ถึงผมจะชอบกินชา...เย็น...ยัง? แต่ผมก็ไม่เคยเย็นชานะครับ ^_____<
|
|||
นิยายระบายความเครียดส่วนตัว บรรยากาศภายนอกหน้าต่างแคบที่เต็มไปด้วยหมอกควัน ล้วนแล้วแต่เป็นมลพิษจากยานพาหนะชนิดแตกต่างกันไป นำพาให้แต่ละคนไปถึงจุดมุ่งหมายที่คาดหวังไว้
แต่ผิดกับผมที่นั่งไปอย่างไร้จุดหมาย
สายลมเย็นพัดลอดช่องหน้าต่างเข้ามาปะทะกับตัวผม ตลอดระยะทางที่รถกำลังเคลื่อนผ่านสถานที่แล้วสถานที่เล่า
ทัศนียภาพที่หลากหลายขึ้นเรื่อยๆมันทำให้ผมไม่สามารถละสายตา จากภายนอกหน้าต่างนั้นได้ แม้แต่ตอนนี้ผมก็ยังคงหันหน้าออกไปมองหน้าต่างอยู่ดี
"นี่ๆแก ดูผู้ชายคนนั้นสิ หน้าตาก็ดีไม่น่าบ้าเลยเนอะ"
"อ้าว แกทำไมไปหาว่าเขาบ้าแบบนั้นล่ะ ฉันเห็นเขาปกติดีหนิ"
"โอ๊ยยแกคนปกติที่ไหน จะมานั่งเหม่อลอยข้างหน้าต่างรถอยู่ได้ทุกวันย่ะ"
"ห๊ะ! แกว่าไงนะ ทุกวันเลยหรอ"
"ก็ใช่นะสิ แต่ไม่ใช่แค่นั้นนะ นั่งจนสุดสายแล้วก็นั่งกลับมาลงที่เดิมเฉยๆนี่แหละ คนดีที่ไหนเค้าทำกัน จริงมะ"
"อืม มันก็จริงอย่างที่แกพูดแฮะ โอ๊ยยยย ฉันละเสียดายหน้าตาหล่อๆไม่น่าจะบ้าเลย"
"เอ๋? ว่าแต่แกเถอะ ทำไมรู้เรื่องเขาดีจังเลยย่ะ แอบมองเขาอยู่บ่อยๆละสิ คิคิ"
"บ้าาาาา ฉันแค่ได้ยินคนขับรถเมล์สายนี้เขาพูดกันมาหลายคนแล้วต่างหาก
วันนี้ฉันเลยพาแกมานั่งรถพิสูจน์กันไง อิอิ "
"อ๋อออออ คิกคิก"
บทสนทนาของหญิงสาวที่นินทาผมอย่างจงใจก็จบลง ตามด้วยเสียงหัวเราะเยาะเย้ยผมเหมือนที่หลายๆคนเคยทำ
แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมละสายตาจากสิ่งที่มองอยู่ภายนอกหน้าต่าง ผมเลือกที่จะเงียบและนิ่งเช่นเดิมเหมือนคนที่กำลังตัดขาดจากโลกภายนอก ไม่รับรู้ ไม่รู้สึก เป็นอากาศธาตุที่อาศัยตัวกลางให้มีชีวิตอยู่ไปวันๆ
แต่จะมีใครสักคนบางไหมที่รับรู้ว่าผมนั่งอยู่ตรงนี้
แล้วเก็บเอาทุกคำพูดมาไว้ในสมอง!!
ประโยคเหล่านั้นของพวกเธอ ผมได้ยินมันอย่างชัดเจน แทบไม่ต้องเสียเวลาในการตีความหมาย
บางทีผมควรรู้ตัวเองโดยไม่ต้องมีใครมาบอก
"ผมมันบ้า"
บ้าที่ไม่เคยยอมปล่อยวางอะไรทั้งสิ้น บ้าที่เลือกจะเก็บทุกอย่างไว้กับตัวเอง
สิ่งต่างๆที่ผ่านมาเข้ามาในชีวิตของผม มันได้ถูกจดจำไว้จนหมดทั้งเรื่องดีและร้าย เหมือนเทปที่พร้อมจะเปิดย้อนซ้ำไปซ้ำมาเสมอ
มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่ทำให้ผมปลดปล่อยมัน ออกไปจากความคิดของตัวเองได้................
