ยินดีต้อนรับสู่ club.bloggang.com
...magazine online โดยหนุ่มสาวชาว =Neo=

สนามรบในกระดาษ


จะตั้งกิจการ ต้องรบในกระดาษให้ชนะ ก่อนออกสนามรบจริง...


การจัดตั้งกิจการนั้น เงินทุนก็มีจำกัด
กลัวไปหมดว่าจะได้กำไรไม๊ ทำแล้วจะเจ๊งไม๊... เหล่านี้เป็นต้น
ซึ่งหากต้องการที่ทำกิจการจริงๆ โดยเริ่มจากศูนย์แล้ว
คงต้องฝากให้คิดสิ่งเหล่านี้ให้มากหน่อยครับ...

1.
ต้องรู้จักสินค้าหรือบริการ และ
รู้จักกลุ่มลูกค้าที่ต้องการสินค้าหรือบริการที่จะทำ

สิ่งแรกที่ต้องทำคือต้องรู้จักสินค้าหรือบริการอย่างดี
เพื่อจะได้ทราบถึง กลุ่มลูกค้าเป้าหมายว่าควรจะเป็นกลุ่มใด อย่างไร
เพื่อให้สอดคล้องกับ สินค้าที่ขายหรือการให้บริการ ดังนั้น
หามีสินค้าที่เหมาะกับลูกค้า และ คุณสามารถเข้าหากลุ่มเป้าหมายที่เป็นลุกค้าได้มาก
หรือ มีหนทางติดต่อ ก็ลองติดต่อเพื่อหยั่งเชิงดูก่อน แต่หากจะไปหาเอาดาบหน้า
ก็เหมือนกับเอาคอขึ้นเขียง ยังไม่รู้ว่าลูกค้าคือใคร
แล้วจะรอให้ลูกค้ามาหาเองนั้นคงยาก...

ผมชอบธุรกิจที่ให้ลูกค้าอยู่กับเรา
หรือเป็นสมาชิกเรา จะทำให้เราสามารถมีรายได้ที่กำหนดแน่นอนได้
แต่หากเป็นธุรกิจที่ลูกค้าไม่ได้เป็นสมาชิก หรือ ไม่จำเป็นต้องใช้เราเป็นประจำ
จะต้องคิดเผื่อเหลือเผื่อขาด เผื่อเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันไว้มากๆ ครับ

2. วางแผนเงินทุน รายรับ รายจ่าย ทำให้กำไรให้มากๆ และ
สามารถอยู่ได้ก่อนจะลงมือทำจริงๆ

การวางแผนทางด้านรายรับ รายจ่าย และ
เงินทุน เป็นสิ่งที่สำคัญมากเช่นกัน เมื่อมั่นใจว่ามีสินค้าหรือบริการ และ
มั่นใจว่าลูกค้าต้องการสินค้าและบริการดังกล่าว หรือ
อาจจะมีลูกค้าอยู่ในมือแล้วว่าเขาต้องการสิ่งที่เราทำแน่นอน ก็ควรจะสร้าง
ผังรายรับ/รายจ่ายในการจัดตั้งธุรกิจขึ้นมา เพื่อทำให้มองเห็นภาพรวมว่า
เราจะคืนทุนเมื่อใด เราต้องหาลูกค้าจำนวนเท่าใด เราต้องขายเท่าใด
เพื่อจะได้เงินครอบคลุมค่าใช้จ่ายและได้กำไร และ เมื่อใดถึงจะคืนทุน
และในช่วงที่ยังไม่คืนทุน คุณสามารถดำเนินธุรกิจได้นานเท่าใด สิ่งเหล่านี้
ควรจะคิดให้รอบคอบก่อนลงมือปฏิบัติ และควรจะคิดค่าใช้จ่ายเผื่อค่อนข้างมากหน่อย
เพราะ การลงทุนส่วนมากเกินกว่าที่ตั้งเป้าหมายไว้... เรื่องรายได้
อย่าคาดเดาไว้สูงมากเกิน
ควรจะคาดเดาให้ต่ำกว่าสิ่งที่อยากได้มากๆด้วย...

3.
วางแผนการปรับปรุงกิจการล่วงหน้าเพื่อพัฒนาให้ต่อเนื่อง

ซึ่งถ้าทั้ง
2 องค์ประกอบพร้อม และ คิดว่าสิ่งที่จะทำสามารถทำขึ้นมาได้
คุณก็จะมั่นใจได้บ้างแล้วว่า สิ่งที่คุณคิดจะเป็นสิ่งที่สามารถทำได้
ก็ลงมือเลยครับ... แล้วให้คิดต่อด้วยนะครับว่า คุณจะขยายธุรกิจของคุณนั้น ใน 2
ปีจะทำอะไร ใน 5 ปีจะเป็นอย่างไร 8 ปี จะทำอะไรเพิ่ม คิดได้เท่าไหร่ก็เก็บไว้ว่า
คุณจะทำอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วค่อยไปดูเอาสถานการณ์ข้างหน้าอีกทีว่า
สามารถทำได้หรือไม่ หรือ อาจจะต้องทำในสิ่งที่ลูกค้าต้องการก่อนก็ได้
อนาคตเปลี่ยนแปลงได้ แต่ถ้าไม่วางแผน
อนาคตนั้นจะไม่มีจุดหมายปลายทาง....




 

Create Date : 27 มิถุนายน 2551    
Last Update : 27 มิถุนายน 2551 14:54:07 น.
Counter : 691 Pageviews.  

ความสุข vs ฐานะทางการเงิน


เงินเดือน เงินเก็บ และ ความสุข ของคนทำงาน



คนที่รวยที่สุดในโลก


คนกลุ่มนี้มองว่า เขาต้องลงทุนเพิ่ม เพราะ
ถ้าไม่ลงทุนเพิ่ม รายได้ของเขาก็จะเพิ่มมากขึ้น ค่าใช้จ่ายน้อยลง
ภาษีของเขาก็จะมากขึ้นตาม มันเป็นสภาพที่เขากลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ถึงแม้นไม่อยากลงทุน แต่หุ้นส่วนก็บังคับให้ลงทุนอยู่ดี...



คนรวยที่สุดในประเทศ


คนกลุ่มนี้แม้นมองว่า
ตนเองได้เงินมากที่สุดในประเทศแล้ว แต่เมื่อเทียบกับต่างประเทศ
ตนเองยังได้เงินไม่เทียบเท่าหรือไม่มากพอ ก็ต้องแสวงหา กันต่อไป เพราะ
ความรู้สึกว่า ตนเองนั้น เมื่อเทียบกับคนอื่นแล้ว ยังห่างไกล แต่แท้ที่จริงแล้ว
มีคนอีก 60 กว่าล้านคน ที่มองว่า เขาเป็นผู้โชคดี ชีวิตนี้ไม่ทำอะไรก็มีกิน
มีใช้แล้ว และ เขาจะทำไปทำไม



คนรวย


คนรวยบางคน มองว่า ตนเองยังไม่มีเงินเหมือนคนอื่นๆ
ยังต้องขวนขวาย ดิ้นรน ยิ่งเทียบกับคนรวย ทั้ง 10 อันดับในประเทศแล้ว
ยิ่งเทียบกันไม่ได้ ก็ต้องหา กันเพิ่มต่อไป เขาอาจจะมองว่า ตนเองยังต่ำต้อย
ยังไม่ได้ประสบความสำเร็จเหมือนคนรวยทั้ง 10 อันดับของประเทศ แต่แท้ที่จริงแล้ว
คนที่ต่ำต้อยกว่าเขานั้น มีเป็นล้านๆ คน ที่อยากเป็นอย่างเขา หรือ ขอแค่มีเงิน
ขอแค่มีรายได้ขนานเขา ก็จะพอใจแล้ว...



เจ้าของกิจการ


เจ้าของกิจการ ก็จะพยายามหารายได้เข้ากิจการให้มากขึ้น
และ ยิ่งสังคมกว้างขึ้นเท่าไหร่ เจ้าของกิจการก็จะพบว่า ตนเองนั้น
ยังได้รายได้ไม่เท่ากับเพื่อนท่านอื่นๆ ก็เลยพยายามที่จะ ส่งเสริมธุรกิจของตนเอง
เปิดสาขา เปิดกิจการใหม่ๆ ทั้งนี้
ก็ขึ้นกับความสามารถของแต่ละบุคคล



ผู้อำนวยการ


ผู้บริหารระดับสูงต่างๆ ก็อยากที่จะเป็นเจ้าของกิจการ
เพราะเห็นว่า เจ้าของกิจการนั้น ได้รับผลประโยชน์ ได้รับเงินมากกว่าตนเอง
ซึ่งไม่ว่าจะทำไปมากน้อยเพียงใด
ตนก็ได้รับเงินเดือนเพียงเศษเสี้ยวของกิจการเท่านั้น ถึงแม้นจะมีหุ้นอยู่
ก็ไม่ได้บอกว่า เป็นรายได้ที่เต็มเม็ดเต็มหน่วยสักเท่าไหร่
ก็จะเริ่มคิดหาหนทางเปิดกิจการแข่งก็มี หรือ เปิดกิจการอื่นก็มี
หรือบางครั้งก็พยายามทำให้ตนเอง ได้เป็นเจ้าของกิจการนั้น ก็มี



