Australia : ดินแดนที่เต็มไปด้วย ความโลภ ความโหดเหี้ยม การแบ่งแยก และ "ความรัก"
My Score: 8.5/10

หลังจากผิดหวังเล็กๆไปกับหนังจงใจเรียกน้ำตาอย่าง Happy Birthday ทั้งๆที่หนังในช่วงครึ่งแรกนั้นทำออกมาได้ดี ดูสนุกและเพลิน แต่พอถึงช่วงครึ่งหลังที่หนังต้องการเปลี่ยนอารมณ์คนดูนั้น ยังทำได้ไม่ดีพอ เพราะคนดูไม่ได้รู้สึกว่าทำไมพระเอกจะต้องรักนางเอกมากขนาดนั้น น้ำหนักของเหตุการณ์ในหนังมันยังไม่เพียงพอ ทำให้คิดว่ามีเหตุผลอะไรหรือ?? ที่พระเอกต้องทำให้นางเอกถึงขนาดนี้ ... ที่สำคัญความสัมพันธ์ระหว่างคู่รักนั้นต้องมีการปูให้ลึกซึ้งมามากกว่านี้ ก่อนที่จะถมใส่ฉากเรียกน้ำตาเข้ามาเป็นชุดๆ (ซึ่งแต่ละเหตุการณ์เราก็เคยผ่านๆตามาแล้วในหนังเศร้าหลายๆเรื่อง) จุดนี้เองที่หนังผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง ถ้าจะให้เทียบกับหนังเรียกน้ำตาอย่าง The Letter แล้ว Happy Birthday ยังด้อยกว่าตรงจุดนี้อย่างชัดเจน
นอกเรื่องไปซะเยอะ มาว่ากันตามหัวเรื่องดีกว่า Australia หนังโรแมนติกดราม่าที่ตัวอย่างหนังนั้นยั่วน้ำลายดีแท้ เป็นเวลานานแล้วที่ไม่ได้ดูหนังรักในสไตล์แบบย้อนยุคที่เราก็รู้อยู่แล้วว่าน้ำเน่าแน่ๆ ... ผู้กำกับชาวออสซี่ Baz Luhrmann กับผลงานหลังสุดอย่างเรื่อง Moulin rouge ที่ว่ากันว่าเป็น 1 ในหนังเพลงที่ดีที่สุด และก่อนหน้าอย่าง Romeo & Juliet สามารถการันตีได้ว่า เขาถนัดแนวนี้นักและสามารถสร้างหนังออกมาให้คนดูสนุก

เรื่องราวเกิดขึ้น ณ ทวีปแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างไกลออกไป เป็นผืนแผ่นดินที่น่าจะก่อกำเนิดมาแล้วกว่า 4 พันล้านปี ไม่มีอาณาเขตติดต่อกับประเทศใดทั้งสิ้น เป็นที่ซึ่งมีเรื่องราวมากมายในทางประวัติศาสตร์ ในสงครามโลกครั้งที่สอง ออสเตรเลียประกาศสงครามกับเยอรมนี (ที่มีญี่ปุ่น และอิตาลี่หนุนหลังอยู่) พร้อมกับสหราชอาณาจักรและฝรั่งเศส ซึ่งก็เป็นเวลาที่ใกล้เคียงกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับ "ซาร่า" (Nicole Kidman) สาวชาวอังกฤษที่เดินทางมายังออสเตรเลียเพื่อที่จะขายมรดกชิ้นสุดท้ายก็คือฟาร์ม "Faraway Downs" แต่เมื่อมาถึงเธอก็ต้องสลดเมื่อสามีที่ดูแลฟาร์มแห่งนี้อยู่ก่อน ต้องมาจากไปด้วยเหตุที่ไม่น่าให้อภัย ทำให้เธอต้องดำเนินการกับฟาร์มแห่งนี้ด้วยตนเอง เธอยังพบกับอุปสรรคอีกเมื่อ "เฟลทเชอร์" ลูกน้องสามีเธอที่ครอบครัวของเขาสืบทอดการดูแลที่นี่มาแล้วถึง 3 รุ่น คิดจะรวมหัวกับ "คิง คาร์นีย์" เพื่อชิงที่ดินแห่งนี้เช่นกัน ...