โดยไม่รู้ตัวว่าผมนั่งรถเมล์คันนี้เป็นเวลากี่ชั่วโมง แต่แสงแดดเริ่มแปรเปลี่ยนกลายเป็นสีดำ และอีกไม่นานก็คงจะหมดเวลาของผม
~ ตึ๊ง ~
เสียงของประตูรถเปิดดังขึ้นพร้อมกับล้อรถหยุดการเคลื่อนไหว ผมจึงจำใจต้องลุกจากเบาะรถที่นั่งมานานไม่ต่ำกว่า 5 ชม. เดินก้มหน้าลงจากรถเป็นคนสุดท้ายเช่นเดิม ก่อนจะหันหลังกับไปมองรถที่เคลื่อนตัวออกไปไกลสุดลูกหูลูกตา
"หมดเวลาไปอีกวันแล้วสินะ"
ผมก้มลงมองนาฬิกาข้อมือเรือนเดียวที่ติดตัวผมไปทุกที่ กับเศษสตางค์สำหรับค่ารถเมล์เท่านั้นที่ผมเลือกจะพก
ผมเดินทอดน่องไปตามถนนที่ใช้เป็นประจำในการกลับที่พัก และนอนหลับไปอย่างอ่อนล้าทันทีที่หัวถึงหมอน ปล่อยให้วันเวลาไหลผ่านไปอีกวัน โดยที่ผมเหนื่อยและหลับไปเองจนถึงเช้า
********************************* ณ เวลาเดิม
"มานั่งอีกแล้วหรอไอ้หนู"
ลุงกระเป๋ารถเมล์ถามผมหลังจากที่ผมนั่งลงที่เดิมเหมือนในทุกๆวัน จนบัดนี้ที่นั่งริมหน้าต่างฝั่งซ้ายแถวห้ากลายเป็นที่ประจำของผม หรือเหตุผลจริงๆแล้วคงไม่มีใครอยากนั่งแทนที่คนบ้าละมั้ง
"ครับ" ผมตอบและพยักหน้าโดยไม่สบตาแกเช่นเดิม
แล้วหลังจากนั้นผมก็มองออกไปนอกหน้าต่างทันที โดยที่ไม่คิดจะหันกลับมามองข้างในตัวรถด้วยซ้ำ และชีวิตของผมมันก็วนเวียนอยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนผมเองยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันจะจบลงเมื่อไหร่
แต่ที่รู้วันนี้คือผมมีความสุขที่จะทำ
********************************* 1 เดือน ณ เวลาเดิม
"นี่ไอ้หนู ลุงถามจริงเถอะ เอ็งมานั่งรถเมล์อย่างนี้ทำไมทุกวัน ข้าเห็นเอ็งทำแบบนี้มาเป็นเดือนแล้ว?"
อยู่ๆลุงกระเป๋ารถเมล์ก็เดินมานั่งลงข้างๆผม ทั้งที่เบาะตรงนี้มันว่างมาแทบจะหนึ่งเดือน ด้วยคำถามมันเลยทำให้ผมต้องหันไปหาแล้วตอบแก
"แต่ก่อนที่ผมจะตอบลุง ผมขอถามลุงก่อนได้ไหม รถเมล์สายนี้มันสิ้นสุดที่ไหนครับ"
พอสิ้นคำถามของผม ลุงแกก็ทำหน้าเหมือนเห็นผีคุยได้ยังไงไม่ผิด ทั้งที่คำถามของผมมันก็ไม่ได้พิศดารอะไร - -
"อะ เอ็งอย่าบอกนะว่า ที่เอ็งนั่งรถมาเป็นเดือนเนี่ยไม่รู้ว่ามันสุดสายที่ไหน!!"
ลุงแกจะทวนคำถามของผมเพื่ออะไรกันแน่ทั้งที่ตัวเองก็ได้ยินมันแล้วแท้ๆ
"............." ผมพยักหน้าขึ้นลงหลายทีและกำลังเฝ้ารอคำตอบ แต่ถึงยังไงผมก็ไม่กล้าสบตาของแกเช่นเดิม ได้แต่เฉไฉมองทางอื่น
"ฮะๆๆ นี่ข้ากำลังคุยกับคนบ้าจริงๆใช่ไหมเนี่ย" แล้วแกก็หัวเราะอย่างเอาเป็นเอาตาย ตกลงผมคงไม่ได้คำตอบใช่ไหม?
"........." ผมเงียบและหันหน้าเข้าหน้าต่างเหมือนที่เคยทำ
"เฮ้ยๆๆ อย่าพึ่ง รถเมล์คันนี้วิ่งไปถึงสวนผึ้งมันก็สุดสายล่ะ
หื้อ ที่แกไม่ลงสักทีเพราะไม่รู้ว่ารถเมล์มันจะไปถึงที่ไหนงั้นหรือวะ"
คำตอบมันคือใช่และไม่ใช่ผมเลยพยักหน้าไปหนึ่งที ก่อนจะส่ายหัวไปอีกหนึ่งที
"อะไรของแกวะ ทั้งพยักหน้าทั้งส่ายหัว มันทำข้ามึนนะโว้ยยยย แกอย่าพาข้าบ้าไปอีกคนสิวะ"
แกเกาหัวตัวเองอย่างมึนๆแล้วเปลี่ยนเอามือมานวดขมับทั้งสองข้าง ภาพนั้นทำเอาผมอดยิ้มไม่ได้เลยแฮะ นี่ผมจะทำบาปไหมครับ ทำให้คนแก่ปวดหัวแบบนี้เนี่ย ^^"
