโลกทั้งอเมริกา ยุโรป เอเซีย วิกฤติคราวที่แล้วเมื่อปี 2540 ประเทศฝั่งเอเซีย ยังได้ประโยชน์จากค่าเงินที่อ่อน ได้เม็ดเงินจากยุโรป อเมริกา มาชวยฟื้นเศรษฐกิจ จากการส่งออก การท่องเที่ยวที่ดีขึ้น 3) วิกฤติเพิ่งเริ่มได้ไม่กี่เดือนเท่านั้น ทำไมต้องรีบซื้อหุ้น คราววิกฤติปี 40 ใช้เวลาเกือบ 5 ปี จึงเริ่มฟื้นตัวจริงจัง 4) ราคาอาจลงไปได้อีก เมื่อคราวปี 40 นอกจากยืดเยื้อแล้วราคาหุ้นยังตกถึง 200 กว่าจุด และคราวนี้ สถานการณ์ก็หนักไม่แพ้กัน แม้จะแตกต่างในรูปแบบ หุ้นจึงอาจลงถึง 300 หรือ 200 จุด ได้เช่นกัน
เมื่อเราวิเคราะห์เหตุการณ์ สถานการณ์ ข่าวสาร ข้อมูล แล้วเปรียบเทียบอดีตกับสิ่งที่เคยเกิดขึ้น เรียกรวม ๆ ว่า “ระบบเหตุผล” ทั่ว ๆ ไปที่เชื่อและตีความไปตามสิ่งที่ตาเห็น แล้วเราจึงไม่กล้าซื้อหุ้นที่ประมาณ 400 จุด แต่กลับขายออก เนื่องจากหาเหตุผลด้านดีไม่เจอ แต่ดังที่ได้อธิบายมาแล้วว่า เมื่อใดเหตุผลชัดเจนไปทางใดทางหนึ่ง มองไปทางไหนคุยกับใครก็มีแต่คนขายหุ้น และไม่ซื้อออกจากตลาดไป แสดงว่ามีอีกด้านหนึ่งที่เราไม่เห็นไม่ระลึกถึง กำลังซื้อทั้งหมดอยู่เช่นกัน ราคาจึงจะเกิดได้ เพราะซื้อต้องเท่ากับขายเสมอ ใคร ๆ ก็ขายกันหมดอยู่เป็นไปได้อย่างไร ต้องมีคนซื้อด้วย เมื่อ MASS ขายระดับผู้ชนะซื้อ ราคาก็เริ่มปรับตัวขึ้นทันทีสูงขึ้นเรื่อย ๆ แล้วก็จะมีเหตุผลด้านดี ๆ ออกมาอธิบายได้เองตามหลังราคาที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ ไปแล้ว โดยที่เหตุผลดี ๆ เหล่านั้นจะไม่สามารถหาได้เลยบริเวณจุดต่ำสุด บริเวณนั้นจะมีแต่เหตุผลว่าจะลงต่อ เมื่อราคาหุ้นได้สูงขึ้นเรื่อย ๆ ก็ไปกำหนดเหตุการณ์สถานการณ์ให้ดี ขึ้นเรื่อยๆ จำนวนคนก็เข้าไปซื้อมากขึ้นเรื่อย ๆ ตามราคาที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงช่วงเวลาหนึ่งที่ราคาได้ขึ้นไปสูงถึงระดับหนึ่งที่มีเหตุผลด้านดี ๆ เหตุการณ์ดี ๆ ที่บ่งบอกว่าราคาจะขึ้นต่อไปอีก มองหาเหตุผลอย่างไรก็ไม่เจอว่าราคาจะปรับตัวลงได้อย่างไร MASS คิด ด้วยระบบเหตุผลก็จะเข้าไปซื้อกันมากที่สุด ระดับผู้ชนะย่อมขายในอีกด้านหนึ่ง ราคาก็จะเริ่มปรับตัวเป็นขาลง