เมื่อซาร่าไล่เฟลทเชอร์ออกไปแล้ว เขาก็ได้พบกับนักต้อนสัตว์ฝีมือดีที่รักม้าเป็นชีวิตจิตใจนามว่า "โดรเวอร์" (Hugh Jackman) ในตอนแรกเขาไม่ยอมที่จะช่วยเธอในการต้อนฝูงวัว 1,500 ตัว เพื่อไปขายยังท่าเรือทางตอนเหนือ แต่สุดท้ายก็ต้องยอมด้วยข้อเสนอของซาร่าจนได้ ... ใน Faraway Downs เขายังได้พบกับ "นัลลาห์" เด็กหนุ่มลูกครึ่งที่รับใช้ที่นี่มาตั้งแต่เด็ก เขาเป็นเด็กที่น่าสงสาร เพราะในออสเตรเลียนั้นคนที่มีเชื้อผสมจะไม่ได้รับการยอมรับจากสังคม แต่เด็กคนนี้นั้นมีพลังวิเศษณ์ที่ได้รับการฝึกฝนมากับปู่ของเขาที่สามารถสื่อสารกับสัตว์ และนัลลาห์เองก็มีส่วนที่ช่วยให้ทั้งโดรเวอร์ และซาร่ามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันจนทั้งคู่รักกันในที่สุด ...
แต่ทุกอย่างก็ไม่ได้สวยหรูเมื่อทางรัฐบาลที่มีนโยบายจับตัวเด็กเชื้อผสมเพื่อไปเรียนรู้กิจกรรมทางศาสนา ส่งผลให้นัลลาห์ที่ซาร่ารักราวกับเป็นลูกชายแท้ๆ ถูกจับตัวไป รวมถึงโดรเวอร์เองก็ได้รับหมายเรียกตัวให้ไปช่วยต้อนม้าให้กับกองทหารของออสเตรเลีย ทำให้ทั้ง 3 ต้องพัดพรากจากกัน เมื่อญี่ปุ่นนั้นบุกเข้ามาถึงชายฝั่งของออสเตรเลีย ก็มีเป้าหมายแรกจะทิ้งระเบิดลงบนพื้นที่อันตรายที่นัลลาห์และเด็กๆเชื้อผสมอาศัยอยู่ และก็เริ่มเคลื่อนพลเดินเข้าสู่เมืองดาร์วินพร้อมกับทิ้งระเบิดจนทั้งเมืองพังพินาศ !!! ซึ่งถ้าโชคชะตายังเข้าข้างพวกเขา คงมีแต่ปาฏิหารย์เท่านั้นที่จะทำให้ทั้ง 3 กลับมาพบกันได้อีก ...
วิจารณ์: ทั้งผู้กำกับ และทีมนักแสดงล้วนแต่เป็นชาวออสซี่เกือบทั้งหมด ส่งผลให้องค์ประกอบทุกอย่างดูลงตัว ที่สำคัญตัวผู้กำกับมีความเข้าใจในชื่อหนังอยู่แล้ว ทำให้สามารถถ่ายทอดเรื่องราวออกมาได้อย่างดี มีการโชว์ทิวทัศน์อันงดงาม รวมไปถึงประเพณีต่างๆที่น่าสนใจ หนังมีดำเนินเรื่องอย่างเรียบๆง่ายๆในช่วงแรก และค่อยๆหนักขึ้นเรื่อยๆ ฉากต่างๆที่ควรจะมีก็ใส่เข้ามาครบครัน ไม่ว่าจะเป็นฉากเรียกเสียงหัวเราะที่มีพอประปราย ฉากเลิฟซีน ฉากเรียกน้ำตา ในส่วนของฉากที่ใช้เอฟเฟคช่วยอย่างเช่น ฉากต้อนวัว 1,500 ตัว รวมไปถึงฉากถล่มเมืองก็ทำออกมาได้อย่างสมจริงมากๆ ส่วนฉากที่ผมรอคอย และชอบที่จะดูในหนังแนวๆนี้ก็คือฉากเต้นรำ ที่คู่พระ-นางนั้นดูดีมากๆ โดยเฉพาะพระเอกของเราในตอนแรกปฏิเสธที่จะใส่สูทที่นางเอกเอามาให้ สุดท้ายใส่ออกก็ไปเซอร์ไพส์นางเอกในงาน สลัดคราบคาวบอยด์หนุ่มสุดซ้กม้ก กลายเป็นหนุ่มเจ้าเสน่ห์ที่สาวๆ(ในโรง)ถึงกับร้องฮือกันทีเดียว ^ ^
สรุป: นางเอกสวย พระเอกหล่อ งานด้านภาพงดงาม ดนตรีประกอบซึ้งๆ หนังยาวเกือบ 3 ชม. แค่นี้ก็คุ้มค่ามากๆแล้วครับสำหรับค่าตั๋วที่เสียไป ส่วนตัวคิดว่าไม่ได้เป็นงานระดับคว้ารางวัล หรือเป็นหนังหนักจนเกินไป แต่เป็นหนังที่ค่อนข้างให้ความบันเทิงเป็นหลักซะมากกว่า เป็นหนังที่ผมตีตั๋วเข้าไปนั่งดูคนเดียว แล้วเดินออกมาจากโรงด้วยความจรรโลงใจมากๆ ถึงแม้ไม่ถึงกับเต็มอิ่มเท่ากับบางเรื่องในแนวเดียวกัน แต่ก็เชียร์ให้เพื่อนๆไปดูกันเพราะคิดว่าน้อยคนจริงๆที่คงดูแล้วผิดหวัง ...
Create Date : 30 ธันวาคม 2551 |
|
8 comments |
Last Update : 30 ธันวาคม 2551 21:41:28 น. |
Counter : 7520 Pageviews. |
|
 |
|
อ้อ ขอบคุณมากที่มาอวยพร สวัสดีปีใหม่เช่นกันครับ ขอให้พรที่ให้มากลับไปหาคุณเป็นสิบเท่าเลยน่ะ