|
|
| 1 | 2 | 3 | 4 |
5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 |
12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 |
19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 |
26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
12 กรกฏาคม 2552
|
|
|
|
เลือกหุ้นอย่าง ไรดี
หุ้นดีเป็นไงน้า.... 1.บริษัทมีความมั่นคง (ไม่ถูกdelist,ไม่ถูกลดทุน,ไม่ถูกSP,ไม่ถูกตั้งโต๊ะซื้อคืนแบบกดราคา,ไม่ถูกแลกหุ้น ควบรวม) 2.บริษัทมีธรรมาภิบาล 3.ปันผลสม่ำเสมอ ปันผล ผมคิดว่า ควรจะมากกว่าหรือเท่ากับ 4% (พันธบัตรช่วยชาติ) ถ้าน้อยกว่าช่วยชาติดีกว่ามั๊ย แต่ 3% up แล้วมีอนาคตก็ ok 4.มี Business Model ที่ดี เราสามารถเข้าใจธุรกิจเเละติดตามผลการดำเนินงานได้ เราสามารถเข้าใจวงจรธุระกิจได้ เราก็จะสามารถ ประเมินความสามารถในการแข่งขันและการทำกำไร ของธุระกิจได้ 5.เราต้องติดตามหุ้นตัวที่เราศึกษา เพื่อจะได้ทราบนิสัยของหุ้นเพื่อ และวงจรธุรกิจของหุ้นด้วย เพื่อจะได้ทราบระดับราคา ที่เหมาะสมได้
พื้นฐานเบื้องต้นในการใช้วิเคราะห์หลักทรัพย์
การวิเคราะห์เศรษฐกิจ --> employment rate, gdp, interest rate, etc. การวิเคราะหฺ์ภาวะอุตสาหากรรม --> แนวโน้มโดยรวมของอุตสาหกรรม วัฎจักรธุรกิจ โครงสร้างระบบภาษี นโยบายรัฐบาลที่ส่งเสรืม การวิเคราะห์บริษัท --> แบ่งเป็นสองหัวข้อหลัก Qualitative Analysis กลยุทธ์การบริหาร กึ๋นผู้บริหาร นโยบาย โครงการขยายงานบริษัท โครงสร้างเงินทุน การกระจายความเสี่ยง ๙ล๙ Quantitative Analysis งบแสดงฐานะการเงินอดีตปัจจุบันคาดการณ์อนาคต เพื่อใช้ในการตัดสินใจลงทุนในราคาที่เหมาะสม ๙ล๙
จุดดี จุดด้อย ของอัตราส่วนทางการเงิน โดย invisible hand
พอดีมีเพื่อนท่านหนึ่งถามในกระทู้ข้างล่างและเป็นคำถามที่ดีและเป็นเรื่องที่อยากจะเขียนมาซักพักแล้วแต่ไม่ค่อยมีเวลา คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ มือใหม่ที่สนใจลงทุนแบบ Vi นะครับ
P/E P/BV PEG Discount cash flow Net free cash flow Net Asset Value 1. มีจุดดีและจุดด้อยอย่างไร 2. เหมาะที่จะประยุกต์ใช้กับบริษัทในแต่ละอุตสาหกรรมใดอย่างไร ขอขอบคุณล่วงหน้าครับ
เป็นคำถามที่ดีครับ
P/E ข้อดีคือวิเคราะห์ไม่ยาก ข้อเสียคือ การใช้ P/E อาจพลาดได้เพราะบริษัทอาจจะมีรายได้หรือรายจ่ายรายการพิเศษแต่ก็แก้ไม่ยากด้วยการตัดออก ข้อเสียอีกอย่างคือ P/E ไม่ได้สะท้อนนโยบายทางบัญชีที่ต่างกันเช่น ค่าเสื่อมราคา รวมทั้งไม่ได้สะท้อนถึง Capital expenditure cycle เช่น หุ้นที่เพิ่งตั้งโรงงานกับหุ้นอีกตัวที่เครื่องจักรกำลังหมดอายุไม่ควรมี P/E เท่ากันครับ รวมทั้งไม่ได้สะท้อนถึงหนี้และเงินสดในมือบริษัท บริษัทที่มีเงินสดเหลือเฟือกับบริษัทที่หนี้ท่วม หากปัจจัยที่เหลือเหมือนกันหมดก็ไม่ควร P/E เท่ากันครับ
