Group Blog
 
All blogs
 

ขับรถเที่ยว SOUTH AFRICA ตอนที่ 3 - สัมผัสแรกที่เคปทาวน์

ดีใจที่ได้เจอกันอีกครั้งนะ...เคปทาวน์


ไม่ว่าจะรักหรือจะเกลียด CAPE TOWN (เคปทาวน์)  หนึ่งในเมืองที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของโลก จะอยู่ในความทรงจำของคุณเสมอ พิสูจน์ได้จากการที่ "MOTHER CITY" แห่งนี้ได้รับการโหวดจากนิตยสารท่องเที่ยวชื่อดังของโลกให้เป็นมืองท่องเที่ยวอันดับหนึ่งของโลก เมื่อไม่นานมานี้


เคปทาวน์ไม่ใช่เมืองที่ปลอดภัยที่สุดในโลก หรือหรูหราฟู่ฟ่าที่สุด --- ไม่ใช่เลย ความเป็นจริงวันนี้ มันยังดูห่างไกลจากคำนิยามเหล่านี้มาก


แต่เคปทาวน์ คือหนึ่งในเมือง ที่ทั้ง "โดน" และมีสเน่ห์มากที่สุดเมืองหนึ่ง ในใจของใครๆหลายๆ คน รวมทั้งผมด้วย






แค่สถาที่ตั้งหน้าทะเล หลังภูเขา (เทเบิลเมาเท่นส์) ก็ถูกตามหลักฮวงจุ้ยแล้ว นักเดินทางผู้คร่ำหวอดไปมาแล้วเจ็ดย่านน้ำ ก็ยังคงอดชื่นชมในความงามของที่ตั้งของเมืองแม่ "เคปทาวน์" นี้ไม่ได้





ภูเขาหัวตัดเทเบิลเมาเท่นส์นั้น ไม่ว่าอยู่มุมไหนของเมืองคุณก็จะสามารถมองเห็นมันได้ ภูเขาสูงทะมึนนับพันเมตรที่เพียงแค่นั่งกระเช้าขึ้นไปในเวลาเพียงไม่นาน คุณก็จะได้พบกับโลกธรรมชาติอีกโลกหนึ่งที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับความวุ่นวายของเมืองเบื้องล่าง เกริ่นมาจนเยิ่นเย้อ...เพียงเพื่อจะบอกว่า วันแรกที่เดินถึงเคปทาวน์นั้น ผมยังจะไม่พาเที่ยวเมืองแสนสวยแห่งนี้ก่อน เพราะผมจะเก็บไว้ปลายทริป หลังจากที่ได้ไปสัมผัสกับธรรมชาติของเส้นทางการ์เด้นรูท (Garden Route) จนชุ่มปอดแล้ว ค่อยหันกลับมามองดูเคปทาวน์กันใกล้ๆ แบบเจาะลึกทุกซอกมุมทีเดียวเลยก็แล้วกัน






หลังจากไม่ได้เจอเพื่อนเก่าคนนี้มาสองปี ผมตัดสินใจเดินทางมาเยือนอีกครั้ง เคปทาวน์ไม่ได้เปลี่ยนไปเลยจากวันที่พบ คราวที่แล้วผมเดินทางมากับกรุ๊ป ไม่ทราบอะไรมากนักเกี่ยวกับเมืองนี้ นอกจากวิตกว่าจะปลอดภัยหรือไม่ จะโดนพี่มืดจี้กลางถนนหรือไม่ แต่การพบกันครั้งแรกของผมกับเคปทาวน์ก็ถือว่าผ่านไปได้โดยไม่มีเหตุร้ายใดๆ ทั้งกับผมเองและคนอื่นๆในคณะทัวร์ในครั้งนั้น


คราวนี้ผมมาเยือนเคปทาวน์อีกครั้ง ในวิถีที่แตกต่าง ด้วยการเช่ารถขับเอง ในเมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องการโจรกรรมรถยนต์มากที่สุดเมืองหนึ่ง แต่ผมพยายามจะเปิดใจกว้าง และให้โอกาสเมืองนี้อีกครั้ง เพราะอย่างน้อยคราวที่แล้ว เคปทาวน์ก็ไม่ได้ทำให้ผมผิดหวังแต่ประการใด


เครื่องบินมาถึงสนามบินเคปทาวน์ในตอนเย็น เสียเวลาครึ่งค่อนชั่วโมงกับการรอรับรถเช่า Chevrolet AVEO เกียร์ออโต้ จากบริษัท Europcar ที่จองไว้ล่วงหน้า เสียเวลาเพิ่มอีกเล็กน้อยในการเช่า GPS ในราคา 59Rand+14% VAT (หรือเกือบๆสามร้อยบาท) ต่อวันจากเคาน์เตอร์ของ Vodashop Rentafone ซึ่งที่นี่คุณจะสามารถเช่าซิมมือถือได้ด้วย





กว่าจะมาถึงที่พักก็เกือบทุ่ม ต้องขอบคุณ GPS เลขาส่วนตัวที่ช่วยนำเราผ่านไฮเวย์ N2 อันยุ่งเหยิงและยึกยือ ประมาณ 18 กม.จนมาถึง Claremont ซึ่งเป็นชานเมืองตอนเหนือของเคปทาวน์ ได้อย่างปลอดภัยและใช้เวลาเพียงไม่เกินครึ่งชั่วโมง ทั้งๆ ที่เป็นชั่วโมงเร่งด่วน


