From up on Poppy Hill
เรื่อง...ณัฐกร เวียงอินทร์
"From up on Poppy Hill"(2011) และภาพยนตร์ฟีลกู๊ดเรื่องดังอย่าง "Always: Sunset on Third Street" ที่ดำเนินไปจนถึงภาคที่ 3 แล้ว ฉากหลังของภาพยนตร์ทั้งสองเรื่อง เริ่มต้นในปีที่ใกล้เคียงกัน "From up on Poppy Hill"(2011) เล่าถึงเหตุการณ์ในปีค.ศ. 1963 เป็นช่วงที่ญี่ปุ่นกำลังโปรโมตกีฬาโอลิมปิกที่จะจัดขึ้นในกรุงโตเกียวในปีต่อมา ส่วน "Always: Sunset on Third Street"(2012) ภาค 3 ตรงกับช่วงปี 1964 ตัวละครจึงได้มีส่วนร่วมในบรรยากาศการแข่งขันโอลิมปิกพอดิบพอดี Always: Sunset on Third Street ภาค 3 และ From up on Poppy Hill ธีมของของภาพยนตร์ทั้ง 2 เรื่อง พ้องกันตรงที่ เนื้อหาของภาพยนตร์ มีการพูดถึง "ความหวัง" ที่ตัวละครหลักในเรื่องมีอยู่ในใจ "ความหวัง" ใน "From up on Poppy Hill" เป็นความหวังของนางเอกที่อธิษฐานให้เธอพบกับคุณพ่อของตนเองซึ่งเสียชีวิตไปในเหตุการณ์สงครามเกาหลี ช่วงเวลานั้นเอง "คนรุ่นใหม่" ในเกาะญี่ปุ่นแห่งนี้ เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศเพื่อก้าวไปสู่วันพรุ่งนี้ที่ดีกว่า ส่วน "ความหวัง" ใน "Always: Sunset on Third Street"(ทั้ง 3 ภาค) เป็นความหวังที่พูดถึงการฟื้นตัวของประเทศญี่ปุ่นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 (ค.ศ.1945) ผ่านสายตาของคนในชุมชนหนึ่งในโตเกียว ที่มีความฝันร่วมกันต่ออนาคตของประเทศแม่ของตนในยุคที่เริ่มมีการสร้างหอคอยโตเกียว (ค.ศ.1958) นี่คืออนุสรณ์สถานอันเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของประเทศ ส่วนในปี 1964 นอกจากจะมีมหกรรมกีฬาโอลิมปิก ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่แสดงให้เห็นว่า นานาชาติเริ่มยอมรับความเป็นญี่ปุ่นแล้ว ยังเป็นปีแรกที่หัวรถไฟด่วนอย่างชิงคันเซ็นออกวิ่ง อันเป็นการปูรากฐานระบบขนส่งที่ยอดเยี่ยมของแดนอาทิตอุทัยจนถึงวันนี้ ความ Nostalgia ในภาพยนตร์ญี่ปุ่น ส่งผลให้ "From up on Poppy Hill" เป็นภาพยนตร์ได้ได้รับการวิจารณ์ในเชิงบวก ซึ่งก่อนหน้านี้ โกโระ มิยาซากิ ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ ได้กำกับแอนิเมชั่นเรื่อง "Tales from Earthsea" (2006) แล้วถูกวิจารณ์ออกไปเชิงลบเสียมาก พอมาถึงคิวเรื่องนี้ เขาได้รับคำชมอย่างหนาหู เพียง 3 วันที่เข้าฉาย มีผู้เข้าชมในญี่ปุ่นสูงถึง 4.4 ล้านคน ส่วน "Always: Sunset on Third Street" ภาค 3 ก็ทำรายได้งดงามในบ็อกซ์ออฟฟิศของญี่ปุ่นเช่นกัน (จากข่าว หนังฟีลกู๊ดเรื่องดัง "ALWAYS" ภาค 3 กวาดรายได้ถล่มทลายในญี่ปุ่น! ) สิ่งที่น่าสนใจสำหรับสังคมญี่ปุ่นก็คือ การหวนระลึกความหลังของคนญี่ปุ่นส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะว่าภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ผู้คนตกงานมากขึ้น โครงสร้างประชากรที่นับวันจะมีผู้สูงอายุมากขึ้นเรื่อยๆ รวมไปถึงความไร้เสถียรภาพของฝ่ายบริหารบ้านเมือง ที่ช่วงหลายปีที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นเปลี่ยนหน้ากันไปมาราวกับเล่นเก้าอี้ดนตรี นี่อาจจะเป็นอีกเหตุผลหนึ่ง ที่ทำให้ คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่เลือกที่จะลืมความเป็นไปในชีวิตชั่วคราวเพื่อใช้เวลา 2 ชั่วโมงในการชมภาพยนตร์ซึ่งนำพาคนดูย้อนเวลาไปสัมผัสกับบรรยากาศในยุคของ "ความหวัง" ขอบคุณ มติชนออนไลน์ คุณณัฐกร เวียงอินทร์ สวัสดิ์สิริชีววารค่ะ
Create Date : 12 เมษายน 2555 |
Last Update : 12 เมษายน 2555 11:22:38 น. |
|
0 comments
|
Counter : 1627 Pageviews. |
|
|