P/BV ข้อดีคือเป็นตัวบอก downside risk ของหุ้นว่ามีแค่ไหน หุ้นที่ P/BV ต่ำๆ ก็มีความปลอดภัยในการลงทุนสูงกว่าหุ้นที่ P/BV สูงมากๆ แต่ข้อเสียคือ P/BV ไม่ได้บอกถึงความสามารถในการทำกำไร หรือ ROE ซึ่งสะท้อนถึงความสามารถของผู้บริหารและวัฒนธรรมที่ดีหรือแย่ขององค์กร รวมทั้ง BV ไม่ได้สะท้อนถึงสินทรัพย์ไม่มีตัวตน เช่น แบรนด์เนม ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในสินค้า หรือลิขสิทธ์ต่างๆ ได้ รวมทั้ง P/BV เป็นการมองอดีต ไม่ได้มองถึงอนาคต ยกตัวอย่างเช่น มีชายคนนึงได้เงินมา 50 ล้าน แต่ใช้เงินฟุ่มเฟือยและไม่พยายามที่จะหาเงินเพิ่ม ใน 5 ปีข้างหน้าชายคนนี้อาจจะจนกได้ ในทางตรงกันข้าม ชายคนหนึ่งมีหนี้ที่ต้องแบกรับให้ครอบครับ 10 ล้าน แต่หากเป็นคนที่มีความรู้ มีความมานะพยายาม มีความใฝ่ดี ซื่อสัตย์ ใน 5 ปีข้างหน้าก็อาจจะเป็นเศรษฐีได้ ดังนั้น คุณจะซื้อหุ้นที่ BV สูงๆ แต่นับวันมีแต่แย่ลงหรือ P/BV สมเหตุสมผลหรือมีอนาคตล่ะครับ
PEG เป็นการวัดว่า P/E ของหุ้นตัวนั้นต่ำหรือสูงไปโดยพิจารณาประกอบกับการเติบโต ข้อดีคือใช้ง่าย ข้อเสียคือการ forecast growth ก็เป็นสิ่งที่ทำยากและโอกาสผิดสูง รวมทั้งการใช้ PEG ไม่ได้สะท้อนความเสี่ยงของหุ้น หุ้น 2 ตัวที่ growth เท่ากัน ตัวที่เสี่ยงมากกว่าควรมี P/E ต่ำกว่าครับ
Discount cash flow เป็นการวิเคราะห์ที่น่าจะดีที่สุด เพราะเป็นการปิดจุดด้อยของทุกๆ valuation เนื่องจากเป็นการประมาณการกระแสเงินสดในปัจจุบันและอนาคต และหักด้วยหนี้ซึ่งหมายถึงการพิจารณาอดีต ดังนั้นจะชดเชยข้อด้อยต่างๆ ของวิธี valuation ที่เอ่ยมาแล้วทั้งนั้น ได้แก่
- ใช้ free cash flow ดังนั้นนโยบายค่าเสื่อมราคาไม่มีผล และมีการนำรายจ่ายในการลงทุนมาหักออกด้วย - มีการบวกด้วยเงินสด เงินลงทุนและหักด้วยหนี้ในตอนท้าย เป็นการสะท้อนถึงอดีตด้วย - มูลค่ากิจการขึ้นกับกระแสเงินสดในอนาคต และมูลค่า terminate value ดังนั้นอนาคตมีความสำคัญไม่น้อยกว่าอดีต - การทำ discount cash flow ใช้ discount rate มากน้อยตามความเสี่ยง ดังนั้นมีการนำความเสี่ยงของธุรกิจมาคิดด้วย
ยกตัวอย่างง่ายๆ หากมีครอบครัวหนึ่ง สมมุติหัวโบราณหน่อยนะครับ มีลูกสาวคนหนึ่งและมีชายมาสู่ขอหลายคน และพ่อแม่เป็นคนตัดสินใจเลือกลูกเขยให้ลูกสาวของตนเอง สมมุติว่าลูกเขยทุกคนมีนิสัยดีใกล้เคียงกัน พ่อแม่หลายคนอาจจะเลือกคนที่คิดว่าน่าจะดูแลลูกสาวได้ดีที่สุด คือน่าจะเงินให้มีความเป็นอยู่ที่สบาย อาจจะเป็นตัวอย่างที่ค่อนข้างจะวัตถุนิยมนะครับแต่คิดว่าเข้าใจง่ายสุด
หากพ่อแม่พิจารณาเลือกลูกเขยจากสินทรัพย์ปัจจุบันเป็นหลักโดยที่ไม่ได้สนใจความสามารถของลูกเคยที่จะมีผลต่อรายได้ในอนาคตหรือนิสัยการใช้จ่ายที่จะสะท้อนการใช้จ่ายในอนาคต แสดงว่าพ่อแม่คู่นั้นวิเคราะห์โดยใช้ P/BV เป็นหลัก
แต่หากพ่อแม่พิจารณาโดยดูรายได้ในปัจจุบันของลูกเขยเพียงอย่างเดียวโดยไม่ได้พิจารณาถึงสินทรัพย์หรือหนี้สินในอนาคต หรือระยะเวลาการหารายได้ หรือความเสี่ยงของงานที่ลูกเขยทำ หรือนิสัยที่อาจจทำให้เสียรายได้ในอนาคต เช่น รายได้เดือนละ 5 แสนแต่มีหนี้ที่ต้องจ่ายถึง 15 ล้าน รายได้ของลูกเขยเดือนละ 5 แสนบาท แต่มีอาชีพเป็นนักกีฬาที่มีระยะเวลาการได้เงินเดือนสูงไม่นานนัก หรือเงินเดือนสูงมากแต่อาชีพที่ต้องมีความเสี่ยงสูง หรือรายได้สูงแต่ชอบเล่นการพนัน แสดงว่าพ่อแม่คู่นี้วิเคราะห์โดยใช้ P/E เป็นหลัก
หากพ่อแม่พิจารณาทุกองค์ประกอบรวมกัน คือสินทรัพย์หรือหนี้สินในปัจจุบัน รายได้ในปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคต ระยะเวลาการหารายได้ ความเสี่ยงของงานที่ทำ ก็แสดงว่าพ่อแม่คู่นี้วิเคราะห์โดยใช้ Discount cash flow เป็นหลักครับ
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าการวิเคราะห์แบบ discount cash flow จะไม่มีวันพลาดนะครับ เพราะการใช้ discount cash flow คือการทำนายอนาคต ซึ่งต้องอาศัยสมมุติฐานหลายอย่างมาก ผู้ใช้จึงจำเป็นต้องมีความรู้ความเข้าใจในตัวธุรกิจและตัวบริษัทมากในระดับหนึ่ง และข้อมูลปลีกย่อยหลายอย่างเช่น อายุเครื่องจักร ภาระการลงทุนในอนาคต รวมทั้งควรจะมีการประเมิน corporate governance ของหุ้นด้วย ดังนั้นการมองอะไรที่ยาวๆ ก็มีโอกาสผิดสูงครับ
ดังนั้นผมจึงไม่ได้ยึดติดการ valuation method อะไรเป็นหลักครับ อาจจะยึด dcf มากที่สุดแต่ก็จะพิจารณาถึง P/E P/BV EV/EBITDA ประกอบด้วย และที่สำคัญที่สุดคือการพิจารณาผู้บริหารครับ หากทุก valuation ดีหมด แต่ผู้บริหารผมทราบว่า corporate governance แย่ ผมอาจจะต้องขอซื้อหุ้นตัวนี้ที่ discount มากๆ หรือไม่ซื้อเลยก็ได้ครับ เพราะอาจจะมีอะไรที่เป็นการ destroy value ของหุ้นได้ในอนาคต ในทางตรงกันข้าม หากผู้บริหารดีมาก ผมก็ยอมจ่าย premium ครับ ซึ่งการ value ผู้บริหารเป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อนและจำเป็นต้องอาศัยการอ่านและติดตามข้อมูลเป็นอย่างมากครับ
Create Date : 12 กรกฎาคม 2552 |
|
13 comments |
Last Update : 9 มกราคม 2553 9:56:47 น. |
Counter : 5518 Pageviews. |
|
|
|
| |
โดย: WACHOVIA 15 กรกฎาคม 2552 12:53:22 น. |
|
|
|
| |
โดย: WACHOVIA 16 กรกฎาคม 2552 3:56:58 น. |
|
|
|
| |
โดย: WACHOVIA 16 กรกฎาคม 2552 3:58:30 น. |
|
|
|
| |
โดย: WACHOVIA 17 กรกฎาคม 2552 9:22:31 น. |
|
|
|
| |
โดย: WACHOVIA 19 กรกฎาคม 2552 8:48:54 น. |
|
|
|
| |
โดย: WACHOVIA 24 กรกฎาคม 2552 9:30:26 น. |
|
|
|
| |
โดย: WACHOVIA 28 กรกฎาคม 2552 0:17:14 น. |
|
|
|
| |
โดย: wachovia IP: 222.123.237.103 18 กันยายน 2552 9:49:04 น. |
|
|
|
| |