ที่พักในคืนนี้เป็นเกสต์เฮาส์ - ที่แอฟริกาใต้นี่ ถือเป็นที่พักแบบหนึ่งที่เป็นที่นิยมที่สุด และราคามีตั้งแต่ย่อมเยาจนไปถึงแพงเหมือนโรงแรมห้าดาวเลย เกสต์เฮาส์แห่งนี้มีชื่อว่า Harfield Guest Villa ตั้งอยู่ในย่านผู้มีอันจะกิน ซึ่งถือว่าค่อนข้างปลอดภัย และสงบสวยงาม เป็นระเบียบเรียบร้อยทีเดียว เรียกได้ว่าบรรยากาศไม่แตกต่างจากชานเมืองไครส์เชิช หรือเมลเบิร์นเลยก็ว่าได้


เข้ามาดูบรรยากาศด้านในเกสต์เฮาส์แห่งนี้กันครับ บรรยากาศแบบผู้ดีอังกฤษเป๊ะเลย






บรรยากาศภายในห้องพัก ซึ่งเป็นหนึ่งในไม่กี่ห้องเท่านั้นที่เปิดให้บริการ เนื่องจากเป็นเกสต์เฮาส์เล็กๆ แต่ตกแต่งหรูหราเหมือนโรงแรมบูติคชั้นดีเลยทีเดียวครับ แต่สนนราคาก็แพงเอาเรื่องอยู่นะครับ คือ 1,060 RAND หรือประมาณห้าพันบาท ถือว่าแพงที่สุดแล้วในทริปนี้ครับ (ราคานี้สามารถพักโรงแรมเชนห้าดาวบ้านเราได้สบายๆ แต่มาที่นี่ได้แค่เกสต์เฮาส์นะครับ)





ห้องที่ผมพักนี้ มีขนาดกว้างขวาง และมีมุมโซฟาตัวใหญ่ให้นั่งเล่นได้อย่างสบาย





จริงๆ ผมได้จองเวลารับประทานอาหารค่ำเอาไว้ตอนหกโมงครึ่ง ที่ห้องอาหารชั้นล่าง แต่ด้วยอากาศที่หนาวเหน็บ ฝนปรอยๆ ลงมาอย่างไม่ยอมหยุด อุณหภูมิก็ลดลงไปประมาณสิบองศาต้นๆ เท่านั้น ทั้งๆ ที่เป็นช่วงต้นฤดูร้อน (เดือนพฤศจิกายน) แท้ๆ ผมก็เลยโทรลงไปขอเลื่อนเวลาเป็นหนึ่งทุ่ม ขอเวลารับไออุ่นจากฮีทเตอร์ไปพลางๆก่อน


โอ้..ห้องน้ำที่นี่ทำได้สวยคลาสสิคมากครับ แลดูเป็นผู้ดีเกินสภาพแขกผู้มาพักอย่างเราจริงๆ






Victorian Bathtub เลยหรือครับท่าน...จะหรูไปนิดนึงนะสำหรับเกสเฮาส์ ?!?




ผมเดาว่าผู้อ่านที่ชอบศิลปะสไตล์โคโลเนียล คงจะชื่นชอบที่นี่เป็นแน่แท้ ดูช่างใสใจในรายละเอียดดีจริง ก๊อกทองเหลืองเอย กรอบกระจกฉลุลายเอย งามแท้ๆ





บนเตียงนอนมีการจัดวางผ้าเช็ดตัว อย่างมีศิลปะสวยงาม Attention to detail นี่สุดยอดจริงๆ และนี่แหล่ะที่ทำให้ผมชักเริ่มหลงไหลที่พักแบบเกสต์เฮาส์ หรือที่รู้จักกันอีกอย่างว่า Bed & Breakfast แล้วละสิ





หนึ่งทุ่มเศษ ได้เวลาอาหารค่ำแล้ว ฝนด้านนอกยังคงตกปรอยๆ อย่างไม่ขาดสาย ทั้งเปียกทั้งหนาวไม่ใช่เล่นทีเดียว





อาหารค่ำในวันนี้ผมได้ทำการจองล่วงหน้าเอาไว้แล้วตั้งแต่ที่เมืองไทย เพราะเนื่องจากเกสต์เฮาส์จะไม่สต๊อกวัตถุดิบสำหรับอาหารมื้อค่ำ แขกที่อยากจะรับประทานอาหารค่ำต้องแจ้งล่วงหน้าเสมอ





อาหารมื้อแรกในประเทศแอฟริกาใต้ เริ่มต้นด้วยซุปถ้วยนี้ครับ ซุปร้อนๆกับขนมปังชุ่มเนยเนื้อนุ่มละเอียดช่วยคลายความหนาวจากอุณหภูมิประมาณ 12 อาศา ณ ขณะนั้นได้ดีทีเดียว





ตามมาด้วยสลัดผักสดกับเนยแข็งที่ทำจากนมแพะ





จนมาถึงอาหารจานหลักซึ่งก็เป็นปลา Linefish ตามเมนูเขาเขียนไว้เช่นนั้น ซึ่งผมก็จนปัญญาว่ามันคือปลาอะไร รู้แต่เพียงเป็นปลาเนื้อขาวที่ทั้งสดและอร่อยมาก ไม่เสียชื่อเมืองเคปทาวน์ ซึ่งตามข้อมูลระบุว่า อาหารทะเล 85% ที่จับได้ในน่านน้ำประเทศแอฟริกาใต้ทั้งหมดตะต้องมาขึ้นที่ท่าเรือเคปทาวน์