ซึ่งจุดที่มีแต่เหตุผลด้านดี ๆ นั้นยังไม่ใช่บริเวณราคาปัจจุบัน ที่ประมาณ 600 จุด เท่านั้น ( เขียนเมื่อเดือนกรกฎาคม 2552 ) ราคาหุ้นจึงจะยังคงสูงขึ้นได้อีกทั่วโลก โดยตลาดหุ้นไทยจะขึ้นถึง 1000 จุดได้ อย่างช้า 5 ปี และถึงระดับ 2000 จุดใน 10 ปี ( แน่นอนว่าระหว่างทางย่อมสลับขึ้นลง ) รายละเอียดอ่านได้ท้ายหนังสือเศรษฐศาสตร์แห่งความจริง ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 3 และครั้งต่อ ๆ ไป
ถึงแม้ว่า ช่วงเวลาประมาณ 400 จุดเมื่อเดือน ตุลาคม 2551 – กุมภาพันธ์ 2552 สถานการณ์จะหนักจริง เม็ดเงินหายจากระบบจริงมากมายมหาศาล ธุรกิจตกต่ำจริง รายได้หดหาย เงินมีสะพัดจริง แต่พอเราโยงเหตุผลตรง ๆ กับตลาดหุ้น แล้วเราตัดสินใจขาย จะผิดทันที เราไม่ต้องตระหนักถึง “ระบบผลประโยชน์” ที่ทับซ้อน “ระบบเหตุผล” อีกชั้นหนึ่ง เมื่อตัดสินใจซื้อขายในตลาดเก็งกำไร พิชัย จาวลา กรกฎาคม 2552
Create Date : 27 พฤษภาคม 2554 | | |
Last Update : 27 พฤษภาคม 2554 15:54:20 น. |
Counter : 778 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
วิธีการวัดคัพทรวงอก
วิธีการวัดคัพ !!!
การเลือกสวมใส่ยกทรงที่เหมาะสม ได้สัดส่วนและมีทรวดทรงที่สวยงามนั้นจำเป็นที่จะต้อง เลือกขนาดยกทรง ( คัพและไซส์ ) ให้ถูกต้องและเหมาะสมกับสรีระและสิ่งที่สำคัญที่สุดข องการเลือกซื้อยกทรงคือ การวัดสัดส่วน เพื่อหาขนาด คัพ–ไซส์ อย่างถูกวิธี
>> ยืนตรงแล้วใช้สายวัด ( ด้านเซนติเมตร ) วัดตำแหน่ง รอบอก โดยให้สายวัดผ่านจุดหัวถันทั้ง 2 ข้าง >> จากนั้นวัดรอบใต้อก ( ซึ่งจะบอกถึงขนาดลำตัว )
*** เส้นรอบวงทั้งสองตำแหน่งนี้ ควรอยู่ในแนวขนานกับพื้น และไม่รัดแน่น หรือหลวมเกินไป จากนั้นนำตัวเลขที่ได้มาลบกัน แล้วนำผลต่าง มาดูตารางเปรียบเทียบ ขนาดชุดชั้นในผลต่างที่ได้คือ ขนาดของ คัพ ส่วนขนาดของ ไซส์ นั้นนำตัวเลขที่ได้จากการวัดอบใต้อก มาเทียบกับตารางยกทรงได้เลย
ตัวอย่างการหาขนาด (คัพ – ไซส)์ ของยกทรง รอบอก 81 ซม. รอบใต้อก 69 ซม. ผลต่าง 12 ซม. ขนาดคัพ คือ B ขนาดไซส์คือ 70
ขนาดยกทรงที่ได้คือ B 70
และ
คุณเคยมีปัญหาอย่างนี้ไหม?
