กระบี่อยู่ที่ใจ แม้เพียงกิ่งไผ่ก็ไร้เทียมทาน
 
กรกฏาคม 2552
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
12 กรกฏาคม 2552

เลือกหุ้นอย่าง ไรดี

หุ้นดีเป็นไงน้า....
1.บริษัทมีความมั่นคง
(ไม่ถูกdelist,ไม่ถูกลดทุน,ไม่ถูกSP,ไม่ถูกตั้งโต๊ะซื้อคืนแบบกดราคา,ไม่ถูกแลกหุ้น ควบรวม)
2.บริษัทมีธรรมาภิบาล
3.ปันผลสม่ำเสมอ ปันผล ผมคิดว่า ควรจะมากกว่าหรือเท่ากับ 4% (พันธบัตรช่วยชาติ) ถ้าน้อยกว่าช่วยชาติดีกว่ามั๊ย แต่ 3% up แล้วมีอนาคตก็ ok
4.มี Business Model ที่ดี เราสามารถเข้าใจธุรกิจเเละติดตามผลการดำเนินงานได้ เราสามารถเข้าใจวงจรธุระกิจได้ เราก็จะสามารถ ประเมินความสามารถในการแข่งขันและการทำกำไร ของธุระกิจได้
5.เราต้องติดตามหุ้นตัวที่เราศึกษา เพื่อจะได้ทราบนิสัยของหุ้นเพื่อ และวงจรธุรกิจของหุ้นด้วย เพื่อจะได้ทราบระดับราคา ที่เหมาะสมได้

พื้นฐานเบื้องต้นในการใช้วิเคราะห์หลักทรัพย์

การวิเคราะห์เศรษฐกิจ --> employment rate, gdp, interest rate, etc.
การวิเคราะหฺ์ภาวะอุตสาหากรรม --> แนวโน้มโดยรวมของอุตสาหกรรม วัฎจักรธุรกิจ โครงสร้างระบบภาษี นโยบายรัฐบาลที่ส่งเสรืม
การวิเคราะห์บริษัท --> แบ่งเป็นสองหัวข้อหลัก
Qualitative Analysis กลยุทธ์การบริหาร กึ๋นผู้บริหาร นโยบาย โครงการขยายงานบริษัท โครงสร้างเงินทุน การกระจายความเสี่ยง ๙ล๙
Quantitative Analysis งบแสดงฐานะการเงินอดีตปัจจุบันคาดการณ์อนาคต เพื่อใช้ในการตัดสินใจลงทุนในราคาที่เหมาะสม ๙ล๙


จุดดี จุดด้อย ของอัตราส่วนทางการเงิน โดย invisible hand

พอดีมีเพื่อนท่านหนึ่งถามในกระทู้ข้างล่างและเป็นคำถามที่ดีและเป็นเรื่องที่อยากจะเขียนมาซักพักแล้วแต่ไม่ค่อยมีเวลา คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ มือใหม่ที่สนใจลงทุนแบบ Vi นะครับ

P/E
P/BV
PEG
Discount cash flow
Net free cash flow
Net Asset Value
1. มีจุดดีและจุดด้อยอย่างไร
2. เหมาะที่จะประยุกต์ใช้กับบริษัทในแต่ละอุตสาหกรรมใดอย่างไร
ขอขอบคุณล่วงหน้าครับ


เป็นคำถามที่ดีครับ

P/E ข้อดีคือวิเคราะห์ไม่ยาก ข้อเสียคือ การใช้ P/E อาจพลาดได้เพราะบริษัทอาจจะมีรายได้หรือรายจ่ายรายการพิเศษแต่ก็แก้ไม่ยากด้วยการตัดออก ข้อเสียอีกอย่างคือ P/E ไม่ได้สะท้อนนโยบายทางบัญชีที่ต่างกันเช่น ค่าเสื่อมราคา รวมทั้งไม่ได้สะท้อนถึง Capital expenditure cycle เช่น หุ้นที่เพิ่งตั้งโรงงานกับหุ้นอีกตัวที่เครื่องจักรกำลังหมดอายุไม่ควรมี P/E เท่ากันครับ รวมทั้งไม่ได้สะท้อนถึงหนี้และเงินสดในมือบริษัท บริษัทที่มีเงินสดเหลือเฟือกับบริษัทที่หนี้ท่วม หากปัจจัยที่เหลือเหมือนกันหมดก็ไม่ควร P/E เท่ากันครับ

P/BV ข้อดีคือเป็นตัวบอก downside risk ของหุ้นว่ามีแค่ไหน หุ้นที่ P/BV ต่ำๆ ก็มีความปลอดภัยในการลงทุนสูงกว่าหุ้นที่ P/BV สูงมากๆ แต่ข้อเสียคือ P/BV ไม่ได้บอกถึงความสามารถในการทำกำไร หรือ ROE ซึ่งสะท้อนถึงความสามารถของผู้บริหารและวัฒนธรรมที่ดีหรือแย่ขององค์กร รวมทั้ง BV ไม่ได้สะท้อนถึงสินทรัพย์ไม่มีตัวตน เช่น แบรนด์เนม ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในสินค้า หรือลิขสิทธ์ต่างๆ ได้ รวมทั้ง P/BV เป็นการมองอดีต ไม่ได้มองถึงอนาคต ยกตัวอย่างเช่น มีชายคนนึงได้เงินมา 50 ล้าน แต่ใช้เงินฟุ่มเฟือยและไม่พยายามที่จะหาเงินเพิ่ม ใน 5 ปีข้างหน้าชายคนนี้อาจจะจนกได้ ในทางตรงกันข้าม ชายคนหนึ่งมีหนี้ที่ต้องแบกรับให้ครอบครับ 10 ล้าน แต่หากเป็นคนที่มีความรู้ มีความมานะพยายาม มีความใฝ่ดี ซื่อสัตย์ ใน 5 ปีข้างหน้าก็อาจจะเป็นเศรษฐีได้ ดังนั้น คุณจะซื้อหุ้นที่ BV สูงๆ แต่นับวันมีแต่แย่ลงหรือ P/BV สมเหตุสมผลหรือมีอนาคตล่ะครับ

PEG เป็นการวัดว่า P/E ของหุ้นตัวนั้นต่ำหรือสูงไปโดยพิจารณาประกอบกับการเติบโต ข้อดีคือใช้ง่าย ข้อเสียคือการ forecast growth ก็เป็นสิ่งที่ทำยากและโอกาสผิดสูง รวมทั้งการใช้ PEG ไม่ได้สะท้อนความเสี่ยงของหุ้น หุ้น 2 ตัวที่ growth เท่ากัน ตัวที่เสี่ยงมากกว่าควรมี P/E ต่ำกว่าครับ

Discount cash flow เป็นการวิเคราะห์ที่น่าจะดีที่สุด เพราะเป็นการปิดจุดด้อยของทุกๆ valuation เนื่องจากเป็นการประมาณการกระแสเงินสดในปัจจุบันและอนาคต และหักด้วยหนี้ซึ่งหมายถึงการพิจารณาอดีต ดังนั้นจะชดเชยข้อด้อยต่างๆ ของวิธี valuation ที่เอ่ยมาแล้วทั้งนั้น ได้แก่

- ใช้ free cash flow ดังนั้นนโยบายค่าเสื่อมราคาไม่มีผล และมีการนำรายจ่ายในการลงทุนมาหักออกด้วย
- มีการบวกด้วยเงินสด เงินลงทุนและหักด้วยหนี้ในตอนท้าย เป็นการสะท้อนถึงอดีตด้วย
- มูลค่ากิจการขึ้นกับกระแสเงินสดในอนาคต และมูลค่า terminate value ดังนั้นอนาคตมีความสำคัญไม่น้อยกว่าอดีต
- การทำ discount cash flow ใช้ discount rate มากน้อยตามความเสี่ยง ดังนั้นมีการนำความเสี่ยงของธุรกิจมาคิดด้วย

ยกตัวอย่างง่ายๆ หากมีครอบครัวหนึ่ง สมมุติหัวโบราณหน่อยนะครับ มีลูกสาวคนหนึ่งและมีชายมาสู่ขอหลายคน และพ่อแม่เป็นคนตัดสินใจเลือกลูกเขยให้ลูกสาวของตนเอง สมมุติว่าลูกเขยทุกคนมีนิสัยดีใกล้เคียงกัน พ่อแม่หลายคนอาจจะเลือกคนที่คิดว่าน่าจะดูแลลูกสาวได้ดีที่สุด คือน่าจะเงินให้มีความเป็นอยู่ที่สบาย อาจจะเป็นตัวอย่างที่ค่อนข้างจะวัตถุนิยมนะครับแต่คิดว่าเข้าใจง่ายสุด

หากพ่อแม่พิจารณาเลือกลูกเขยจากสินทรัพย์ปัจจุบันเป็นหลักโดยที่ไม่ได้สนใจความสามารถของลูกเคยที่จะมีผลต่อรายได้ในอนาคตหรือนิสัยการใช้จ่ายที่จะสะท้อนการใช้จ่ายในอนาคต แสดงว่าพ่อแม่คู่นั้นวิเคราะห์โดยใช้ P/BV เป็นหลัก