ส่วนอาหารจานหลักอีกจาน เป็นความผิดพลาดของผมเองที่อ่านเมนูไม่เข้าใจ นึกว่าเป็นจานที่เน้นปลาทูน่าและมีผักเป็นเครื่องเคียง แต่กลับกลายเป็นสลัดทูน่าจนใหญ่กว่าสลัดที่สั่งมาในตอนแรกอีก ก็เป็นอันว่าวันนี้เราได้บริโภควิตามินและเส้นใยอาหารไปมากมายก่ายกองทีเดียว ....ท่าจะมากเกินไปเสียด้วยซ้ำเมื่ออาหารมื้อเที่ยงที่รับประทานบนเครื่องบินยังย่อยไม่หมดดีเสียด้วยซ้ำไป





ราวกับว่านั่นยังไม่หนำใจ อาหารหวานปิดท้ายมื้อแรกในเคปทาวน์ของผม ก็ยกมาเสิร์ฟตรงหน้า ใช้ชื่อฟังดูน่าสนใจว่า African Malva Pudding



ถึงแม้จะอิ่มเพียงไหน แต่กระเพาะน้อยๆของเรายังมีที่ว่างสำหรับของหวานที่ยั่วยวนนี้เสมอ...ฮ่า ฮ่า



และแล้วค่ำคืนนี้ ก็ได้จบลงใต้โคมไฟระย้าในห้องของเราที่ตกแต่งอย่างสวยงาม











ต่อมาเช้าวันใหม่ ฝนที่ตกพรำๆต่อเนื่องจากเมื่อคืนวานได้หยุดสนิท พร้อมกับท้องฟ้าที่เริ่มเปิด เผยให้เห็นเทือกเขาเทเบิลเเท่นส์ ในมุมมองอีกด้านหนึ่งซึ่งแตกต่างไปจากมุมมองทีคยเห็นในภาพถ่ายทั่วไป





นี่เราได้มาถึงเคปทาวน์อีกครั้งจริงๆ หลังจากการเดินทางที่ยาวนานเหมือนไม่มีวันสิ้นสุด



เริ่มต้นดีอย่างนี้ ผมมั่นใจว่าวันต่อๆไปต้องดีเช่นกัน







ถึงแม้ยังคงรู้สึกอิ่มกับอาหารมื้อค่ำเมื่อวาน แต่ในใจก็นึกอยากจะเห็นอาหารเช้าสไตล์ Bed & Breakfast ของแอฟริกาใต้ว่าจะเป็นอย่างไรบ้าง





โยเกิร์ตกับผลไม้สดเมืองหนาว ตักได้ตามสบาย นับเป็นการเริ่มต้นเช้าวันใหม่ที่สดชื่นและได้คุณค่าทางอาหารมากมาย





ตามมาด้วยอาหารจานหลัก ซึ่งปรุงสุกโดยคุณแกรม (Graham) ซึ่งเป็นทั้งเจ้าของเกสต์เฮาส์ และเชฟฝีมือดีคนหนึ่ง จานแรกเป็นปลา มีรสชาติเข้มข้นเล็กน้อย หอมอร่อย อิ่มท้องกำลังดี แถมมาด้วยเบคอนร้อนๆ





ส่วนอีกจานหนึ่ง เป็นเบคอนและไข่คน ตามแบบอเมริกันเบรคฟาสต์ทั่วไป แต่มีเห็ดหอมย่าง และมะเขือเทศย่างเสิร์ฟคู่กันด้วย อร่อยและอิ่มกำลังดี





ก่อนที่จะเช็คเอาท์และอำลาจากเกสต์เฮาส์ที่สวยงามแห่งนี้ไป คุณแกรมผู้มีอัธยาศัยดี เป็นกันเอง ได้แนะนำเส้นทางที่ผมจะไปในวันนี้ ด้วยการเข้าเน็ท ปรินท์แผนที่มาให้ผมเอาไว้ดูด้วย แกบอกว่า



"เชื่อ GPS อย่างเดียวไม่ได้หรอกครับคุณ ผมเป็นคนที่นี่ ผมจะเขียนเส้นทางที่ดีที่สุดให้คุณเอง"



ขอบคุณครับคุณแกรม กับการบริการดีๆ จากใจ ทั้งที่พัก และอาหาร ประทับใจมากๆ ครับ (เอ่อ...คราวหลังถ้าผมมาอีกเนี่ยจะมีส่วนลดให้ไหมครับ ขอสักครึ่งราคาก็ดีนะคร้าบบบ...)







 

Create Date : 05 มิถุนายน 2553    
Last Update : 5 มิถุนายน 2553 10:26:01 น.
Counter : 3800 Pageviews.  