ผู้จัดการ


ผู้บริหารระดับกลางก็จะมองว่า ตนเองได้เงินเดือน น้อยกว่า
ผู้อำนวยการ มากมาย เขาอาจจะพบว่า ผู้อำนวยการ ได้รับสิทธิประโยชน์มากมาย ทั้งรถ
ทั้งที่อยู่อาศัย ค่าน้ำมันก็เบิกได้ แถมเอาบิลค่าน้ำมันของภรรยามาเบิกรวมเสียอีก
ยิ่งมีตำแหน่งใหญ่ขึ้นก็ยิ่งได้ผลประโยชน์ ผู้จัดการจึงพบว่า
ตนเองยังต่ำต้อยนักเมื่อเทียบกับ ผู้อำนวยการ
ก็จะพยายามถีบตนเองให้ผ่านไปถึงขั้นนั้นให้ได้ ทั้งๆที่เงินเดือนและสวัสดิการ
ก็พอสำหรับการใช้ไปในแต่ละเดือนอยู่แล้วก็ตาม
อาจจะมีเหลือเก็บด้วยซ้ำไป



หัวหน้างาน


ผู้บริหารระดับต่ำ ก็เห็นว่าตัวเองนั้น
มีรายได้แค่พอใช้ไปวันๆ ไม่สามารถซื้อสิ่งนั้น สิ่งนี้ได้ อยากได้รถ อยากได้บ้าน
อยากได้เงินเดือนสูงๆ อย่างผู้จัดการ อยากได้ไปหมด ทั้งนี้ เมื่อเทียบกับ
คนที่อยู่สูงขึ้นไป มีสิ่งต่างๆ เพรียบพร้อม ทำอย่างไรเขาจึงจะได้อย่างนั้น
ทำอย่างไร เขาจึงได้เงินเดือนมากขึ้น และ เพื่อรักษาหน้า ก็ต้องหามาทั้งๆที่
ต้องกู้ยืมเขาก็ตาม ความสดวกสบายก็อยากได้ ถึงแม้นทำงานหนัก ก็อยากจะพักผ่อน
ซื้อของสิ่งนั้น สิ่งนี้มาเพื่อคิดว่า สิ่งเหล่านั้นจะช่วยในการพักผ่อนของเขา
ผลสรุปคือ เงินก็ติดขัด เงินเก็บก็ไม่มี ยิ่งทำให้อยากได้เงินเดือนสูงๆขึ้นไป...
และ จะสบถ อยู่เสมอว่า ทำไมเราทำงานหนักกว่าพวกเดินไปเดินมา แล้ว
ทำไมเราถึงได้เพียงแค่เงินเดือนเพียงเล็กน้อย ทั้งๆที่เราทำงานหนัก
บริษัทฯไม่ยุติธรรม องค์กรไม่ยุติธรรม ระบบไม่ยุติธรรม และ ก็จะโทษสิ่งนั้น
สิ่งนี้ว่า ทำให้เขาไม่ได้ก้าวไปถึงไหน บางคนก็โทษว่า เพราะเราไม่ได้ปริญญาโทฯ
ก็ไปเสียเงินเรียน เพียงเพื่อหวังว่า เรียนจบจะได้ตำแหน่งสูงขึ้น และ คิดว่า
สิ่งนี้เป็นการลงทุน สำหรับอนาคตของตนเอง ก็มีมากมาย



พนักงาน


พนักงานทั่วไปที่ทำงาน ได้รับเงินเดือน
เขาสั่งทำงานก็ทำงานกันไป เราได้เงินแค่ไหนก็ทำงานแค่นั้น
เป็นแนวคิดของคนทำงานส่วนใหญ่ อยากให้ทำงานมากขึ้น ก็เพิ่มเงินเดือนให้ซิ
อะไรทำนองนี้ พวกหัวหน้างานทำงานสบายๆ สั่งๆๆๆๆ อย่างเดียว
ยังได้เงินตั้งมากมายก่ายกอง เราได้แค่เงินมาซื้อข้าวกิน มีเงินมาทำงาน
ก็นับว่าดีแล้ว อีกหลายคนต่างก็เป็นหนี้เป็นสิน
บางคนเป็นหนี้ถึงขนาดไม่มีคนยอมปล่อยให้กู้เงินเสียด้วยซ้ำ
ก็ต้องไปกู้เงินกับดอกเบี้ย แพงๆ ร้อยละ 2 ร้อยละ 3 ต่อเดือน
พวกตั้งแต่หัวหน้างานขึ้นไป หน้าเลือด ไม่เห็นมาช่วยเหลืออะไรกับพนักงานธรรมดาๆ
อย่างเราๆ เลย แถมบางคนก็เป็น คนปล่อยกู้เสียเอง โดยเฉพาะเจ้าของกิจการ
ปล่อยกู้ให้กับพนักงาน คิดดอกแพง จะออกจากงานก็ไม่ได้ เอาจุดนี้มาเป็นตัวควบคุม
เงินก็ได้น้อย แถมยังถูกกดขี่ข่มเหงต่างๆนานาๆ ชีวิตอยู่อย่างไร้ค่า
จะมองหาบ้านสักหลังก็เป็นไปได้ยาก ต้องเช่าเขาอยู่ ไม่จ่ายค่าเช่าก็จะโดนทวง
โดนไล่ไม่ให้อยู่ ชีวิตช่างลำเค็ญ แสนเข็น พวกมีเงิน มีรายได้พอเพียง
เคยเห็นใจพวกพนักงานอย่างเราๆ บ้างไม๊ คิดแต่จะเอา คิดแต่จะได้ เพียงฝ่ายเดียว
แต่ก็มากดขี่ข่มเหงพนักงานตาดำๆ อย่างไร
ช่างไร้มนุษยธรรมเสียจริงๆ...



คนตกงานไม่มีงานทำ


และ คนตกงาน หรือ คนไม่มีงานทำ ก็มองว่า
คนที่ทำงานอยู่ช่างโชคดีเสียกระไร เราอยากได้โอกาสทำงานกับเขาบ้าง อยู่อย่างไร้ค่า
ขอเงินพ่อแม่ใช้ไปวันๆ บางคนก็เป็นหนี้ หาเงินมาประทังชีวิตก็มี ทั้งนี้ เขามองว่า
ขอแค่ได้ทำงาน เถอะ มีเงินมาจ่ายค่าเช่าห้อง มีเงินมาจ่ายค่ากินอยู่ก็พอใจแล้ว
ข้าวมื้อละจานก็ดีถมเถไปแล้ว... ฯลฯ







สิ่งที่ผมกล่าวมานั้น มันก็เป็นเพียง ลักษณะ แนวความคิด
ของคนบางคนในกลุ่มต่างๆ ซึ่งถ้าคุณสังเกตุดีๆ จะพบว่า สิ่งหนึ่งของทุกกลุ่มคือ
การเปรียบเทียบกับคนที่ดีกว่า... ซึ่งเป็นพฤติกรรมปกติของมนุษย์ และ สิ่งนี้เอง
ที่ทำให้เกิดกระทู้นี้ขึ้น อันเนื่องจากว่า แต่ละคน
ต้องการในสิ่งที่ดีกว่าที่ตนเองได้รับในปัจจุบัน โดยเฉพาะ เงิน เพราะ
เป็นตัวที่จะสามารถซื้อสิ่งของที่ต้องการได้
เพราะสามารถตอบสนองความต้องการพื้นฐานได้ ดังนั้น เมื่อคนเรา
เริ่มจากความต้องการขั้นพื้นฐาน เงิน จึงเป็นปัจจัยตัวแรกของชีวิต
ที่ทำให้คนเรานั้น แสวงหา เพิ่ม เพื่อที่จะได้สิ่งของพื้นฐานตามความต้องการ
และเมื่อเริ่มจากเงิน มุมมองของคน เลยมุ่งไปที่ตัวเงิน สิ่งของภายนอก เสียส่วนใหญ่
และ ใช้สิ่งเหล่านี้ เป็นตัววัดว่า เราจะมีความสุข มีสิ่งที่ต้องการ ก็เพราะ
ตัวเงิน ตัวรายได้ โดยไม่ได้มองสิ่งอื่นๆ รอบข้างอีก

และ ความต้องการเหล่านี้ มันเป็นสิ่งที่ไม่สามารถตอบสนองให้เต็มได้
เพราะ เมื่อสภาพแวดล้อมของตนเองเปลี่ยนไป ก็จะมีความต้องการเปลี่ยนไปตลอดเวลา
ผมยกตัวอย่างจริง เรื่องหนึ่งคือ สมมุติว่าชื่อ นายก คนไม่จบป.ตรีท่านหนึ่ง
เข้าไปทำเป็นโปรแกรมเมอร์ ในบริษัทฯเล็กๆแห่งหนึ่ง ได้เงินเดือน 7000 บาท เขาคิดว่า
เขาเป็นผู้โชคดีที่มีโอกาส ได้เงินพออยู่พอกิน
มีงานทำที่ดีทั้งๆที่ยังไม่จบป.ตรีเสียด้วยซ้ำ แต่เมื่อเขาทำงานไป
บริษัทฯรับพนักงานใหม๋ จบป.ตรี มาให้เขาสอนงาน
ซึ่งเราบังเอิญรับรู้ว่าเพื่อนร่วมงานคนใหม่นั้น ได้เงินเดือนถึง 12000 บาท
แต่ก็ต้องให้เขามาสอนงาน ต้องใช้เครื่องมือที่เขาสร้างขึ้น ต้องเรียนรู้งานจากเขา
ต้องให้เขาวิเคราะห์งานต่างๆให้ ต้องมาปรึกษาเขา ทั้งๆที่คนนั้นจบ ป.ตรี แค่นั้นเอง
ความสามารถอะไรก็ไม่มี ซึ่งแน่นอนว่า นายก ก็ต้องคิดมากเปรียบเทียบ
และไม่พอใจบริษัทฯ ที่กดขี่คนที่ไม่มีปริญญา ถึงแม้นไปพูดกับผู้จัดการ
เขาก็ไม่สามารถเพิ่มเงินให้เขาได้ และ อ้างว่าเขาไม่มีวุฒิ
ทำให้เขาก้มหน้าทำงานต่อไป หางานใหม่ และ องค์กรก็ขาดโปรแกรมเมอร์ฝีมือดีไป
ขาดคนประสานงานไป แต่ได้พนักงานจบ ป.ตรี ที่ขาดคุณสมบัติมาทำงานแทน (หลังจากนั้น 2
ปี บริษัทฯ ก็ปิดตัวลง เพราะไม่สามารถปิดงานใดๆได้เลย)