แต่หากพ่อแม่พิจารณาโดยดูรายได้ในปัจจุบันของลูกเขยเพียงอย่างเดียวโดยไม่ได้พิจารณาถึงสินทรัพย์หรือหนี้สินในอนาคต หรือระยะเวลาการหารายได้ หรือความเสี่ยงของงานที่ลูกเขยทำ หรือนิสัยที่อาจจทำให้เสียรายได้ในอนาคต เช่น รายได้เดือนละ 5 แสนแต่มีหนี้ที่ต้องจ่ายถึง 15 ล้าน รายได้ของลูกเขยเดือนละ 5 แสนบาท แต่มีอาชีพเป็นนักกีฬาที่มีระยะเวลาการได้เงินเดือนสูงไม่นานนัก หรือเงินเดือนสูงมากแต่อาชีพที่ต้องมีความเสี่ยงสูง หรือรายได้สูงแต่ชอบเล่นการพนัน แสดงว่าพ่อแม่คู่นี้วิเคราะห์โดยใช้ P/E เป็นหลัก

หากพ่อแม่พิจารณาทุกองค์ประกอบรวมกัน คือสินทรัพย์หรือหนี้สินในปัจจุบัน รายได้ในปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคต ระยะเวลาการหารายได้ ความเสี่ยงของงานที่ทำ ก็แสดงว่าพ่อแม่คู่นี้วิเคราะห์โดยใช้ Discount cash flow เป็นหลักครับ

แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าการวิเคราะห์แบบ discount cash flow จะไม่มีวันพลาดนะครับ เพราะการใช้ discount cash flow คือการทำนายอนาคต ซึ่งต้องอาศัยสมมุติฐานหลายอย่างมาก ผู้ใช้จึงจำเป็นต้องมีความรู้ความเข้าใจในตัวธุรกิจและตัวบริษัทมากในระดับหนึ่ง และข้อมูลปลีกย่อยหลายอย่างเช่น อายุเครื่องจักร ภาระการลงทุนในอนาคต รวมทั้งควรจะมีการประเมิน corporate governance ของหุ้นด้วย ดังนั้นการมองอะไรที่ยาวๆ ก็มีโอกาสผิดสูงครับ

ดังนั้นผมจึงไม่ได้ยึดติดการ valuation method อะไรเป็นหลักครับ อาจจะยึด dcf มากที่สุดแต่ก็จะพิจารณาถึง P/E P/BV EV/EBITDA ประกอบด้วย และที่สำคัญที่สุดคือการพิจารณาผู้บริหารครับ หากทุก valuation ดีหมด แต่ผู้บริหารผมทราบว่า corporate governance แย่ ผมอาจจะต้องขอซื้อหุ้นตัวนี้ที่ discount มากๆ หรือไม่ซื้อเลยก็ได้ครับ เพราะอาจจะมีอะไรที่เป็นการ destroy value ของหุ้นได้ในอนาคต ในทางตรงกันข้าม หากผู้บริหารดีมาก ผมก็ยอมจ่าย premium ครับ ซึ่งการ value ผู้บริหารเป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อนและจำเป็นต้องอาศัยการอ่านและติดตามข้อมูลเป็นอย่างมากครับ



Create Date : 12 กรกฎาคม 2552
Last Update : 9 มกราคม 2553 9:56:47 น. 13 comments
Counter : 5482 Pageviews.  

 
Money management -2% -6% rule
Hi there!

In this series of articles i’m going to introduce to you some of the best money management concepts/methods that have been developped by great forex and stock traders.

All of us heard and read about how important the money management but the most of us have been lost in finding clear money management strategies to follow. Our money management strategy today is very simple and easy to follow; it,s the 2%-6% rules.

The 2%-6% rules money management strategy was introduced by Elder Alexander in his book “Come to my trading room” in chapter 7 that labeled “Money Management Formulas”.

Sharks and piranhas :
Elder says “The goal of money management is to accumulate equity by reducing losses on losing trades and maximizing gains on winning trades.” and he affirm that Everyone in the market (competitor traders and brokers) want to eat your money, they have two ways to eat your money:

1- A big single shark bite that wipe of all or the most of your capital.

2- A series of small piranhas bites that none of them is lethal alone but which together strip an account to the bone.

The 2%-6% rules is the Money Management method that protects you from the sharks and piranhas.

2% limit rule:
The first thing you have to do to keep your account away of the sharks is to limit your lose at any trade to 2% of your equity. Do you have 10000USD in your trading account? So, you have to risk 10000 x 2% = 200USD in any of your trades. You have to set your stop loss to this level and you have not lose at any trade you make more than 2% of your equity. Some of professional traders use less than 2% but no more than 2%.

Whenever you make a loss or a profit you have to recalculate the 2% of the equity to know your new maximum risk per trade. For example if you made a profit trade and your account now is 11000USD, your maximum risk will be 220USD. At the other hand if you made a loss and and your account now is 9000USD, your maximum risk will be 180USD.


โดย: WACHOVIA วันที่: 15 กรกฎาคม 2552 เวลา:12:53:22 น.  

 
key success .....


ทำตัวให้เหมือนหุ่นยนต์ที่ถูกตั้งโปรแกรมไว้ (ซื้อถูก ขายแพง และคัท ณ จุดที่โปรแกรมไว้) .....


เล่นหุ้นต้องไร้หัวใจ ทำตัวให้ไร้อารมณ์ .. ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่เสียดาย ไม่ไล่ล่า ...... เยี่ยงหุ่นยนต์ที่ถูกโปรแกรมไว้
.
.
.
ถ้าทำได้ คุณจะกลายเป็น "จักรกลทำกำไร"
.
.
....
....

แก้ไขเมื่อ 15 ก.ค. 52 23:39:13

จากคุณ : Two Fishes
เขียนเมื่อ : 15 ก.ค. 52 23:37:48
ถูกใจ : ขอบฟ้าบูรพา, Wk024, WACHOVIA



โดย: WACHOVIA วันที่: 16 กรกฎาคม 2552 เวลา:3:56:58 น.  

 
กฏง่ายๆทำได้ก็รวยครับ

พอดีเพิ่งอ่านวิถีมหาเศรษฐีจบ เลยลองมานั่งดูตัวเอง แล้วลองเขียนออกมาเป็นกฏง่ายๆ ถ้าทำได้ก็รวย แชร์จากประสบการณ์ของผมเอง
1.ซื้อถูกขายให้แพง ซื้อแพงขายให้ได้แพงกว่า
2.พลาดอะไรอย่าให้พลาดอย่างเดิมซ้ำอีก
3.กำไรที่ได้ทบต้นไปเรื่อยๆ อย่าถอนออก
4.เชื่อมั่นในตัวเองได้ แต่อย่ามากจนเกินไป
5.หุ้นปั่นไว้เล่นขำๆ แต่ถ้าจะหวังรวย ต้องดูพื้นฐานของหุ้นให้เป็น
6.หลีกเลี่ยงการเล่นในสิ่งที่ไม่ถนัด หรืออะไรก็ตามที่รู้ว่าเล่นแล้วไม่มีทางชนะ (warrant ที่จะหมดอายุแล้วใช้สิทธิไม่ได้ ,TFEX)
7.อย่าหวังรวยทางลัด หรือหวังว่าจะรวยง่ายๆ เร็วๆ (คนส่วนใหญ่เป็นแบบนี้) แต่ให้คิดอีกแบบว่าจะทำยังไงให้ได้กำไรจะมากจะน้อยก็ได้แต่เสี่ยงน้อยที่สุด
8.อย่าหวังพึ่งคนอื่นตลอด ไม่มีใครในโลกนี้ใจดีอยากเห็นคนอื่นรวยกว่าตัวเองหรอกครับ (ในwebนี้อาจจะมีคนเก่งที่ใจดีอยู่บ้าง แต่คนเก่งแต่ใจร้ายและคนไม่เก่งแต่โพสเพื่อผลประโยชน์ตัวเองก็มีเยอะครับ)
สุดท้าย เล่นหุ้นก็เหมือนเล่นเกมส์ เกมส์ทุกเกมส์มีทางชนะถ้าจับหลักมันได้ (อย่างข้อ 6. tfex ทางชนะก็มี แต่ผมไม่ถนัดที่จะเล่นอย่างนั้นผมจึงเลี่ยงที่จะไม่เล่น) ใครมีกฏอะไรจะเพิ่มเติมเชิญได้เลยครับ ขอให้ทุกคนโชคดีครับ

จากคุณ : Notelio
เขียนเมื่อ : 15 ก.ค. 52 23:12:36





โดย: WACHOVIA วันที่: 16 กรกฎาคม 2552 เวลา:3:58:30 น.  