ขับรถเที่ยว SOUTH AFRICA ตอนที่ 2 - มุ่งหน้าสู่เคปทาวน์

หลังจากแวะเที่ยวสิงคโปร์หนึ่งคืน เป้าหมายต่อไปของการเดินทางของผมก็คือดูไบ ซึ่งเป็นจุดแวะพักในการเดินทางข้ามทวีปที่แสนยาวนานสู่จุดหมายปลายทางคือ ประเทศแอฟริกาใต้ (SOUTH AFRICA)

การเดินทางในวันนี้เริ่มต้นขึ้นกลางดึก ที่สนามบินชางอี ประเทสสิงคโปร์ครับ

ก่อนเข้าไปยังเกทที่เครื่องบินจอดอยู่ ก็ถือโอกาสสั่ง KAYA TOAST มากินรองท้องเสียหน่อย ที่ร้านนี้เลยครับ TOAST BOX มีอยู่หลายสาขาในสิงคโปร์ ราคาก็ไม่ต่างจากในเมืองด้วยครับ



จากนั้นก็เดินเข้าไปยังเกท ซึ่งต้องเดินไกลอยู่เหมือนกัน แต่เวลาเหลือเฟือเลยไม่รีบ...ชิลๆครับ



ภาพที่เห็นคือทางเดินไปยังเกทต่างๆ ภายในอาคาร Terminal 1 ซึ่งเป็นอาคารดั้งเดิมของสนามบินเลย ถึงแม้จะเก่าแล้ว แต่ยังดูใหม่อยู่เสมอ และสะอาดสะอ้าน สงบเงียบกริ๊บ แอร์เย็นสบาย แถมมีคอมพืให้เล่นอินเตอร์เน็ทฟรีด้วย

เคยได้เห็นตามเว็ปต่างๆ ว่าอาคารใหม่ Terminal 3 นั้นสวยและทันสมัยมากๆ เสียดายคราวนี้ไม่ได้เห็น

คืนนี้สายการบินที่จะพาผมเดินทางข้ามมหาสมุทรอินเดียไปยังดูไบและต่อไปยังแอฟริกาใต้นั้นก็คือ EMIRATES นั่นเองครับ ออกจากสิงคโปร์ได้ราคามาประมาณสามหมื่นบาทครับ



เครื่อง 777-300ER ใหม่ ทันสมัย มีทีวีส่วนตัวจอใหญ่ มีเพลงไทย และเกาหลีให้ฟังด้วยนะครับ กับช่องหนังมากมาย แต่สีเบาะดูตุ่นๆ ไม่ค่อยมีชีวิตชีวาเท่าไหร่ แฟนผมบอกว่า ผ้าห่มมีกลิ่นเหม็นเหมือนอ้วกด้วยล่ะ ผมก็เลยยกผ้าห่มของผมที่ไม่มีกลิ่นให้ไปใช้แทน

จากสิงคโปร์ไปดูไบ ใช้เวลาประมาณ 6 ชั่วโมงกว่าๆ คิดว่าคงนานพอที่จะงีบหลับยาวๆ ได้อย่างสบายเลยล่ะครับ

แต่แล้วพอจะเคลิ้มหลับ ไฟในเคบินก็สว่างพรึ่บขึ้นมา จากนั้นสาวฝรั่งตาน้ำข้าวในชุดเครื่องแบบพร้อมผ้าคลุมศีรษะ ก็เข็นรถเข็นออกมาเสิร์ฟอาหาร



ผมมองอาหารที่ยกมาเสิร์ฟตรงหน้าด้วยแววตาผิดหวังเล็กน้อย ผสมผสานกับความงัวเงียที่ถูกปลุกจากการงีบไปแว่บหนึ่งเมื่อสักครู่

"เอ่อ...แค่นี้นะหรือ" ผมคิดในใจ

สงสัยเขาคงให้กินเป็นของว่างก่อนนอน ที่เห็นในรูปก็คือครัวซองจ์ไส้ทูน่าเย็นๆ ครับ ไม่มีอะไรหรูหราแต่ประการใด

ก่อนเครื่องบินจะพาผมและเพื่อนร่วมชะตากรรมทั้งหมดมาถึงยังดูไบ พนักงานได้เปิดไฟในเคบินขึ้นอีกครั้งเพื่อเสิร์ฟอาหารเช้า....

อาหารเช้าตอนตีสาม....เยี่ยมไปเลย !!!



ผมเอื้อมมือไปสะกิดแฟนผมที่นอนหลับอยู่อย่างสบายในผ้าห่ม เพื่อให้ลุกขึ้นมากินอาหารเช้า....ตอนตีสามนี่แหล่ะ...!


จากนั้นไฟก็ดับลงอีกครั้ง ก่อนที่อีกประมาณสองชั่วโมงต่อมา เครื่องบินก็ลดระดับลงจอดที่ท่าอากาศยานดูไบ ในเวลาประมาณเกือบตีห้าในตอนเช้า


WELCOME TO DUBAI !!!



ท่ามกลางความงัวเงีย ผสมกับความอิดโรยจากการนอนหลับๆตื่นๆบนเครื่องบิน เราสองคนก็พาร่างอิดโรยไปนั่งอยู่ใกล้ๆ เกทที่เครื่องบินจะออกในตอนสาย



สนามบินดูไบนี่เรียกได้ว่าแทบจะเป็นพิมพ์เดียวกับสนามบินสุวรรณภูมิเลย





คนออกแบบคนเดียวกันหรือเปล่าเนี่ย ถามจริง...