1. เมื่อยหลัง เมื่อยไหล่ เมื่อยคอ 2. เป็นรอยแดงๆ จากการกดทับของเสื้อชั้นใน สายหรือแถบเสื้อในกดเนื้อเป็นรอยบุ๋มขณะใส่ โครงเหล็ก/ลวด ใต้บรา บีบรัดและกดทับเนื้อหน้าอก พอถอดออกแล้วเห็นเป็นรอยแดง 3. เป็นจ้ำ เป็นผื่นแดง ผื่นคัน ผดหรือสิวบริเวณที่เสื้อชั้นในสวมทับ 4. เนื้อหน้าอก (นม) ล้นเต้า(Cup) เสื้อในออกมา (กรณีที่ใส่บราธรรมดา ไม่ใช่ Push- Up Bra หรือเสื้อชั้นในแบบ Demibra หรือบิกินี่ เน้นการปกปิดที่น้อยที่สุดทำให้มันดูล้นๆ ) 5. เสื้อชั้นในเหี่ยวๆ บุ๋ม หรือมีเนื้อที่เหลือระหว่างเสื้อชั้นใน กับเนื้อหน้าอก 6. เจ็บหน้าอก เวลาออกกำลังกาย เจ็บที่เนื้อ ผิวหนัง ไม่ใช่ที่อวัยวะภายใน เช่นกระดูก กระบังลม หัวใจ ปอด
ถ้าตอบว่าใช่ 1 ใน 6 ข้อข้างต้น แสดงว่า บราตัวนั้นๆ อาจไม่ใช่ขนาดที่เหมาะสมสำหรับคุณ
วิธีวัดขนาดบราที่ถูกต้อง
บราเซียร์ หรือเสื้อชั้นในนั้น มีไว้เพื่อพยุงหน้าอก ให้ได้รูปทรงที่ดูดี เสริมบุคคลิก ป้องกันการหย่อนคล้อย แต่ถ้าหากคุณเลือกขนาดบราที่ไม่เหมาะสมกับคุณแล้ว ปัญหาปวดเมื่อย ผดผื่น ที่กล่าวมาข้างต้นก็อาจเกิดขึ้น หรือถ้าใส่บราที่หลวมเกินไป มันก็ไม่สามารถช่วยพยุงทรงให้อยู่ในสภาพที่เหมาะสมได ้ แทนที่จะเต่งตึง กลับทำให้เหี่ยวห้อยได้ ฉะนั้นมาหาขนาดบราที่เหมาะกับคุณกันเถอะ
1. วัดรอบตัว การวัดรอบตัวทำได้ 2 วิธี ซึ่งควรจะวัดทั้ง 2 แบบ แล้วเปรียบเทียบกัน ถ้าวัดถูกต้อง ค่าที่ได้จะต้องเท่ากัน
แบบที่1 ใช้สายวัด วัดรอบลำตัวเหนือหน้าอก รอดใต้วงแขน วัดเป็นนิ้ว ถ้าได้เลขคี่ ให้ปัดขึ้นเป็นเลขคู่ เช่น 31 นิ้ว ปัดเป็น 32 นิ้ว ถ้าได้เลขคู่ ก็ใช้เลขนั้นได้เลย เช่น วัดได้ 32 นิ้ว ลำตัวของคุณคือ 32
แบบที่ 2 ใช้สายวัด วัดรอบลำตัว ใต้หน้าอก (แบบนี้คนไทยนิยมวัดกัน) วัดได้เท่าไหร่ บวกเพิ่มเข้าไปอีก 5 นิ้ว เช่น วัดได้ 27 นิ้ว บวก 5 ค่าลำตัวของคุณคือ 32 ถ้าบวกออกมาได้เลขคี่ ให้ปัดขึ้นเป็นเลขคู่
*การวัดค่าลำตัว ควรวัดแบบแนบๆ แน่นๆ ติดลำตัว ไม่ต้องหายใจเข้าให้ตัวพองๆ แล้วค่อยวัดเดี๋ยวจะได้ค่าเพี๊ยน
2. วัดรอบอก การวัดรอบอก ใช้สายวัดวัดรอบจุดที่นูนที่สุดของหน้าอกคุณ แต่คราวนี้ให้วัดหลวมๆ หายใจปกติ วัดเป็นนิ้ว
3. หาขนาดเต้า หรือ Cup ด้วยการนำ รอบอก(นิ้ว) - รอบลำตัว(นิ้ว) หรือนำผลที่ได้จากข้อ 2 หักลบด้วยผลที่ได้จากข้อ1 ผลลัพธ์ที่ได้ จะเป็นค่า CUP ของเสื้อใน A B C D ตามตาราง
ผลต่าง (นิ้ว/inch) CUP 1. นิ้วหรือน้อยกว่า A 2. นิ้ว B 3. นิ้ว C 4. นิ้ว D
