Group Blog
 
All blogs
 

อบรมคุณแม่ + อาการปัจจุบัน 7 weeks + ฝากครรภ์ครั้งที่ 2

วันนี้ลุกขึ้นมาตอบเมลล์ก่อนที่จะห่างหายไปและนะ อัพเดทสะหน่อยก่อนขอพัก

อบรมคุณแม่@พญาไท 3

ก็ดีอ่ะ ทาง รพ.รับรองดี ขึ้นไปลงทะเบียน มีคุณหมอผู้ชำนาญสอนเรื่องการเตรียมตัวมีสไลด์ มีอุปกรณ์ของจริงมาให้ชม อบรมยาวตั้งแต่ 13.00-16.00 น. บรรยากาศเต็มไปด้วยพ่อแม่มือใหม่และผู้ที่ผ่านการมีบุตรมาแล้วมานั่งฟังได้ความรู้มากมาย มีเปิดโอกาสให้ซักถามอย่างละเอียด มีทำกายบริหารแบบโยคะให้ดูด้วย ชอบ รพ.นี้จริงๆ



อาการปัจจุบัน 7 อาทิตย์

เป็นเยอะมาก เหนื่อยง่าย ใจสั่น หน้าเหนอแหกเต็มขั้น ผิวคล้ำลงใช้อะไรไม่ได้ ใช้กันแดดยังรำคาญตัว อดทนหลายอย่างกับสิ่งที่เป็นอยู่ ขี้ไม่ออก บอกไม่ถูก อึดอัดปอด เหม็นผักทุกชนิดเข้าขั้นรังเกียจไม่อยากกิน ทนได้จะทน ทนไม่ได้เขี่ยทิ้ง หงุดหงิดง่าย น้อยใจง่าย สำหรับ CM ทาจนรู้สึกแล้วว่าเหม็น

เริ่มมีการหายใจทางปากช่วยในแต่ละวัน เพราะคิดเองว่าอย่างน้อยมันทอนความเหม็นที่จมูกได้กลิ่น กินน้ำหวานเพื่อช่วยให้อาการอยากน้ำ อยากอาหารดีขึ้น ฝนเป็นคนไม่กลิ่นของเปรี้ยว ก่อนหน้านี้ไม่แพ้ท้องก็ไม่กิน แพ้ท้องก็ไม่กิน ไม่ชอบอ่ะ แต่เริ่มกินเผ็ดไม่ได้แล้วแสบท้อง ปกติกินส้มตำ 20 เม็ด ตอนนี้ถ้าต้องมากิน 4-5 เม็ด ไม่อยากจริงๆ ไม่กินอ่ะ ไม่พอใจ ไม่อร่อย (เรื่องมากว่ะ)

นอนเยอะขึ้นเพราะขี้เกียจไปหมด ชอบอยู่เงียบๆ รำคาญเสียงรอบข้าง เปิดแอร์เบาๆ ขี้หนาว นอนหมอนสูงอย่างเดียว โอ๊ย..... เค้าไม่ไหวแล้วอ่ะ เจออาการร้อนๆ จะวูบ คือ ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะอ่อนแอ



เกิดมาในชีวิตไม่เคยเข้าโรงพยาบาล ไม่เคยเจ็บป่วย ไม่เคยให้น้ำเกลือ ไม่เคยเจาะเลือด ไม่เคยมีชีวิตสำออยใดๆ

มาวันนี้ถึงกับนอนโอดโอยว่านี่หรือการเป็นแม่คน มันลำบาก มันต้องใช้ความอดทน เข็ดและ คนเดียวก่อน
คนต่อไปขอเบรค ไม่ก็ขอคิดยาวๆ ทรมานวะคะ

เวลาเดินผ่าน คสอ.ต่างๆ ที่เคยใช้ เข้าจีบันมีแอบคิดถึงสไตล์เดิมๆ ชีวิตอยู่บ้าง อยากกลับไปสวย แต่เราก็ต้องเข้าใจวิถีชีวิตตอนนี้ เวลาเห็นคนท้องที่หน้าตาดีไม่มีสิว ก็จะสะกิดให้เกียงดูว่า "เค้าหน้าใสเน๊อะ ทำไม ทำไม..."
แล้วก็เงียบ.. ตอนนี้แม้แต่ล้างหน้าใช้ฝ่ามือตัวเองลูบหน้ายังรังเกียจ

คุณๆ อาจคิดว่าฝนกระแดะ แต่นี่คือสิ่งที่ออกมาจากก้นบึ้งหัวใจว่า
"ยังรับสภาพไม่ได้ แต่จะพยายามให้จิตใจยอมรับได้สักวัน"

หลังๆ ไม่เครียดแล้วเรื่องสิว แต่ไม่พอใจให้คนมอง จึงหลบตัวอยู่คนเดียวเงียบๆ



หมายเหตุ : ลูกค้า Mario ทุกท่านในภาพฝนงด Mario และยาสิวอยู่เนื่องจาก 3 เดือนแรก เด็กกำลังสร้างอวัยวะ หมอสั่งมาว่าให้ "อดทน" ใช้ขันติบำบัด โปรดทำความเข้าใจด้วย นี่คือใบหน้าของคนที่เป็นสิวเพราะการตั้งครรภ์ ซึ่งฝนบังเอิญซวยที่หน้าไม่ใสเหมือนแม่ๆ คนอื่นๆ ทั่วไป เพราะฮอร์โมนส่วนตัวไม่ดีอยู่แล้ว



ฝากครรภ์ครั้งที่ 2 @ พญาไท 3

เนื่องจากไปไม่ตรงกับคุณหมอทวีศักดิ์เลย เอาหมอไรมาก่อนก็ได้ อีกสองอาทิตย์ที่หมอนัดไม่ว่างมีธุระทางบ้าน
ก็เลยเจาะเลือดมันสะเลย คุณหมอคนนั้นก็ถามว่าจะรอคุณหมอทวีศักดิ์ไหม (ใจเราคิด จะรอทำไมหล่ะ ก็ต้องเจ็บเหมือนกัน เอาก็เอาวะ ไม่เคยมาก่อนในชีวิต) หมอจะให้คุณหมอทวีศักดิ์โทรแจ้งผลเลือดอีกที พ่อเสือมันไม่ต้องเจาะนั่งปลอบใจอย่างเดียว ตอนเจาะมีน้ำตาเอ่อ แต่ไม่ไหลอายเค้า ดูดไปกี่หลอดไม่รู้ ถ้าหันไปมองเป็นลมแน่ๆ แต่คาดว่าน่าจะ 3 นะได้ยินคนข้างๆ ที่นั่งเจาะด้วยกันบอกเอาไปไมเยอะแยะ เอาเหอะๆ... ผ่านไปเร็วๆ หน่อยแม่เสือไม่ไหวแล้วววว ได้ยามาเต็มบ้านเต็มเมือง ได้ตัวใหม่คือ วิตามิน B6 นอกนั้นก็โฟลิต และยาแก้แพ้ วิตามินรวมเดิมยังไม่หมด

ไอ้พ่อเสือแอบนอยด์ อยากซาวด์ อยากเห็นหน้า เห็นตัวลูก แต่หมอไม่ให้ เพราะว่าเอาช่วง 3 เดือนดีกว่า
กร๊ากๆ อดเลย ดีแล้วจะได้ไม่เปลือง วันนี้หมดไป 4,535 บาท พ่อเสือเริ่มรู้จักว่าการมีลูกทำให้ต้องอดออมแล้วสิ ฮิฮิ

ทิ้งท้ายรวบรวมบันทึกบ่นๆ

พ่อเสือชอบเปิดแอร์หนาวเกินไป เตียงก็แข็ง เบื่อที่สุดที่ต้องทะเลาะกันเรื่องเปิดแอร์ อยากให้เข้าใจกันบ้าง...ว่ามันหนาวถึงขั้นสั่นจริงๆ เว้ย แล้วน้ำอุ่นในห้องน้ำมันตั้งไว้ 39 (สบายตอนอาบ)
พอกลับมาเจอแอร์เย็นๆ ก็เริ่มนอยด์ๆ กับสังขาร ขอเหอะ..ต้องจูนกันนะเรื่องนี้