 
พื้นฐานเบื้องต้นในการใช้วิเคราะห์หลักทรัพย์

การวิเคราะห์เศรษฐกิจ --> employment rate, gdp, interest rate, etc.
การวิเคราะหฺ์ภาวะอุตสาหากรรม --> แนวโน้มโดยรวมของอุตสาหกรรม วัฎจักรธุรกิจ โครงสร้างระบบภาษี นโยบายรัฐบาลที่ส่งเสรืม
การวิเคราะห์บริษัท --> แบ่งเป็นสองหัวข้อหลัก
Qualitative Analysis กลยุทธ์การบริหาร กึ๋นผู้บริหาร นโยบาย โครงการขยายงานบริษัท โครงสร้างเงินทุน การกระจายความเสี่ยง ๙ล๙
Quantitative Analysis งบแสดงฐานะการเงินอดีตปัจจุบันคาดการณ์อนาคต เพื่อใช้ในการตัดสินใจลงทุนในราคาที่เหมาะสม ๙ล๙
จากคุณ : Child_Temple
เขียนเมื่อ : 17 ก.ค. 52 08:46:14
ถูกใจ : WACHOVIA, Ap_Ni




โดย: WACHOVIA วันที่: 17 กรกฎาคม 2552 เวลา:9:22:31 น.  

 
ความคิดเห็นที่ 8

เอา e-book เรื่องหุ้นมาฝากค่ะ

เเต่มีไม่เยอะนะคะ มีสิบกว่าเล่มได้

มีทั้ง TA และ FA

//www.bookdd.com/list.php?cat_id=46&s=1&o=0&p=1

จากคุณ : RoseTiara
เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 06:36:14




โดย: WACHOVIA วันที่: 19 กรกฎาคม 2552 เวลา:8:48:54 น.  

 
ความคิดเห็นที่ 4

ทั้ง RSI และ Momentum ทั้ง 2 ตัวนี้อยู่ในกลุ่มของ Momentum Indicators ( เจ้า Momentum มันดันชื่อเหมือนชื่อกลุ่มด้วย อย่างง ) ซึ่งหากอธิบายลงไปลึกๆ คงต้องดูจากสูตรที่พี่หมอ ให้มาว่ามาต่างกันอย่างไร แต่ผมจะให้ความเห็นเรื่องวิธีการนำมาใช้ดีกว่าว่า มันจะใช้อย่างไร แตกต่างกันอย่างไร น่าจะตรงใจผู้อ่านมากกว่า

RSI ตั้งขึ้นโดย นาย Welles Wilder เขียน indicators ตัวนี้มาตั้งแต่ปี 1978 และได้รับความนิยมอย่างมาก แต่ชื่อ RSI มันสื่อความหมายไม่ค่อยถูกต้องนักเพราะมันไม่ได้เปรียบเทียบกับหุ้นสองตัว แต่ที่จริงและเป็นการเปรียบเทียบความแข็งแรงภายในหุ้นตัวนั้นเอง ควรตั้งชื่อเป็น Internal Strength Index จะถูกต้องกว่า

ส่วนวิธีการใช้ RSI นาย Wilder บอกวิธีนำไปใช้ใน 5 กรณีคือ

1. ใช้บอก Tops and Bottoms โดยบอกว่า ที่บริเวณ > 70 มักจะเป็น tops และ ที่ < 30 มักเป็น Bottoms
2. RSI มักสร้างรูปแบบ ต่างๆ เช่น Head&Shoulder Triangle แต่เราอาจมองไม่เห็นใน กราฟ ของ ราคา
3. Failure Swings - เป็นการทะลุกรอบแนวรับหรือแนวต้านไปด้านใดด้านหนึ่ง หรือ Breakout ทำ new high หรือ new low ของ RSI แต่ว่า Price ไม่สามารถทำ new high หรือ new low ตาม RSI ได้
4. ใช้ RSI เป็นระดับที่บอกแนวรับแนวต้านได้ชัดเจน กว่า ราคา ในบางครั้ง
5. ใช้ดูสัญญาณเตือนความขัดแย้งของราคากับ indicator หรือ เกิด Divergence และจะมีผลให้ราคาจะต้องปรับทิศไปในทิศทางเดียวกับ RSI

ส่วน Momentum นั้น เราสามารถใช้ Momentum ในการแปลผลได้ 2 ลักษณะคือ
1. ใช้เป็นตัวบอกสัญญาณซื้อ/ขาย เป็น trend following oscillator ตัวหนึ่งโดยหากตัว momentum ตัดเส้น 0 ขึ้นไปก็ซื้อ และหากตัดเส้น 0 ลงมาก็ขาย แต่ต้องระวังหากตลาดอยู่ในภาวะ sideway จะเกิด whipsaw เสียหายได้
** หากพบว่า Momentum วิ่งขึ้นหรือลงไปเป็นภาวะ Extreme high Or Low เทียบกับก่อนหน้า เราควรตั้งสมมติฐานว่า ยังอยู่ใน trend เดิมนั้นอยู่ การปรับตัวลง อาจเป็นเพียงการปรับตัวชั่วคราวและจะวิ่งไปใน trend เดิมต่อไป หรืออีกนัยยะ หนึ่งคือ ควรรอให้ ราคาแสดงการกลับตัวจากจุดสูงสุดแล้ววกลงมาเพื่อยืนยัน ตาม momentum ด้วย จึงจะ action ขายหุ้นออกไป

2. เราใช้ Momentum เป็น Leading Indicator คือเป็นตัวบ่งชี้ว่า ตลาดมีความโอกาสจะเปลี่ยนทิศทางได้แค่ไหน โดยดูจาก Divergence ระหว่างราคา Price กับ momentum โดยเมื่อ Momentum ไปที่ peak แล้วตกลงอย่างรวดเร็ว แต่ราคายังวิ่งขึ้นไปต่อ ทำให้เกิด Divergence ขึ้นมาก็จะเป็นสัญญาณเตือนว่าจะเปลี่ยนทิศของราคาในไม่ช้า ต้องจับตาและระวังไว้ เมื่อราคาชี้ลงก็ควรขายออกไป ( อาจใช้ indicators ตัวอื่นๆ ยืนยันด้วย )

จะเห็นว่าในอินดิเคเตอร์ในกลุ่มเดียวกัน วิธีการนำไปใช้จะคล้ายกัน แต่ก็มีจุดแตกต่างกันบ้างในการเลือกนำไปใช้ ดังนั้นเราจึงควรศึกษาให้เข้าใจวิธีการนำไปใช้แปลผลให้เกิดประโยชน์มากที่สุด เช่นในกรณีนี้ ระหว่าง RSI กับ momentum จะเห็นว่า ตัว momentum ให้สัญญาณซื้อขายได้ (โดยดูจากการตัดเส้น 0 ) แต่ตัว RSI บอกจุดนี้ไม่ได้ เป็นต้น ส่วนการใช้เราต้องลองนำไปใช้เปรียบเทียบกันแล้วดูว่าแต่ละตัวมันน่าเชื่อถือแตกต่างกันแค่ไหน เราจึงจะเลือกนำไปใช้ต่อไป

จากคุณ : kitty63
เขียนเมื่อ : 24 ก.ค. 52 08:04:27
: WACHOVIA



โดย: WACHOVIA วันที่: 24 กรกฎาคม 2552 เวลา:9:30:26 น.  

 
24 วิธีเอาชนะหุ้น

จากแนวคิด สิปปกร ขาวสอาด

เล่นหุ้นลงทุนในหุ้นพูดไปแล้วไม่ใช่เรื่องยากเรื่องเย็นอะไรพกเงินมา เข้าหาโบรกเกอร์เปิดพอร์ตเล่นหุ้นก็ซื้อขายหุ้นได้แล้ว แต่ที่หวังจะชนะตลาด กำไรจากหุ้นนี่ซิคงไม่ใช่เรื่องง่ายแน่ ๆ เพราะเท่าที่เห็นนักลงทุนผู้เล่นหุ้นส่วนใหญ่กลายเป็นแมงเม่าในตลาดหุ้นร้อง กันระงม ส่วนพวกที่ประสบความสำเร็จก็มีบ้างแต่ก็เป็นเพียงส่วนน้อย การหวังชนะตลาดหุ้น เล่นหุ้นแล้วรวยคงไม่มีสูตรตายตัวแน่ แต่ก็มีกลยุทธ์แม่ไม้หลายขบวนท่าที่นักลงทุนผู้เล่นหุ้นควรต้องศึกษาเพื่อนำ มาใช้เป็นเกาะป้องกันตัวและเป็นเครื่องมือแสวงหาความสำเร็จต่อไป ณ ที่นี้ขอนำวิธีเล่นหุ้น 25 ขบวนท่ามาฝากเพื่อเอาชนะหุ้น ส่วนจะได้ผลมากน้อยเพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับท่านทั้งหลาย จะนำไปปรุงแต่งปรับเปลี่ยนกลยุทธ์สร้างแนวคิดต่อยอดค้นหาความสำเร็จกันต่อไป