โดย: wishmaster IP: 222.123.237.103 19 กันยายน 2552 9:34:44 น. |
|
|
|
| |
โดย: wachovia IP: 222.123.169.226 11 พฤศจิกายน 2552 1:39:34 น. |
|
|
|
| |
โดย: wc (WACHOVIA ) 11 พฤศจิกายน 2552 11:13:32 น. |
|
|
|
| |
โดย: wc IP: 114.128.80.205 30 พฤศจิกายน 2552 8:51:44 น. |
|
|
|
| |
โดย: edkiufnljbux IP: 136.243.138.66 5 พฤศจิกายน 2563 17:23:21 น. |
|
|
|
| |
|
|
WACHOVIA |
|
|
|
|
Hi there!
In this series of articles im going to introduce to you some of the best money management concepts/methods that have been developped by great forex and stock traders.
All of us heard and read about how important the money management but the most of us have been lost in finding clear money management strategies to follow. Our money management strategy today is very simple and easy to follow; it,s the 2%-6% rules.
The 2%-6% rules money management strategy was introduced by Elder Alexander in his book Come to my trading room in chapter 7 that labeled Money Management Formulas.
Sharks and piranhas :
Elder says The goal of money management is to accumulate equity by reducing losses on losing trades and maximizing gains on winning trades. and he affirm that Everyone in the market (competitor traders and brokers) want to eat your money, they have two ways to eat your money:
1- A big single shark bite that wipe of all or the most of your capital.
2- A series of small piranhas bites that none of them is lethal alone but which together strip an account to the bone.
The 2%-6% rules is the Money Management method that protects you from the sharks and piranhas.
2% limit rule:
The first thing you have to do to keep your account away of the sharks is to limit your lose at any trade to 2% of your equity. Do you have 10000USD in your trading account? So, you have to risk 10000 x 2% = 200USD in any of your trades. You have to set your stop loss to this level and you have not lose at any trade you make more than 2% of your equity. Some of professional traders use less than 2% but no more than 2%.
Whenever you make a loss or a profit you have to recalculate the 2% of the equity to know your new maximum risk per trade. For example if you made a profit trade and your account now is 11000USD, your maximum risk will be 220USD. At the other hand if you made a loss and and your account now is 9000USD, your maximum risk will be 180USD.