ตัวอย่าง รอบอก 33 นิ้ว ลบ ลำตัว 32 นิ้ว ขนาดคัพ A เวลาไปซื้อชุดชั้นใน = 32/A เสื้อชั้นในบางยี่ห้อ ใช้เลขลำตัวหน่วยเป็น เซ็นติเมตร ลองเทียงค่าลำตัวจากนิ้วเป็น เซ็นติเมตรได้จากตารางด้านล่าง
นิ้ว เซ็นติเมตร 30 65 32 70 34 75 36 80 38 85
วิธีการวัดนี้เป็นวิธีสากล ที่เขาใช้วัดขนาดบรากัน แต่ก็พบว่าผู้หญิงๆ หลายๆ คนวัดแล้วไม่ได้ค่าคัพตรงกับไซส์เสื้อชั้นในที่ใส่อย ู่จริง เช่น ปกติใส่ คัพ C แต่พอวัดด้วยวิธีนี้ ต้องใส่คัพ A สรีระของแต่ละคนอาจแตกต่างกันไป และเสื้อชั้นในสมัยนี้ส่วนใหญ่จะเป็น Push-Up Bra หรือบราดันทรงที่มีโครงลวด มีแผ่นฟองน้ำเสริมทรง มีแผ่นดันทรงวางไว้ใต้หน้าอกอีกที ทำให้ผู้หญิงมักจะต้องใส่เสื้อชั้นในขนาดคัพใหญ่กว่า ปกติ 1 ไซส์ เพราะมีอุปกรณ์ส่งเสริมเหล่านี้เข้ามาช่วยเสริมให้ดู อวบอิ่มขึ้นนั่นเอง ดังนั้นถ้าได้ขนาดคัพที่ไม่ตรงกับที่ใส่อยู่จริง เราก็ใช้ค่ารอบลำตัว ไปใช้ซื้อเสื้อชั้นใน ส่วนจะใส่คัพอะไรนั้น ดันมาก-ดันน้อย ต้องไปลองกันเอาเอง
4. ขนาดคัพเท่ากัน ขนาดลำตัวต่างกัน เลือกใส่ตามความเหมาะสมยืดหยุ่นได้
เสื้อชั้นในมีขายหลากหลายยี่ห้อ แต่ละยี่ห้อ ก็มีรูปแบบ และทรงที่แตกต่างกัน จึงไม่แปลกหากคุณใส่บรายี่ห้อหนึ่งขนาด 34/75 B แต่เมื่อไปซื้ออีกยี่ห้อ กลับใส่ 36/80 A แล้วพอดีกว่า เพราะ ขนาดเต้า/cup ของเสื้อในขนาด 36/80 A ใหญ่เท่ากับเสื้อในขนาด 34/75 B และยังเท่ากับ 32/70 C ด้วย ขนาดคัพเท่ากัน แต่ขนาดลำตัวต่างกัน ขึ้นอยู่กับความยืดหยุ่นของเนื้อผ้า และรูปทรงการตัดเย็บของแต่ละยี่ห้อ ดังนั้นการซื้อเสื้อชั้นในควรลองสวมดูก่อนทุกครั้ง ถ้าไม่พอดี ก็ลองเลือกขนาดที่ใหญ่ขึ้น หรือเล็กลง (ดูตารางเทียบไซส์คัพที่เท่ากันได้ด้านล่าง) มาลองดูจนเป็นที่พอใจ อย่าไปยืดกับไซส์เดิมๆ สำคัญที่ ใส่แล้วคัพของเสื้อในต้องแนบสนิทกับเนื้อหน้าอกของเร า ไม่เหลือช่องว่าง ถ้าเหลือแสดงว่าคัพใหญ่เกินไป แต่ก็ไม่เล็กแน่นเสียจนล้น (ยกเว้นตั้งใจดัน) ส่วนขนาดลำตัวสวมแล้วควรพอดี ไม่แน่นจนรู้สึกอึดอัด และถ้าลองยกแขนทั้งสองขึ้นบิดซ้ายบิดขวา แถบลำตัวเสื้อชั้นในต้องไม่ถลนขึ้นมา ถ้าใช่ลองเลื่อนตะขอเข้าอีกนิด หรืออาจเปลี่ยนตัวใหม่ที่มีขนาดลำตัวเล็กลง
ตารางเปรียบเทียบขนาดคัพ(ปริมาตร) ที่เท่ากัน แต่ลำตัวต่างกัน (ดูตามแนวดิ่ง)
32/70 A 34/75 A 36/80 A 38/85 A 38/85 B 30/65 B 32/70 B 34/75 B 36/80 B 36/80 C 30/65 C 32/70 C 34/75 C 34/75 D