1. อย่ากลัวกับเรื่องที่จะเสียเวลาต่อการไขว้คว้าหาความรู้เกี่ยวกับเรื่องหุ้น เพราะเรื่องราวของการลงทุนในตลาดหุ้นนั้นมีอะไรให้เรียนรู้มากมายหลายเรื่อง ไม่จบสิ้น การลงทุนในตลาดหุ้นก็เหมือนกับการทำธุรกิจบริหารบริษัทให้เกิดกำไรดังนั้น ต้องรู้จักแสวงหาความรู้ใหม่ ๆ เพิ่มเติมให้มาก ๆ

2 จงจดจำรายละเอียดเกี่ยวกับตัวหุ้น กลุ่มผู้บริหาร การประกอบธุรกิจ ความเป็นมาเป็นไปของ บริษัททั้งอดีตและปัจจุบัน เพื่อเป็นการตอกย้ำความทรงจำต่อตัวหุ้นทุกแง่ทุกมุม

3. ต้องเข้าถึงข้อมูลทั้งเชิงลึกและตื้นเพื่อให้รู้เท่าทันถึงคุณค่าของตัวหุ้น ในยุคสมัยนี้มีสิ่งใหม่ ๆ ที่เป็นตัวแปร เกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจธุรกรรมของบริษัทจดทะเบียนนั้นมีมากเหลือเกิน เช่นการการเพิ่มทุน การลดทุน การออกวอแรนต์ การออกหุ้นกู้ การร่วมทุน ฯลฯ ดังนั้นเราจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องศึกษาในตัวหุ้นที่สนใจอย่างลึก ซึ้งเพื่อเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้องที่สุดให้ได้

4. ให้น้ำหนักที่จะซื้อหรือถือครองในตัวหุ้นที่มีอัตราการเติบโตที่ดีเท่านั้น เพราะหุ้นในกระดานมีให้เลือกมากมายหลายตัว จึงควรเปรียบเทียบประเมินถึงมูลค่าหุ้นแต่ละตัวโดยเฉพาะการพิจารณาถึงผลการ ดำเนินงานของหุ้นในอนาคตว่าจะมีอัตราการเติบโตเป็นเช่นใด และก็ควรเลือกหุ้นที่มีอัตราการเติบโตโดดเด่น เพื่อความสำเร็จต่อการลงทุนที่ดีของเรา

5. อย่าปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผลในการตัดสินใจต่อการลงทุนทุกครั้งทุกรอบ เพราะการใช้อารมณ์ในการตัดสินลงทุนมักก่อให้เกิดความผิดพลาดได้เสมอ หลักในการลงทุนที่แท้จริงนั้นควรต้องใช้เหตุและผลเข้าอ้างอิงพิจารณาลงทุน ดังนั้นการใช้อารมณ์จึงไม่ใช่เครื่องมือที่นำมาตัดสินใจลงทุน

6. เมื่อมีปัญหาในการลงทุนควรใช้หลักแห่งความน่าจะเป็น หรือความเป็นไปได้ในการตัดสินใจแก้ไขปัญหา เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นตามมาให้ได้

7. ในขณะที่แนวโน้มตลาดหุ้นทรุดตัวลง อย่าปล่อยให้เวลาผ่านพ้นไปโดยไม่แก้ไข หรือปรับปรุงพอร์ต เพราะนั้นเท่ากับว่าเรายอมพ่ายแพ้ต่อภาวะตลาดซึ่งจะทำให้เสียหายและแก้ไข อยากเมื่อเวลาผ่านไปนาน ๆ

8. ควรตัดสินใจอย่างฉับพลัน ที่จะซื้อหรือขายหุ้นโดยทันที เมื่อมองเห็นหรือสามารถคาดการณ์ภาวะตลาดว่าจะไปในทิศทางไหน

9. มีขอบเขตในการปรับตัว พร้อมเปลี่ยนแปลงต่อภาวการณ์ลงทุนได้ทุกเมื่อ เพราะการปรับเปลี่ยนที่คล่องตัว ย่อมทำให้ได้เปรียบต่อการลงทุนอย่างยิ่ง

10. ห้ามโกหกตัวเองด้วยความคิดที่เข้าข้างตนเองเสมอ ทั้งที่ข้อมูลชี้ชัดว่าทิศทางแนวโน้มจะเป็นเช่นใด ราคาหุ้นเริ่มตอบสนองความเล วร้ายในแง่ปัจจัยกระทบ แต่ตัวเองกับมองว่าเดี๋ยวทุกอย่างคงคลี่คลายดีขึ้น เพราะตัวเองถือหุ้นอยู่ นั้นจะทำให้ท่านไม่สามารถค้นหาความจริงได้

11. อย่าคาดคั้นหาคำตอบในทางตรงกันข้ามกับความเป็นจริง เช่นทำไมหุ้นตัวนี้ไม่ขึ้น หุ้นตัวนั้นไม่วิ่ง ทั้งที่ความจริงหุ้นตัวนั้น ๆ มีปัจจัยพื้นฐานแย่ เพราะอาจทำให้เราเกิดหลงทางได้

12.จงพยายามฝึกฝนตนเองเกี่ยวกับการลงทุนในหุ้นให้เกิดการเรียนรู้อย่าง สม่ำเสมอ ทั้งแง่การติดตามปัจจัยพื้นฐาน และปัจจัยทางด้านเทคนิค

13. ไม่ควรคาดหวังกับผลการลงทุนในเชิงบวกมากเกินไปนัก เพราะอาจทำให้ผิดหวัง จงจำไว้เสมอว่าการลงทุนในตลาดหุ้นความแน่นอนคือความไม่แน่นอนเพียงแต่ว่าเรา ควรหาวิธีลดความเสี่ยงในการลงทุนให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้แค่นั้นก็ เพียงพอแล้ว

14. ห้ามยึดติดกับการชักชวนหรือชี้นำของใครคนใดคนหนึ่งให้ซื้อหรือขายหุ้น โดยที่เราเองไม่ได้ไตร่ตรองเสียก่อน นั้นเท่ากับว่าเรานั้นไม่มีหลักคิดในการลงทุนเลยแม้แต่น้อยซึ่งอาจทำให้เกิด ความเสียหายตามมาได้

15. ซื่อสัตย์ ต่อตนเองเสมอ โดยเฉพาะในเรื่องของหลักการลงทุน เราจะลงทุนในหุ้นโดยไม่ออกนอกกรอบกติกา เช่นไม่ไล่ซื้อหุ้นด้วยอารมณ์ ไม่ขายหุ้นเพราะคล้อยตามผู้อื่น ไม่ซื้อหุ้นเกินตัว ถ้าเราซื่อสัตย์ต่อตนเองต่อกติกา เราก็สามารถแสวงหากำไรและหลีกเลี่ยงความเสี่ยงได้ในระดับหนึ่งอย่างแน่นอน

16. ควรให้โอกาสตนเองเสมอในการแก้ไขข้อผิดพลาด เพราะการลงทุนย่อมเกิดความผิดพลาดได้ทุกเมื่อ ดังนั้นไม่ควรท้อแท้หรือเบื่อหน่ายตนเอง แต่ควรหาจุดแก้ไขข้อบกพร่อง ขจัดจุดอ่อน และแสวงหาจุดแข็ง เพื่อการลงทุนที่ถูกหลักถูกต้องต่อไป

17. อย่าทำตัวเป็นคนเก่งในตลาดหุ้นโดยไม่ยอมรับข้อมูลใด ๆ อย่าเชื่อมั่นตนเองจนเกินเลย เพราะอาจทำให้เราเวียนวนอยู่ในมุมอับของข้อมูล และจะไม่สามารถเข้าถึงสิ่งที่เป็นจริงเหนือความคิดของตนเองได้

18. จงแสวงหาความรู้ใหม่ ๆ เปิดวิชั่นให้กว้างไกล อย่าสกัดกั้นตนเองในกรอบแคบ ๆ ควรรับรู้ข่าวสารข้อมูลให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และควรรู้จักประเมิน พิจารณา ใช้วิจารณาณอย่างถูกต้องเพื่อการลงทุนที่จะได้มาซึ่งผลประโยชน์มากที่สุด

19. ต้องรู้จักการเรียนรู้ นึกถึงข้อดี ข้อเสีย ในการลงทุนทุก ๆ จุดที่ผ่านมา ค้นหาความได้เปรียบเสียเปรียบ เพื่อนำมาปรับปรุง ให้ได้จุดแข็งที่ดีที่สุดต่อการลงทุนในอนาคต

20. มีความรู้สึกที่ยินดี แสดงความดีใจกับเพื่อนนักลงทุนที่คุ้นเคยเมื่อพวกเขาเหล่านั้นสามารถทำกำไร จากตลาดหุ้นได้ และหลีกเลี่ยงการแสดงอาการหรือคำพูดที่ส่อเสียดก้าวร้าวกับเพื่อนนัก ลงทุน เพราะจะทำให้เรานั้นขาดมิตร และไร้เพื่อนคู่คิคต่อการลงทุนได้