จากตัวอย่างข้างต้น นายก เปลี่ยนจากคนตกงาน และ
เป็นคนที่แทบจะไม่มีโอกาสดีๆอันสังคมที่เอาเปรียบ ได้เลย
เปลี่ยนจากคนเคยภูมิใจในงานที่ทำ กลายเป็นคนมีปัญหา ซึ่งสิ่งเหล่านี้
ล้วนแต่เกิดจากการเปรียบเทียบทั้งนั้น องค์กรและหัวหน้างาน ก็เอาการเปรียบเทียบ
จากปริญญา ที่ไม่สามารถรับรองได้เลยว่า จบออกมาจะเป็นคนที่ทำงานได้หรือไม่
มาเป็นตัวเปรียบเทียบ มาเป็นตัวกำหนดว่า ใครที่ควรจะได้รับรายได้มากน้อยกว่ากัน
ทั้งๆที่การทำงานในความเป็นจริง
คนที่มีความสามารถน่าจะได้ผลตอบแทนมากกว่าคนที่ไม่มีความสามารถ
จึงทำให้เกิดสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ที่เกิดจากการเปรียบเทียบอย่างไร้เหตุผล
ซึ่งองค์กรในไทยส่วนใหญ่เป็นเช่นนี้ อย่าว่าแต่องค์กรเลย
คนโดยทั่วไปก็ยังเป็นเช่นนี้กันอยู่ เอาสิ่งที่พอจะรับรองได้มาเปรียบเทียบกัน
แต่ไม่ได้ใช้ความเป็นจริงมาเปรียบเทียบ เพราะ คนไทยเรานั้นไม่ชอบความยุ่งยาก
ไม่ชอบที่จะสังเกตุ ก็เลยเป็นปัญหาของสังคมมาจนทุกวันนี้...


ผมกำลังชี้ประเด็นให้เห็นว่า พื้นฐานของคนเรานั้น
สิ่งที่ทำให้คนเราไม่พอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ คือการที่ คนเรานั้น
เปรียบเทียบสภาพแวดล้อมของเรา กับบุคคลอื่น ซึ่งการเปรียบเทียบ มันก็จะมีทั้งข้อดี
และ ข้อเสียคือ

ข้อดี:
1. การเปรียบเทียบ ทำให้สามารถตั้งเป้าหมาย
เพื่อที่จะไปให้ถึงได้
2. การเปรียบเทียบ
ทำให้เรารู้ว่าสิ่งที่เราต้องทำต่อไปคืออะไร เพื่อทำให้บรรลุเป้าหมายนั้นๆ
3.
การเปรียบเทียบ ทำให้เกิดความภาคภูมิใจ (ระยะสั้นๆ)
4. การเปรียบเทียบ
ทำให้เป็นแรงผลักให้ทำให้ตนเองก้าวหน้า

ข้อเสีย:
1. การเปรียบเทียบ
ทำให้เกิดความไม่พอใจตนเอง ทำให้เกิดความน้อยเนื้อต่ำใจ หดหู่
2. การเปรียบเทียบ
ทำให้ลดความตั้งใจในการทำงานไป เหมือน นายก ที่มองเห็นว่า ตนเองทำงานมากไป
ได้เงินน้อยกว่า ก็เลยทำงานน้อยลงเป็นต้น
3. การเปรียบเทียบ
ทำให้เกิดการเอาอย่าง โดยไม่ได้ไตร่ตรอง เช่น การที่เห็นว่าเขามีรถ
มีบ้านก็อยากมีบ้าง ก็พยายามไปซื้อ ไปหา กู้หนี้ ยืมสิน
จนอาจจะไม่สามารถชำระหนี้คืนได้ ก็จะสร้างปัญหาให้กับตนเองมากขึ้น




การใช้จ่าย เงินเก็บ และ ความสุข


ทั้ง 3 เรื่องนี้
จะว่าเป็นเรื่องเดียวกันก็ไม่ใช่ จะเป็นคนละเรื่องก็ไม่เชิง ดังนั้น
เลยนำมาคุยกันเลยทีเดียวดีกว่า...

ทั้ง 3 เรื่อง เป็น 3
เส้า ที่มีผลต่อเนื่องกัน
- ถ้ามีการจ่ายเงินมากขึ้น อาจจะได้ความสุขมากขึ้น
แต่เงินเก็บก็น้อยลงหรือไม่มีเลย
- ถ้าใช้จ่ายน้อยลง ความสุขก็อาจจะน้อยลง หรือ
เท่าเดิม แต่เงินเก็บก็จะมากขึ้น
- ถ้าใช้จ่ายคงที่
ความสุขก็อาจจะผันแปรด้วยสิ่งแวดล้อมอื่นๆ และ เงินเก็บก็อาจจะมากขึ้นเล็กน้อย หรือ
อาจจะไม่มีเลย

ทั้งนี้เรื่องทั้งหมด มันเกิดขึ้นแตกต่างกัน ตามสภาพแวดล้อม
นิสัย ของผุ้ที่มองใน 3 เรื่องนี้


จากการดูความเปลี่ยนแปลงข้างต้น คนที่มีความสุขนั้น
ไม่ได้มาจากเงินตราเพียงอย่างเดียว ยังมีองค์ประกอบอื่นๆ แต่ เงิน หรือ รายได้นั้น
ก็มีส่วนที่จะทำให้มีความสุขเช่นเดียวกัน อันนี้
เป็นเรื่องที่ยอมรับกันทั่วโลก

เงิน ซื้อ อาหาร เสื้อผ้า ยารักษาโรค
ทีอยู่อาสัยได้
แต่ปั้จจัย 4 เหล่านี้ของคนหนึ่ง อาจจะไม่เหมือนกับอีกคนหนึ่ง
มันขึ้นกับว่า คนๆนั้น มีความพอใจ มีความพอเพียงกับการดำเนินชีวิตอย่างไร และ
ก็ขึ้นกับความต้องการของแต่ละบุคคลอย่างไร ลองดูคนที่มีทั้งรายได้น้อย และ
รายได้มากว่า พวกเขาจะมีความสุข หรือมีความทุกข์ มันเป็นอย่างไร...






- คนมีรายได้น้อย อยู่อย่างพอเพียง ไม่มีหนี้
ไม่มีเงินเก็บ พอใจกับความเป็นอยู่ ก็มีความสุขจากสิ่งรอบข้าง
- คนมีรายได้น้อย
อยู่อย่างพอเพียง ไม่มีหนี้ มีเงินเก็บ พอใจกับความเป็นอยู่
ก็มีความสุขจากสิ่งรอบข้างและเงินที่พอใช้จ่าย

- คนมีรายได้น้อย
อยู่อย่างพอเพียง ไม่มีหนี้ ไม่มีเงินเก็บ ไม่พอใจกับความเป็นอยู่
ก็มีความทุกข์
- คนมีรายได้น้อย อยู่อย่างพอเพียง มีหนี้ ไม่มีเงินเก็บ
พอใจกับความเป็นอยู่ ก็มีความทุกข์เพราะหามาได้ก็จ่ายหนี้เสียหมด
-
คนมีรายได้น้อย อยู่อย่างไม่พอเพียง ไม่มีหนี้ ไม่มีเงินเก็บ
ไม่พอใจกับความเป็นอยู่ ก็มีความทุกข์เพราะมีความอยากอยู่ตลอดเวลา
ทุกข์ใจเสียส่วนใหญ๋
- คนมีรายได้น้อย อยู่อย่างไม่พอเพียง มีหนี้ ไม่มีเงินเก็บ
ไม่พอใจกับความเป็นอยู่ ก็มีความทุกข์มาก ปัญหาเยอะ


ซึ่งสิ่งเหล่านี้
คนที่มีรายได้แต่ละคนก็มีแตกต่างกัน
จะยึดเอาสภาพแวดล้อมของใครคนใดคนหนึ่งมาตัดสินคนส่วนใหญ่ไม่ได้ และ ปัญหาคือ
คนเหล่านี้ มักไม่ยอมรับว่า ตนเองนั้น อยู่อย่างไม่พอเพียง
ตนเองนั้นใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย ตนเองนั้นแหละ ที่สร้างปัญหาทั้งหมด
แล้วก็จะโทษคนอื่นๆ เสมอๆ ทั้งนี้ การพิจารณาของคนโดยทั่วไป จึงมักเข้าข้างตนเองว่า
ปัญหาจริงๆ เกิดจากมีรายได้น้อยเป็นหลัก เพราะเป็นเรื่องที่เห็นชัด จับต้องได้ และ
ไม่ได้เป็นการโทษตนเองว่าผิดด้วย...