5. ขนาดหน้าอกเราเปลี่ยนแปลงได้ ตามน้ำหนัก และฮอร์โมน
เช่นถ้าน้ำหนักขึ้น หน้าอกก็ใหญ่ขึ้น เช่นเดียวกับน้ำหนักลง หน้าอกก็ลดลงได้ด้วยเช่นกัน จะมากหรือน้อยแล้วแต่คน นอกจากนี้ระดับฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงก็มีผลต่อขนาดขอ งหน้าอกด้วย เช่น ผู้หญิงหลายๆ คน จะตึงคัดเต้านม หรือเจ็บหน้าอกและขนาดหน้าอกขยายขึ้นเล็กน้อยช่วงก่อ นมีประจำเดือน-ช่วงมีประจำเดือน รวมถึงช่วงตั้งครรภ์ด้วย สำหรับกรณีที่เจ็บและคัดหน้าอกมาก และหน้าอกขยายค่อนข้างมากในช่วงเวลาดังกล่าว อาจหาซื้อชุดชั้นในที่เนื้อผ้ายืดหยุ่นได้มาก เช่นประเภท Convertible Bra, Sport Bra หรือซื้อเสื้อชั้นในขนาดคัพใหญ่ขึ้น เพื่อใส่ช่วงวันนั้นๆ เพื่อความสบายตัว ไม่จำเป็นต้องยืดติดว่าคุณจะต้องใส่เสื้อชั้นในขนาดเ ดิมขนาดเดียวไปตลอด
6. ควรวัดขนาดหน้าอกตัวเอง ทุกๆ 1-2 ปี และ/หรือ คอยสังเกตว่ารู้สึกไม่สบายเนื้อสบายตัวเวลาสวมใส่เสื ้อชั้นในหรือไม่ เพราะอาจเป็นสัญญาณบอกให้คุณเปลี่ยนขนาด เปลี่ยนแบบ เปลี่ยนยี่ห้อเสื้อชั้นในได้แล้ว
** เสื้อชั้นในควรซักมือ ตากในที่ร่มลมโกรก หรือแดดอ่อนๆ ส่วนกางเกงชั้นในใส่แล้วซักอย่าหมักหมม เดี๋ยวเชื้อรา เชื้อแบคทีเรียจะมาเพาะพันธุ์ ซักมือหรือเครื่อง แล้วตากแดดฆ่าเชื้อโรคจะดีกว่า
Create Date : 22 พฤษภาคม 2554 | | |
Last Update : 22 พฤษภาคม 2554 11:40:05 น. |
Counter : 43780 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
การออกแบบระบบซื้อขายหุ้น
(trading system) ใน MetaStock นั้น ก่อนที่จะเขียนสูตรลงใน MetaStock จะต้องมีการกำหนดระบบซื้อขายที่จะนำมาใช้ก่อน โดยในที่นี้ขอใช้สมมติฐานที่ว่าราคาหุ้นในตลาดจะตอบสนองต่อพื้นฐานของบริษัท และเศรษฐกิจของประเทศ รวมทั้งข่าวต่างๆ ทั้งหมดแล้ว ดังนั้นระบบการซื้อขายที่นำมายกตัวอย่างนี้นั้นจะพิจารณาจาก
ราคาหุ้น (price): ระดับราคาของหุ้นแต่ละตัวนั้นมีความสำคัญในการพิจารณา เช่น พวกหุ้นราคาต่ำกว่า 1 บาท มักจะเป็นหุ้นปั่น พวกหุ้น blue chip มักจะมีราคาต่อหุ้นค่อนข้างสูง
สภาพคล่อง (liquidity): หากซื้อหุ้นที่ไม่มีสภาพคล่องนั้น หุ้นตัวนั้นๆ อาจจะไม่มีการเคลื่อนไหวตามแนวโน้มของตลาดโดยรวม
ความผันผวน (volatility): เป็นสิ่งที่บอกถึงการเคลื่อนไหวของราคาหุ้น ควรซื้อหุ้นที่มี gap การเคลื่อนไหวของราคามากพอที่จะทำกำไรได้ แต่ทั้งนี้ไม่ควรซื้อหุ้นที่มีความผันผวนมากเกินกว่าที่จะยอมรับได้ เดี๋ยวจะนอนไม่หลับเอา