21. อย่าปิดกั้นตนเองในการมองหุ้นหรือค้นหาหุ้นทั้งกระดานเพียงแค่คิดจะเล่นหุ้น อยู่ในกลุ่มไม่กี่หมวดกี่ตัวเท่านั้น เพราะหุ้นในกระดานกว่า 500 ตัว มีให้เลือกอย่ามองเพียงแค่หุ้นสองสามตัวที่คุ้นเคยเท่านั้นเอง

22. รู้จักที่จะมองหุ้นพิจารณาว่าซื้อหรือขายด้วยการทำการบ้าน ประเมินมูลค่าหุ้นมองทิศทางหุ้นด้วยตนเอง ซึ่งจะทำให้เรานั้นสามารถรู้ลึกรู้คุณค่าหุ้นที่เหมาะสมและลงทุนได้ถูกต้อง ถูกตัวในเวลาที่เหมาะสม

23. คิดถึงอนาคตเสมอ จะซื้อหุ้นควรมองมูลค่าหุ้นในอนาคต ควรคาดการณ์ผลการดำเนินงานในอนาคต เพราะราคาหุ้นนั้นจะเดินหน้าหรือถอยหลังคงขึ้นอยู่กับการดำเนินงานที่แท้ จริงในอนาคตเท่านั้นเอง

24. ต้องรู้จักรักตัวเองให้มาก ๆ อย่างที่รู้ ๆ กันอยู่แล้วว่าการลงทุนนั้นมีความเสี่ยงสูง พลาดท่าเสียทีอาจจะเสียคนหมดอนาคตได้ ด้งนั้นการลงทุนทุกรอบทุกครั้งควรตระหนักพิจารณาอย่างถ้วนถี่หากมองแล้วมี โอกาสชนะมากกว่า 70 ถึง 80 เปอร์เซนต์ค่อยน่าสู้ จงคิดถึงตัวเองและรักตัวเองเสมอเพราะถ้าลงทุนแล้วผิดพลาดเราเองนั้นละที่จะ เจ็บปวดสุด ๆ

จากคุณ : bigzaa
เขียนเมื่อ : 27 ก.ค. 52 18:26:05
ถูกใจ : Golf K-4, kagi, ลูกอ๊อดหางกุด, กระเป๋าทอง, โรงแรม, WACHOVIA



โดย: WACHOVIA วันที่: 28 กรกฎาคม 2552 เวลา:0:17:14 น.  

 
คห 21 ตื่เช้าที่ต้องทำทุกวัน
1ดูตลาดเอเซีย ราวเก้าโมงกว่าจึงจะเปิดหมด (ถ้าเอเซียแดงหมด คุณว่าไทยจะขึ้นไหวไหมละครับ ) //finance.yahoo.com/intlindices?e=asia
2ถ้าอยากดู หั่งเซ่งไวไว ดูที่นี่//www.gloryskygroup.com/index.aspx?lang=en
3และก่อนเปิดบ่ายก็ดูที่นี่ //finance.yahoo.com/intlindices?e=europe
4 ดูว่าดาวคืนนี้จะเป็นไง (วันนี้ เห็นแดงแต่เช้า ต้องรอดู บ่ายและเย็นด้วยนะ )
//www.bloomberg.com/markets/stocks/futures.html
ถ้าเป็นเวบของยาฮู ที่ท้ายบันทัด กดไปดูกราฟให้ละเอียด มากขึ้นที่คำว่า Chart พอได้หน้าต่างใหม่ ก็กดที่เมนู Basic tech analysis แล้วตั้งค่ากราฟเอาตามใจชอบ
ส่วนข่าวจะอยู่ด้านล่างของแต่ละเวบ
และถ้าต้องการ กราฟสวย ไปที่เวพ นี้ ครับ
//stockcharts.com/h-sc/ui ( Indu ดาว โจนส์ seti ตลาดไทย ssec จีน hsi หั่งเซ่ง เป็นต้น )
แล้วสรุปเองบ่อยๆๆจะรู้ว่า ตัวเองก็อ่านตลาดออกว่าไปทางไหน ไม่เห็นต้องรอคนมาฟันธงเลย

จากคุณ : หมอสัจจะ
เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 08:39:51



โดย: wachovia IP: 222.123.237.103 วันที่: 18 กันยายน 2552 เวลา:9:49:04 น.  

 
ฤทธิ์มีดสั้น ...
จากเวบกระทิงเขียวครับ ขอขอบคุณเจ้าของบทความไว้ ณ ที่นี้ด้วย





วิธีการเล่นของคุณ Wishmaster

เล่นซัก 3-4 ปี แล้วลองมาทบทวนการเล่นตัวเองสิครับ ว่าทำไมถึงขาดทุน เรามีจุดเสียตรงไหน

ผมเคยเจ๊งเกือบหมดพอร์ตมาแล้ว จากทุนเกือบ 4 แสน เหลือ หมื่นกว่าบาท (สุดยอดมั้ยครับ) แต่ไม่เลิกนะครับ หน้าด้าน อิ อิ

2 ปีแรก มั่วมากๆ อ่านหนังสือมาเยอะเลยแต่ทำไม่เห็นได้เลย (แรกๆ อยากเป็นวอเรน อยากเป็นหมอฟัน อิ อิ )
แต่เวลาเข้าสนามจริงๆ ตลาดทำอารมณ์กับสมาธิเราปั่นป่วนไปหมด แถมเจอเวิร์ลเทรด สงครามอิรักด้วย เละเลยครับ

ปีที่ 3 ผมเริ่มตั้งหลักใหม่ แต่ก็ไม่ดีขึ้น ได้มาก็เสียหมด และเริ่มคิดได้ว่า สงสัยเราไม่เหมาะกับหุ้นมั้ง
แต่เอ.. บางทีเราก็ทำกำไรได้นี่ แสดงว่าเราทำถูกบางจังหวะ แต่บางจังหวะเราทำผิด เอ๊ะ เราผิดพลาดตรงไหน

เริ่มปีที่ 4 เอาใหม่ซิ นั่งจ้องจอเลย สังเกตๆๆๆๆๆ เออแฮะ มันมีบางจุดนี่นา ที่เราสามารถทำกำไรได้
และหลังจากผมไปอ่านบทความของท่านนึง ที่ว่าทำกำไรเดือนละแค่ 10 % แล้วทบต้นไปเรื่อยๆ
ผลตอบแทนจะมากมายมหาศาลในเวลาไม่กี่ปี เป็นหลักหลายร้อยเปอร์เซนต์เลยครับ

ผมเลยมานั่งคำนวณใหม่ พบว่าการทำกำไรวันละ 1-2 % ทุกวัน เดือนนึงก็ได้หลายเปอร์เซ็นต์นา

แล้วไอ้การทำกำไรนิดหน่อยแค่วันละ 1-2 % เนี่ย ไม่ใช่เรื่องยากเลย แค่ใช้การสังเกตสักหน่อย
(ตรงนี้เป็นเรื่องของ ปสก ครับ) บางครั้งได้มากกว่า 5 % ซะอีก บางทีดวงเฮงด้วย 20 % ยังเคยได้มาแล้ว แค่วันเดียวเอง

แล้วถ้าการสังเกตเราผิดพลาดล่ะ(แน่นอนย่อมมี) ก็ขายทิ้งสิครับ กำหนดตายตัวไปเลย ขาดทุนเกิน 5 % ขายด่วน
มันจะเด้งไปไหนก็ช่างหัวมัน แต่อย่างน้อยเราไม่ขาดทุนเพิ่มแน่นอน

ผมใช้หลักการง่ายๆแบบนี้แหละ ตอนนี้จะเข้าปีที่ 6 แล้ว ผ่านมาจะ 2 ปีนี่ ผมทำกำไรเดือนนึงพอร์ตโตขึ้น
เฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 20 % ทุกเดือน ทุกสถานการณ์ด้วย (เคยห่วยสุด 16 % มากสุด 38 %)

แต่อยากบอกว่า ผมไม่ใช่คนเก่ง เทคนิคเคิลกร๊าฟผมดูไม่เป็น วิเคราะห์ข่าวก็ไม่ได้ ค่า pe ไม่เคยดู
ผมดูอย่างเดียวคือลักษณะการเคลื่อนไหว และวอลุ่ม

จุดสำคัญที่สุดคือ
1 ขาดทุนต้องขายครับ เราเข้าผิดตัว ผิดจังหวะแล้ว รีบตัดมันทิ้งทันที
2 อย่าโลภ กำไรเข้าเป้าแล้วขายเลย มันจะวิ่งไปไหนก็ช่างมัน (ผมถึงขายหมูบ่อยพอควร แต่เคยลองทิ้งให้วิ่งแล้วพบว่า
ใน 20 ตัวจะวิ่งไกลๆแค่ 1 ตัว ที่เหลือย้อนกลับมาที่เดิมหรือไม่ก็จากกำไรเป็นขาดทุนซะ ผมเลยตั้งกฎไว้ว่า มีกำไรต้องขายครับ
เพราะเราไม่รู้อนาคตและเราได้ตรงนั้นแน่นอนชัวร์ๆ ขายแล้วมันขึ้นผมไม่เจ็บใจเท่ากับ ไม่ยอมขายแล้วมันลงนี่สิ
เพราะโอกาสทำกำไรมาแล้ว แต่ดันปล่อยมันทิ้งไป โง่มากๆ)