-------------------------------

- คนมีรายได้มาก อยู่อย่างพอเพียง ไม่มีหนี้ ไม่มีเงินเก็บ
พอใจกับความเป็นอยู่ ก็มีความสุข ได้ใช้จ่ายเงินที่หาได้ตามที่เขาต้องการ
-
คนมีรายได้มาก อยู่อย่างพอเพียง ไม่มีหนี้ มีเงินเก็บ พอใจกับความเป็นอยู่
ก็มีความสุขเพราะมีสิ่งที่รับประกันในอนาคตว่าจะปลอดภัยจากสภาพแวดล้อม

-
คนมีรายได้มาก อยู่อย่างพอเพียง ไม่มีหนี้ ไม่มีเงินเก็บ ไม่พอใจกับความเป็นอยู่
ก็มีความทุกข์
- คนมีรายได้มาก อยู่อย่างพอเพียง มีหนี้ ไม่มีเงินเก็บ
พอใจกับความเป็นอยู่ ก็มีความทุกข์เพราะหามาได้ก็จ่ายหนี้เสียหมด
-
คนมีรายได้มาก อยู่อย่างไม่พอเพียง ไม่มีหนี้ ไม่มีเงินเก็บ ไม่พอใจกับความเป็นอยู่
ก็มีความทุกข์เพราะมีความอยากอยู่ตลอดเวลา ทุกข์ใจเสียส่วนใหญ๋
- คนมีรายได้มาก
อยู่อย่างไม่พอเพียง มีหนี้ ไม่มีเงินเก็บ ไม่พอใจกับความเป็นอยู่ ก็มีความทุกข์มาก
ปัญหาเยอะ


ทั้งนี้ คนมีรายได้มาก
ก็มีปัญหาเช่นเดียวกับคนที่มีรายได้น้อย ลักษณะความต้องการพื้นฐานเหมือนกัน
แทบจะไม่มีอะไรที่แตกต่าง





ดังนั้น จะพบสิ่งที่น่าสังเกตุอย่างหนึ่งคือ การที่คนเราจะมีความสุข
จริงๆได้นั้น มันไม่ใช่มาจากการได้รับ รายได้มากน้อย หรือ การที่มีเงินเก็บมาก หรือ
เงินเก็บน้อย เพราะ ไม่ว่าจะได้รับรายได้มาก หรือ น้อย
ต่างก็มีปัญหาทางด้านอื่นๆมากระทบทำให้เกิดความสุข และ
ความทุกข์ได้เช่นกัน

แต่ทั้งนี้ จะเห็นว่า
การอยู่อย่างพอเพียงในสภาพแวดล้อมของตน การไม่มีหนี้สิน และ
ความพึงพอใจกับสภาพความเป็นอยู่ของตนนั้น ต่างหาก ที่เป็นผลชี้วัดว่า
ใครจะมีความสุข หรือ ทุกข์มากกว่ากัน ซึ่งสิ่งต่างๆเหล่านี้ ก็คือความคิด
วิธีการดำเนินชีวิต ของแต่ละคนทั้งสิ้น




 

Create Date : 27 มิถุนายน 2551    
Last Update : 27 มิถุนายน 2551 14:47:05 น.
Counter : 638 Pageviews.  

ผลิตเงิน 1 ล้านบาทใน 1 ปี

ทำเงิน 30000 ให้เป็น 1 ล้าน ในเวลา 1 ปี อย่างถูกกฎหมาย

จงแสดงวิธีทำธุรกิจ (ถูกกฏหมาย) ที่จะทำให้เงิน 30000 บาท เพิ่มเป็น 1 ล้านบาทในเวลา 1 ปี

วิธีทำ

1) เอาเงิน 30000 บาทไปซื้อที่ดินเปล่า 1 ไร่

2) ขุดดินในพื้นที่ 1 ไร่นั้นเอาไปขาย โดยขุดลึก 5 เมตร โดยดำเนินการจ้างผู้รับเหมาวิ่งดินเข้ามาลงรถขุดและวิ่งส่งดินไปถม เราเป็นเจ้าของบ่อขายดินอย่างเดียว

คิดปริมาณดินที่พื้นที่ 1 ไร่มี = 1600 ตรม x ลึก 5 ม. = 8000 ลบม
(ปริมาณดินนี้ประเมินคร่าว ๆ ซึ่งความจริงจะได้น้อยกว่านี้เล็กน้อย เพราะต้องขุดตี slope ขอบบ่อให้เอียงไม่เช่นนั้นบ่อจะถล่ม)

3) รถสิบล้อมีปริมาตรบรรทุกดิน กว้าง x ยาว x สูง = 3 x 6 x 2 = 36 ลบม เราขายดินคันละ 300 บาท

4) เราจะขายดินได้ = (8000/36) x 300 = 66667 บาท คิดเป็นเลขกลม ๆ 60000 บาท เพราะชดเชย 6667 หายไปตรงดินที่ขุดไม่ได้ตรงบริเวณพื้นที่ขอบในข้อ 2)

5) คิดระยะเวลาขุดดิน 1 ไร่ ใช้เวลา 1 อาทิตย์ ดังนั้น 1 อาทิตย์ จ่ายไป 30000 จะได้เงินกลับมา 60000 บาท

6) ย้อนกลับไปทำข้อ 1) ใหม่ เอาเงิน 60000 บาท ซื้อที่ 2 ไร่และขายดิน

ซื้อครั้งที่ 1 จำนวน 1 ไร่ ขุดดินขาย ได้เงินกลับมา 60000
ซื้อครั้งที่ 2 จำนวน 2 ไร่ ขุดดินขาย ได้เงินกลับมา 120000
ซื้อครั้งที่ 3 จำนวน 4 ไร่ ขุดดินขาย ได้เงินกลับมา 240000
ซื้อครั้งที่ 4 จำนวน 8 ไร่ ขุดดินขาย ได้เงินกลับมา 480000
ซื้อครั้งที่ 5 จำนวน 16 ไร่ ขุดดินขาย ได้เงินกลับมา 960000
ซื้อครั้งที่ 6 จำนวน 32 ไร่ ขุดดินขาย ได้เงินกลับมา 1920000

จำนวนไร่ทั้งหมดที่ซื้อ = 1+2+4+8+16+32 = 63 ไร่
ถ้าผู้รับเหมามีรถขุด 1 คัน ขุดได้อาทิตย์ละ 1 ไร่ (ซึ่งนับว่าช้ามาก) จะใช้เวลา 63/4 ประมาณ 16 เดือน

สรุป เริ่มต้นใช้เงิน 30000 บาท ใช้เวลา 16 เดือน ได้เงินกลับมา 1.92 ล้าน กับที่ดินเปล่า 63 ไร่ที่เป็นบ่อ ซึ่งสามารถต่อยอดโดยการทำบ่อนั้นเป็นบึงตกปลาหรือสร้างรีสอร์ทได้




 

Create Date : 27 มิถุนายน 2551    
Last Update : 27 มิถุนายน 2551 14:40:57 น.
Counter : 993 Pageviews.  

หาเงินเก็บสัก 5 ล้านบาท

หาเงินเก็บสัก 5 ล้านบาท จากธุรกิจอาหาร เล็กๆ

มีเงินเริ่มต้นทำธุรกิจร้านอาหารเล็กๆ สัก 10,000 บาท
ทุกวันมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินการประมาณสัก 2,000 บาท
ทำได้กำไรสัก 100% ในสถานที่ดีๆสักที่หนึ่ง
ก็จะได้กำไรวันละ 2000 บาท
ทำสัก 5 ปี ก็จะได้กำไรที่ลงทุนไป 3,650,000 บาท..

หากทำระบบได้ดี ก็ขยายธุรกิจ ทุกๆ ครึ่งปี
แห่งที่ 2 ในระยะเวลาอีก 4.5 ปี จะได้เงิน 3,285,000 บาท
แห่งที่ 3 ในระยะเวลาอีก 4.0 ปี จะได้เงิน 2,920,000 บาท
แห่งที่ 4 ในระยะเวลาอีก 3.5 ปี จะได้เงิน 2,555,000 บาท
แห่งที่ 5 ในระยะเวลาอีก 3.0 ปี จะได้เงิน 2,190,000 บาท
แห่งที่ 6 ในระยะเวลาอีก 2.5 ปี จะได้เงิน 1,825,000 บาท
แห่งที่ 7 ในระยะเวลาอีก 2.0 ปี จะได้เงิน 1,460,000 บาท
แห่งที่ 8 ในระยะเวลาอีก 1.5 ปี จะได้เงิน 1,095,000 บาท
แห่งที่ 9 ในระยะเวลาอีก 1.0 ปี จะได้เงิน 730,000 บาท
แห่งที่ 10 ในระยะเวลาอีก 0.5 ปี จะได้เงิน 365,000 บาท

รวมได้เป็นเงิน 20,075,000 บาท
มีค่าใช้จ่ายลูกจ้าง และ อื่น ทั้งหมดสัก 50%
ก็คงเหลือสัก 10 ล้านกว่าบาท ภายใน 5 ปี
แต่ละปีต่อจากนี้จะมีรายได้ต่อปีประมาณ 7,300,000 บาท
ต่อเดือนก็ประมาณสัก 6 แสนกว่าบาท
หักโน่นนี่ ก็น่าจะเหลือสัก 5 แสนได้มั๊งครับ...