พ่อเสือขยันทำมาหากินสุดๆ ช่วงนี้ ดีมาก งดเที่ยวได้ก็ดี มีไรขอให้บอกจะทำไรก็นะ อยากให้เอาใจเราเยอะๆ แม่เสือเหนื่อยแทบทุกลมหายใจ มันเหมือนหายใจไม่เต็มปอด ขับรถขับราเริ่มลำบากกับแดดที่แรงๆ
ขนาดพ่อเสือขับรถยังเวียนหัวอ้วกแตกต้องหาถุงพลาสติกพกไปด้วย

ลูกค้าในร้านขอให้ตั้งคำถามในเวปบอร์ด มีไรติดต่อผ่านคุณเกียงที่เมลล์ kieng13@hotmail.com ได้เลย
อย่ารอฝน ฝนเหนื่อย อยากพักผ่อน หายดีแล้วจะรีบกลับมา ช่วงนี้ยังไม่ชิน แต่พยายามจะทำให้รู้สึกว่ามันเป็นปกติ
ดังนั้นขอเวลาสักระยะ

ใครมีเบอร์ฝนแล้วโปรดโทรมาเลย ยินดีพูดคุยผ่านโทรศัพท์นะจ๊ะ

ขอบคุณเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ระลึกถึงกันเสมอ ขอพักผ่อนและนะ





 

Create Date : 15 มีนาคม 2553    
Last Update : 15 มีนาคม 2553 15:55:44 น.
Counter : 1698 Pageviews.  

PREGNANCY PANIC เรื่องที่สาวท้องแรกกลัวกันชิมิ.. เออกลัว..

เมื่อเช้าคุย M กับตูนนี่แล้วสะกิดโรคที่ตูนน์ถามว่าเป็น "PREGNANCY PANIC" ป่ะ

ฮืม... ไรอ่ะ เออไปศึกษาสะหน่อย หนังสือที่ซื้อมาก็อ่านไม่ครบ วางแหมะอยู่ข้างหมอน



ค้นหาใน Google ได้ความดังนี้............................

บทสำรวจความคิดเห็นของคุณแม่ตั้งครรภ์ของนิตยสาร Modern Mom ในงานรักลูกเฟสติวัล 2006 และใน //www.raklukefamilygroup.com จำนวนกว่า 1,000 คน พบว่า คุณแม่ยุคใหม่เผชิญหน้ากับความวิตกกังวลหลายเรื่อง และสามารถนำมาสรุปเป็น 7 อันดับความกังวล ที่ Special ฉบับนี้พร้อมปฏิบัติการก้าวข้ามผ่านวิกฤติความกลัว เพื่อผลลัพธ์ที่รอคอย คือลูกน้อยนั่นเองค่ะ

7. กลัวไม่สวย
“แต่งตัวไม่ได้เหมือนเก่า หน้าก็มัน ผิวก็ลาย อ้วนก็อ้วน ชั้นจะสวยเหมือนเก่าได้ไหมเนี่ย”

Don't Panic
ผู้หญิงร้อยละ 80 เมื่อท้องแล้วจะยิ่งสวยขึ้นนะคะเพราะฮอร์โมนจะทำให้ผิวพรรณผุดผาด เปล่งปลั่ง น้ำหนักตัว หน้าอกก็ดูเต่งตึงกระชับมากขึ้น ดังนั้นถ้าคุณแม่ดูแลตัวเองดีๆ คำว่าไม่สวยไม่เกิดขึ้นแน่ๆ อันดับแรกคือการดูแลเรื่องอาหาร กินให้ครบมื้อครบหมู่แต่ปริมาณไม่มากเกินไป แต่งกายสวยสดใสโดยโยนชุดคลุมท้องแบบเก่าๆ ทิ้งซะ เลือกชุดทันสมัยแต่เลือกไซส์ใหญ่ขึ้นก็เปรี้ยว ซ่าส์ได้แล้ว ส่วนการดูแลผิวพรรณก็อย่าลืมขยันหมั่นทาครีมทุกวันโดยเฉพาะบริเวณหน้าท้อง ต้นขา รับรองผิวไม่ลายแน่นอนคุณแม่ควรอย่าลืมว่า ถ้าคุณแม่ดูแลสุขภาพให้ดีทั้งภายนอก ภายใน ก็ส่งผลให้ลูกในครรภ์สุขภาพดีไปด้วยค่ะ

6. กลัวสามีนอกใจ
“ฉันท้องโตแบบนี้สามีจะแอบไปมีกิ๊กใหม่นี่”

Don't Panic
ภาวะการตั้งครรภ์ ทำให้คุณแม่มีร่างกายที่เปลี่ยนแปลงไป คุณแม่บางคนจึงอาจจะคิดว่าตนเองไม่สวย รูปร่างไม่ดีแล้วสามีจะไม่รักเหมือนเดิม ยิ่งบางคนมีเซ็กซ์ไม่ได้ตามปกติ ก็ยิ่งกลัวสามีเบื่อ แอบออกนอกลู่นอกทางไปมีกิ๊กหรือมีเมียน้อย คุณแม่บางคนมีฮอร์โมนเปลี่ยนแปลงก็ยิ่งคิดมาก น้อยอกน้อยใจสามี แค่ไม่กลับบ้านตรงเวลาก็พานคิดว่าสามีนอกใจไปเลยก็มี หลังคลอดก็ต้องรีบไปรีแพร์ให้ช่องคลอดกระชับเหมือนเดิม

แต่ในความจริงแล้ว ระหว่างตั้งครรภ์คุณแม่และสามีก็ยังมีวิธีนะคะ การสัมผัสคำพูด หรือการมีเซ็กซ์ซึ่งก็ไม่ได้เป็นข้อห้ามแต่อย่างใดเสน่ห์ของผู้หญิงไม่ว่าจะอยู่ในสถานะไหนก็มัดใจสามีได้แล้ว ฝ่ายคุณสามีก็ควรเอาอกเอาใจภรรยามากขึ้นตระหนักไว้หน่อยก็ว่าได้ เพราะฮอร์โมนเปลี่ยนคุณแม่จึงอารมณ์เปลี่ยนแปลงบ่อย การเอาใจเขามาใส่ใจเราเป็นการประนีประนอมที่ดีที่สุดค่ะ

5. กลัวแท้ง
“ฉันเคยแท้งมาแล้วครั้งหนึ่งท้องนี้กลัวแท้งอีกจังเลย”

Don't Panic
การแท้งคืออาการที่แม่มีเลือดออกทางช่องคลอดในระยะการตั้งครรภ์ สาเหตุส่วนใหญ่ 3 ใน 4 รายเกิดจากความผิดปกติในตัวเด็กที่ไม่ยอมเจริญเติบโตเลย ธรรมชาติจึงช่วยขับออกไปจากร่างกาย ส่วนสาเหตุที่เกิดจากแม่ก็คือมดลูกผิดปกติ อุบัติเหตุ การใช้ยาบางชนิด อีกกรณีหนึ่งคือตกเลือดหลังจากทั้งท้อง 6 เดือน อาจเกิดจากรกเกาะต่ำหรือรกลอกตัวก่อนกำหนด ซึ่งอาจไม่มีสาเหตุที่แน่ชัด

ถ้าคุณแม่พบว่าตนเองมีเลือดออกมาจากช่องคลอดให้รีบติดต่อคุณหมอที่ทำการฝากครรภ์ทันที และคุณหมอจะตรวจหาและให้คุณแม่พักผ่อนมากๆ งดการทำงานหนัก การมีเพศสัมพันธ์ ก็อาจจะไม่แท้ง

การป้องกันการแท้ง แม้ยังไม่มียาหรือวิธีที่ได้ผลแน่นอน แต่การปรึกษาและฝากครรภ์แต่เนิ่นๆ ก็จะช่วยลดโอกาสเกิดการแท้งได้ คุณแม่เคยแท้งมาแล้วไม่ต้องกลัวว่าจะมีการแท้งซ้ำ แต่ควรรอประมาณ 3-6 เดือนให้อวัยวะภายในแข็งแรงดีก่อนจึงค่อยตั้งท้องอีกครั้ง