เมื่อหาเก้าอี้นุ่มๆ ใกล้กับเกทขึ้นเครื่องได้ แฟนผมก็เอาโน้ทบุ๊กออกมาเสียบ เล่นเน็ทฟรีฆ่าเวลาไป ส่วนผมก็ออกไปเดินเล่นเก็บภาพสนามบินดูไบในมุมอื่นๆ ต่อเพื่อเป็นการฆ่าเวลาในแบบของผมเอง







ใครที่บ่นว่าสนามบินสุวรรณภูมิใหญ่แล้ว ผมว่าสนามบินดูไบนี้ก็ใหญ่ไม่น้อยหน้ากัน เพราะว่าจาก Terminal 3 ที่เครื่องลงจอด ผมต้องใช้เวลาเดินประมาณครึ่งชั่วโมงเต็ม เพื่อจะมายังเทอร์มินัลสอง และเทอร์มินัลหนึ่งที่เรียงต่อกันเป็นทางยาว ถ้าจะให้นับจริงๆ คงไม่ต่ำกว่า 2-3 กิโลเมตรเลยทีเดียว





มาถึงดูไบทั้งที ถ้าไม่ได้เห็นรถหรูที่ตั้งโชว์เป็นของรางวัลของผู้ที่ช้อปปิ้งในดิวตี้ฟรี ก็กะไรอยู่



ร้านขายทองนี่ก็เช่นกัน เรียกว่าเป็นธุรกิจที่อยู่คู่ดูไบมานานแสนนานก็ว่าได้



นาฬิกา ROLEX ที่แขวนออกมาจากผนังในอาคารผู้โดยสาร บอกเวลาประมาณเจ็ดโมงกว่าๆ แสงแรกของวันได้สาดส่องเข้ามาในอาคารผู้โดยสาร เป็นการบอกให้นักเดินทางข้ามทวีปอย่างเรารู้ว่า เช้าวันใหม่ๆได้มาถึงแล้ว



และการรอคอยเที่ยวบินของเราก็จะสิ้นสุดลงในอีกไม่นานนับจากนี้



ที่ดูไบนี้ สีเหลืองกับสีแดง สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข



เมื่อได้เวลาเดินขึ้นเครื่อง พนักงานต้อนรัยสสาวสวยก็ยิ้มร่าต้อนรับผู้โดยสารทุกท่านอยู่ที่พนักเก้าอี้ทุกที่นั่ง



วันนี้เครื่องบินของ Emirates เป็นแบบเดิมกับที่นั่งมา แต่อาจดูใหม่กว่าเล็กน้อย และผู้โดยสารก็แน่นลำ แทบจะไม่มีที่กระดิกตัว ด้านขวามือของผมเป็นผู็โดยสารที่มากับกรุ๊ปทัวร์จีน ซึ่งพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลยสักคำเดียว

หลังจากเครื่องขึ้นได้สักระยะ แอร์โฮสเตสก็เสิร์ฟอาหารเช้า



ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความหิว หรือเพราะอาหารที่ทำมาจากครัวการบินของสนามบินดูไบฝีมือดีกันแน่ อาหารมื้อนี้จึงอร่อยมาก ต่างกับตอนที่มาจากสนามบินชางอีอย่างลิบลับ

แล้วก็ตามมาด้วยอาหารอีกมื้อหนึ่ง เพราะเที่ยวบินนี้ ใช้เวลา 10 ชั่วโมงในการเดินทาง --- ใช่แล้วครับ 10 ชั่วโมง คุณอ่านไม่ผิดแน่นอน



อาหารมื้อที่สองนี้ก็ "อร่อยเหาะ" เช่นกันครับ

นอกจากที่ชมเรื่องอาหาร ผมมีความเห็นว่านอกจากนั้นก็ไม่รู้จะชมเรื่องอะไรอีก นอกจากจะติสักหน่อยว่า แอร์โฮสเตสของสายการบินนี้ ไม่ดูแลเอาใจใส่ผู้โดยสารเลย เพราะหลังจากยกอาหารมาเสิร์ฟ ก็ทิ้งเอาไว้อยู่ที่โต๊ะของผู้โดยสารนานมากกว่าชั่วโมง จะลุกไปเข้าห้องน้ำก็ลำบากยิ่ง

และที่ต้องตำหนิเลยก็คือ นอกจากตอนที่บริการอาหารบนเครื่องแล้ว เราจะไม่ได้เห็นหัวพนักงานต้อนรับอีกเลย ราวกับเขาเหล่านั้นได้หลบไปปลิวิเวก แอบซุกใต้เก้าอี้แอบหลับอยู่หรืออย่างไรก็ไม่อาจคาดเดาได้ ผิดกับการบินไทยที่ขยันเสิร์ฟน้ำและของว่างโดยไม่ขาด และไม่อิดออดในการให้บริการ

คิดถึงการบินไทยขึ้นมาทันทีเลยในตอนนี้ หรือไม่ก็สิงคโปร์แอร์ไลน์ ก็ได้ ยอดเยี่ยมเรื่องการบริการไม่น้อยหน้ากัน

เวลาผ่านไปยาวนาน หลับบ้างตื่นบ้างตามประสา (จะตื่นเสียเป็นส่วนมาก เพราะแดดข้างนอกแรงพอดู) และแล้วก็มีเรื่องตื่นเต้นเกิดขึ้นครับ โดยทำเอาผู้โดยสารระทึกไปตามๆ กัน

"ท่านผู้โดยสารโปรดทราบ ผม กัปตัน มีข่าวไม่ค่อยดีจะแจ้งให้ท่านทราบว่า ขณะนี้รันเวย์สนามบินเคปทาวน์ ได้ประกาศปิดให้บริการชั่วคราวอันเนื่องมาจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับเครื่องบินเล็ก และได้จอดขวางรันเวย์ไว้ทำให้ไม่สามารถนำเครื่องลงจอดได้ ขณะนี้ผมกำลังรอฟังข่าวจากทางภาคพื้นดินอย่างใกล้ชิด เผื่อว่าสถานการณ์คลี่คลาย เราอาจนำเครื่องลงจอดได้ แต่หากสถานการณ์ไม่ดีขึ้น ผมมีความจำเป็นต้องเรียนให้ท่านทราบว่า ผมอาจจะต้องนำเครื่องลงจอดฉุกเฉินที่สนามบินเมืองเดอร์บัน (ซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณสองชั่วโมง) จึงขอเรียนมาให้ทุกท่านได้ทราบด้วยครับ ขอบคุณครับ"

ทันทีที่สิ้นเสียงประกาศของกัปตัน ผู็โดยสารบนเครื่องบินก็ส่งเสียงเอะอะกัน บ้างก็ยังเงียบ หรือหลับอยู่อย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว รวมไปถึงเพื่อนชาวจีนที่นั่งข้างๆ ผม ผมพยายามจะบอกแกว่าเกิดอะไรขึ้น แต่แกส่ายหัว บอกโนโน โน อย่างเดียว (ไม่เข้าใจว่าผมพยายามจะพูดอะไร) ผมก็เลยปล่อยให้แกงงไปอย่างนั้น เพราะป่วยการจะอธิบายจริงๆ

ในขณะที่นั่งรอฟังความคืบหน้าอยู่นั้น ผมเฝ้าภาวนาให้ทุกอย่างเรียบร้อย เพราะในใจรู้สึกหวั่นวิตกมาก เพราะไหนจะเรื่องรถที่จองไว้ แล้วเกสต์เฮาส์ที่จ่ายเงินไปแล้วอีกล่ะ ทำยังไงดี หากเครื่องต้องไปลงจอดที่สนามบินเดอร์บันจริง เราคงจะต้องค้างที่เมืองเดอร์มันนั่นเสียแล้วกระมัง...

และแล้วคำอ้อนวอนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็สำฤทธิ์ผล เมื่อเวลาผ่านไปประมาณ 45 นาที นักบินก้ได้ประกาศว่า

"ท่านผู้โดยสารโปรดทราบ ผมมีข่าวดีที่จะแจ้งให้ทุกท่านทราบครับ ขณะนี้ รันเวย์ของสนามบินเคปทาวน์ ได้เปิดให้บริการตามปกติอีกครั้งแล้วครับ"

ยังไม่ทันสิ้นเสียงประกาส ผู้คนบนเครื่องบินก็โห่ร้องแสดงความยินดี พร้อมปรบมือกันใหญ่ด้วยความดีใจ

แต่เพื่อนร่วมทางชาวจีนของผม กลับมีสีหน้าที่งุนงงและว่างเปล่ามาก หันไปถามเพื่อนที่นั่งอยู่ใกล้ๆกันประมาณว่า "มันเกิดอะไรขึ้นเหรอเมื่อกี้นี้" ส่วนเพื่อนก็ตอบกลับไปประมาณว่า "อย่ามาถามอั๊วเลย อั๊วก็ไม่รู้เหมือนกันว่ะ"

ในที่สุดสายการบินเอมิเรตส์ก็นำเราทุกคนเดินทางมาถึงสนามบินเคปทาวน์โดยสวัสดิภาพ โดยที่ยังสามารถทำเวลาได้ตามกำหนด เย้....



WELCOME TO CAPE TOWN !!!



สำหรับผมแล้วนี่คือการเดินทางมาเยือนประเทศแอฟริกาใต้เป็นครั้งที่สอง หลังจากที่เคยมาแล้วเมื่อสองปีที่ผ่านมา

และผมก็ขอถือโอกาสจบตอนที่ 2 นี้ไว้แต่เพียงเท่านี้ครับ

ในคราวหน้า จะมาพบกับการเดินทางใน SOUTH AFRICA อย่างที่เคยสัญญาเอาไว้เสียทีครับ




 

Create Date : 03 มิถุนายน 2553    
Last Update : 4 มิถุนายน 2553 13:04:44 น.
Counter : 1669 Pageviews.  

ขับรถเที่ยว SOUTH AFRICA ตอนที่ 1 - แวะเที่ยวสิงคโปร์

คิดมานานแล้วครับ ว่าอยากเขียนบล๊อกท่องเที่ยว แต่ไม่รู้จะเริ่มอย่างไร

พอดีเกิดไอเดียขึ้นมาว่า ถ้าเราเอาภาพถ่ายสถานที่ท่องเที่ยว แล้วนำมาตกแต่งด้วยคอมพิวเตอร์ ทำให้เป็นภาพเขียนสีน้ำ พร้อมใส่คำบรรยายไปด้วย คงจะได้อารมณ์เหมือนอ่านหนังสือเล่าเรื่องประกอบภาพ อะไรประมาณนั้น

อย่างน้อยก็บดบังความบกพร่องของฝีมือถ่ายภาพไปได้ประมาณหนึ่ง

แถมภาพสีน้ำยังดูแล้วให้อารมณ์เบาๆ ชวนฝัน ชวนให้จินตนาการ เหมาะกับเรื่องเบาๆ อย่างเรื่องท่องเที่ยวเป็นอย่างยิ่ง