"เฮ้ยยย!! ไอ้หนูแกยิ้มหรอวะ เมื่อกี้!!!" อยู่ๆดีลุงแกก็เกิดบ้าอะไรขึ้นมาไม่รู้ครับ ลุกขึ้นชี้หน้าผมแล้วร้องตะโกนว่าผมยิ้มจนคนทั้งรถหันมามอง ส่วนผมก็รีบหุบยิ้มแล้วก้มหน้ามองตักตัวเองไม่กล้าสู่สายตาของคนบนรถ อายอ่ะ - -
"เออๆ ไม่ต้องอาย ขอโทษเมื่อกี้ข้าตกใจไปหน่อยที่เห็นเอ็งยิ้ม" เหมือนลุงแกจะสำนึกได้ว่าตัวเองกำลังโอเว่อร์เกินเหตุถึงได้นั่งลงข้างๆผมอีกครั้งก่อนจะยกมือของแกลูบหัวผมเบาๆ
มืออุ่นๆที่ลูบหัวผมของแกมันทำให้ผมใจชื่นขึ้นมาได้ เลยเงยหน้าขึ้นมาจากตักของตัวเอง
"เอ็งยิ้มแล้วสดใสดี ทำไมไม่ยิ้มบ่อยๆวะ ข้าเห็นเอ็งทีไหร่นึกว่าคนแบกโลกไว้ทั้งโลก
ทำหน้ายังกะคนขี้ไม่ออกมาสามเดือน" คำพูดของแกมันทำให้ผมยิ้มออกมาได้อีกครั้ง ยิ้มของผมมันสดใส(?) ถึงแม้จะเป็นคำโกหกแต่ผมรู้สึกดี อย่างน้อยยังมีคนเห็นผมนั่งอยู่ตรงนี้แลัวคนหนึ่ง
"ลุงถามคำถามผมเยอะมาก จนผมไม่รู้จะตอบคำถามไหนดีแล้วนะเนี่ย ^^" แล้วผมก็ยังคงยิ้มต่อไปเรื่อยๆ ตราบใดที่มีคนเห็นค่าของมัน
"เอออารมณ์ดีแล้วสิไอ้หนู มีกวนตีนกลับด้วยนิ เอาที่ข้าอยากรู้ที่สุดก่อนละกัน เอ็งนั่งรถเมล์ทำไมทุกวัน" ลุงแกใช้เสียงเข้มๆดูจริงจังเหมือนตอนนี้ผมกำลังถูกสอบสวนให้ยอมรับความผิดเลยครับ เนี่ยถ้าผมตอบไม่ถูกใจจะขังลืมผมไปหรือเปล่าอ่ะ -*- จริงจังเกินไปไหมลุง
"อ้าว ผมนั่งรถเมล์ทุกวันมันผิดกฎหมายด้วยหรอ พึ่งรู้นะเนี่ย พอดีไม่ได้เรียนกฎหมายซะด้วยแฮะ"
"โป๊ก!!...โอ๊ยยย เจ็บนะลุง" แกให้ผมกินมะกอกครับ เจ็บอ่ะ มือหนักสุดๆเลยนะลุงเนี่ย ผมได้แต่ลูบหัวตัวเองปรอยๆนั้นแหละครับ เผื่อมันจะหายเจ็บเร็วขึ้น
"โทษฐาน กวนตีน" แล้วแกก็ลอยหน้าลอยตาตอบหน้าตาเหมือนคนที่ทำผมเจ็บไม่ใช่แก แต่เป็นตัวผมเองที่หาเรื่องเอาหัวไปชนกับมะเงกของแกเอง - - คนแก่บางทีก็เข้าใจยากกว่าวัยรุ่นแฮะ
"ตอบมาจริงๆสักทีสิวะ ข้าลุ้นจนฉี่เหลืองแล้วเนี่ย" เอ่อ แกอยากรู้เรื่องของผมมากขนาดนี้เลยหรือครับ ผมควรจะเล่าให้แกฟังได้แล้วสินะ
"ลุงเคยมีเรื่องไม่สบายใจไหม" ผมถามเพื่อจะเข้าเรื่องนะ ไม่ได้คิดจะเฉไฉไปเรื่องอื่น อย่ามองผมแบบจะฆาตกรรมกันอย่างนั้นดิลุง
"เคย"ง่ะ เสียงห้วนมากอะ
"แล้วลุงมีวิธีจัดการกับมันยังไงอะ" ลุงแกก็ยังมองผมแบบเดิม แต่ยังดีที่แกตอบอะนะ
"ข้าก็กลับบ้านไปใช้เวลาอยู่กับลูกกับเมีย ไม่ก็ระบายให้เมียข้าฟังนะสิวะ" แกตอบคำถามผมแล้วยิ้มไปด้วยเหมือนคนที่มีความสุขเวลาคิดถึงครอบครัวตัวเอง เฮ้อ ผมซักอิจฉาลุงแล้วสิ ที่ได้อยู่ใกล้ชิดกับครอบครัวตัวเองแบบนี้ T.T
"และนี่แหละเป็นวิธีจัดการกับความไม่สบายใจในแบบของผม"
"ยังไงวะ" ถามแบบนี้ดูเหมือนจะต้องเล่ายาวแล้วละครับ
"ลุงรู้ไหมว่าเส้นทางที่รถกำลังเคลื่อนไปข้างหน้ามันจะมีอะไรเกิดขึ้น" ผมพูดและหันออกไปนอกหน้าต่าง
"ไม่รู้วะ พอดีไม่ใช่หมอดู" เอ่อ ลุงครับผมเข้าโหมดจริงจังอยู่นะ อย่ามาเล่นมุขคาเฟ่แป้กๆแถวนี้ได้ไหม - - ผมไม่สนใจและตั้งใจเล่าต่อ
"นั้นสิครับ ไม่มีใครรู้ว่าทางข้างหน้าจะมีอะไร เหมือนกับชีวิตของคนเราที่กำลังก้าวต่อไปเรื่อยๆโดยไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นเหมือนกัน " ผมหยุดเล่า สูดเอาอากาศอันบริสุทธิ์จากทุ่งหญ้าข้างทางจนชุ่มปอด แล้วกับมาเล่าต่อ