แนวโน้ม (trend): จงจำไว้ว่าต้องซื้อขายตามแนวโน้มอย่าไปฝืนแนวโน้ม เหมือนการว่ายน้ำในทะเล หากเราว่ายตามกระแสน้ำกับว่ายทวนน้ำ อย่างไหนเหนื่อยกว่ากัน
จากส่วนประกอบในการพิจารณาซื้อขายหุ้นที่กล่าวมานั้น ก่อนที่จะนำไปเขียนเป็นสูตรใน MetaStock ให้เขียนเป็นคำพูดลงในกระดาษก่อนแล้วค่อยนำไปแปลงเป็นสูตรสำหรับ MetaStock ดังตัวอย่างต่อไปนี้
เงื่อนไขที่นำมาพิจารณาข้อแรกก็คือ ราคาหุ้น (price) หากเราต้องการกำหนดราคาต่ำสุดของหุ้นที่เราต้องการจะซื้อขาย โดยกำหนดเงื่อนไขว่าต้องเป็นหุ้นที่มีราคาปิดใน 21 วันเฉลี่ยมากกว่า 1 บาท เมื่อนำไปเขียนเป็นสูตรโดยใช้ moving average จะได้ว่า
Mov(c,21,s) > 1
เงื่อนไขที่สอง สภาพคล่อง (liquidity) เราต้องการหุ้นที่มีปริมาณการซื้อขาย (volume) เฉลี่ยใน 21 วันคูณกับราคาปิดของหุ้นมากกว่า 2000000 บาท สามารถเขียนเป็นสูตรได้ว่า
Mov(v,21,s)*C > 2000000
เงื่อนไขต่อไปคือ แนวโน้ม (trend) ในการกำหนดแนวโน้มนั้นมีหลายวิธี แต่ในตัวอย่างนี้จะดูแนวโน้มจากราคาหุ้นว่าจะต้องซื้อขายกันในช่วงของราคาสูงสุด เช่น เราต้องการหุ้นที่มีราคาซื้อขายในช่วง 20 วันที่ผ่านมา อยู่ในช่วงราคาสูงสุดในรอบ 240 วันของหุ้นตัวนั้นๆ จะได้สูตรว่า
HHVBars(H,240) < 20
และเงื่อนไขข้อสุดท้าย ความผันผวน (volatility) มีอยู่หลายทางเช่นกันในการวัดความผันผวนของราคาหุ้น โดยในทีนี้จะใช้ ATR method ซึ่งสามารถบอกการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นโดยเฉลี่ยในช่วงเวลาหนึ่งๆ เช่น หุ้นราคา 1 บาท มีการเคลื่อนไหวโดยเฉลี่ย 5 สตางค์ใน 21 วันที่ผ่านมา เราสามารถนำราคาเฉลี่ยของหุ้นใน 21 วันที่ผ่านมามาหาร เพื่อหาเปอร์เซ็นตความผันผวนของราคาหุ้น ตัวอย่างเช่น คุณต้องการหุ้นที่มีเปอร์เซ็นต์ความผันผวนของราคาหุ้นอยู่ในช่วงระหว่าง 1.5% – 6% จะได้สูตรว่า
ATR(21)/Mov(C,21,S)*100 > 1.5 and ATR(21)/Mov(C,21,S)*100 < 6
เมื่อเราได้สูตรสำหรับเงื่อนไขต่างๆแล้ว สุดท้ายเมื่อนำมารวมกันจะได้ว่า
Mov(c,21,s) > 1 and Mov(v,21,s)*C > 2000000 and HHVBars(H,240) < 20 and ATR(21)/Mov(C,21,S)*100 > 1.5 and ATR(21)/Mov(C,21,S)*100 < 6
แค่นี้ก็จะได้สูตรสำหรับระบบการซื้อขายแบบง่ายๆ แล้ว
Create Date : 14 เมษายน 2554 | | |
Last Update : 14 เมษายน 2554 5:50:42 น. |
Counter : 3052 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|