ผมมองหุ้นเป็นเกมส์ ไม่ใช่การพนัน เพราะการพนันใช้ดวงถึง 90 % แต่หุ้น เราใช้ฝีมือ 90 % ครับ เราจำกัดความเสี่ยง
ความไม่รู้ได้ เพียงแต่เราไม่ทำกันเอง เราไปดูคนอื่นทำกำไรเท่านั้นเท่านี้ เราก็อยากได้เหมือนเขา แต่เราลืมไปว่า
คนที่เป็นเซียนนั้น เค้ามีวิธีเล่นที่ยอดเยี่ยมขนาดไหน เค้ามี ปสก มากขนาดไหน ผมเคยเล่นตามแบบคนอื่นและพบว่า
ผมเล่นไม่ได้ ผมไม่เก่งขนาดนั้น ผมเจ๊งตลอดเลย

ผมทำตามกฏของผมและพบว่า เป็นการเล่นที่สบายๆที่สุดแล้ว ไม่เครียดเลย หุ้นจะตกเท่าไหร่ผมเฉยๆ เพราะเมื่อหุ้นตก
ผมไม่มีหุ้นเลยซักตัว การเล่นของผมเป็นแบบ ตีหัวเข้าบ้านอย่างที่สุด จ้าวเค้าพาไปไหนผมไปด้วย แต่ผมได้จนพอใจแล้วผมก็สลัดออกมา
จ้างจะทิ้งหรือจะไปต่อก็ช่างเค้า

แต่ต้องออกตัวก่อนว่า พอร์ตผมมันเล็กๆนะครับ ไม่กี่ล้านบาท จึงทำแบบนี้ได้ ผมวิเคราะห์แล้วว่า
การเล่นแบบของผมคงต้องมีพอร์ตที่ไม่ใหญ่มาก(เต็มที่ 10 ล้าน) ไม่งั้นการซื้อขายของผมอาจจะกระทบวอลุ่มของหุ้นตัวนั้นๆได้
และราคาจะไม่ไปตามที่ผมคิด

ทุกท่านลองหาแนวทางของตัวเองดู แล้วจะรู้ว่าตลาดหุ้น มันพอมีโอกาสให้ทำกำไรอยู่

แต่ส่วนตัวผมแล้ว ผมจะระลึกเสมอว่า การทำกำไรจากหุ้นเป็นเรื่องยากมากๆครับ เพราะหุ้นขึ้นยากกว่าหุ้นลงเยอะ
ดังนั้นเราได้กำไรมาแล้ว เราต้องรู้ถึงคุณค่าของมันให้มากๆ รักษามันไว้ให้ได้ อย่าหลงระเริงกับกำไร อย่าคิดว่าตัวเองเก่ง
แล้วเราจะอยู่รอดครับ

ปกติผมไม่ค่อยได้เข้าที่นี่หรอก ผมอยู่ห้องกระทิงเขียว ใช้ชื่อ wishmaster ที่นั่น มีเซียนเก่งๆอยู่ 3-4 คนครับ
ใครเห็นการเล่นของพวกเค้าแล้วจะทึ่ง ผมเทียบไม่ติดเลยอะ

ต้องแยกให้ออก ระหว่างนักเก็งกำไรกับผีพนันนะครับ

อย่าเอาผีพนันมาเทียบกับนักเก็งกำไร มันคนละเรื่องเลยครับ คนละชั้นกันน่ะ

หลายคนยังเข้าใจผิดมากๆ เล่นหุ้นก็ไม่มีจุดยืน ไม่มีระบบการเล่น ซื้อขายมั่วๆ แต่บอกคนอื่นว่าตัวเองเป็นนักเก็งกำไร
ทั้งๆที่การเล่นของเค้าก็แค่มองหุ้นเป็นการพนันเท่านั้น ซื้อแล้วหวังดวงอย่างเดียว พอเจ๊งแล้วก็ตีโพยตีพายว่าหุ้นเป็นการพนัน
ดวงไม่ดี เลยเจ๊ง อิ อิ คนแบบนี้มีเยอะเลยครับ

อย่างที่บอก มันเป็นเรื่องที่เข้าใจยากจริงๆ การทำกำไรจากหุ้นนี่ (สำหรับคนทั่วไปนะ)

คนที่รักจริง และคิดพัฒนาตัวเองเท่านั้น จึงจะเลื่อนชั้นจากผีพนันมาเป็นนักเก็งกำไรได้

ผมขอย้ำอีกครั้ง หุ้นกับการพนัน มันดูใกล้เคียงกัน แต่จริงๆมันคนละเรื่องเลย หุ้นเป็นสิ่งที่สร้างสรรค์กว่าเยอะ พัฒนาความคิดกว่าเยอะเลยครับ


โดย: wishmaster IP: 222.123.237.103 วันที่: 19 กันยายน 2552 เวลา:9:34:44 น.  

 
ชีวิตชีวาของหุ้น

By nives
ทุกครั้งที่ผมซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ผมคิดเสมอว่า ผมกำลังลงทุนในธุรกิจ ผมไม่ได้ซื้อกระดาษที่เรียกว่า "หุ้น" แผ่นเล็กๆ ที่มีราคาขึ้นๆ ลงๆ ทุกวัน ธุรกิจนั้นเป็น "ของจริง" ที่มีโรงงาน หรือสำนักงาน มีพนักงาน มีระบบการบริหารและข้อมูล มีแหล่งป้อนวัตถุดิบหรือสินค้าเพื่อนำมาขายต่อ

และสุดท้าย ก็คือ มีร้านหรือช่องทางที่จะขายให้กับ "ลูกค้า" ซึ่งบ่อยครั้ง ก็คือ ตัวผมเองและคนในครอบครัว ดังนั้นสำหรับผมแล้ว การลงทุนซื้อขายหุ้น ผมสามารถ "สัมผัส" กับมันได้ผ่านการได้เห็นร้าน และการใช้สินค้าหรือบริการของบริษัท

นอกจากผมเองที่สามารถ "สัมผัส" กับกิจการได้แล้ว ผมยังมักจะถามความเห็นของภรรยา และโดยเฉพาะลูกสาวที่ยังเรียนอยู่ในระดับมหาวิทยาลัยว่ากิจการที่ผมสนใจนั้น เขามีความ "รู้สึก" อย่างไรด้วย
เหตุผลก็คือ ถ้าผมคิดเอง ความรู้สึกของผมอาจจะผิด เนื่องจากอายุที่มาก และอาจจะรู้ข้อมูลที่เป็นตัวเลขมากจนทำให้มีความลำเอียงในความดีเด่นหรือความด้อยของกิจการ

ในขณะที่ฐานะและความแข็งแกร่งทางด้านการตลาดนั้น เด็กวัยรุ่นกับผู้หญิงที่ไม่ได้เล่นหุ้นน่าจะรู้ดีที่สุด และต่อไปนี้ก็คือบางประเด็นที่ผมมักใช้ทดสอบว่า หุ้นตัวนั้นมีความน่าสนใจมากน้อยแค่ไหนจากการ "สัมผัส" โดยที่ประเด็นต่างๆ เหล่านั้น ผมจะมองที่หุ้นของกิจการที่มี "อนาคต" และ "มีชีวิตชีวา" มองจากสายตาของ "คนรุ่นใหม่" หรือคนที่สามารถ "ใช้สามัญสำนึกได้โดยไม่ลำเอียง"

ข้อแรกที่เป็นปัจจัยหนึ่งในการเลือกหุ้น ก็คือ ธุรกิจนั้น เรา "ภูมิใจ" ที่จะได้เป็นเจ้าของหรือไม่ หรือถ้าจะพูดให้ถูกต้องกว่า ก็คือ ลูกเรารู้สึกภูมิใจที่จะไปคุยกับเพื่อนฝูงว่า เขาเป็นเจ้าของหรือไม่ ถ้าเขารู้สึกว่ากิจการที่เรากำลังพิจารณาซื้อนั้น เป็นกิจการที่ดูเชยหรือโบราณหรือไม่น่าสนใจ พูดไปเพื่อนฝูงก็ไม่รู้จัก

แบบนี้ก็แสดงว่าเป็นกิจการที่ "ไม่เท่" ในสายตาของคนรุ่นใหม่ ตรงกันข้าม ถ้าเขารู้สึกว่าการเป็นเจ้าของกิจการที่กำลังพูดถึงนั้นจะทำให้เขาดูดีมาก เป็นที่อิจฉาของเพื่อนฝูงและน่าจะทำให้เขาดูป๊อปปูล่าร์มาก แบบนี้ก็แสดงว่าหุ้นที่เรากำลังพิจารณานั้น น่าจะเป็นหุ้นที่มีอนาคตที่ดีอย่างน้อยก็ในแง่ของตัวสินค้าหรือผลิตภัณฑ์