หากำไลทำได้น้อยลงไม่ตามเป้า ตกเป้าไปสักครึ่งหนึ่ง..
ก็จะมีเงินเก็บประมาณ 5 ล้านกว่าๆ
และ รายได้หลังเลิกการขยายกิจการก็มาณ 2.5 แสน ต่อเดือน

(คิดเล่นๆครับ..)




 

Create Date : 27 มิถุนายน 2551    
Last Update : 27 มิถุนายน 2551 14:35:19 น.
Counter : 844 Pageviews.  

นี่สิเรียกว่า...มนุษย์เงินเดือน

พี่ซาอิได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่งชื่อว่า “มนุษย์เงินเดือน” แต่งโดย “คุณณรงค์วิท แสนทอง” พิมพ์โดย บริษัท ซีเอ็ดยูเคชั่น จำกัด(มหาชน) เป็นหนังสือใหม่ ยังวางขายอยู่ทั่วไปในปัจจุบัน และเข้าใจว่าคงขายได้ดีมาก เพราะมีบทความที่ดีๆ เยอะเหลือเกิน




พี่ซาอิได้อ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว ก็ไม่อยากเก็บไว้คนเดียวอยากให้คนอื่นได้อ่านด้วย ก็ทราบกันอยู่ว่า น้องๆ หลานๆ บางคนยังไม่มีงานทำ กำลังหางาน กำลังเรียนอยู่ หรือกำลังจะจบ ก็คงอยากจะรู้ว่า “มนุษย์เงินเดือน” นั้นเป็นอย่างไร

แต่เนื่องด้วย หนังสือนี้มีลิขสิทธิ์ ห้ามการลอกเลียนไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่งของหนังสือ นอกจากจะได้รับอนุญาต

แต่เนื่องจากพี่ซาอิเห็นว่า หนังสือเล่มนี้ “น่าอ่าน” และมีเหตุผลว่า ทุกคนคงไม่มีโอกาสได้ซื้อหนังสือไปอ่านเพราะความจำกัดทางด้านการเงิน พี่ซาอิจึงขออนุญาต “คุณณรงค์วิทย์ แสงทอง และบริษัท ซีเอ็ดยูเคชั่น จำกัด (มหาชน)" มา ณ ที่นี้ ว่าพี่ซาอิขออนุญาตคัดลอกบทความในหนังสือเล่มนี้ลงเป็นตอนๆ ในห้องสีลมนี้ และอาจจะใส่ความเห็นส่วนตัวเข้าไปด้วย ถ้าเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม

หากคุณณรงค์วิทย์ หรือบริษัท ซีเอ็ด มาเจอเข้า ก็ขอให้โปรดเข้าใจว่าพี่ซาอิมีความปรารถนาดีจริงๆ ที่จะให้ผู้อ่านที่ไม่ค่อยมีเงินมีทองได้อ่านกันบ้าง แต่ถ้าใครใจร้อน อยากอ่านรวดเดียวจบ พี่ขอแนะนำให้ไปซื้อหนังสือมาอ่าน จะได้ประโยชน์ในทันที

แต่ถ้าคุณณรงค์วิทย์ หรือบริษัท ซีเอ็ดเห็นว่า การกระทำของพี่เป็นการลอกเลียน และไม่ประสงค์จะให้พี่ทำเช่นนั้นด้วยเหตุผลใดก็ตาม ขอให้แจ้งมาในคอลัมน์นี้ พี่ซาอิก็จะหยุดการกระทำนี้โดยไม่มีข้อแม้ขัดขืนใดๆ ทั้งสิ้น แต่ถ้าหากยินดีที่จะให้พี่ซาอิช่วยเผยแพร่เพื่อประโยชน์ต่อบุคคลทั่วไปแล้ว พี่ก็ขออนุโมทนาด้วยจิตอันบริสุทธิ์มา ณ ที่นี้ด้วย รวมไปถึงทีมงานของพันทิบด้วย ที่ไม่เห็นการกระทำของพี่เป็นการโฆษณาหนังสือเล่มนี้ แต่ถ้ามีหนังสือเตือนมา พี่ก็จะยอมรับโดยดุษฏี ......เป็นที่เข้าใจกันนะครับ




..............................................................................


ผู้เขียนเชื่อว่า คนทำงานที่เป็นลูกจ้างหลายคน เป็นคนที่มีความรู้ความสามารถ แต่บางครั้งโอกาสความก้าวหน้าในอาชีพ ไม่สอดคล้องกับความสามารถ เช่น บังเอิญไปอยู่ในองค์กรที่มีบันไดไม่กี่ขั้น หรือบังเอิญไปอยู่ในองค์กรของเถ้าแก่ที่มีลูกหลานเป็นผู้บริหาร คนนอกก็เป็นเพียงตัวประกอบเท่านั้น



มนุษย์เงินเดือนทุกคนอยากก้าวหน้า อยากประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน อยากทำงานเป็นลูกจ้างอย่างมีความสุข หลายคนอยากออกไปประกอบอาชีพหรือทำธุรกิจส่วนตัว ทุกคนคิดเช่นนี้ แต่.....จะมีสักกี่คนที่สามารถทำได้ตามความฝันหรือสิ่งที่คิด


มนุษย์เงินเดือนในแต่ละรุ่น มักจะเดินซ้ำรอยเดิมของคนรุ่นก่อนๆ (เหยียบขี้หมากองเดียวกันกับคนที่เดินนำหน้า) สุดท้ายคนแต่ละรุ่น ก็จะมีรูปแบบของความก้าวหน้าที่ไม่แตกต่างกัน

อายุเท่านั้นเท่านี้ถึงจะเป็นผู้จัดการได้ ต้องทำงานกับองค์กรแบบนั้นแบบนี้จึงจะประสบความสำเร็จ ต้องเลือกทำงานกับองค์กรที่มีความมั่นคง มีค่าตอบแทนสูง




มนุษย์เงินเดือนส่วนใหญ่ทำงานก็หวังจะได้ผลงานดี จะได้ปรับค่าจ้างประจำปีและโบนัสมากกว่าการหวังผลตอบแทนจากความก้าวหน้าและความสำเร็
จในอาชีพระยะยาว




ลองถามตัวเองดูซิครับว่า คุณอยากเป็น “มนุษย์เงินเดือน” ที่มีลักษณะเช่นนี้หรือไม่?

- ถึงวันจันทร์ทีไร ไม่อยากไปทำงาน (เบื่อคน....เบื่องาน)

- ทำงานหนักแต่...ผลตอบแทนน้อย แถมยังไม่ก้าวหน้า

- คิดจะเปลี่ยนงานใหม่แต่ใจไม่ถึง

- ทำงานมาหลายที่ มีปัญหาทุกที่

- ความเครียดมาเยือนอยู่เสมอ

- ลูกน้องมีปัญหา หัวหน้าก็ไม่ได้เรื่อง (มีแต่เอาเรื่องไม่เป็นเรื่องมาให้)

- ทำงานมาตั้งนาน ไม่มีเงินเก็บเลย...มีแต่เงินเก็บของคนอื่น (หนี้)

- ชีวิตขาดสมดุล (งาน เงิน สุขภาพ (กายและจิต) ครอบครัว สังคม)

- เป็นคนขี้เบื่อ ชอบเปลี่ยนงานบ่อยๆ

- ถ้าได้ผลตอบแทนมากขึ้น จะขยันทำงานมากกว่านี้

- อยากจะออกไปทำธุรกิจส่วนตัว แต่ไม่รู้จะทำอะไร

- คิดจะเรียนต่อให้สูงกว่านี้ คิดจะ...จะ....เรียนมาหลายปีแล้ว แต่ไม่ได้เริ่มเสียที (ตอนนี้ก็ยังจะ...อยู่)

- ฟังเพื่อนๆ ที่อยู่องค์กรอื่น เขามีอะไรดีกว่าองค์กรที่เราอยู่ตั้งเยอะ

- ทำไมคนทำงานจึงชอบใช้อารมณ์เข้าหากัน

- และอีกสารพัดที่ไม่สามารถบรรยายได้หมด (จริงครับ....พี่ซาอิเห็นด้วย)

ถ้าตอบว่าใช่....(มากกว่า 5 ข้อ....แต่พี่ซาอิว่า ข้อเดียวก็พอแล้ว) กรุณาติดตามหนังสือ (ต่อไปนี้จะเรียกว่า บทความ....) นี้ไปเถอะครับ เพราะบทความเรื่องนี้จะช่วยสะกิด เตือนใจ และเสนอแนวทางใหม่ๆ ให้กับคุณได้นำไปใช้ในการบริหารชีวิต “มนุษย์เงินเดือน” ได้อย่างมีความสุขมากขึ้น