ถ้าสนใจจะติดตามชมก็ตามมาเลยครับ




ผมจะเริ่มต้นตอนแรก ประเดิมบล๊อกใหม่เอี่ยมของผมด้วย เรื่องราวของทริปที่เกิดขึ้นเมื่อหลายเดือนที่ผ่านมา


การเดินทางของผมเริ่มต้นที่เกาะภูเก็ต (บ้านผมเอง) แล้วนั่งเครื่องบินหนึ่งตุ้บไปลงที่สิงคโปร์ แวะเที่ยวสิงคโปร์สักเล็กน้อย แล้วเดินทางข้ามมหาสมุทรอินเดียไปยังดูไบ แล้วเปลี่ยนเครื่องไปยังประเทศ SOUTH AFRICA ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทาง

เมื่อไปถึง SOUTH AFRICA ผมจะเช่ารถขับตามเส้นทางการ์ด้นรูท โดยเริ่มจากเมืองเคปทาวน์ แล้วขับเป็นวงกลมมาจบที่เคปทาวน์อีกครั้งหนึ่ง

เบ็ดเสร็จแล้วใช้เวลาเดินทางในทริปนี้ทั้งหมด สองอาทิตย์เต็มครับ

เริ่มต้นจากสนามบินนานาชาติภูเก็ตก่อนนะครับ...



ระหว่างที่นั่งรอเครื่องขึ้น มีทั้งสปาให้เข้าไปนวดน้ำมันหอมเพื่อผ่อนคลาย



หรือนั่งจิบกาแฟ หรือโกโก้ปั่น ระหว่างรอเครื่องบิน




จากนั้นก็ได้เวลาขึ้นเครื่อง โดยวันนี้สายการบินต้นทุนต่ำ TIGER AIRWAYS จะพาเราไปยังสนามบินชางอีประเทศสิงคโปร์ครับ ใช้เวลาไม่นานนักประมาณชั่วโมงกว่าๆ ก็ถึงครับ



สนามบินที่คู่ควรกับสายการบินต้นทุนต่ำ และนักเดินทางต้นทุนต่ำอย่างเราก็ต้องนี่เลย... Budget Terminal ดูๆไปเหมือนเดินอยู่โลตัส แต่ก็ต้องยอมรับนะครับ ว่าอย่างน้อยก็เป็นระบบและสะอาดสะอ้านไม่เสียชื่อประเทศสิงคโปร์เลยทีเดียว



เนื่องจากกระเป๋าที่พามาด้วยใบใหญ่ ผมจึงจำเป็นต้องฝากกระเป๋าไว้ที่สนามบิน แล้วเอาเฉพาะกระเป๋าเป้สะพายหลังติดตัวมาเท่านั้น

"เร็วๆเข้านะคุณ รถไฟขบวนสุดท้ายจะออกอีกไม่กี่นาทีนี้แล้ว" พนักงานที่ห้องรับฝากกระเป๋าเป็นห่วงกลัวว่าผมจะพลาดรถไฟเข้าเมืองเที่ยวสุดท้ายของวัน

ผมก็วิ่งจ้ำอ้าวน่ะสิครับ รีบซื้อตั๋วรถไฟจากตู้อัตโนมัติ แต่ก็งุนงงอยู่พักใหญ่ที่ตู้ขายตั๋วเพราะไม่ได้มาสิงคโปร์เสียนาน ดีที่คนท้องถิ่นใจดี ช่วยซื้อตั๋วให้ จึงทำให้ผมขึ้นไปนั่งในรถไฟใต้ดินได้อย่างหวุดหวิดเลยทีเดียว



นี่ครับ ที่พักราคาย่อมเยาที่สิงคโปร์ต้องที่นี่เลย นั่งรถไฟไปลงที่สถานี Bugis แล้วก็เดินต่ออีกประมาณสิบนาที โรงแรม IBIS ON BENCOOLEN ครับ ใหม่ สะอาด ใช้ได้ทีเดียว แถมมีอินเตอร์เน็ทฟรีไม่คิดตังค์อีกด้วยนี่สิ ชอบๆ



ส่วนห้องพักก็เล็กๆ แคบๆ แต่สะอาด ใหม่ และมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน

ปล.เตียงแข็งไปนิด



บรรยากาศยามสายของโรงแรม IBIS



อันที่จริงห้องอาหารเช้าของโรงแรมก็มี แต่อาหารดูด้อยคุณภาพไม่สมราคา ไปซื้อขนมปังปิ้งทาสังขยา (KAYA TOAST) ที่เซเว่น ข้างๆโรงแรมดีกว่า ถูกกว่าเห็นๆ และอร่อยเข้ากับการมาเยือนสิงคโปร์มากกว่า ไข่ดาวหมูแฮม และข้าวผัดเย็นๆที่โรงแรมมีไว้บริการอย่างแน่นอน...

วันนี้ผมมีเวลาเดินเล่นที่สิงคโปร์ทั้งวัน เพราะกว่าเครื่องบินที่ไปดูไบจะออก ก็เกือบเที่ยงคืน ผมเลยจัดการเช็คเอาท์ และฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรม จากนั้นก็ไปเดินเที่ยวเมืองสิงคโปร์กัน

ภาพนี้ถ่ายที่หน้าโรงแรมครับ ถนนเบ็นคูลเล่น ฝั่งตรงข้ามมีร้านขายเครื่องอิเลคโทรนิคส์มากมาย




ส่วนด้านหลังโรงแรม จะเป็นถนนคนเดินที่มีวัดจีน และร้านขายของจีนๆ มากมาย น่าเดินเล่นครับ



เดินไปเรื่อยเปื่อยเพื่อไปชมพิพิทธภัณฑ์ศิลปะ



ตึกสีเหลืองกลางสี่แยก



ความเก่ากับความใหม่ อยู่ด้วยกันได้...