ส่วนคุณแม่ที่ภาวะรกเกาะต่ำหรือรกลอกตัวก่อนกำหนดนั้น คุณแม่ต้องพักผ่อนให้มากๆ ระวังไม่ให้มีอาการกระทบกระเทือน และอาจมีการผ่าตัดคลอดก่อนครบกำหนดเพื่อป้องกันแม่ตกเลือดมาก ซึ่งปัจจุบันเด็กคลอดก่อนกำหนดถ้าได้รับการดูแลดีๆ น้ำหนักก็จะขึ้นตามปกติและแข็งแรงได้ในระยะเวลาไม่นานค่ะ

4. กลัวค่าใช้จ่ายในการคลอดและการเลี้ยงลูก
“แค่ฝากครรภ์ก็เสียเงินเยอะแล้ว อัลตราซาวนด์ก็ตั้งหลายพัน คลอดแล้วยังต้องซื้อของใช้ให้ลูกอีก”

Don't Panic
เห็นบิลค่าใช้จ่ายแต่ละที คุณแม่รู้สึกปวดใจ ถ้าไม่มีเงินเก็บดีๆ มีหวังเงินไม่พอกับการใช้จ่ายแน่ๆ ปัจจุบันค่าใช้จ่ายในการตั้งครรภ์และการคลอดของคุณแม่มีหลายอัตราให้คุณแม่เลือก ตั้งแต่การฝากครรภ์ว่าจะฝากที่โรงพยาบาลของรัฐหรือเอกชน ซึ่งถ้าคุณแม่เลือกโรงพยาบาลของรัฐค่าใช้จ่ายก็จะถูกกว่าแต่ถ้าโรงพยาบาลเอกชน แน่นอนว่าย่อมมีค่าใช้จ่ายสูง แต่ก็สะดวกสบายและมีรูปแบบการคลอดที่หลากหลายมากกว่ามาให้คุณแม่เลือก ซึ่งตรงนี้ก็ขึ้นอยู่กับคุณแม่นะคะว่าจะเลือกแบบไหน

ส่วนการทำอัลตราซาวนด์ ทำในช่วง 5-6 เดือนครั้งเดียวก็เพียงพอที่จะบอกอะไรมากแล้ว แต่ถ้ามีความจำเป็นหรือผิดปกติ คุณหมอจะตรวจดูเพิ่มให้

การซื้อของใช้ให้ลูก มีทั้งแบบผลิตใน-นอกประเทศให้เลือก อย่างเช่นเสื้อผ้าของลูก คุณแม่ไม่จำเป็นต้องซื้อเยอะหรอกค่ะ เพราะลูกโตแล้ว ต้องเปลี่ยนไซส์บ่อยแน่ๆ และของบางอย่างก็สามารถซื้อของมือสองมาใช้ได้ เช่น เปล หรือคาร์ซีต วางแผนค่าใช้จ่ายดีๆ มีเงินเหลือเก็บให้ลูกตั้งแต่เด็กยันโตได้นะคะ

3. กลัวการเลี้ยงลูก
“ไม่เคยเลี้ยงเด็กมาก่อนเลยถ้าลูกหิว ลูกร้อง จะทำยังไงดีนี่”

Don't Panic
คุณแม่ทุกคนย่อมเผชิญหน้ากับการเลี้ยงลูกวันแรกด้วยกันทั้งนั้น และก็สามารถผ่านไปได้ การอุ้มลูก อาบน้ำ หรือป้อนนมให้ลูกเป็นครั้งแรกในชีวิต คุณแม่ย่อมมีความตื่นเต้น จึงควรหาข้อมูลและฝึกปฏิบัติเกี่ยวกับการอาบน้ำป้อนนมลูกให้พร้อมและเตรียมอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องไว้ให้ดีเมื่อถึงเวลาลูกร้องหรือหิว คุณแม่จะได้ทำให้ทันที

นอกจากนี้ การมีผู้ช่วย ไม่ว่าจะเป็น คุณยายคุณย่าหรือพี่เลี้ยง ก็ทำให้คุณแม่รู้สึกเบาใจมากขึ้นว่ามีที่ปรึกษาอยู่ใกล้ตัว ส่วนคุรแม่ที่ไม่มีผู้ช่วยก็อย่าเพิ่งกังวลไปเลยปัจจุบันมีตำรับตำรามากมายสำนักพิมพ์ตลอดจนเว็บไซต์ต่างๆ ให้เลือกอ่าน

2. กลัวการคลอด
“เค้าว่ากันว่า การคลอดเป็นสิ่งที่ผู้หญิงเจ็บมากที่สุดในชีวิต”

Don't Panic
การคลอดเป็นสุดยอดแห่งความกังวลของคุณแม่ ความเจ็บปวดระหว่างคลอดนั้น ปัจจุบันมีวิทยาการมากมายที่เอื้อให้คุณแม่ผ่อนคลายความเจ็บปวด เช่น แพทย์จะฉีดยาบรรเทาปวดให้ในปริมาณที่ไม่อันตรายกับคุณแม่และลูกในครรภ์ บางโรคพยาบาลจะฉีดยาชาเข้าที่ไขสันหลัง จะช่วยให้คุณแม่ไม่ปวด อีกวิธีหนึ่งที่ช่วยได้มาก คือการฝึกการหายใจ ฝึกฝนจิตใจให้เข้มแข็งเตรียมกับการเผชิญความเจ็บปวด ฝึกสมาธิ และผ่อนคลาย นอกจากนี้คุณแม่ยุคใหม่หลายคนก็ยังไปออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายและอุ้งเชิงกรานแข็งแรงจะได้คลอดง่าย เช่น โยคะ ออกกำลังกายในน้ำ เป็นต้น หรือการที่คุณแม่มีความรู้ในเรื่องการคลอดก็จะช่วยลดความกลัว ความวิตกกังวลในสิ่งที่ไม่รู้ได้

1. กลัวลูกไม่ครบ 32
“ฉันกลัวว่าคลอดลูกมาแล้วจะไม่ครบ 32 กลัวลูกพิการ หรือเกิดมาแล้วป่วยไข้ไม่สบายถ้าลูกเป็นอย่างนั้นจริงๆ ฉันต้องแย่แน่ๆ”

Don't Panic
ความพิการที่เกิดขึ้นกับลูกในครรภ์นั้น เกิดจากหลายสาเหตุ อาทิ คุณแม่อายุมากเกินไป คุณแม่ถูกสารเคมีระหว่างการตั้งครรภ์ในปริมาณมาก เช่น สารไดออกซิน สารปรอท มีสาเหตุจากกรรมพันธุ์ เช่น กล้ามเนื้อลีบ ปัญญาอ่อน ตาบอด หูหนวก หรือจากโรคภัยไข้เจ็บ เช่น แม่ติดเชื้อหัดเยอรมันในระยะตั้งครรภ์ 3 เดือนแรก กินยาแก้สิว ยาแก้อักเสบ ยากันชัก แอลกอฮอล์ รวมทั้งสาเหตุที่เกิดจากความผิดปกติต่างๆ ในระหว่างคลอด วิธีป้องกันคือคุณแม่ต้องดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง หลีกเลี่ยงสารเคมีอันตรายให้ดี ก่อนใช้ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องก็ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ ส่วนคุณแม่ที่เคยมีกรรมพันธุ์พิการควรวางแผนครอบครัวให้ดีก่อนการตั้งครรภ์ การตรวจอัลตราซาวนด์และตรวจวินิจฉัยก่อนการคลอด แม้จะบอกความสมบูรณ์ไม่ได้ 100% แต่ก็ช่วยได้มาก


--------------------------------------------------------------------------------

ความกลัวหรือความหวาดวิตกขณะตั้งครรภ์ถือว่าเป็นเรื่องธรรมชาติของผู้หญิงตั้งครรภ์ทุกคน เพราะเป็นเรื่องใหญ่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นในชีวิตมาก่อน ซึ่งความกลัวก็แบ่งไปตามระยะเวลาที่ตั้งครรภ์ เช่น ท้องใหม่ๆ ก็กลัวแพ้ท้อง พอท้องแก่ก็กลัวการคลอด ส่วนแม่ยุคใหม่ก็วิตกเรื่องเงิน

สวัสดิการ คลอดกลับมาแล้วจะมีงานทำหรือไม่ ส่วนหนึ่งมาจากข้อมูลในสังคมเป็นข้อมูลด้านเดียวเยอะ อะไรตื่นเต้นหวาดเสียวก็ถูกนำมาเสนอ ซึ่งคุณแม่ต้องไตร่ตรองอย่างรอบคอบ พยายามเรียนรู้จากผู้มีประสบการณ์ ที่สำคัญคนรอบข้าง สามี ญาติ หมอ พยาบาล ต้องช่วยในเรื่องการคิดเชิงบวกให้มากๆ

มีนะ สพสมัย
กรรมการมูลนิธิส่งเสริมการคลอดและการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่แห่งประเทศไทย




--------------------------------------------------------------------------------

Begin the Journey (Don't Panic on the Way !)