คนเรามักจะมองข้ามสิ่งที่อยู่ใกล้ตัว มองข้ามสิ่งสำคัญที่เรามีอยู่ เป็นอยู่ ได้อยู่ เสมอ เช่น บ้านคนอื่นเขาน่าอยู่กว่าบ้านเรา แฟนคนอื่นเขาดูดีกว่าภรรยา หรือสามีเรา




(อันนี้พี่ซาอิขอค้าน แฟนพี่ซาอิต้องดูดีกว่าคนอื่นเสมอ......เอ้อ..เขามายืนมองพี่ซาอิพิมพ์อยู่นะขอรับ....ตอนนี้เขาไปแล้ว...ต่อ...ต่อ)

รถของคนอื่นสวยกว่ารถเรา ประเทศอื่นน่าเที่ยวกว่าประเทศเรา ฯลฯ




ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว สิ่งที่เราคิดว่าดีกว่านั้น อาจจะแย่กว่าเราคิดก็ได้




(ที่เรามักจะคิดว่าสิ่งที่เป็นของเรา อยู่ใกล้ตัวเราแย่กว่านั้น เพราะเราอยู่กับมันมานานจนคุ้นเคย ทำให้มองข้ามคุณค่าหรือความดีของสิ่งนั้นๆไป (เช่นเราอยู่กับกลิ่นรักแร้ จนดมที่ไร หอมทุกที.....หารู้ไม่ว่า คนอื่นเขาแนะนำให้เราใช้โรลออนทำไม......พี่ซาอิ)

ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงนั้น สิ่งนั้นก็ยังคงมีคุณค่าอยู่ในตัวของมันเอง อยู่เหมือนเดิม ไม่เคยเปลี่ยน แต่.....ใจหรือความรู้สึกของเราเท่านั้นที่เปลี่ยนไป




ก้าวแรกที่เราเข้ามาทำงานในองค์กรใดองค์กรหนึ่งก็เหมือนกัน ลองนึกวันแรกสิครับ น่าเบื่อไหม....ก็ไม่ กลับตรงกันข้าม มันเป็นความตื่นเต้น เป็นความภาคภูมิที่ได้ทำงานกับบริษัทที่มีชื่อเสียงเช่นนี้ ดีใจที่ได้งานเป็นครั้งแรกหลังจากจบการศึกษา อยากเรียนรู้ อยากทำงานเร็ว.......

(ใครมีอาการดังนี้บ้าง....พี่คนหนึ่งละ ที่เขาเรียกว่า “ขี้ใหม่ หมาหอม”)

แต่......พอทำงานไปสักพัก ระยะหนึ่ง เริ่มแก่พรรษา

ทำไมเราจึงรู้สึกเบื่องาน เบื่อคน เบื่อสภาพแวดล้อม ถามว่าคน งาน หรือสภาพแวดล้อมเปลี่ยนไปหรือไม่ ส่วนใหญ่ก็ตอบว่า “ไม่” (เปลี่ยนบ้างนิดหน่อย)

แต่.....ทำไมความรู้สึกเราเปลี่ยนไป ก็เพราะเราเริ่มเคยชินและคุ้นเคยกับมันมากขึ้น เริ่มมองข้ามคุณค่า ความดี ที่มีอยู่ในองค์กรที่เราทำงานอยู่มากขึ้น และเริ่มเปรียบเทียบกับสิ่งที่ (เรา) คิดว่าดีกว่า




การทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือนหรือลูกจ้าง ในความเป็นจริงแล้ว มีอะไรดีๆ เยอะมาก แต่เราอาจจะมองข้ามไป เช่น





ได้รับรายได้แน่นอนเท่ากันทุกเดือน

ไม่มีธุรกิจใดที่สามารถรับประกันได้ว่า แต้ละวัน แต่ละเดือน จะได้รายได้เท่านั้น เท่านี้ ยกเว้นการทำงานเป็นลูกจ้าง




ลูกจ้างทุกคนสามารถรับรู้รายได้ขั้นต่ำของตนเองได้ล่วงหน้าว่าแต่ละเดือนจะได้เท่าไห
ร่ พนักงานในบางระดับอาจจะได้มากกว่า เนื่องจากมีค่าโน่น ค่านี่ ค่าโอที (ค่าคอมมิชชั่นจากการขาย.....ถ้ามีอาชีพเป็นเซลส์แมน....พี่ซาอิ) ค่าเงินช่วยเหลืออะไรอีกจิปาถะ

ในขณะที่คนที่มีธุรกิจส่วนตัว ไม่สามารถจะบอกได้ว่าในเดือนนี้จะขายของได้เท่าไหร่ และที่สำคัญกว่านั้นก็คือ “การเป็นลูกจ้าง” ไม่ต้องไปสนใจว่าวันนี้ฝนจะตก หรือแดดจะออก เราได้เงินเดือนแน่นอน ไม่เหมือนเราเปิดร้านขายของที่สภาพลมฟ้าอากาศมีส่วน เช่น ถ้าเราขายน้ำแข็ง วันที่ฝนตกถือเป็นวันที่เราไม่พึงประสงค์ แต่วันที่ฝนตก ถือเป็นวันดีสำหรับคนขายร่ม




ดังนั้น เราจะเห็นว่า การเป็นลูกจ้าง เป็นอาชีพที่ไม่มีคำว่า “ขาดทุน” เพราะเราไม่ต้องลงทุนอะไร ลงเพียงแต่แรงกายและแรงสมองเท่านั้น





ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ โดยไม่ต้องลงทุนเอง

ผู้เขียน (คุณณรงค์วิทย์ แสนทอง) มีเพื่อนเป็นฝรั่งคนหนึ่งเป็นวิทยากร เคยบ่นให้ฟังว่าคนไทยแปลกมากคือ เวลาเข้าสัมมนามักจะบ่นว่าเบื่อ เซ็ง เหมือนถูกบริษัทบังคับให้เข้ามาสัมมนา




(พี่ซาอิก็เซ็ง ตรงที่ต้องไปบรรยายให้ผู้เข้าสัมมนาที่ถูกบริษัทบังคับให้มาเข้าสัมมนา.....เซ็ง.....เซ็ง.....ที่สุดเหมือนกัน)


เพื่อนของผู้เขียนคนนี้เขาบอกว่า ทั้งๆ ที่ในความจริงแล้ว บริษัทลงทุนส่งมาเข้าสัมมนาแบบไม่ต้องควักสตางค์เองเลยสักบาทเดียว




แต่คนไทยมักไม่ค่อยเห็นความสำคัญ ทั้งๆ ที่ความรู้ทั้งหมด ก็จะอยู่ที่ตัวผู้เข้าสัมมนา ไม่ได้อยู่ที่บริษัท

(เห็นด้วย......เห็นด้วยอย่างที่สูดดดดด..........พี่ซาอิ)

คนบางคนได้มีโอกาสเข้ารับฝึกอบรมที่ต้องลงทุนสูง ซึ่งถ้าเป็นบุคคลธรรมดาหรือคนที่ทำกิจการส่วนตัวคงไม่มีโอกาส เช่น การส่งไปเรียนต่อต่างประเทศ การฝึกงานต่างประเทศในบริษัทแม่




ถ้าคุณไม่ใช่ลูกจ้าง ผู้เขียนรับรองได้ว่าต่อให้คุณมีเงินมากมายแค่ไหน เขาก็ไม่อนุญาตให้คุณไปฝึกงานในบริษัทในต่างประเทศอย่างแน่นอน




การฝึกอบรมที่บริษัทได้ลงทุนไป ปีหนึ่งๆ เป็นหมื่นเป็นแสนนั้น บริษัทไม่เคยทวงถามเลยว่า พนักงานจะต้องทำอะไรเพื่อเป็นการชดเชยเวลาและเงินทองที่ต้องลงทุนไปในการฝึกอบรม

(พี่ซาอิได้ไปบรรยายเรื่องการขายให้บริษัทซอฟแวร์แห่งหนึ่งในเร็ววันนี้ เป็นเวลา 5 วัน บริษัทต้องลงทุนไปมากมาย พอจบ 5 วันปั๊บ ก็มีพนักงานขาย 2 คนลาออกปุ๊บ




พี่ซาอิ อยากจะถามว่า ทำอย่างนี้มันยุติธรรมกับบริษัทฯเขาหรือไม่...........ไม่รู้นี่ว่าจะลาออกทันที.......มิฉะนั้น พ่อจะด่าเสียให้เข็ด)

ถ้าคิดให้ดีแล้ว จะเห็นได้ว่า การเป็นลูกจ้าง มีแต่ได้กับได้ ได้เรียนรู้ฟรีๆ จุดนี้น่าจะเป็นจุดที่เราในฐานะมนุษย์เงินเดือนมืออาชีพ น่าจะกอบโกยกระเป๋าให้มากที่สุดเท่าที่มากได้ เพราะโอกาสดีๆ ในการเรียนรู้ ในขณะที่อยู่ในองค์กร จะไม่วันหวนกลับมาหาเราอีกเมื่อเวลาผ่านพ้นไป




(พี่ซาอิขอแถมอีกสักนิดหนึ่ง........เวลาพวกเราไปเข้าสัมมนา ขอความกรุณาให้เทน้ำในแก้วที่พกติดตัวไปตลอดเวลานั้นออกให้หมด........ไม่ใช่เททิ้งนะครับ แต่ขอให้เทใส่สมองที่ยังว่างอีกเยอะแยก แยกเซฟเก็บไว้.....แล้วเข้ารับสัมมนาโดยการให้ “สมองอีกส่วนที่ว่างให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้” รับข้อมูลที่ได้จากการสัมมนา ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

เท่าที่สังเกตดู ผู้เข้าสัมมนา มักจะพกเอาแก้วที่บางที ก็มีน้ำอยู่เกือบเต็มปริ่ม เอาเข้าไปด้วย เวลาอาจารย์เขาใส่อะไรให้แก้วน้ำมันก็ไม่รับ แถมยังกระฉอกใส่อาจารย์เขาเสียอีก......