"เวลาที่รถเคลื่อนผ่านไปในแต่ละที่ มันไม่มีอะไรสามารถคาดการณ์ได้ บางทีฝนตก บางทีแดดก็ออกจนร้อนไปหมด หรือบางทีมันก็หนาวจนต้องห่อตัวเอง แล้วถ้าเจอเห็นการณ์แบบนั้นรถจะหยุดจอดไหมครับ" ผมหันไปถามคนที่ตั้งใจฟังผมเล่าอยู่ข้างๆ
"อืม มันคงไม่จอดหรอก ถ้าน้ำมันไม่หมดหรือเครื่องพัง แล้วก็ถึงที่ปลายทางพอดี" ผมยิ้มให้คำตอบของลุงเมื่อได้ยินคำว่าปลายทาง นั้นสินะ
แล้วปลายทางของผมมันจะถึงเมื่อไหร่
แล้วเมื่อไหร่อีกเช่นกันล่ะที่ผมถึงจะได้หยุดจากการเดินทางไปสู่จุดหมายของชีวิตสักที
"นี่ไงล่ะลุงที่ผมต้องนั่งรถเมล์ของลุงทุกวัน เพราะผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่อยากจะไปให้ถึงปลายทางที่ว่านั้นสักครั้งหนึ่งนะสิ"
"อืมข้าเริ่มเข้าใจเอ็งแหละไอ้หนู แต่ข้ายังสงสัยว่าทำไมแกต้องนั่งเหมือนคนหมดอาลัยตายอยาก นั่งติดขอบหน้าต่างอยู่ได้ทุกวันว่ะ"
"ผมไม่รู้ว่าคนอื่นจะเป็นเหมือนผมไม่นะ แต่ผมมีความสุขทุกครั้งที่ได้นั่งรถ มันเหมือนมีแรงฉุดดึงให้ผมเคลื่อนที่ไปข้างหน้าโดยไม่ต้องใช้แรงตัวเอง ผมสามารถปล่อยความคิดให้ลอยไปกลับสายลมที่ไหลผ่านไปด้านหลังตามวิถีทางที่รถเคลื่อนที่ไป มองภาพข้างทางที่ปรับเปลี่ยนแบบคาดเดาไม่ได้
ผมไม่ต้องใช้ความคิดอะไรให้มากมายว่าทางเดินข้างหน้าผมจะต้องเป็นแบบไหนหรือต้องกำหนดให้มันเป็นแบบที่ใครๆต้องการ ผมแค่นั่งมองอยู่ตรงนี้ มองสิ่งรอบตัวที่ไหลผ่านไปเรื่อยๆโดยไม่ต้องทำอะไร มันเหมือนผมได้มีช่วงระยะเวลาหนึ่งที่ไม่ต้องใช้สมองในการคิด ได้ชำระล้างความคิดที่สะสมมาตลอดทั้งวันหลุดลอยไปกับสายลม ปลดปล่อยแทนการระบายกับคนอื่นที่ผมไม่เคยคิดที่จะเอาปัญหาของตัวเองไปให้ใครฟัง
ผมกลัวว่าการเอาเรื่องไม่ดีของเราไปให้คนอื่นรับรู้เขาจะรู้สึกไม่ดีตามไปด้วย แต่ถ้าหากผมจะเก็บมันไว้คนเดียว ผมก็กลัวว่าวันหนึ่งผมจะได้กลายเป็นคนบ้าแบบที่คนบนรถเมล์คันนี้เคยตราหน้าไว้เหมือนกัน
นี่แหละคือวิธีปลดปล่อยความเครียดของผม คราวนี้ผมคงตอบคำถามของลุงทุกข้อสงสัยได้หมดแล้วนะครับ :D" ประโยคยืดยาวที่ผมพูดออกมารอบเดียวจบ พอยิ่งได้พูดก็ยิ่งหยุดไม่ได้ เหมือนใจของผมที่ลึกๆแล้วอยากจะมีใครมานั่งฟังในสิ่งที่ผมอยากจะเล่า อยากให้รับรู้ในมุมมองของผมบ้างก็เท่านั้นเอง ผมไม่รู้หรอกว่าลุงแกจะฟังเรื่องที่ผมเล่าจนจบหรือเปล่า เพราะตลอดเวลาที่ผมเล่าผมไม่เคยหันหน้าออกจากหน้าต่างแม้แต่น้อย มันเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ผมรับรู้ว่านั้นเป็นความสุขของผม ^^
"งั้นลุงก็ขอโทษด้วยนะที่เคยมองว่าเอ็งเป็นคนบ้า จริงๆแล้วแต่ละคนมันมีวิธีกำจัดความเครียดไม่เหมือนกัน
วิธีของเอ็งก็ดีนะข้าว่า
'งั้นข้าก็ขอให้เอ็งพบปลายทางที่หวังไว้เร็วๆแล้วกัน'"
ผมหันหน้าไปหาแกทันทีที่แกพูดจบ ใจที่ฟองตัวอย่างช้าๆเมื่อรู้ว่าอย่างน้อยก็มีคนนั่งฟังเรื่องของผมจนจบ ผมเห็นลุงแกยิ้มให้ผมอย่างอบอุ่น จนผมเลิกกลัวที่จะสบตากับใครไปซะสนิทเลย ผมสบตากับแกเป็นครั้งแรกตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือนบนรถเมล์สายนี้ที่ผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสุดสายมันคือที่ไหนถ้าไม่มีใครสักคนมองเห็นว่าผมนั่งอยู่ตรงนี้ผมก็ไม่วันที่จะรับรู้ได้เลย ^______________^