ข้อสอง ธุรกิจนั้น เป็นสินค้าที่คนรุ่นใหม่กำลังนิยมใช้มากหรือไม่ มันเป็นเทรนด์หรือเป็น "แฟชั่น" หรือไม่ ถ้าคำตอบก็คือ นี่เป็นสินค้าที่คนรุ่นใหม่ไม่ค่อยได้ใช้แล้ว คนรุ่นใหม่ไม่สนใจหรือกำลังเปลี่ยนพฤติกรรมไปใช้อย่างอื่น

แบบนี้ก็ต้องระวังว่าอนาคตอุตสาหกรรมอาจจะกำลังตกต่ำลง ตรงกันข้าม สินค้าหรือบริการที่คนรุ่นใหม่กำลังนิยมใช้หรือเริ่มเข้ามาใช้บริการมากขึ้นเรื่อยๆ หรือแสดงความสนใจศึกษามากขึ้นเรื่อยๆ แบบนี้ก็แสดงว่าสินค้าหรือบริการนั้น กำลังอยู่ในเทรนด์ของคนรุ่นใหม่ อนาคตและการเติบโตของอุตสาหกรรมน่าจะดีขึ้น

ข้อสาม กิจการมีการเติบโตต่อเนื่องเห็นได้จากการ "เปิดร้านสาขาใหม่ๆ" เพิ่มขึ้นตลอดทั้งในทำเลที่ใกล้เคียงและในทำเลใหม่ๆ ที่ยังไม่เคยเปิดมาก่อน ความคึกคักของร้านนั้น สามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนจากร้านที่ "ดูใหม่" และทันสมัย มีสินค้าใหม่ๆ มากมายที่ลูกค้า ซึ่งอาจจะรวมถึงครอบครัวเราด้วย อยากเข้าไปใช้บริการมากกว่าร้านอื่นๆ ที่ขายสินค้าคล้ายคลึงกัน

ข้อสี่ เมื่อใช้ผลิตภัณฑ์หรือบริการแล้วรู้สึก "โดน" มาก คือรู้สึกประทับใจและถ้าเลือกได้ก็จะใช้ของบริษัทนี้ นอกจากนั้นเพื่อนๆ หรือคนอื่นก็พูดคล้ายๆ กัน คำว่าประทับใจหรือพอใจนั้นต้องดูโดยรวมและเทียบกับราคาของสินค้าหรือบริการนั้นด้วย กิจการที่ให้บริการที่ "โดน" นั้น จะสามารถผูกใจให้ลูกค้ามีความภักดีต่อสินค้าหรือบริการซึ่งจะส่งผลต่อผลการดำเนินงานของบริษัททั้งในระยะสั้นและยาว

ข้อห้า รู้สึกว่าบริษัทมี "ความมั่นคงมาก" ความรู้สึกนี้มักจะมาจากการที่บริษัท ก่อตั้งมานาน มีระบบการจ้างงานที่ดี ให้เงินเดือนหรือสวัสดิการดี องค์กรจ้างคนที่มีคุณสมบัติสูงเมื่อเทียบกับองค์กรอื่นที่จ้างคนที่มีระดับการศึกษาเดียวกัน เราไม่ต้องไปดูข้อมูลเหล่านี้ เราเพียงแต่ใช้หรือฟังภรรยาและลูกพูดถึงบริษัทว่ารู้สึกอย่างไรก็พอ
ข้อหก พนักงานของบริษัท "ดูดี" เช่น ขยันและเอาใจใส่กว่าบริษัทคู่แข่ง แต่งตัวดีและหน้าตาดีกว่าบริษัทอื่นในระดับเดียวกัน บางทีผมก็พยายามมองดูว่าพนักงานของบริษัทนี้รู้สึกจะมีความภูมิใจในตัวเองมากกว่าพนักงานของบริษัทคู่แข่งหรือไม่ ถ้าใช่ก็ถือว่าดี

ข้อเจ็ด กิจการมีการ "เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด" เช่นเดิมทีต้องรอนานและพนักงานไม่สนใจลูกค้า กลายเป็นเร็วขึ้นและต้อนรับลูกค้าอย่างดีและมีบริการใหม่ ๆ มาเสนอต่อลูกค้าตลอด ข้อนี้ถ้าเราเห็นหรือรู้สึกได้ตั้งแต่ช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ ก็จะเป็นโอกาสในการซื้อหุ้นที่งดงามได้

การเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดนั้น ครอบคลุมกว้างมากและรวมไปถึงกิจการทุกประเภทที่เราจะสามารถสัมผัสได้ ดังนั้นในแง่ของการลงทุนแล้ว ทุกครั้งที่เราซื้อสินค้าหรือใช้บริการ เราควรจะต้องสังเกตและวิเคราะห์เสมอว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงไปไหม ดีขึ้นหรือเลวลง มากน้อยแค่ไหน ถ้าคำตอบคือ ดีขึ้นมากละก็ ลองพิจารณาอย่างจริงจังที่จะซื้อหุ้นดู

ผมคงไม่สามารถที่จะพูดได้หมดว่ามีประเด็นอะไรอีกบ้าง ที่จะเป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่าบริษัทหรือหุ้นตัวนั้นมีความน่าสนใจมองจาก "การสัมผัส" กับสินค้าหรือบริการนั้น แต่สิ่งที่จะเน้นย้ำอีกครั้งก็คือ เราจะต้องเห็นถึงความ "มีชีวิตชีวา" ของตัวกิจการ ซึ่งสิ่งนี้มักจะอิงหรือเกี่ยวข้องกับคนที่มีอายุน้อยและเป็นคนรุ่นใหม่ และก็เช่นเคย การวิเคราะห์โดยการสัมผัสนั้น แม้จะเป็นการวิเคราะห์ที่สำคัญมากแต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด นักลงทุนยังคงต้องวิเคราะห์ในเรื่องของการเงินและอื่นๆ รวมถึงราคาหุ้นตามมาตรฐานที่เข้มงวดแบบ VI ด้วย

//newsroom.bangkokbiznews.com/comment.php?id=7689&user=nives

จากคุณ : ขอบฟ้าบูรพา
เขียนเมื่อ : 10 พ.ย. 52 23:36:32



โดย: wachovia IP: 222.123.169.226 วันที่: 11 พฤศจิกายน 2552 เวลา:1:39:34 น.  

 
ความคิดเห็นที่ 3

//สำหรับคนเล่นสั้น หุ้นตัวไหน เมื่อวานขึ้นแรง วันต่อมา ทำท่าไปยืนไฮเดิมไม่ได้แน่ ให้ขายทิ้ง ไฮประจำวันจะอยู่ต่ำกว่าเมื่อวานสามสี่ช่อง
// หุ้นที่วิ่งมาแรงมากๆ ถ้าวันไหน ราคาปิดทำท่าจะต่ำกว่าไฮ 5-7 ช่อง มีโอกาสที่หุ้นจะปรับตัว ควรทยอยขายเพื่อลดความเสี่ยงออกไปบ้าง
//หุ้นตัวไหน เมื่อวานราคาปิดใกล้เคียงไฮประจำวัน ให้ดูวันพรุ่งนี้ ถ้าทำไฮใหม่ ให้ถือต่อ
//ดัชนีเปิดบวก หุ้นตัวไหนไม่วิ่งเอาเลย ป้วนเปี้ยนแถวราคาปิด แต่ไม่ทำโลว์ต่ำกว่าเมื่อวาน เจ้ามือกำลังเขย่าของอีกไม่นานก็จะวิ่ง
//หุ้นตัวไหนบวกเรื่อยๆใกล้ไฮประจำวัน แต่ offer หนาเตอะ bid บางๆ เจ้ามือกลัวโดนทุบเท่านั้น อย่าขาย มันจะขึ้นต่อ
ตัวไหน เริ่มมีค่าเป็นบวก มี offer บังไว้ โวลุ่มเริ่มมา กำลังเก็บของเตรียมกระชากหุ้น
//หุ้นใกล้ไฮเดิมรอบก่อน อย่าไปซื้อดันที่ไฮ ให้ซื้อต่ำกว่า สามสี่ช่อง ให้ดูโวลุ่มที่มา support ถ้าไม่ก้าวหน้ามาก อาจเลยไปได้แค่สองสามช่อง ระวัง
หุ้นทีเทสต์ไฮรอบก่อน เป็นครั้งที่สาม ส่วนใหญ่จะทะลุแน่
//เล่นหุ้นให้ยึดหลักเซฟตี้ ซื้อหุ้นพักตัว (มีพื้นฐานหรือมีข่าวการเติบโตบ้าง) แม้ของคนอื่นขึ้น ของเราไม่ขึ้นก็อย่าเพิ่งรีบขายทิ้ง เวลาขาดทุนก็ไม่มาก แต่เวลามันมาจะขึ้นแรง
// ขาขึ้น หุ้นเราลงมาก ซื้อเพิ่ม ไม่ใช่กลัวขายทิ้ง ไปช่วยไล่หุ้นให้ชาวบ้านกำไร แบบนี้ไม่ถูก
//การ short against port หุ้นขาขึ้น ถ้าไม่ใช่เซียนจริงๆ อย่าทำ จะทำให้เสียหุ้นฟรี และต้องตามไล่ซื้อแพง
//การซื้อเฉลี่ย ไม่ควรทำในช่วงขาลงหรือไซด์เวย์เอาแน่ไม่ได้ แต่ขาขึ้นทำได้ แบบปิรามิด ฐานหนา แต่อย่าเอาเงินมาลงทุนเพิ่มแบบไม่รู้จบเด็ดขาด ให้วางแผนพอร์ตทุกวัน เวลาขาย ให้ทยอยขายแบบปิรามิดคว่ำเพื่อลดความเสี่ยง
// ***คิดถึงอารมณ์ตลาดให้มากๆ คิดว่าคนส่วนใหญ่คือแมงเม่าแบบเราๆ ดังนั้น กลัวสุดขีดจงซื้อ กล้าสุดขีดจงขาย****


ทั้งหมดนี้ คือการเล่นช่วงขาขึ้น เท่านั้นนะครับ

จากคุณ : MR.rank
เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 52 10:34:01




โดย: wc (WACHOVIA ) วันที่: 11 พฤศจิกายน 2552 เวลา:11:13:32 น.  