รับ...รับ...ไว้เถอะครับ มันไม่มีใครถูก ใครผิดหรอกในโลกนี้ เหรียญย่อมมีสองหน้าเสมอ ในกลางคืน ก็ต้องมีพระจันทร์ ในเวลากลางวัน ก็ต้องมีพระอาทิตย์ ในดีมีเสีย ในเสียมีดี ฮ่ออู่ม่อ ม่ออู่ฮ่อ มีแม่ชีก็ต้องมีพระ มีผีก็ต้องอยู่คู่กับโลง มีความดีก็ต้องอยู่คู่กับความไม่ดี




ดังนั้น เมื่อเราเอาสมองที่ว่าง ที่เตรียมไว้รับ “ความรู้” ของอาจารย์นั้นๆ มาแล้ว ก็เอามากรองดู ส่วนไหนที่ดีเก็บเอาไว้ใช้งาน ส่วนไหนที่ยังใช้ไม่ได้ ก็เซฟ เข้าเมมฯ ไว้ก่อน อาจจะมีโอกาสได้นำมาใช้ในวันข้างหน้า ส่วนไหนที่ล้าหลัง ไม่ทันสมัย เรามีของดีกว่า ก็ทิ้งไป ในเวลาอันเหมาะสม มิฉะนั้น มันจะรกเครื่อง.....................




นี่ไร....บางคน เอาแก้วเปล่าไปก็จริง แต่พอไปเห็นหน้าอาจารย์ ลูกศิษย์ก็คว่ำแก้วเสียแล้ว หาว่าบรรยายไม่ตรงที่อยากรู้บ้าง บรรยายไม่เป็นสับปะรดกระป๋องบ้าง ไม่เคยขายแล้วยังเอือกมาบรรยายให้คนเขาเสียเงินมาฟังอีก.........




อยากจะถามนักเชียวว่า นั่นมันเงินใคร.....เงินบริษัทเขาไม่ใช่หรือ ตัวเองได้ฟังฟรี กินอาหารบุฟเฟ่ที่โรงแรมหรูหราฟรี มีน้ำชากาแฟขนมนมเนยฟรี มีเบรคทุกชั่วโมงครึ่ง กลัวคนเข้าเรียนเขาจะหิวตาย




ส่วนคนพูด พูดอยู่ทั้งวัน มันก็น้ำลายติดคอ กาแฟขนมนมเนยไม่ต้องกินกันละ......มันกินไม่ลง

ทีให้ถามในชั่วโมงก็ไม่มีใครถาม พอพัก เข้าห้องน้ำ ก็เข้าคิวจะมาถามกันเชียวละ อาจารย์เขาจะพักให้ดื่มน้ำให้หายคอแห้ง จะฉี่ให้มันสะดวกหน่อยก็ไม่ได้......ต้องไปยืนออกันหน้าโถส้วมนั่นแหละ................................


มีสังคมกว้างขวาง ทันโลก ทันเหตุการณ์

ใครที่มีเพื่อนเปิดกิจการส่วนตัวหรือทำสวนทำไร่อยู่ที่บ้าน เราจะเป็นว่าคนเหล่านี้ จะอยู่ในสังคมที่แคบกว่าคนที่ทำงานเป็นลูกจ้างอย่างเรา




(บางทีก็ไม่แน่.....คนที่ทำสวนทำไร่ อาจจะมีโอกาสนั่งร้องเพลงโอเกะ ดู UBC ได้มากกว่าคนที่เป็นลูกจ้างก็ได้......แต่ เดี๋ยว....ฟังคุณณรงค์วิทย์แกว่าไปก่อน)

ผิดกับเราที่เป็นลูกจ้าง เรารู้จักคนจำนวนมากมายในองค์กร(ไอ้เพราะรู้จักมากนี่แหละ...มันทำให้ปวดหัวอยู่ทุกวันนี้..พี่ซาอิ) เผลอๆ มีเพื่อนร่วมอาชีพจากองค์กรอื่นอีก นอกจากนี้เรายังได้รู้จักคนทุกระดับ ตั้งแต่ระดับคนงานจนถึงประธานบริษัท




ยิ่งใครเปลี่ยนงานบ่อยๆ หรือทำงานมาหลายองค์กร รับรองว่าเพื่อนร่วมงานจะเยอะมาก และสังคมของลูกจ้างเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ตลอดเวลา คนทำงานเป็นลูกจ้างมักจะไม่ค่อยตกข่าว (จริงซิ.....เพราะบางบริษัทมีเวลาเม้าท์กันมาก) เพราะในองค์กรมักมีระบบสื่อสารเรื่องต่างๆ ให้พนักงานรับทราบอยู่เสมอ (บางทีก็นำระบบนั้นๆ ไปใช้ส่วนตัว โทรหาเพื่อน โทรหากิ๊ก อีเมล์หาแจ๋ว ทางทีก็ MSN ไปชิงโชค.....ก็ใช้ของบริษัททั้งน้านนนน) รวมถึงข่าวบางเรื่องที่เราได้จากเครือข่ายของลูกจ้างด้วยกัน และเราสามารถรับรู้ข่าวสารต่างๆ ได้ค่อนข้างรวดเร็ว เพราะมีแหล่งข่าวมาก (ทั้งข่าวลือ ข่าวเล่า ข่าวหลอก....และข่าวลวง)

มีสวัสดิการดีกว่าคนทำงานส่วนตัว

คนทำงานเป็นลูกจ้างไม่ต้องดิ้นรนหาหลักประกันใดๆ ในชีวิต (ก็เลยค่อนข้างจะขี้เกียจไง....) ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการรักษาพยาบาล การประกันชีวิต หรือบางองค์กรยังมีสวัสดิการอื่นๆ อีกมากมาย เช่นบ้านพัก รถรับส่ง หรือค่าพาหนะ ถ้าตำแหน่งสูงหน่อยก็มีรถประจำตำแหน่ง เผลอๆ มีคนขับรถให้อีกต่างหาก




มีกิจกรรมสันทนาการ การท่องเที่ยว (หรือที่เรียกว่า “ทัศนศึกษา”......พี่ซาอิ) มีชุดพนักงาน เงินช่วยเหลือครอบครัว เงินช่วยเหลือการสมรส ลาบวช ลาคลอดต่างๆ ก็ได้รับเงิน รวมถึงตอนสิ้นปียังมีโบนัสให้อีกด้วย (ขนาดบริษัทฯขาดทุนจนเหลือแต่กุงกิงใน.....พนักงานก็จะเอาโบนัสให้ได้ ไม่ได้ 7 เดือนเหมือนที่เคย ได้ 3 เดือนก็ยังดี)

ซึ่งอาชีพอื่นๆ ที่ไม่ใช่ลูกจ้างคงจะหาได้ยากหรือแทบจะไม่มีเลย

(พอพูดถึงตรงนี้แล้ว พี่ซาอินึกถึงตอนที่ดำรงตำแหน่งเป็น MD …..Mad Dog….ของบริษัทหนึ่ง แหม....แต่งตัวโก้ ผูกไทร์ ใส่เสื้อนอกไปทำงานทุกวัน มีคนขับรถประจำตำแหน่ง ต้องไปกินลั้นซ์ที่โรงแรมเป็นประจำ ต้องเอารถไปจอดเทียบท่า มีคนเปิดประตูรถให้ เรานั่งอยู่หลังรถ (ที่เบาะหลัง...ไม่ใช่หลังรถ) ทำท่าคอตั้งๆ กินข้าวเสร็จ....โทรศัพท์ให้คนรถเอาราช...เอ้ย...รถ (เดี๋ยวโดนด่าอีก....ชอบพูดภาษายี่เกอยู่เรื่อย) มารับถึงหน้าบันได..