Week 1 ตื่นเต้นกับการรูว่าตนเองต้องมีลูก วางแผนเรื่องการดูแลสุขภาพ กินวิตามิน ระวังอย่าถูกสารเคมีในช่วงนี้ เช่น แอลกอฮอล์ บุหรี่ เอกซเรย์ ยาฉีดยุง ฯลฯ

Week 2 ปัสสาวะเริ่มขึ้น ถ้ากินยาอะไรอยู่ตอนนี้ก็ควรบอกว่าเราท้อง

Week 3 อาจมีเลือดออกทางช่องคลอดเล็กน้อย เนื่องจากไข่ที่ผสมแล้วเข้าฝังตัวที่โพรงมดลูกและร่างกายกำลังสร้างสารโปรตีน EPF เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายคิดว่าลูกคือสิ่งแปลกปลอม

Week 4 แม่อาจปัสสาวะบ่อยขึ้น รู้สึกเหนื่อย อารมณ์เปลี่ยนแปลงง่ายเพราะฮอร์โมนกำลังเปลี่ยนนั่นเอง

Week 5 อาจรู้สึกเสียวแปลบบริเวณหน้าอก ปวดหัวบ่อยๆ เพราะฮอร์โมนเพิ่ม แต่บางคนก็ไม่มีอาการนี้ บางคนมีอาการแพ้ท้อง แต่แม่บางคนก็อาจไม่แพ้ท้องกัน

Week 6 คลื่นเหียนอาเจียนรุนแรง แพ้ท้อง หน้าอกเริ่มขยายลานนมสีเข้มขึ้น

Week 7 ผิวหน้าของคุณแม่เริ่มมีสิวหรือฝ้าเพราะการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน คุณแม่รู้สึกเป็นเด็กอีกครั้ง เพราะต้องมองหาคลาสเรียนเพิ่ม เช่น เรียนออกกำลังกาย การเตรียมคลอดตามโรงพยาบาลต่างๆ เป็นต้น

Week 8 คุณแม่ควรไปพบคุณหมอเป็นครั้งที่ 1 หรือ 2 ได้แล้ว โดยสิ่งที่หมอจะตรวจ ได้แก่ ปัสสาวะ ความดันเลือด น้ำหนัก ขนาดของเชิงกราน เลือด ภูมิคุ้มกัน ประวัติ สุขภาพของครอบครัวระยะการไปตรวจครรภ์ของคุณแม่จะมีความยาวไม่เท่ากัน และเมื่อไปพบแพทย์จึงเป็นเวลาที่คุณแม่จะถามทุกคำถาม

Week 9 อาจมีเลือดออกตามไรฟันได้ง่ายควรรักษาความสะอาดในช่องปากและแปรงฟันเบาๆ

Week 10 หน้าท้องของคุณแม่เริ่มห้อยลงมาแล้ว อย่าลืมวัดส่วนขยายนี้ไว้ด้วยล่ะ

Week 11 น้ำหนักเริ่มขึ้นแต่ก็ยังไม่มากนักในไตรมาสแรกประมาณ 1-2 Ibl ควรดูแลเรื่องอาหารและโภชนาการ เพราะคุณกิน 2 คน คุณแม่ต้องการสารอาหาร 300-500 แคลอรีต่อวันหลีกเลี่ยงจังก์ฟู้ดทั้งหลาย ควรกินผักผลไม้และโปรตีนให้มาก

Week 12 คุณแม่เริ่มสดชื่นกระปรี้กระเปร่ามากขึ้น การเสี่ยงต่อการแท้งก็ลดลงแล้ว

Week 13 เริ่มไตรมาสที่ 2 ของการตั้งครรภ์แล้ว คุณแม่เริ่มรู้สึกดีที่สุด ผ่อนคลายคนรอบข้างจะเริ่มเข้ามาดูแลคุณมากขึ้น

Week 14 ผิวหนังเริ่มเปลี่ยนแปลง เช่น เส้นสีดำบริเวณกลางท้องเห็นชัดขึ้น ลานนมสีเข้มและใหญ่ขึ้น

Week 15 หัวใจของคุณแม่ทำงานหนักขึ้นเพื่อใช้ในการสร้างออกซิเจนให้ลูกเตรียมซื้อเสื่อผ้าชุดใหม่ที่ตัวเก่าเริ่มคับได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องซื้อชุดคลุมท้องเชยๆ แต่สามารถใส่ชุดสวยเปลี่ยนไซส์ให้ใหญ่ขึ้นได้

Week 16 เริ่มรู้สึกถึงว่าลูกดิ้น แต่ถ้าเป็นคุณแม่ท้องแรกอาจจะรู้สึกช้ากว่านี้ก็ได้ เป็นเรื่องที่ผิดปกติถ้าคุณแม่ยังไม่รู้สึกว่าลูกดิ้นจนถึงสัปดาห์ที่ 22-24 แล้ว

Week 17 เนื่องจากการเพิ่มของความดันเลือด คุณแม่รู้สึกเหนื่อยง่าย คัดจมูก ไม่ต้องกังวล

Week 18 คุณแม่เริ่มรู้สึกว่านอนไม่ค่อยหลับ เพราะร่างกายเปลี่ยนจึงควรจัดท่านอนให้ถูกต้องหาหมอนมารองพุงปัสสาวะก่อนนอน
Week 19 เริ่มมองหาวิธีการคลอดหรือเข้าชั้นเรียนการคลอดได้แล้ว เพื่อช่วยให้คลอดง่าย และลดความเครียดระหว่างคลอด ลองหาคลาสที่เหมาะกับเวลาของคุณแม่

Week 20 คุณแม่มาถึงครึ่งทางของการตั้งครรภ์แล้วเพราะท้องที่ใหญ่ขึ้นทำให้คุณแม่หายใจได้ลำบากมากขึ้น เพราะอวัยวะภายในถูกมดลูกขยายตัวไปกดทับอาการนี้จะสิ้นสุดเมื่อลูกเคลื่อนที่มาสู่อุ้งเชิงกราน หรือประมาณ 4-6 สัปดาห์ก่อนคลอดคุณแม่ยังฉี่บ่อยขึ้น

Week 21 คุณเริ่มสนุกกับการทายเพศแล้วล่ะ มีเทคนิคตลกๆ เช่น ท้องแหลมหรือกลม แต่วิธีที่แน่นอนที่สุดก็คือการไปอัลตราซาวนด์ดูนั่นเอง

Week 22 เซ็กซ์ของคุณแม่บางคนเปลี่ยนไป ลองมองหาวิธีทางเลือกอื่นในการมีเพศสัมพันธ์ดู ไม่ต้องห่วงว่าจะอันตรายถึงลูกเพราะเด็กจะมีถุงน้ำคร่ำอยู่ และสามารถมีเพศสัมพันธ์ได้จนคลอดแต่ต้องเลือกท่าทางที่เหมาะสม

Week 23 คุณแม่เริ่มเสียวแปลบบริเวณท้องน้อย อาการนี้บอกท่าทางของลูกในท้องแม่บางคนกังวลเรื่อง “ท้องใหญ่” หรือ “ท้องเล็ก” ซึ่งขนาดของท้องจะขึ้นอยู่กับน้ำหนักและกรรมพันธุ์ของคุณแม่ด้วย

Week 24 คุณแม่เริ่มสังเกตการขยับตัวหรือการดิ้นของลูกได้ เป็นการบอกด้วยว่าลูกตื่นหรือหลับตอนไหน

Week 25 คุณแม่ควรสังเกตสัญญาณการคลอดก่อนกำหนดไว้ให้ดี จะมีอาการท้องตึงเจ็บเป็นพักๆ อาจมีมุกเลือดออกจากช่องคลอด ถ้ามีอาการควรปรึกษาแพทย์และงดงานที่ต้องเดินหรือยืนเป็นเวลานานๆ

Week 26 ลองหาท่าทางที่เหมาะในการนอน เดิน นั่ง

Week 27 ย่างเข้าไตรมาสที่ 3 แล้วค่ะ น้ำหนักตัวเพิ่มมากขึ้นทีเดียว น้ำหนักจะลดลงหลังคลอดเอง คุณแม่ควรกินเพื่อสุขภาพของแม่และลูกให้มากๆ หน้าอกขยายและมีน้ำหนักมากขึ้น คือ ก่อนตั้งท้อง 7 ออนซ์ ถึงตอนนี้ 28 ออนซ์เลยทีเดียว

Week 28 คุณแม่ต้องไปพบคุณหมอบ่อยขึ้นถึง 2 อาทิตย์ต่อครั้งแล้วค่ะ เริ่มมองหาวิธีการคลอดที่เหมาะสมได้แล้ว ซึ่งควรเป็นการตัดสินใจร่วมกันระหว่างคุณสามี และคุณหมอ คุณแม่บางคนเริ่มมีน้ำนมไหลซึม แต่คนที่น้ำนมไม่ไหลก็ไม่ได้ผิดปกติแต่อย่างใด

Week 29 คุณแม่ควรอยู่ในอิริยาบถท่าทางที่เหมาะสมกินอาหารที่มีประโยชน์พักผ่อนมากๆ ระวังอาการปวดหลัง สูดลมหายใจลึกๆ เพื่อให้ลมหายใจฟอกปอด

Week 30 การออกกำลังกายช่วยให้คุณแม่แข็งแรงและสุขภาพดี และทำให้คลอดง่าย ถ้าคุณแม่ไม่เคยออกกำลังกายมาก่อนเลย ก็ควรเดินหรือว่ายน้ำสั้นๆ

Week 31 คุณแม่อาจรู้สึกปวดหรือแสบท้อง กระดูกเชิงกราน และซี่โครง ระยะนี้ลูกตัวใหญ่เต็มช่องท้องของคุณแม่แล้ว คุณแม่บางคนกินอาหารลดลงและมีอาการปวดหลังคุณแม่จึงควรมีท่าเดินที่เหมาะสม ออกกำลังกายและยึดกล้ามเนื้อเป็นกระจำ

Week 32 การคลอดทำให้คุณแม่กังวลมากขึ้น ทั้งเรื่องความเจ็บปวด การเรียนรู้เรื่องเทคนิคการหายใจช่วยให้คุณแม่บรรเทาความเจ็บปวด

Week 33 คุณแม่อาจสังเกตเห็นศอกหรือเข่าของลูกกระทุ้งออกมาแล้ว หาข้อมูลเรื่องการคลอด ชีวิตหลังคลอดและการเตรียมเลี้ยงลูกได้แล้ว

Week 34 ร่างกายของคุณแม่พร้อมสำหรับการคลอดแล้ว

Week 35 ยิ่งใกล้คลอด คุณแม่ยิ่งจะนอนหลับยากขึ้นกว่าเดิม บางคนบอกว่านี่เป็นการเตรียมตัวสำหรับการเลี้ยงลูกแรกเกิดคุณแม่อาจจะลุกขึ้นฉี่ทุก 45 นาที และกลับไปนอนลำบาก

Week 36 คุณแม่อาจต้องไปหาคุณหมอทุกอาทิตย์จนกว่าจะคลอด เด็กเริ่มกลับหัวแล้ว มีเพียง 4% เท่านั้นที่ไม่กลับหัว การออกกำลังกายช่วยได้บ้างแต่ถ้าเด็กไม่กลับหัวอาจจำเป็นต้องใช้การผ่าตัด

Week 37 ลองไปทัวร์หรือสำรวจห้องคลอดที่คุณแม่เตรียมไว้บ้างเพื่อสร้างความคุ้นเคย รู้จักความแตกต่างของอาการเจ็บจริงหรือเจ็บเตือน

Week 38 คุณแม่รู้สึกกระตุกหรือตุงบริเวณช่องคลอด วางแผนว่าจะพาใครเข้าไปในห้องคลอดด้วยเตรียมของที่จะนำไปใช้ในโรงพยาบาลให้พร้อม

Week 39 ลูกกลับหัวมาเตรียมรอคลอดที่อุ้งเชิงกรานแล้วปากมดลูกนิ่มและขยายคุณหมอจะตรวจการขยายตัวของปากมดลูก เรากำหนดเวลาตายตัวของการคลอดไม่ได้แต่ก็ควรมีข้อสังเกตง่ายๆ เช่น มีน้ำเดิน

Week 40 แม่ท้องที่สุขภาพดีก็พร้อมที่จะคลอด แต่มีเพียงคุณแม่ 4% เท่านั้นที่จะคลอดในวันที่กำหนด มักจะคลอด 2 สัปดาห์ก่อนและหลังการกำหนดคลอดเพราะเป็นการคาดวันคลอดที่เป็นช่วงเวลาเท่านั้นเพราะฉะนั้นการเตรียมพร้อมไว้ก่อนจึงเป็นสิ่งสำคัญ.


(update 26 ตุลาคม 2006)
[ ที่มา.. นิตยสารดวงใจพ่อแม่ Vol.11 No.128 June 2006]




ทั้งหมดนี่มันจะเกิดขึ้นกับเรา และเกิดไปบ้างแล้วด้วย




 

Create Date : 06 มีนาคม 2553    
Last Update : 6 มีนาคม 2553 13:14:05 น.
Counter : 3952 Pageviews.  

การรับมือกับเส้นเลือดขอดตอนท้อง

วันนี้มาพูดถึงอาการที่สังเกตเห็นเมื่อตอนมีน้องกันดีกว่า

หลังจากสิวกระหน่ำ จุกแสบลิ้นปี่ไปแล้ว ยังมีอีกอาการหนึ่งที่ควรตั้งรับให้ได้

คุณแม่ยังสาวหลายคนคงจะกังวนว่าจะทำยังไงดีล่ะเนี่ยเมื่อเรียวขาสวย ๆ นวลเนียนที่สุดแสนจะภาคภูมิใจเกิดมีเส้นเลือดปูดโปนแถมหงิกงอโผล่ออกมาทำให้เสียความสวยตอนท้องแบบนี้ แถมหุ่นสวย ๆ ก็ยังเปลี่ยนเอวก็หายเกลี้ยงแล้วขายังจะมีเส้นเลือดขอดมากวนใจให้กัดกลุ้มอีก

ทำไมเส้นเลือดขอด (ตอนท้อง)

หลาย ๆ คนคงพอจะรู้ว่าที่มาของเส้นเลือดขอดนั้นเกิดจากการที่ลิ้นในหลอดเลือดดำ (หรือที่เราเรียกว่าเส้นเลือดดำ) ปิดไม่สนิททำให้เลือดไหลย้อนกลับจนเส้นเลือดเกิดปูดโป่งหงิกงอขึ้นตามขา ตามน่อง แล้วคนที่เป็นส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นคนที่ต้องยืนหรือเดินมาก ๆ อย่างครู พยาบาล แอร์โฮสเตส ฯลฯ แต่ที่คุณแม่ท้องหลาย ๆ คนเกิดสงสัยก็คือ ทำไมตอนท้องถึงเป็นเส้นเลือดขอดขึ้นมาได้ แต่ก่อนตอนยังไม่ท้องเดินเยอะกว่าไม่เห็นเป็นเลยที่เป็นอย่างนั้นเพราะปริมาณฮอร์โมนที่เพิ่มขึ้นตอนตั้งท้องทำให้ผนังหลอดเลือดดำเกิดการหย่อนตัวบวกกับความดันในหลอดเลือดที่เพิ่มมากขึ้นจากการที่มดลูกขยายขนาดจนไปกดทับเส้นเลือดดำใหญ่ในช่องท้องก็เลยทำให้เลือดที่จะไหลกลับไปยังหัวใจเกิดการไหลย้อนลงมา แล้วกลายเป็นเส้นเลือดขอดกวนใจคุณแม่ในที่สุดนั่นเองค่ะ



( ภาพของเดิมคือสีม่วง แต่สีเขียวคือแนวใหม่)

รับมือเส้นเลือดขอด

ส่วนใหญ่ถ้าเป็นไม่มากเจ้าเส้นเลือดขอดก็จะแค่กวนตากวนใจเพราะดูไม่งามเท่านั้นเอง แต่ถ้าขอดกันแบบตวัดหางไปมามาก ๆ ก็จะทำให้คุณแม่เกิดปวดเมื่อยหรือหลอดเลือดอักเสบขึ้นเพราะเลือดไหลเวียนไม่ดีมีเลือดอุดตันได้เหมือนกันค่ะ



( หน้าแข้ง คือ เส้นเลือดที่ขึ้นเป็นสีเขียว มาใหม่ๆ สดๆ ร้อนได้ เพิ่งเห็นได้ 2-3 วัน เวลายืนจะเห็นชัด )

วิธีการก็ไม่ยุ่งยากอะไรน่าจะทำได้สบาย ๆ แบบนี้ค่ะ

ใช้ผ้ารัด : การใช้ผ้ารัด (ที่มีวางขายอยู่ทั่วไป) บริเวณน่องหรือต้นขาจะช่วยให้เลือดไหลย้อนกลับและตกค้างน้อยลงได้แถมยังช่วยให้หลอดเลือดที่โป่งแฟบลงด้วย



นอนยกขาสูง : เวลานอนให้หาหมอนมาหนุนขาให้สูง (ลองกะดูว่าให้สูงกว่าระดับหัวใจ) เพื่อให้เลือดในหลอดเลือดดำไหลเวียนกลับสู่หัวใจได้ดี แต่ในระหว่างวันถ้าสามารถทำได้ก็ควรจะยืนหรือนั่งห้อยขานาน ๆ ให้น้อยลง หาเวลานั่งพักและหาเก้าอี้สักตัวมารองเท้าไว้ด้วยเพื่อหลีกเลี่ยงการที่เลือดจะไหลเวียนไม่สะดวกต้นเหตุของเส้นเลือดขอดนั่นเอง

นวด : การนวดวนย้อนขึ้นไปยังหัวใจนอกจากทำให้กล้ามเนื้อผ่อนคลายสบายแล้ว ยังช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้นอีกด้วยตอนท้องแบบนี้คุณพ่อต้องช่วยนวดให้คุณแม่เป็นประจำนะคะ

หลากวิธีรักษา : ปกติอาการเส้นเลือดขอดของคุณแม่จะค่อย ๆ หายตอนหลังคลอด แต่ถ้ายังไม่หายอาจจะไปหาคุณหมอเพื่อให้ช่วยแก้ปัญหานี้ให้ได้ วิธีการรักษาก็มีหลายวิธีตั้งแต่การฉีดสารเคมีการใช้เลเซอร์ไปจนถึงการผ่าตัดเพื่อตัดเอาเส้นเลือดที่ขอดทิ้งไป ซึ่งคงจะขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการด้วยค่าใช้จ่ายเริ่มต้นตั้งแต่ 500-40,000 บาท

ขอขอบคุณข้อมูลดีจาก modernmom

ทุกวันนี้ฝนก็มีสภาพการนอนอย่างที่เห็น อุตส่าห์วาดเลยนะเนี่ย ไม่สวยงาม แต่ก็คงพอเห็นภาพ

คือ นอนหัวต่ำแสบจุกลิ้นปี่ อยากอ้วก แต่ก็เป็นห่วงเส้นเลือดขอดด้วย ดังนั้นก็ต้องยกขาสูงไว้เหนือหัวใจ

เอาเข้าไป อดทน สู้ๆ เพื่อลูกเสือ อีก 8 เดือนดิเน๊อะ




 

Create Date : 04 มีนาคม 2553    
Last Update : 4 มีนาคม 2553 11:28:47 น.
Counter : 5327 Pageviews.  

เพิ่งจะรู้จัก “กรดไหลย้อน” ก็ตอนท้องนี่แหละ

รู้สึกแสบลิ้นปี่มากเป็นเวลาจะอาทิตย์หนึ่งแล้ว จนเมื่อคืนได้คุยกับกุ๊กไก่บอกว่าระวัง “กรดไหลย้อน”

ก็เลยมาอ่านในหนังสือคู่มือตั้งครรภ์ว่ามีอาการนี้หรือเปล่า หรืออาการใกล้เคียงที่แสบลิ้นปี่อยู่คืออะไรกันแน่



อ้างอิงข้อมูล [ ที่มา.. นิตยสาร MODERNMOM Vol.14 No.157 November 2008 ]

คุณแม่หลาย ๆ ท่านคงจะเคยได้ยินโรคกรดไหลย้อนระหว่างตั้งครรภ์ แล้วเกิดความสงสัยว่าโรคนี้เป็นอย่างไร โรคนี้พบได้บ่อยถึงร้อยละ 30-50 ในคุณแม่ตั้งครรภ์ และอาจถึงร้อยละ 80 ในบางรายงานแม้ว่าบ้านเราจะไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับคุณแม่ท้องเป็นโรคกรดไหลย้อนมากเท่าใดนัก แต่คุณแม่ก็ควรรู้จักเพื่อดูแลตัวเองให้ห่างจากโรคนี้ไว้ ขอรวบรวมคำถามที่คุณแม่มักสงสัยเกี่ยวกับโรคกรดไหลย้อนขณะตั้งครรภ์ เพื่อจะได้รู้จักกับโรคนี้ไปพร้อม ๆ กัน

โรคกรดไหลย้อนคืออะไร

โรคกรดไหลย้อน (Gastroesophageal Reflux Disease) เป็นอาการที่เกิดขึ้นเพราะกรดที่อยู่ในน้ำย่อยในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นมาบริเวณหลอดอาหารส่วนปลาย ที่ติดต่อกันกับส่วนต้นของกระเพาะอาหาร มีผลทำให้หลอดอาหารเกิดการอักเสบขึ้นได้

เป็นแล้วจะเกิดอาการเหมือนโรคกระเพาะไหม

อาการที่พบบ่อยคือ แสบร้อนบริเวณด้านหลังของกระดูกหน้าอก (Sternum) อาจจะเกิดร่วมกับอาการอึดอัดไม่สบายบริเวณลิ้นปี่ ลำคอด้านนอก ในช่วงคอและแผ่นหลัง



นอกจากนั้นยังอาจจะเกิดอาการ เรอ กลืนลำบาก รู้สึกร้อนในกระเพาะ แล้วมีน้ำในปริมาณค่อนข้างมากในปาก สำหรับอาการเหล่านี้มักเป็นในช่วงหลังอาหารหรืออาจจะเกิดในช่วงกลางคืน ยิ่งถ้างอตัวอาการก็จะรุนแรงมากยิ่งขึ้น ส่วนโรคกระเพาะนั้น ส่วนใหญ่แล้วจะปวดบริเวณลิ้นปี่ โดยไม่มีอาการแสบร้อน ด้านหลังของกระดูกหน้าอกร่วมด้วย

ขณะตั้งครรภ์จะมีโอกาสเป็นโรคนี้มากขึ้นหรือเปล่า

เมื่อตั้งครรภ์จะมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนและระบบทางเดินอาหารจึงทำให้เกิดโรคกรดไหลย้อนได้ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลทำให้กรดจากกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นไปในหลอดอาหาร จึงทำให้เกิดโรคนี้ขึ้นได้จาก
1. แรงบีบของหูรูดของหลอดอาหารส่วนปลายที่ต่อกับส่วนต้นของกระเพาะอาหารทานลดน้อยลง
2. มดลูกที่มีทารกเติบโตขึ้นตามอายุครรภ์นั้น ขยายขนาดเพิ่มขึ้นจนกดและดันกระเพาะอาหาร
หากเป็นโรคนี้อยู่แล้ว คุณแม่อาจจะมีความเสี่ยงที่จะเกิดอาการมากขึ้น แต่หากดูแลรักษาตัวเองดี อาการก็จะไม่เกิดขึ้น

โรคนี้ส่งผลกระทบกับแม่และลูกในท้องไหม?

อาการของโรคกรดไหลย้อนจะทำให้เกิดความไม่สบายตัวต่าง ๆ ตามอาการที่บอกข้างต้น แต่หากคุณแม่สามารถจะรับประทานอาหารได้ตามปกติ ก็จะไม่เกิดปัญหาคุณแม่และลูกในท้อง แต่ถ้าหากในระยะยาวคุณแม่ยังเป็นโรคนี้อยู่ ก็อาจเกิดการอักเสบของหลอดอาหารเรื้อรังที่รุนแรงมากขึ้น เช่น Barrett , s Esophagus ซึ่งเป็นภาวะที่อาจทำให้กลายเป็นมะเร็งหลอดอาหารในอนาคตได้

มีวิธีการรักษาให้หายขาดหรือไม่

การรักษาโรคกรดไหลย้อนนี้ ต้องเริ่มต้นที่การปฏิบัติตัว วิธีง่าย ๆ เลยก็คือ หลีกเลี่ยงอาหารและปัจจัยที่ทำให้โรคนี้รุนแรงมากขึ้น รวมถึงนอนหนุนศรีษะสูง





นอกจากนั้นคุณหมอจะใช้ยาที่ไม่ได้ดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย อย่างเช่น ยาลดกรด (Antacids) แต่หากการรักษายังไม่ได้ผลควรปรึกษาแพทย์เพื่อที่จะใช้ยาขั้นสูงต่อไปคือ ยา กลุ่ม H2 Receptor Antagonists เช่นยา Cimetidine, Ranitidine และยากลุ่ม Proton Pump Inhibitors (PPIs) เช่นยา Lansoperazole, Pantoprazole, Esomeprazole ซึ่งยาเหล่านี้สามารถใช้ได้อย่างปลอดภัยต่อทั้งคุณแม่และคุณลูก แต่ควรใช้ตามคำสั่งของแพทย์

หากไม่ต้องการใช้ยาจะดูแลตัวเองอย่างไร

ส่วนใหญ่แล้วอาหารหลายชนิดทำให้คุณแม่เมื่อเป็นโรคนี้แล้วมีอาการเพิ่มขึ้น เช่น ช็อกโกแลต อาหารที่มีส่วนผสมของคาเฟอีน อาหารมัน เปปเปอร์มินท์ แอลกอฮอล์ น้ำส้ม น้ำแอ๊ปเปิ้ล รวมถึงการรับประทานอาหารมากเกินไป หรือรับประทานอาหารมื้อดึกที่รับประทานเสร็จแล้วนอน สูบบุหรี่ โรคอ้วน รวมไปถึงยาแก้โรคหอบหืดบางชนิด และยาที่เกี่ยวกับโรคหัวจบางชนิด ที่ทำให้การบีบตัวของกล้ามเนื้อหูรูดของหลอดอาหารส่วนล่างลดลง


หากคุณแม่ท้องที่มีโรคกรดไหลย้อนมักมีอาการแสบร้อนบริเวณด้านหลังของกระดูก หน้าอก การปฏิบัติตัวที่ถูกต้องคือการรับประทานอาหารที่เหมาะสม และการใช้ยาลดกรดที่เหมาะสม เป็นการรักษาเบื้องต้นหากไม่ได้ผลจึงใช้ยากลุ่ม H2 Receptor Antagonists และ PPIs ต่อไป




ด้วยความที่ไม่รู้ก็เลยกินข้าวอัดเข้าไปอีกนึกว่าเป็นอาการแสบท้อง หิวข้าว มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย (นี่หว่า)

ก็มานั่งแสบท้อง เมื่อคืนตอนเที่ยงคืนเป็นหนักมากเลย มาช่วงตี 5 พอตื่นมาล้างหน้าก็นอนอีกไม่ได้

รู้สึกพะอืดพะอมอยากอ้วก แต่เฮ้ย..เราต้องไม่แพ้ดิ ก็ไม่ยอมไปกินยาแก้แพ้จากหมอ อดทนมาก

จน 9 โมงเช้ากินข้าวไปก็รู้สึกทุเลานิดหน่อย ตอนนี้ก็เหมือนเดิม คือ ไม่รู้ว่ามันยังไง

มันอยากอ้วก แต่เราฝืนไม่อ้วกเอง เพราะคิดว่าไร้สาระ

ฝนคิดว่าถ้าอ้วกแล้วมันก็ไม่มีประโยชน์ อดทนกลืนๆ เอา อุตส่าห์กินข้าว กินยาไปแล้วด้วย

จนเมื่อกี้เข้าไปอ่าน Blog คุณเจ้าจอมเรื่องคลอดน้องเรย์ แล้ว... “วูบ ขยิบตาแล้วดาวยิบๆ เต็มเลย”

ก็ทำให้สำนึกว่าไปกินยาแก้แพ้แล้วพักผ่อนดีกว่า เลยทนนั่งเล่นนู่นนี่ไม่ไหวแล้ว





สำหรับในคู่มือการตั้งครรภ์คุณภาพ กว่าจะเป็นแม่ ที่ฝนอ่านสรุปใจความได้ดังนี้นะคะ

ในภาวะตั้งครรภ์ระบบย่อยอาหารจะถูกรบกวน
เนื่องจากการหลั่งฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนมากขึ้น
การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวทำให้อาหารเคลื่อนผ่านไปได้ช้า ทำให้เกิดอาหารไม่ย่อยและท้องอืด
อาการปวดแสบลิ้นปี่เกิดขึ้นจากกรดไหลย้อนกลับของน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร
ล้นเข้าสู่หลอดอาหารส่วนปลาย ทำให้เกิดอาการระคายเคืองของเยื่อบุทางเดินอาหารจากกรดในน้ำย่อย
อาการท้องอืดก็เป็นอาการที่เกิดขึ้นตลอดการตั้งครรภ์ 9 เดือน
เนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเช่นกัน

แต่มีวิธีแก้ปัญหาเหล่านี้โดย

  • หลีกเลี่ยงเสื้อผ้าคับที่เอวมากเกินไป

  • อย่าให้น้ำหนักตัวขึ้นเร็ว

  • กินอาหารทีละน้อย แต่ให้จำนวนมื้อเพิ่มขึ้น

  • กินอาหารช้าๆ เคี้ยวคำเล็กๆ เคี้ยวให้ละเอียด

  • หลีกเลี่ยงอาหารทอด อาหารรสเลี่ยน อาหารที่มีเครื่องเทศ

  • งดบุหรี่ เหล้า ต่างๆ

  • หลีกเลี่ยงการงอเอว หรือก้มๆ เงยๆ ด้วยการใช้เอว ให้ใช้การย่อเข่าแทน

  • นอกยกหัวสูง ประมาณ 6 นิ้ว ไม่ควรนอนราบ

  • กินข้าวอิ่มห้ามนอน

  • ผ่อนคลายตัวเอง ไม่ควรเครียด

  • ถ้าไม่หายให้ปรึกษาแพทย์


หวังว่าคงเป็นประโยชน์กับคุณแม่มือใหม่หลายๆ ท่าน

พรุ่งนี้จะมาต่อด้วยเรื่องเส้นเลือดขอด.. โดนเข้าแล้วไงกับตัวเอง




 

Create Date : 03 มีนาคม 2553    
Last Update : 3 มีนาคม 2553 12:37:20 น.
Counter : 2854 Pageviews.  

สิว กับ คนท้อง ใครก็ได้ช่วยด้วยดิ !!

ตั้งชื่อแบบนี้เพราะต้องการผู้มีประสบการณ์ตอนท้องแล้วเกิดปัญหาเช่นเดียวกันช่วยตอบหน่อย

จากการค้นข้อมูลต่างๆ บอกไว้ว่า....................

“ฮอร์โมนของคุณแม่ คือเอสโตรเจนและฮอร์โมนจากต่อมใต้สมองส่วนกลางของคุณแม่มีเพิ่มมากขึ้นในขณะตั้งครรภ์แน่นอน ผลของมันจะทำให้ใบหน้าของคุณแม่มีความมันมากขึ้น และขณะเดียวกันเนื้อหนังของคุณแม่ก็จะเกิดการยืดขยายตัว ทำให้รูขุมขนบนใบหน้าขยายใหญ่ตาม ซึ่งนั่นจะทำให้สิ่งสกปรกต่างๆอุดตันได้ง่าย และเป็นสาเหตุของการเกิดสิวตามมา และเป็นธรรมดาของแม่ตั้งครรภ์ที่มักจะมีความกังวลใจต่างๆร้อยแปดพันเก้าอยู่แล้ว ทั้งความเครียด ความหงุดหงิด อารมณ์ฉุนเฉียว ล้วนส่งผลต่อการเกิดสิวทั้งนั้นจึงไม่แปลกที่คุณแม่จะมีสิวเพิ่มมากขึ้นในช่วงนี้”

จากนิตยสารแม่และเด็ก





ยาสิวก็ยังใช้ไม่ได้ แม้เวปน้องโอ้จะบอกว่าใช้ได้ แต่เราต้องรอถามคุณหมอให้ละเอียดก่อน

ยา CM ที่หมอจ่ายมันเบสิคมาก สู้ฤทธิ์น้องโอ้ไม่ได้ แต่ไอ้น้องโอ้มันเทพสะจนแม่เสือต้องคิดก่อน

สิวมันขึ้นในส่วนที่เกิดมาก็ไม่เคยเห็นว่ามันขึ้น เช่น คิ้ว หางตา ข้างหู

แล้วไอ้ 1 รูขุมขนมันก็ขึ้น 2 เม็ด ส่วนไอ้ 1 เม็ด พอแผลยังไม่ทันดำ มันก็ขึ้นซ้ำเข้าไปอีก





เสือน้อยไมหนูฤทธิ์เยอะแบบนี้อ่ะ รู้ไหมว่า...

แม่เกลียดสิว ทั้งชีวิตนี้แม่ฝ่าฟันกับมันมามากพอแล้ว พอเป็นแบบนี้แม่เหนื่อยนะ แล้วก็เริ่มจะเครียด

เพราะไม่สามารถใช้ยาใดๆ ได้ มีแค่ CM บ้านๆ ไอ้คู่หูแม่ก็จะทรงอนุภาพไปยังไม่กล้า

เพราะสิวที่แม่เป็นมันอุดตันเชิงอักเสบ บวมเป็นไตแข็งทั้งหน้าและสามารถจะอักเสบได้ตลอดเวลา

หน้าก็มันมาก มากสะจนตื่นเช้ามาไม่ต้องทาลิปมันเลย มันเยิ้มเข้าปาก

นี่ขนาดเปิดแอร์นะ ยังรู้สึกว่าทำไมหน้ามันขนาดนี้ มีแอบร้องไห้ด้วย



สิวขึ้นส่วนใหญ่เป็นลูกผู้ชาย....

ถ้าหนูเป็นลูกผู้ชายแม่ก็ยินดีมาก เพราะหลายคนบอกว่าเป็นสิวหนักๆ แม่น่าเกลียดตอนท้องได้ลูกชายชัวร์

ก็ไม่รู้ทฤษฎีไหน แต่ก็เชื่อเพราะหลายคนบอกอย่างนั้น คือ แม่อยู่ของแม่ได้

แต่แม่ไม่ชอบให้ใครมามองหน้าแม่ไงลูก

วันนี้แม่ไปซื้อยาที่ร้านขายยา แล้วมีไอ้เภสัชชายมามองเหยียดเหมือนรังเกียจ แบบปล่อยให้สิวขึ้นได้ไง

แล้วแม่ต้องไปบอกเค้าหรือเปล่าว่า “ท้องนะยะ อย่ามามองฉันแบบนี้ ถ้าไม่มีสิว ฉันก็น่ารักไม่เป็นรองใคร”

อันนี้มันเสนอตัวไปนิด T___T

โอเค ... แม่ก็เลยไปหาเภสัชหญิงที่เป็นเจ้าของร้านถามเค้าว่า

“เป็นสิวจากการตั้งครรภ์ ใช้ยาสิวอะไรดีคะ พอดีหมอให้แค่ CM แต่มันไม่หาย”

เภสัชก็ตอบว่า “ไม่มีหรอกค่ะ มันเป็นฮอร์โมน อดทนหน่อย แค่ 9 เดือนเอง ยาสิวต่างๆ กินไม่ได้นะคะ แก้อักเสบก็ไม่ได้ ล้างหน้าให้สะอาดก็พอ”

แล้วก็ยิ้มเหมือนกับว่ามีไรจะถามอีกไหม..................

แม่เสือคิดในใจ 9 เดือน.. มัน "ไม่เอง" นะเฟ้ย อีก 3 เดือนก็จะปี พูดเหมือนน้อย

ก็ได้แต่ยิ้มให้แล้วเดินจากมานั่งในรถด้วยอารมณ์จิตประหวั่นมาก



เรื่องสิวทำไมไม่ชิน

ไม่มีใครชินกับมันหรอก มีแต่ว่ารับที่จะอยู่ได้กับมันอย่างสันติสุขหรือเปล่าก็เท่านั้น

ถ้าไม่มีเสือน้อยมันตายไปตั้งแต่เม็ดแรกแล้ว นี่เม็ดแรกขึ้นแม่ก็ต้องสวดมนต์เอามันลง

คิดดูแรงบุญ แรงภาวนายังไม่สามารถเอามันลงได้เลย เวรกรรมเครียดมาก

แม่เสือจะให้โอกาสมันอีก 1 อาทิตย์ ถ้ามากไปกว่านี้คงต้องไปพญาไทก่อนวันที่ 21 มีนาคมและ

คือ ทุกวันนี้แม่ก็แอบ ก็หลบอยู่ในบ้าน จะไปเฉพาะเท่าที่จำเป็น ไม่ชอบให้ใครมอง

และนี่ก็งดการแต่งหน้ามาตลอด ยังจะมีอะไรอุดตันอีกนักวะเนี่ยยย.......


ฮอร์โมนหนอฮอร์โมน.................



ดูดิ.. สิวมันขึ้นรอบคิ้วเลยอ่ะ อิบร้า !!




 

Create Date : 02 มีนาคม 2553    
Last Update : 2 มีนาคม 2553 18:44:24 น.
Counter : 3721 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  

ตีไม่แรง ไม้แพง แต่งตัวเท่ห์
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 12 คน [?]











Blog นี้ไม่ได้อยู่ในหน้า Up Date รวม Bloggang

อ่านเรื่องอัพเดทล่าสุดได้จากด้านล่างที่แปะไว้

หรือไม่เข้าไปที่ All About Blog นะคะ

New!! : UP Date


BABY UPDATE














Bloggang : Fonkan



ฝนขอสงวนลิขสิทธิ์งานเขียน

ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2539

ห้ามผู้ใดละเมิด ไม่ว่าการลอกเลียน

หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดของข้อความที่เขียนไว้

ใน blog นี้ไปใช้เด็ดขาด...

ทั้งโดยเผยแพร่และเพื่อการอ้างอิง

โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร

จะถูกดำเนินคดี ตามที่กฏหมายบัญญัติไว้สูงสุด


--------------------------------------------------------

งานเขียนใน Blog นี้จะเน้น ภาพประกอบการเขียน

ขอบคุณที่ติดตามอ่าน (สังเกตจากคนเข้าชม)

--------------------------------------------------------

เวปไซด์สำหรับสิว รักษาสิวเอง ไม่พึ่งหมอ

http://www.loving-shop.com/

หากสนใจเว็ปไซต์ส่วนตัวฝน คลิ๊ก....

http://www.fonkan.com

--------------------------------------------------------

Friends' blogs
[Add ตีไม่แรง ไม้แพง แต่งตัวเท่ห์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.