 
ความคิดเห็นที่ 5

ขอออกตัวก่อนว่า ผมเองไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญเรื่องการวิเคราะห์งบการเงินเลยนะครับ
หากสังเกตุดูจะรู้ว่า ผมยังคงตั้งกระทู้ถามเกี่ยวกับการดูงบ ที่สินธรอยู่บ่อยๆเลย
ยิ่งพูดยิ่งขายขี้หน้า เพราะวิธีการวิเคราะห์แบบ PEG หรือ DCS ผมไม่มีความรู้เลย แหะ แหะ

ผมใช้แต่วิธีพื้นฐานทั่วๆไป ไม่มีการคำนวณอะไรที่พิศดารเลยครับ ทุกคนสามารถทำได้เหมือนกัน
เพียงแต่ต้องมี "จินตนาการ" ครับ


มูลค่าที่แท้จริง = p/e (ที่เหมาะสม) x eps (ที่คาดการณ์)

ดังนั้นสิ่งที่ต้องคำนวณ/คาดการณ์หามาให้ได้ใกล้เคียงความเป็นจริงมากที่สุดก็คือ
p/e และ eps ซึ่งแต่ละคนก็มีวิธีคิดและการตัดสินใจที่ไม่เหมือนกันครับ
ไม่มีการคำนวณตายตัว ทุกอย่างไหลลื่น ปรับเปลี่ยนไปตามกาลเวลาครับ








จากคุณ : ได้เวลานอนแล้วพรุ่งนี้ทำงาน (คนจนที่อยากรวย)
เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 52 23:40:44

ความคิดเห็นที่ 6

นำมาฝากสำหรับการ "ประมาณค่า p/e ที่เหมาะสม"
บทความนี้เขียนโดยคุณ yoyo (นักลงทุนแนว VI ที่ผมถือเป็นแบบอย่าง)
ลองอ่านดู แล้วลองปรับใช้กับแนวทางการลงทุนของตัว จขกท. เองอีกทีนะครับ
--------------------------------------------------------------------------------

ในการเลือกซื้อหุ้นเราต้องเทียบระหว่างราคาที่เราจะจ่ายกับคุณภาพของหุ้น ยิ่งหุ้นมีคุณภาพสูง pe ที่เหมาะสมของหุ้นนั้นๆก็ควรจะสูงไปด้วยการประเมินคุณภาพของหุ้น ผมมองว่าเป็นศิลปะ ไม่มีสูตรตายตัวในการคิดออกมาเป็นตัวเลข เพราะคุณภาพนั้นมันวัดออกมาเป็นตัวเลขได้ยาก ก็อาศัยใช้ประสบการณ์ฝึกดูไปเรื่อยๆก็พอจะได้ไอเดียว่าหุ้นประเภทไหนควรมี pe เท่าไหร่

โดยผมจะมี check list คร่าวๆในใจ เอาไว้ประเมินคุณภาพของหุ้นดังนี้
การเติบโตของรายได้: แนวโน้มอุตสาหกรรม, ความสามารถของคู่แข่ง, ความสามารถในการเพิ่มยอดขายของบริษัท
ความสามารถในการควบคุมต้นทุน: อำนาจต่อรองเทียบกับ supplier, ความสามารถในการผลักภาระไปให้ลูกค้า
ความผันผวนของรายได้และกำไร: ยิ่งผันผวนมาก ผมมองว่าคุณภาพจะค่อนข้างต่ำ
ผู้บริหาร: ความซื่อสัตย์, ความขยัน, ความเก่ง (ต้องระวังผู้บริหารที่ขี้โม้เก่งนิดนึง เพราะเราอาจจะคิดว่าฝีมือดีทั้งที่จริงๆแล้วอาจจะไม่ได้เรื่องเลยก็ได้)
โครงสร้างการเงินของบริษัท: หนี้สินเทียบกับส่วนทุน, หนี้สินเทียบกับกำไร, เงินสดที่เหลืออยู่หักด้วยหนี้สิน ฯลฯ

จากปัจจัยต่างๆข้างต้นที่เป็นตัววัดคุณภาพ ลองพยายามประเมินออกมาให้ได้ว่าหุ้นที่เราวิเคราะห์นั้นอยู่ในกลุ่มไหน แล้วลองเอามาเทียบกับหุ้น 5 กลุ่มข้างล่างที่ผมเขียนเอาไว้

หุ้นที่มีคุณภาพแย่ (หุ้นเกรด F) กิจการที่ขาดทุน หนี้สินเยอะๆ หรือกำไรเอาแน่เอานอไม่ได้ปีนึงกำไรปีนึงขาดทุน หรือพวกที่ผู้บริหารไว้ใจไม่ได้ พวกนี้ไม่ต้องประเมิน pe หรอกครับอย่าไปซื้อมันเลยดีกว่า
หุ้นที่มีคุณภาพกลางๆ (หุ้นเกรด C) หนี้สินกลางๆ รายได้และกำไรไม่ค่อยเติบโต หรือเติบโตช้าไม่เกิน 5% ต่อปี pe ควรจะอยู่แถวๆ 5-6
หุ้นคุณภาพดีพอใช้ (หุ้นเกรด B) หนี้ไม่มาก รายได้ไม่ผันผวนโตอย่างสม่ำเสมอ กำไรในอนาคตเติบโตระดับ 5-15% ต่อปี pe น่าจะประมาณ 6-9
หุ้นคุณภาพดี (เกรด A) หนี้น้อย หรือไม่มีเลย รายได้โตอย่างต่อเนื่อง กำไรในอนาคตคาดว่าจะโตในระดับ 15% ขึ้นไป pe เหมาะสมประมาณ 9-12
หุ้นสุดยอด (Super stock) หนี้น้อยหรือไม่มี รายได้มั่นคงมากและโตขึ้นอย่างสม่ำเสมอ กำไรโตขึ้นในระดับ 20-30% ผู้บริหารเก่ง ขยัน ซื่อสัตย์ แนวโน้มธุรกิจดี มีอำนาจในการต่อรองต่อ supplier สูง อยู่ในอุตสาหกรรมที่ไม่แข่งขันกันเรื่องราคาเป็นหลัก สามารถผลักภาระให้ลูกค้าได้ ฯลฯ พวกหุ้นชั้นยอดพวกนี้ pe ตั้งแต่ 12 ขึ้นไปจนถึง 20

ตัวเลขที่แสดงเป็นเพียงแค่ Guideline คร่าวๆเท่านั้นนะครับ อย่าไปคิดว่าเป็นสูตรตายตัวอะไร ที่แบ่งออกมาเป็นกลุ่มแบบนี้ผมว่าเข้าใจง่ายดี อ่าน Blog วันนี้แล้วจำเกรดของหุ้นไว้ด้วยก็ดีนะครับ เผื่อในอนาคตผมอาจจะยกเกรดเหล่านี้มาใช้ในสื่อสารให้เข้าใจได้ตรงกัน

ปล. ตามการประเมินมูลค่าหุ้นด้วย pe ก็ยังมีข้อจำกัด และข้อควรระวังหลายประการ ซึ่งจะเอามาพูดกันต่อในคราวหน้านะครับ








จากคุณ : เผื่อจะได้ idea บ้าง (คนจนที่อยากรวย)
เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 52 23:49:14
ถูกใจ : ak2518, kasimasi, เจ้าชายชาเย็น, mosolife



โดย: wc IP: 114.128.80.205 วันที่: 30 พฤศจิกายน 2552 เวลา:8:51:44 น.  

 
https://mtx.by/forum/user/6714/


โดย: edkiufnljbux IP: 136.243.138.66 วันที่: 5 พฤศจิกายน 2563 เวลา:17:23:21 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิกช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

WACHOVIA
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add WACHOVIA's blog to your web]