เดี๋ยวนี้มันเป็นอดีตไปเสียแล้ว เรียกมันให้กลับคืนมาหาไม่ได้แล้ว เวลามาทำธุรกิจเอง......มีสร้อยอยู่เส้นหนึ่งซึ่งคุณย่าให้.....พอสิ้นเดือน ต้องเอาเข้าโรงจำนำเป็นประจำ เพื่อเปลี่ยนทรัพย์สินให้เป็นทุน เอามาจ่ายเงินเดือนให้ลูกน้องก่อน แล้วค่อยตามทวงลูกหนี้ทีหลัง บางรายก็ได้ บางรายมี แต่ไม่ให้ บางรายไม่มีจะให้ (แต่เวลาจะซื้อ...จะเอาให้ได้.....ไม่รู้ว่า จ่ายไม่ได้แล้วซื้อไปทำไม.....อ้อ...รู้แล้ว ซื้อเป็นทรัพย์สินแล้วไปเปลี่ยนเป็นทุนอีกเหมือนกัน)
ล่อกันนัวเนีย ทั้งคนซื้อคนขาย ทั้งเถ้าแก่และลูกน้อง.....จนขาดทุนไปเกือบ 4 ล้าน นี่ว่าจะเล่าเรื่องให้สมาคมคนเคยล้มฟังก็ยังไม่ได้เล่า......เอาไว้ก่อน.....ตอนนี้กำลังเพลินกับการเขียนเรื่องตอนเป็น “มนุษย์เงินเดือนมืออาชีพ” ให้ฟังเป็นตอนๆ ผสมผะเสเอาชีวิตจริงอิงนิยายของพี่ซาอิใส่เข้าไปด้วย......คงไม่ว่ากันนะคุณณรงค์วิทนะ





ไม่มีวันล้มละลาย

รับรองได้ว่า ไม่มีลูกจ้างคนไหนโดนฟ้องล้มละลายเพราะทำงานล้มเหลว ไม่เหมือนคนบางคนที่ลงทุนทำธุรกิจแล้วขาดทุนจนต้องโดนฟ้องล้มละลาย




แย่ที่สุดของลูกจ้างคือไม่มีงานทำ (ไม่มีแย่ไปกว่านี้แล้ว) เพราะฉะนั้น การเป็นลูกจ้างสิ่งที่เลวร้ายที่สุดก็คือ “ตกงาน” ซึ่งน่ากลัวน้อยกว่าอาชีพอื่นๆ

ทำงานเพียงหน้าที่ที่รับผิดชอบ

ถึงแม้รายได้ของเราจะไม่มากเหมือนคนทำธุรกิจส่วนตัว แต่ก็คุ้มค่ากับความรับผิดชอบที่มี เพราะเรารับผิดชอบเพียงงานที่อยู่ในหน้าที่ของเราเท่านั้น ส่วนผลรวมขององค์กร เราไม่จำเป็นต้องไปรับผิดชอบ




อีกอย่างหนึ่ง งานในหน้าที่มันมักจะจบลงเมื่อเราเดินพ้นออกมาจากสถานที่ทำงานหรือหลังเวลาเลิกงาน ยิ่งใครที่ทำงานเป็นกะ รับรองได้ว่าส่งกะส่งเวรเสร็จแล้ว ชีวิตเราก็จะเป็นอิสสระ ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลย

(คุณณรงค์วิทย์ฮะ.......พี่ซาอิขอคัดค้านหัวชนฝา อาชีพลูกจ้างอาชีพหนึ่งที่ทำงานให้บริษัทอย่างไม่เป็นเวล่ำเวลา
คือ “อาชีพพนักงานขาย” ครับ

าชีพพนักงานขาย เป็นอาชีพที่ดึงเวลาส่วนตัวไปจนหมดสิ้น พี่ซาอิเคยเป็นมาแล้วครับ ลูกค้าจะให้เราไปหาตอนตีห้า เพราะพี่แกไปออกกำลังกายที่ฟิตเนทตอนนั้น พี่ซาอิก็ต้องไปพบแกตีห้าครับ มีลูกค้าบางราย ชอบกินเหล้า เลิกงานเป็นต้อนชวนไปกินเหล้าเป็นประจำ ไม่ไปก็ไม่ได้ เดี๋ยวเขาไม่ซื้อของ ทำเอาเมาตกท่อตกบันไดหัวร้างข้างแตก




พี่ซาอิเคยไปพรีเซนให้ธนาคาร ซึ่งเขานัดให้ไปพรีเซ้นตอน 6 โมงเช้า เพราะพอ 8 โมง เขาจะต้องไปรับลูกค้าของเขา พี่ซาอิต้องตกระกำลำบาก เวลาจะนอนก็ไม่ได้กิน เวลาจะกินก็ไม่ได้นอน แฟนนี่เขาก็แต่งงานเพราะความจำใจ คิดว่า ถ้าไม่ปรับปรุงตัวเอง คงต้องหย่ากันแน่ เราเลยต้องทำอุบายรีบมีลูกเสียตั้งแต่เก้าเดือนคลอด (เดี๋ยวนี้เขา 5 เดือนก็คลอดแล้ว ....ถามน้องแหม่มดูซิ)

พอมีลูกก็ยิ่งมีพันธะ เขาเลยเลิกไม่ได้ พี่เลยต้องเอาลูกไปฝากให้เขาเลี้ยง เวลานัดหมายกับแฟน ให้แฟนยืนรออยู่ที่ป้ายรถเมลล์ จะไปรับ จะไปรับ เธอก็ยืนรออยู่จนคนอื่นเขากลับบ้านไปหมดแล้ว เธอเลยตัดสินใจกลับเอง เราไปถึงบ้าน เจอหน้าบูดเป็นกับข้าว ก็ต้องทะเลาะกันอีก เพราะลูกค้าศักสิทธิ์กว่า สั่งให้ต้องไปหาเดี๋ยวนั้น ก็ต้องไปเดี๋ยวนั้น พอได้โอกาสพี่ซาอิเปลี่ยนรถคันใหม่ เธอก็จ้องอยู่แล้ว มายึดกุญแจ ขับปรื๊อออกไปเลย......ไอ้เราก็ตกใจเกือบตาย ว่าเธอไปหัดขับรถมาจากไหน เปล่าหรอก ไอ้ความเคียดแค้นที่ต้องรอพ่อตัวดีมารับบ้าง ไม่รับบ้าง สายบ้าง บางทีก็ให้นั่งรออยู่ในรถจนยุงกัดขาลาย เพราะขอแวะพบลูกค้าก่อน พอได้กุญแจรถ แม่ขับปรอไปเลยครับ ไม่ต้องไปรงไปเรียนมันหรอกครับ




พี่เอา “อาชีพนักขายมืออาชีพ” มาฟ้องคุณณรงค์วิทย์บ้างว่าภาระมันไม่หมดสิ้นเมื่อสิ้นวันหรอกครับ มันจะหมดสิ้นเมื่อสิ้นใจเท่านั้น




ที่พี่มาโอดครวญเสียยาวเช่นนี้ ก็เพื่อทางซีเอ็ดฯ จะได้เห็นใจพี่ มาขอต้นฉบับไปพิมพ์ให้ขายดิบขายดีเหมือน “มนุษย์เงินเดือนมืออาชีพ” นี้บ้าง มีเขียนไว้เป็นสต๊อคบานตะเกียงเลยครับ กรุณาหันมาพิมพ์หนังสือที่ประเทืองปัญญากันบ้างอย่าแต่ตามกระแส พิมพ์แต่หนังสือดาราอย่างเดียว เล่มหนึ่งมีคำพูดสักสามสี่ห้าหน้า นอกนั้น เป็นรูปการ์ตูน รูปสมัยเป็นเด็กๆ ของพี่ก็มีเยอะแยะครับ เอาไหมครับ จะขนไปให้


เบื่อเมื่อไหร่ เปลี่ยนได้ทันที

การเป็นลูกจ้าง ไม่มีใครมาบังคับให้เราทำงานกับองค์กรใดองค์กรหนึ่งไปตลอดชีวิต เป็นอาชีพอิสระในการเลือกมาก เพราะเราสามารถเปลี่ยนงาน เปลี่ยนองค์กรได้ตลอดเวลา รวมถึงมีองค์กรรองรับอาชีพมากมาย (แต่เราต้องมีความสามารถที่เพียงพอด้วย)




บางคนต้องการเปลี่ยนงานเพราะบ้านอยู่ไกล บางคนต้องการเปลี่ยนงานเพราะต้องการให้ที่ทำงานอยู่เส้นทางเดียวกับแฟนบางคนเปลี่ยนง
านเพราะสวัสดิการครอบครัว ฯลฯ

ดังนั้น อาชีพนี้ดีตรงที่สามารถเปลี่ยนงานให้เหมาะกับความต้องการในชีวิตของเราได้ตลอดเวลา





มีวันหยุดเยอะ

สิ่งหนึ่งที่คนทำงานเป็นลูกจ้างไม่ต้องเสาะแสวงหา นั่นคือ “วันหยุด” เพราะองค์กรต่างๆ จะประกาศวันหยุดให้เราล่วงหน้าอย่างชัดเจนว่า วันไหนบ้างในแต่ละรอบปี ที่เราจะได้หยุดงาน วันหยุดของลูกจ้างมีหลายประเภท เช่นวันที่นายจ้างบังคับให้หยุด (เนื่องจากไม่มีออเดอร์ หยุดซ่อมโรงงาน น้ำท่วม ฯลฯ) วันหยุดประเพณี วันลาพักร้อน วันลากิจ วันลาป่วย วันลาคลอด ลาสมรส ลาไปงานฌาปนกิจ วันลาบวช วันลารับราชการทหาร




บางองค์กรก็มีวันลาอื่นๆ อีกมากมาย รวมๆ กันแล้วปีหนึ่งๆ เรามีวันหยุดวันลาเยอะมาก ที่สำคัญก็คือ วันลาวันหยุดที่เราไม่ได้ทำงาน ก็ยังได้รับเงินเดือนตามปกติอีกด้วย



**************************************************************************
จงภูมิใจกับสิ่งที่ท่านเป็นอยู่ มีอยู่ ได้อยู่
มากกว่า ถามหาสิ่งที่ยังไม่เป็น ยังไม่มี หรือยังไม่ได้




 

Create Date : 27 มิถุนายน 2551    
Last Update : 27 มิถุนายน 2551 14:13:09 น.
Counter : 799 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  

=Neo=
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 15 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add =Neo='s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.