"สาธุ!!!! ขอให้สมพรปากนะลุง" ผมไหว้ขอบคุณแกสำหรับทุกอย่าง ไม่ใช่แค่คำอวยพรเท่านั้นหรอกครับ แต่คำอวยพรมันคือของแถมต่างหาก
"กวนตีน!!!!" ลุงแกเลยใจดีแจกของแถมผมเพิ่มอีกแล้วคร้าบบบบ
"555555" เสียงหัวเราะที่ดังสนันไปทั่วทั้งรถของเราสองคนดังขึ้น พร้อมกับเสียง
~ตึ่ง~
เสียงประตูรถเปิดที่บ่งบอกว่า
"หมดเวลาของผมไปอีกวัน"
แต่วันนี้ผมกลับยิ้มได้กว้างที่สุดอีกวันหนึ่ง ที่จะทำให้ผมได้จดจำสิ่งดีๆเข้าไปในสมองได้อีกนาน แสนนาน
ผมก้าวลงจากรถเป็นคนสุดท้ายเช่นเดิม และยังยืนมองดูรถเคลื่อนที่ไปไกลสุดตา แต่วันนี้มันพิเศษกว่าทุกวัน ผมยืนโบกมือให้ใครอีกคนบนรถที่ผมนั่งมาตลอด1เดือน ผมเดินกลับไปที่พัก และหลับตาลงนอนด้วยรอยยิ้มที่แทบจะไม่ได้หุบทั้งคืน
สุดท้ายผมไม่รู้หรอกครับ ถนนชีวิตของผมเส้นนี้จะมีอะไรเกิดขึ้นบาง รถของผมจะมีพลังไปได้ไกลแค่ไหน แต่ผมก็จะไม่ยอมแพ้ที่จะเดินทางตามหาปลายทางมันต่อไป
เหมือนที่วันนี้อย่างน้อยผมก็รู้แล้วว่ารถเมล์ที่ผมนั่งมันสุดสายที่ไหน
**************************
ณ เวลาเดิม รถเมล์คันเดิม และที่นั่งก็ยังเป็นที่เดิม
"เอ่อ ขอโทษนะครับ ตรงนี้มีคนนั่งไหมครับ" ผมหันหน้าออกจากหน้าต่างกลับเข้าไปในรถตามเสียงชายที่คุยกับผม ที่นั่งข้างๆผมก็ยังคงว่างเช่นเดิม แต่วันนี้เหมือนมันจะไม่ว่างแล้วครับ :)
"อ๋อ ไม่มีครับ" สิ้นเสียงของผมชายคนนั้นก็นั่งลง หมดหน้าที่ของผมแล้ว ผมก็มองออกไปข้างนอกหน้าต่างที่สายลมเย็นพัดผ่านเข้ามาให้ผมได้สัมผัสถึงบรรยากาศภายนอกที่เย็นสบาย
อ่าาาาา ผมมีความสุขจังเลยครับ
********************THE END************************
ได้ข้อคิดไปอีกแบบ ดีมากเลย^^
โดย: miyukik IP: 110.49.237.36, 141.0.10.102 วันที่: 21 เมษายน 2555 เวลา:15:52:37 น.
ความเดิมตอนที่แล้ว
"เอ่อ ขอโทษนะครับ ตรงนี้มีคนนั่งไหมครับ" "อ๋อ ไม่มีครับ" . . . จุดเริ่มต้นของจุดเปลี่ยน (?) ********************************************* หยดน้ำกระจายตัวเป็นสายภายนอกหน้าต่าง กลิ่นหอมของไอดินเปียกชื่นลอยกระทบปลายจมูก ความสดชื่นเกาะขอบกระจกแน่นจนอดสัมผัสไม่ได้ มือซ้ายถูกเอื่อมไปแตะบานกระจก มือขวาวางกั้นกลางระหว่างคนสองคน มือซ้ายเย็นชืด แต่มือขวากับอบอุ่น.... ความเย็นที่รับรู้ที่มาไม่ได้ทำให้ตัวแข็งทื่อเท่าความอบอุ่นที่ได้รับ ผมนั่งตัวเกร็งโดยอัตโนมัติเมื่อรู้สึกว่ามือข้างขวาที่วางอยู่ในตัวรถมีบางสิ่งกำลังไม่ปกติ จากมือที่เคยเป็นอิสระผูกพันธการด้วยความอบอุ่น ความอบอุ่นที่ได้มาจากใครอีกคน ? ผมรับรู้ถึงสัมผัสแผ่วเบาบนมือขวาจากมืออีกคู่ที่ทาบทับลงมาโดยที่ไม่ต้องหันกลับไปมอง เอาเข้าจริงๆแล้วผมเองต่างหากที่ไม่กล้าหันกลับไปมอง ผมไม่รู้ว่าตัวเองควรจะทำหน้ายังไง ถ้าต้องบอกให้อีกคนปล่อยมือคู่นี้ออกไปหรือแม้กระทั้งจะถามว่าเขาทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร ? จังหวะการเต้นของหัวใจผมกำลังเปลี่ยนแปลง ลมหายใจที่เริ่มติดขัดจากการประหม่า มือที่เกร็งเริ่มเปียกชื่น ตัวสั่นอย่างไม่ได้ตั้งใจ ผมกลัวสัมผัสของคนแปลกหน้า !! " คุณกำลังกลัวผมเหรอครับ " เขาคงสัมผัสถึงความกลัวของผมได้แต่กลับไม่ยอมปล่อยมือซ้ำยังกุมไว้แน่นยิ่งกว่าเดิม " .................... " ผมเงียบเพราะไม่รู้ว่าควรจะต้องตอบยังไงถึงแม้คำตอบมันจะใช่ก็ตาม แต่ผมกลับแคร์ความรู้สึกของคนฟังมากกว่า " ขอโทษที่ทำให้กลัว ผมก็แค่ไม่อยากให้คุณรู้สึกว่ากำลังนั่งอยู่คนเดียว " " ................... " ไม่อยากให้รู้สึกว่านั่งอยู่คนเดียว ? เหมือนประโยคนี้จะเป็นยาวิเศษที่ทำให้อาการทั้งหลายของผมหายไปทันที เลยอดที่จะหันหน้าไปมองเจ้าของยาวิเศษนี้ไม่ได้ ไม่จริงใช่ไหม ร่างกายของผมกำลังยอมรับสัมผัสจากมือคู่นี้ งั้นแสดงว่าเขาจะไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับผมงั้นสิ ? ช่วงจังหวะหนึ่งที่เราสบตากันโดยบังเอิญมันทำให้ผมหลบตาแทบจะทันที ผมไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาทำ ผมกำลังสับสน ผมไม่รู้ว่าทำไมถึงไม่อยากดึงมือออกมา หรือเพราะลึกๆแล้ว ผมกำลังรอใครสักคนที่จะร่วมเดินทางไปกับผมกันแน่.... ใครคนนั้นจะใช่คนที่กำลังจับมือผมอยู่หรือเปล่านะ !? ผมหันเข้าหน้าต่างที่ปิดสนิทอีกครั้ง ทิ้งตัวพิงเบาะรถ หลบตาลงอย่างเชื่องช้า กระชับมือที่ถูกพันธนาการแน่น ปล่อยใจให้ตัวเองจมไปกับนินทราครั้งแรกกับการนั่งรถคันนี้ แต่ก่อนที่ผมจะหลับลึกเกินกว่าจะรู้สึก หัวของผมถูกโอบให้พิงบนไหล่กว้าง ผมที่หล่นมาปกหน้าถูกลูบขึ้นอย่างเบามือ ผมกระเถิบเบียดเข้าหาความอบอุ่นจากร่างแข็งแรง ปล่อยให้ความอบอุ่นค่อยๆคืบคลานเข้ามาในหัวใจ ถ้าพรุ่งนี้เบาะข้างๆตัวผมจะว่างเปล่า ผมก็จะไม่เสียใจเลยสักนิด เพราะวันนี้... ผมไม่ได้นั่งอยู่คนเดียว ผมไม่ได้เหงาอยู่คนเดียว และผมไม่เดินทางเพียงคนเดียว ผมอมยิ้มให้กับโชคซะตาของวันนี้ ขอบคุณอีกครั้งที่ทำให้มีคนมองเห็นผม ขอบคุณที่เข้าใจความเหงาของผมโดยที่ผมไม่ต้องขอร้องให้ใครรับรู้ ขอบคุณที่ไม่อยากให้ผมต้องอยู่คนเดียว ~ตึ๊ง~ เสียงประตูเปิดที่เรียกสติของผมให้ตื่นจากนินทรา แต่ผมกลับนั่งนิ่งอยู่ท่าเดิมพร้อมกับเปลือกตาที่ไม่ยอมเปิดขึ้น จะว่าอะไรไหม ถ้าผมจะแกล้งหลับ เพื่อยืดเวลาออกไปอีกนิด " ผมชื่อณคุณ " อยู่ดีๆ เขาก็พูดทำลายความเงียบขึ้นมาหลังจากที่ล้อรถหยุดหมุนมาได้สักพักและล่องลอยความอบอุ่นที่มือมันเหลือเพียงจางๆ ผมจำต้องผละจากไหล่กว้างแล้วพยักตอบกลับไป " ส่วนผมชื่อกันไกล " ผมยิ้มกว้างที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยไม่รู้เหตุผลว่าทำไมเหมือนกัน แต่เท่าที่รู้คือผมอยากยิ้มให้เขาคนนี้ " ชื่อน่ารักดีหนิ " แล้วเขาก็ยิ้มตอบกลับผมมาชนิดที่กว้างไม่แพ้กัน จนผมทำอะไรไม่ถูก หน้าและหูมันร้อนไปหมด " ต้องไปแล้ว เจอกันอีกนะ " เขาและผมเดินลงรถเมล์มาตั้งแต่เมื่อไหร่แทบไม่รู้ตัวเลย จะมารู้ตัวอีกครั้งก็ตอนที่เขาบอกว่าต้องไปแล้วนี่แหละ เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่าทำไมเวลาของผมวันนี้มันช่างสั้นเสียจริง ถ้าผมไม่เจอณคุณผมจะรู้สึกแบบนี้ไหมนะ " แล้วเจอกัน " ผมตอบไปทั้งที่ใจก็แอบเหงาขึ้นมาอย่างประหลาดจนผมเองเริ่มกลัวและหวังอย่าให้โรคโฮมซิกของผมกำลังกำเริบอีกเลย ผมกลัวการอยู่คนเดียว ผมยืนมองแผ่นหลังกว้างจนสุดสายตา ก่อนจะหันหลังเดินไปที่พักเช่นเคย ผมหลับตาลงด้วยใจที่ยากเกินกว่าจะอธิบาย