ราชคฤห์ อดีตอันรุ่งเรือง (เขาคิชฌกูฎ)
กรุงราชคฤห์ ในอดีตเดิมเป็นเมืองหลวงของแคว้นมคธในสมัยพระพุทธองค์ เป็นเมืองที่รุ่งเรือง มีเจ้าแห่งลัทธิมากมายเป็นเมืองที่มีภูเขาห้าลูกล้อมรอบ พระพุทธศาสนาได้ประดิษฐานอยู่ที่กรุงราชคฤห์อย่างมั่นคงในสมัยพระเจ้าพิมพิสารซึ่งเป็นราชาแห่งแคว้นมคธที่ให้การอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาเป็นอย่างดี ปัจจุบันเป็นเมืองชนบทเล็กๆเต็มไปด้วยทุ่งนาและพื้นที่เกษตรกรรมขึ้นกับแขวงนาลันทา รัฐพิหารซึ่งเป็นชื่อใหม่ของแคว้นมคธ ไม่เหลือความเป็นเมืองใหญ่ให้เห็น สถานที่แวะคือยอดเขาคิชฌกูฏซึ่งเป็นที่ประทับของพระพุทธเจ้าที่กรุงราชคฤห์ ต้องไต่เขากันพอได้เหงื่อซึมๆ บางคนที่เดินไม่ไหวก็จ้างคนหามนั่งเสลี่ยงขึ้นไปได้ทางเดินปูด้วยหินกว้างเดินสบาย เป็นถนนที่พระเจ้าพิมพิสารสร้างไว้ ทางการอินเดียได้บูรณะอย่างดี เนื่องจากมีทั้งผู้แสวงบุญและผู้เยี่ยมเยือนค่อนข้างมากตลอดทางมีขอทานผู้หญิงนั่งขอทานอยู่หลายคน ขึ้นไปสักพักพบเห็นสิ่งก่อสร้างสี่เหลี่ยมข้างทางสันนิษฐานว่าเป็นที่พระเจ้าพิมพิสารลงจากหลังช้างพักข้างทางก่อนเดินทางขึ้นไปเฝ้าพระพุทธเจ้าบนยอดเขามองไปบนยอดเขาจะเห็นมูลคันธกุฎีที่ประทับของพระพุทธเจ้า เขาคิชฌกูฏนี้เป็นที่จำพรรษาของพระอัครสาวกหลายองค์ เช่น พระอานนท์ พระโมคคัลลา พระสารีบุตร พระมหากัสสปะ พระอนุรุทธ พระอุบาลี เป็นต้นที่ยอดเขาเคิชฌกูฏเป็นบริเวณที่ตั้งมูลคันธกุฎีที่ประทับของพระพุทธเจ้า ซึ่งเห็นเป็นเพียงฐานอาคารที่บูรณะต่อๆกันมามูลคันธกุฎี ที่ประทับจำพรรษาของพระพุทธเจ้ามีพุทธศาสนิกชนมากราบไหว้สักการะบูชากันมากมายโดยเฉพาะคณะทัวร์จากประเทศไทยที่มานั่งสวดมนต์กันรอบๆมูลคันธกุฏี บริเวณที่คับแคบอยู่แล้วก็ยิ่งคับแคบลงไปอีกด้วยจำนวนผู้คน การได้ขึ้นมายังที่ที่เคยเป็นที่ประทับของพระพุทธเจ้านั้นมีความรู้สึกปิติอย่างยิ่งที่ไม่สามารถอธิบายได้ถึงแม้ว่าอาจจะหงุดหงิดกับบางสิ่งบางอย่างก็ต้องทำใจกันบ้างเพราะการทำมาหากินของมนุษย์ก็ต้องมีอยู่เพื่อการดำรงชีวิต เป็นสัจธรรมในทุกที่ซึ่งก็ไม่ถึงกับทนกันไม่ได้เราชาวพุทธเมื่อมาแสวงบุญต้องละวางและปล่อยวางกุฎิพระอานนท์ระหว่างทางที่ขึ้นมีถ้ำที่พระโมคคัลลาจำพรรษา(เราแวะขาลง) มีหินก้อนใหญ่ตั้งอยู่ มีก้อนหินเล็กๆที่พระทิเบตนำมาเรียงบนก้อนหินใหญ่เพื่อเป็นเจดีย์บูชาและก้อนหินอธิษฐานกระจายอยู่ทั่วรวมทั้งก้อนหินก้อนเล็กก้อนน้อยที่ผู้มาเยือนโยนขึ้นไปเสี่ยงทายไม่ให้ชีวิตตกต่ำโดยหันหลังโยนขึ้นไป ทางขึ้นลงทางมีเดียวด้านหลังมีก้อนหินใหญ่เรียงกันสามก้อนมีช่องเขาพอเดินผ่านได้ที่เชื่อกันว่าเป็นบริเวณที่พระเทวทัตกลิ้งหินใส่พระพุทธเจ้า ปัจจุบันก่อหินปิดช่องทางแล้วมีขณะทัวร์นั่งสวดมนต์กันเต็มพื้นที่ในถ้ำเราก็เลยได้แค่ปิดทองกันนอกถ้ำและสวดมนต์ในใจกันแบบสั้นๆอีกถ้ำหนึ่งเป็นถ้ำที่พระสารีบุตรเคยใช้เป็นที่จำพรรษาเรามีโอกาสแค่ปิดทองที่ก้อนหินปากถ้ำเช่นเดิมจากนั้นก็นั่งรถต่อโดยระหว่างทางผ่านหมู่บ้านเล็กๆที่ห่างเมืองราชคฤห์ประมาณสิบกว่ากิโลเมตร มีร้านขายขนมที่ขึ้นชื่อว่าอร่อยเรียกว่าขนม"ขะชา"หรือ "คาจา" ซึ่งเป็นขนมแต่สมัยโบราณมีชื่อในการทำขนมชนิดนี้ เราไม่มีโอกาสได้แวะซื้อชิมเลยไม่ทราบว่ารสชาดเป็นอย่างไร แต่เห็นว่ามีอยู่หลายสิบร้าน คล้ายทำด้วยแป้งและน้ำตาลเป็นหลักเล่าสืบกันมาว่าพระพุทธเจ้าเสด็จผ่านหมู่บ้านนี้เพื่อไปเมืองนาลันทา ชาวบ้านได้นำขนมชนิดหนึ่งมาถวาย พระพุทธเจ้าทรงฉันแล้วดำเนินต่อไป พร้อมกับมีพระราชดำรัสว่า "คาจา" ซึ่งแปลว่า"กินแล้วก็ไป" ต่อมาชาวบ้านจึงเรียกขนมชนิดนี้ว่า"คาจา" สังเกตเห็ยหลายๆร้านจึงมักมีรูปพระพุทธเจ้าหรือไม่ก็มีคำว่า Buddhaผลไม้ก็เห็นมีขายอยู่ทั่วไป มีทั้งส้ม แอ๊ปเปิ้ล กล้วย และทับทิมลูกโตๆสีสด
กรุงเทพสู่พุทธคยา
คณะเราสี่คนเช่นเคย ป้าPAM น้าแหวว เจเนต และหมอชัย เราออกเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิเวลาประมาณเที่ยง ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมงถึงสนามบินKAYAเวลาประมาณบ่ายสามโมง เวลาที่ KAYA บ่ายสองโมงช้ากว่าเวลาประเทศไทย 1 ชั่วโมง มีเครื่องบินการบินไทยของเราลำเดียวเท่านั้นที่อยู่บนลานบิน สนามบินเงียบเชียบ มีทหารสองสามคนรักษาความปลอดภัยที่สนามบิน มีคณะทัวร์จากประเทศไทยอีกสองสามคณะร่วมเดินทางมาเที่ยวบินเดียวกับเราด้วย เราพากันเดินเข้าไปภายในสนามบินเพื่อไปยัง Immigration ซึ่งเราไม่เห็นเจ้าหน้าที่ซักคนจนรู้สึกเหมือนกำลังถูกทอดทิ้งในสนามบินร้างยังไงยังงั้น จนเรามองเห็นเจ้าหน้าที่ด้านนอกกำลังลากรถเข็นกระเป๋าจึงรู้สึกว่าสนามบินเปิดทำการอยู่ แล้วเราก็เห็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเดินไปล๊อคประตูทางที่เราเดินเข้ามาภายในสนามบินแสดงว่าเที่ยวบินเราคงเป็นเที่ยวบินสุดท้ายสำหรับวันที่ 29 ธค 07 เวลาผ่านไปร่วมยี่สิบนาทีเราจึงเห็นเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองซึ่งตรวจตราละเอียดละออจนเรารู้สึกเหมือนแถวไม่ขยับเขยื้อน เราสี่คนกลายเป็นคณะท้ายสุดของแถว ใช้เวลาร่วมชั่วโมงกว่าจะผ่าน Immigration มองไปที่สายพานลำเลียงกระเป๋ามีเจ้าหน้าที่ยกสัมภาระของเราทั้งสี่คนมากองรวมกันแล้ว เห็นเจ้าหน้าที่คนหนึ่งถือวิทยุเดินไปดูป้ายที่กระเป๋าเราแล้วก็เดินมาหาเรา เราเลยรู้ว่าอ๋อคุณไกด์เราคงฝากเจ้าหน้าที่คนนี้ตามหาพวกเราคงเป็นเพราะคอยนานนั่นเอง เส้นสายไม่เบาเลยคุณไกด์ของเรา กว่าเราจะเข็นกระเป๋าออกมาได้ก็วนไปวนมาอยู่ตรงใกล้ๆทางออกนั่นแหละเพราะไม่เข้าใจว่าเจ้าหน้าที่ต้องการให้เราวนซ้ายหรือวนขวา จนในที่สุดเราก็วนออกมาจนได้ เห็นคุณไกด์เราถือป้าย MD เราไม่ได้เดินออกมาพร้อมกันทั้งสี่คนคุณไกด์เธอเลยไม่มองเราสองคนที่เดินตัวปลิวออกมาก่อน ปล่อยให้คุณหมอชัยเข็นกระเป๋าสัมภาระตามมาทีหลัง คุณแหววเธอส่งเสียงเรียกออกไปว่า ราเกรซ เท่านั้นแหละคุณไกด์เราก็เดินกระฉับกระเฉงเข้ามาหาเรา หมอชัยเข็นรถออกมาถึงพอดี คนขับรถซึ่งเราทราบชื่อภายหลังว่า ราชู ก็มาช่วยเราขนสัมภาระไปไว้บนหลังรถ Toyota Innova ใหม่เอี่ยม พาหนะประจำ trip และขับรถพาเราไปยังโรงแรมที่พักทันที โรงแรมที่เราพักชื่อ Tokyo Vihar ซึ่งอยู่ใกล้กับวัดไทยพุทธคยา หลังจากพักผ่อนกันเล็กน้อยเราก็เริ่มออกทัวร์กันเลย สถานที่แรกที่เราตั้งใจไปแวะคือวัดไทยพุทธคยาซึ่ง เราพบพระภิกษุไทยรูปหนึ่งท่านนำเราเข้าไปกราบพระประธานในโบสถ์หลังจากนั้นท่านก็พาเราเข้าไปพบท่านเจ้าอาวาสเพื่อถวายยาและปัจจัย ท่านเจ้าอาวาสมีนามว่าพระเทพโพธิวิเทศ ฉายา ภูริปาโล เจ้าอาวาสวัดไทยพุทธคยา รัฐพิหาร ประเทศอินเดีย จากนั้นคณะเราก็นั่งรถไปยังบ้านนางสุชาดา ซึ่งอยู่ด้านทิศตะวันออกของเมน้ำเนรัญชรา มีลักษณะเป็นเนินดินที่สูงประมาณ 3 เมตร มองไกลๆคล้ายสถูปโบราณเรียกกันว่าสุชาฎากุฎี รอบๆบริเวณเป็นทุ่งนาและมีต้นตาล นางสุชาดาเป็นผู้ถวายข้าวมธุปายาสให้กับพระบรมศาสดา เมื่อพระพุทธองค์เสวยข้าวมธุปายาสหมดแล้วได้ทรงถือถาดที่นางสุชาดาถวายพร้อมข้าวมธุปายาสไปที่ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชราที่เป็นด้านตรงข้ามกับพุทธคยาและอธิษฐานเสี่ยงทายพระบารมีว่าถ้าจะตรัสรู้ปรมาภิเษกสัมโพธิญาณแล้วขอให้ถาดนี้จงลอยทวนกระแสน้ำในแม่น้ำเนรัญชราขึ้นไปถาดทองนั้นก็ลอยทวนกระแสน้ำขึ้นไปประมาณ 1 เส้นแล้วจมลง มีเด็กๆมาห้อมล้อมอยู่ตลอดเวลา มี 2 คนที่พูดภาษาไทยได้ด้วย ความว่าขอรับบริจาคเงินให้เด็กๆเพื่อเรียนภาษาไทยและภาษาอังกฤษ พร้อมกับชี้มือไปยังสิ่งก่อสร้างเล็กๆที่อยู่ตรงข้ามกับบ้านนางสุชาดาแล้วบอกว่าเป็นโรงเรียนของพวกเขามีเขียนอักษรภาษาไทยด้วย มีสะกดคำบางคำยังไม่ถูกต้อง มีกองฟางหลายกองอยู่ข้างๆด้วย พร้อมวัวสองสามตัวป้า pam บริจาคไปร้อยรูปี มีเขียนใบเสร็จซะให้ด้วย ที่บริเวณริมฝั่งแม่น้ำด้านตรงข้ามกับพุทธคยาที่มีรูปปั้นของโสถิยพราหมณ์ซึ่งเป็นผู้ถวายหญ้ากุสะแก่พระพุทธองค์ ซึ่งพระพุทธองค์ใช้ปูอาสนะประทับนั่งตรัสรู้ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิที่อยู่ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชราฝั่งตะวันตก โดยหันพระพักตร์มายังทิศตะวันออก แม่น้ำเนรัญชราที่ตื้นเขินจนเดินข้ามไปมาได้ แม่น้ำเนรัญชรายามเย็นมองจากฝั่งตะวันตกเห็นมหาวิหารพุทธคยา จากนั้นคณะเราก็ไปยังมหาวิหารพุทธคยา ซึ่งก็เย็นมากแล้วประมาณหกโมงครึ่ง ซึ่งคราคร่ำไปด้วยพุทธศาสนิกชนโดยเฉพาะพระทิเบต ชาวฮินดู และนักท่องเที่ยวทั่วไปรวมทั้งผู้ที่เลื่อมใสในพุทธศาสนามหาวิหารพุทธคยา เป็นหนึ่งในสังเวชนียสถานคือเป็นบริเวณที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ที่ใต้ต้นมหาโพธิในคืนวันเพ็ญเดือน 6 ก่อนพุทธศักราช 45ปี เจ้าชายสิทธัตถะประทับอยู่ใต้ต้นโพธิ์ ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชราฝั่งตะวันตก หันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก คืนนั้นทรงตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้า ต้นมหาโพธิต้นปัจจุบันเป็นหน่อจากต้นเดิมที่ถูกชาวบ้านทำลาย นายพลเซอร์อเล็กซาเดอร์ คันนิ่งแฮมได้นำหน่อ ปลูกลงที่เดิม และ อีกหน่อปลูกห่างไป จากต้นเดิม 250 ฟุตเพื่อให้ชาวฮินดูบูชาพระวิษณุที่ต้นนั้น