ที่ภูเก็ตบ้านผมก็มีตึกชิโนสวยๆแบบนี้ แต่ไม่เยอะเท่าที่สิงคปร์ แถมที่นี่รักษาเอาไว้อย่างดีเสียด้วย ตึกสวยๆอย่านี้ทุบทิ้งไปคงน่าเสียดาย...




สถาปัตยกรรมที่ได้รับอิทธิพลจากยุโรป



และแล้วก็มาถึง Singapore Art Museum (SAM)








แต่พอมาถึง ก็ไม่เข้าครับ ขอถ่ายรูปดูจากข้างนอกดีกว่า เปลี่ยนใจเดินไปดูพิพิธภัณฑ์แห่งชาติแทน



เข้าไปข้างในกันครับ...




สถาปัตยกรรมสมัยยุคอาณานิคม กับการต่อเติม ปรับปรุงด้วยสถาปัตยกรรมร่วมสมัย





เป็นการรีโนวทตึกเก่าได้อย่างสวยงามและสง่างามมากเลยในความคิดของผม




ผมว่าเมืองไทยเรา โดยเฉพาะพิพิทธภัณฑ์สถานแห่งชาติที่มีอยู่หลายแห่งทั่วประเทศ หากเอางบมาปรับปรุงให้สะอาดทันสมัย ก้คงจะดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากเลย เพราะโบราณวัตถุของไทยเรามีมากมาย แต่นี่ขนาดบ้านเมืองเขาไม่มีประวัติศาสตร์ยาวนานอะไรมากมาย ยังสามารถทำพิพิธภัณฑ์ให้ดีได้ขนาดนี้





เขาว่าถ้าจะดูความเจริญของเมืองสักเมืองหนึ่ง ไม่ใช่ดูที่ตึกระฟ้า สาธารณูปโภค แตดูที่พิพิธภัณฑ์ ของเมืองนั้นๆ



จริงๆแล้วไม่ใช่ว่าอยากทำตัวเป็นฝรั่ง เดินชมพิพิธภัณฑ์อะไรหรอกนะครับ พูดตามตรงก็คือ...ผมมาเดินเล่นในพิพิธภัณฑ์ก็เพื่อหลบแดดร้อนๆ ด้านนอก เข้ามานั่งพักเหนื่อยตากแอร์เย็นๆ สักครู่ใหญ่ๆ แล้วก็ออกไปดินเที่ยวต่อนะครับ...


จากพิพิธภัณฑ์ผมเดินไปขึ้นรถไฟใต้ดินที่สถานี Dhoby Ghaut ที่อยู่ใกล้ๆ เพื่อนั่งไปลงที่ห้าง VIVO CITY ที่ Harbourfront ครับ



ถึงแล้วครับห้าง VIVO CITY มีทางเดินเล่นชมอ่าว และวิวของเกาะ Sentosa ด้วยครับ





บรรยากาศภายในห้าง จะมีการออกแบบให้เหมือนคลื่นของทะเล มีการเคลื่อนไหว พลิ้วไหว ไม่หยุดนิ่ง



ส่วนอันนี้เป็นร้านอาหารไสตล์ยุโรป ที่ตั้งอยู่บนดาดฟ้าของห้าง ซึ่งเป็นสวนสาธารณะกว้างสำหรับทุกคนในครอบครัว



พอเดินเล่นจนได้เวลาค่ำ ก็เริ่มหิวแล้วครับ ไปหาอะไรอร่อยๆรับประทานที่ Food Republic ดีกว่า...









หน้าตาน่าทานไหมครับ อาหารที่นี่ถึงแม้ราคาแพงกว่าที่เมืองไทยเยอะ แต่ว่าก็จานใหญ่มากครับ ถือว่าสมราคา

ก่อนอำลาจากห้าง VIVO CITY มาก็ขอถ่ายรูปหน้าห้างเอาไว้เป็นที่ระลึก



จบแล้วครับสำหรับตอนแรก ไม่รู้ว่าจะชอบกันหรือเปล่าครับสำหรับภาพสีน้ำแบบนี้

อาจจะขัดใจคนที่ชอบดูภาพสวยๆ ใสๆ นิดนึงนะครับ ถือว่าเปลี่ยนแนวก็แล้วกันนะครับ

สำหรับตอนที่ 2 ผมจะพาเดินทางข้ามมหาสมุทรอินเดียไปยังดูไบ แล้วไปถึงจุดหมายปลายทางคือประเทศ SOUTH AFRICA ครับ อย่าลืมติดตามนะครับ แล้วคุณจะรู้ว่าประเทศนี้ สวยไม่แพ้นิวซีแลนด์เลยทีเดียว


แล้วพบกันใหม่ครับ





 

Create Date : 03 มิถุนายน 2553    
Last Update : 4 มิถุนายน 2553 13:04:04 น.
Counter : 1415 Pageviews.  


Footprints in the sand
Location :
ภูเก็ต Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]


ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add Footprints in the sand's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.