ใบหน้าหล่อเหลาของคนพึ่งพบเจอวนเวียนมาให้เห็น มือที่ถูกกุมยกขึ้นมาอย่างลืมตัวความอบอุ่นยังหลงเหลือให้พอสัมผัสได้ จะแปลกไหม ถ้าเขาเป็นคนแรกที่ได้สัมผัสตัวผม นอกจากพ่อกับแม่ของผมเอง แต่นั้นมันทำให้ผมคิดถึงพ่อกับแม่ที่อยู่บนฝากฟ้าเหลือเกิน ยังดีที่ความหมายของชื่อทำให้ผมบรรเทาความเหงาลงได้บ้าง เพราะคงไม่มีใครที่อยากจะห่าง "กันไกล" เช่นเดียวกับวันนี้ที่กันไกลได้มีเพื่อนร่วมทางบนรถเมล์อย่างณคุณ **********************The end************************** โดย: love O_F jung@inkly
![]() เคยไหมเวลาที่คุณกำลังเจ็บปวดจนแทบทนไม่ไหว แต่คนปลอบใจกลับบอกให้เรา'ยิ้ม'สู้กับมัน
เมื่อกลับมานึกถึงความเป็นจริง แค่จะทำหน้าตาให้เรียบเฉยก็เป็นอะไรที่แทบจะทำไม่ได้เลย แล้วยิ้มของผม มันจะทำได้หรือเปล่า! " อย่าเครียดไปเลย ยิ้มหน่อยเถอะน่า" เพื่อนสนิทเพียงคนเดียวที่ผมเปิดใจให้ เอ่ยขึ้นด้วยท่าทางร่าเริงตามแบบฉบับของมัน รอยยิ้มที่สดใสไม่ต่างอะไรกับดวงอาทิตย์ของรุ่งอรุณ มันทำให้ผมต้องเบือนหน้าหนีด้วยความอิจฉา ผมยิ้มแบบมันไม่ได้! ยิ้มทั้งที่ในใจของผมมันกำลังร้องไห้ " หากคิดจะปลอบใจ อย่าบอกให้กูยิ้ม! จะได้ไหม " แล้วผมก็เดินมุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่ผมทิ้งมันมาร่วมเดือน **************************************************** " เจอกันอีกแล้วนะ " เสียงของคนที่ครั้งหนึ่งทำให้ผมรู้สึกเหมือนมีใครอยู่เคียงข้างดังขึ้นจากเบาะว่างข้างตัวผม แต่ผมกลับเลือกที่จะเงียบในเมื่อผมไม่มีความเข้มแข็งพอที่จะยิ้มให้ใคร แม้แต่เพื่อนสนิทเพียงคนเดียว " ช่วงนี้หายไปนานเลยเนอะ นึกว่าเลิกนั่งรถเมล์ไปแล้วซะอีก " ผมหันไปมองหน้าเขาแว๊บเดียวจริงๆก่อนจะหันหน้าเข้าหน้าต่างอีกครั้ง หลังจากที่ได้ยินประโยคที่ยากจะเดาได้ว่ามันเป็นคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบหรือแค่คำบอกเล่าที่แสดงให้เห็นว่าเขามานั่งรถเมล์รอผม แล้วเขาจะรอผมไปเพื่ออะไร ? แต่ใจเจ้ากรรมดันเต้นไม่เป็นจังหวะ " .............................. " ผมเงียบและเขาก็เงียบจนเวลามันล่วงเลยไปไม่รู้เท่าไหร่ แต่รถที่ขับเคลื่อนเดินทางมาถึงครึ่งทาง " อยากร้องไห้บ้างหรือเปล่า " เสียงเรียบนุ่มที่เอ่ยขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำเอาผมอดหันไปมองหน้าเขาอย่างเสียไม่ได้ แต่พบว่าเขาพูดขึ้นทั้งๆที่หลับตา! ผมเผลอจ้องใบหน้าคมอย่างไม่เข้าใจ " ไม่ต้องห่วงว่าใครจะเห็น ในเมื่อผมเองก็จะหลับตา " เขาไขข้อสงสัยด้วยประโยคเพียงประโยคเดียวที่เขาพูดยังไม่ทันจบ น้ำตาของผมก็ไหลออกมาจากตาทั้งสองข้างอย่างไม่ขาดสาย ไม่เคยมีใครเข้าใจผม ไม่เคยมีใครถามผมว่าอยากร้องไห้หรือเปล่า ไม่เคยมีใครรู้ว่าผมไม่ต้องการให้คนอื่นสมเพชกับน้ำตาของผม และไม่เคยมีใครรู้ว่าผมไม่ได้ต้องการอยู่'คนเดียว'เลยเวลาที่เสียใจ! ผมโหยหาคนปลอบใจ โดยที่ไม่ได้ร้องขอ โหยหาการโดนปลอบ โดยที่ไม่ได้เกิดจากความสมเพช " อึก ฮืออ " ผมร้องไห้หนักขึ้นเรื่อยๆ จนไม่สามารถกลั้นเสียงสะอื้นเอาได้ไว้ ทั้งที่กัดปากตัวเองจนเจ็บไปหมด สองมือที่ประสานกันไว้บนหน้าตักกุมกันแน่นขึ้นจนเริ่มแดง " ฮือออออออ ฮือออออ " ผมเริ่มคุมตัวเองไม่ได้ เผลอร้องไห้เสียงดังอย่างไม่กลัวว่าคนอื่นจะได้ยิน สายตาหันไปมองคนข้างตัวที่ยังหลับตานิ่ง เขาหลับตาเพื่อผม ผมเจอใครคนนั้นแล้ว เป็นเขาไม่ผิดแน่! " ละ ลืม อึก ตาได้แล้ว " ผมบอกเขาทั้งๆที่สะอื้นจนพูดแทบไม่เป็นคำ " เชื่อใจผมแล้วใช่ไหม " เขายกมือประคบหน้าของผมให้หันมาสบตาผ่านม่านหมอกน้ำตาที่บดบังการมองเห็น แต่ผมกลับเห็นถึงความอบอุ่นในตาคู่นั้นอย่างแจ่มชัด นิ้วหัวแม่มือไล่เช็ดคาบน้ำตาอย่างแผ่วเบาเหมือนผมกำลังถูกทะนุถนอม ไล่มาหยุดบนมุมปากที่ยิ้มทั้งน้ำตา ใบหน้าร้อนทุกสัมผัสที่มือคู่นี้เคลื่อนผ่าน "............................."ผมยกมือขึ้นทาบมือของเขาแล้วพยักหน้าขึ้นลง ผมเชื่อใจเขา ผมไม่กลัวที่เขาจะเห็นน้ำตา " เป็นผมทุกครั้งได้ไหมที่จะเห็นน้ำตาของคุณ ! " มาถึงตอนนี้ผมอยากจะเบือนหน้าหนีจากสายตาแพรวพราวตรงหน้า ใบหน้าที่แดงกำลังเดือดได้ที่ อุณหภูมิร้อนกำลังลามไปถึงหู แต่มือแกร่งดันยึดไว้แน่นเมื่อผมเริ่มขยับ เลยรีบพยักหน้าไปอีกที " พยักหน้าอะไรครับ ผมอยากได้ยินจากปากคุณต่างหาก " ไม่คิดว่าเขาจะมีมุมเจ้าเล่ห์แบบนี้ ผมแน่ใจว่าเขารู้ว่าผมเขินแต่ก็ไม่วายจะให้ผมพูดมันออกมา " ดะ.... " ผมกำลังจะพูดว่า 'ได้' แต่ถ้าไม่ได้ยินเสียงนี้ขึ้นมาก่อน ~~~ตึ่ง~~~ เสียงประตูรถเมล์ที่บอกถึงเวลาลงดังขึ้น ราวกับช่วยให้ผมหลีกเลี่ยงจากคำพูดที่ชวนให้หัวใจวายจากความเขินเสียให้ได้ ทำให้ผมต้องรีบกลืนคำพูดลงคออย่างรวดเร็ว และอาศัยช่วงเวลาที่เขากำลังอึ่งนี้จับมือเขาลงทันที หึหึ รอดอย่างหวุดหวิด~~ " คุณครับสุดสายแล้วนะครับ ลงได้แล้วครับ " เสียงคนขับรถเมล์หนุ่มคนใหม่ที่ผมก็ไม่แน่ใจว่ามาทำงานแทนลุงคนเดิมตอนไหน แต่คิดว่าคงเป็นช่วงที่ผมหายไป เดินเข้ามาไล่ให้พวกผมลงจากรถสักที เขาเลยเหมือนจะได้สติหันมามองหน้าผมอย่างคาดโทษที่อาศัยช่วงชุลมุน ยิ้มล้อเลียนเป็นลิงหลอกเจ้าอยู่ตอนนี้ " อ้าวไม่ลงหรอคุณ เขาไล่แล้วนะ " ผมเร่งไฟเข้าไปอีกนิด โบราณว่าคนล้มอย่าข้าม ให้เหยียบซ้ำ (หรือเปล่า) " ฝากไว้ก่อนเถอะ พรุ่งนี้จะทำให้เขินจน 'แดงไปทั้งตัว 'เลย " เขาคาดโทษผมไว้ก่อนจะเดินลงจากรถไป ทิ้งให้ผมนั่งอึ้งกับคำคาดโทษที่ดูจะมีอะไรผิดปกติอยู่นะ แดงไปทั้งตัว คำพูดเขาดูแปลกๆไปนะผมว่าดูติดเรทยังไงชอบกล ว๊ากกกก หรือว่า เขาจะ......... " บ้าาาาาา " ผมตะโกนไล่หลังเขาไปอย่างลืมตัว หน้าที่ร้อนต้องแดงไปถึงหูแน่ๆ คนบ้าขยันทำให้เขินซะจริง - -! " หึหึ พรุ่งนี้อย่าลืมนะครับ เดี๋ยวเจอกัน " ***************** THE END ********************* รถเมล์สายนี้สุดท้ายก็เดินทางจนมาถึงจุดสิ้นสุดสักที เหมือนกับผมที่เดินทางจนได้มาเจอกับใครสักคนที่เข้าใจผม จนสุดท้ายเราทั้งสองก็ได้ร่วมเดินทางไปบนถนนสายเดียวกัน ต่อไปนี้ที่วางข้างตัวผมคงจะไม่ต้องวางอีกต่อไป!! :) โดย: love O_F jung@inkly
![]() สวัสดีครับ ความเครียด
โดย: B IP: 103.5.27.101 วันที่: 5 เมษายน 2556 เวลา:16:25:12 น.
|
love O_F jung@inkly
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() Group Blog All Blog | ||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |