|
| 1 | 2 | 3 | 4 |
5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 |
12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 |
19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 |
26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
ศรัทธาที่หลงทางนั้น หากไม่ได้กัลยาณมิตรตามไปชักจูงให้กลับมาถูกทางแล้ว เขาย่อมถลำลึกจม
ศรัทธาที่หลงทางนั้น หากไม่ได้กัลยาณมิตรตามไปชักจูงให้กลับมาถูกทางแล้ว เขาย่อมถลำลึกจมอยู่ในปลักของการทำชั่วไปตลอดชีวิต ย่อมมีทุคติเป็นที่ไป
สมัยพุทธกาล มีข้าราชการใหญ่คนหนึ่งชื่อว่าธนัญชานิพราหมณ์ เกิดในตระกูลพราหมณ์ มีฐานะร่ำรวยมหาศาล ดำรงตำแหน่งเป็นผู้ปกครองท้องถิ่น ได้รับการแต่งตั้งให้ดูแลหมู่บ้านขนาดใหญ่ มีหน้าที่เก็บภาษีเข้าคลังหลวง
คนเรานั้นยิ่งมีอำนาจ ยิ่งอยู่ตำแหน่งสูง ยิ่งต้องเลี้ยงพวกพ้องบริวารมาก ยิ่งมีค่าใช้จ่ายมาก โอกาสที่จะใช้หน้าที่การงานทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวงก็มีมาก ขึ้นอยู่กับว่าจะทำหรือไม่ทำเท่านั้นเอง
ธนัญชานิพราหมณ์นั้นมีภาระต้องเลี้ยงดูพวกพ้องบริวารมาก ทำให้ชีวิตของเขาวุ่นวายอยู่กับการวิ่งเต้นหาเงินหาทองไปจ่ายให้คนโน้นคนนี้ เพื่อความสะดวกราบรื่นในการทำธุรกิจทั่วราชอาณาจักร
ความโชคดีของธนัญชานิพราหมณ์คือได้ภรรยาที่เป็นชาวพุทธ มีศรัทธาต่อพระรัตนตรัย รู้จักบาปบุญคุณโทษ คอยทำหน้าที่เป็นกัลยาณมิตรชักจูงให้สามีเดินถูกทาง
ทำให้เมื่อเวลาเขาอยู่ลับหลังภรรยา แม้มีโอกาสจะทำการทุจริต ก็ยังนึกถึงหน้าภรรยาขึ้นมาเตือนตัวเองได้ว่า "ถ้ารักเมียเท่าชีวิต อย่าคิดทุจริตคอรัปชั่น" ก็เลยห้ามใจไว้ได้ทุกครั้ง
แต่ต่อมาภรรยาผู้มีสัมมาทิฐิของเขาเกิดเสียชีวิตไปก่อน เขาเลยพาภรรยาคนใหม่เข้าบ้าน ภรรยาคนที่สองนี้มีแนวคิดตรงข้ามภรรยาคนแรกอย่างสิ้นเชิง เวลาที่เงินไม่พอ เพราะใช้จ่ายเกินตัว นอกจากบีบบังคับให้สามีหาเงินมาให้ใช้ไวไวแล้ว ยังอบรมสั่งสอนสามีให้รู้จักคิดโครงการต่างๆ ขึ้นมาหาเงินบ้าง
ฝ่ายสามีตั้งแต่ได้ภรรยาคนที่สองมาก็อยู่ในโอวาทดีเหลือเกิน วันๆ ก็คิดแต่โครงการหาเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง
โครงการแรกรีดไถเศรษฐี โครงการที่สองรีดไถชาวบ้าน โครงการที่สามรีดไถส่วนราชการ โครงการที่สี่รีดไถพระราชา
ความเป็นอัจฉริยะด้านทุจริตที่มีภรรยาเป็นที่ปรึกษานี้ลือกระฉ่อนไปทั้งกรุงราชคฤห์ แต่ติดที่หาหลักฐานเอาผิดไม่ได้กับผู้เสียหายไม่กล้าแสดงตัว เมื่อทำผิดแล้วจับไม่ได้ ในทางกฎหมายก็ถือว่าไม่มีความผิด เพราะว่าไม่มีพวกพ้องคนไหนไม่เคยรับเงินของแก
ข่าวเรื่องความเป็นอัจฉริยะด้านการคอรัปชันนี้ โด่งดังไปทั่วราชธานี ดังไกลไปถึงหูของพระสารีบุตรที่กำลังจาริกเผยแผ่พระศาสนาอยู่ในชนบทห่างไกล พร้อมด้วยพระสงฆ์หมู่ใหญ่
++ พระสารีบุตรได้ยินข่าวนี้แล้วท่านก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ลูกศิษย์ท่านได้บุญเพราะภรรยาคนแรก แต่ได้บาปเพราะภรรยาคนที่สอง หลงทางผิดจนออกทะเลไปไกลฝั่งขนาดนี้ เว้นจากท่านแล้วคงไม่มีใครลากตัวเข้าฝั่งได้ เมื่อท่านกลับมาถึงกรุงราชคฤห์ ท่านก็ไปเยี่ยมเยียนถึงบ้าน แต่ท่านไม่เข้าบ้าน มานั่งรออยู่โคนไม้ท้ายไร่ ขอพูดคุยเป็นการส่วนตัว พราหมณ์นั้นรับประทานข้าวเช้าแล้ว ก็รีบมาพบพระสารีบุตร คำแรกที่ถามก็คือ "พราหมณ์ จริงมั้ยที่เขาลือกันว่าท่านโกงกินทุจริตคอรัปชั่น" พราหมณ์นั้นก็รู้ว่าโกหกพระอรหันต์ไปก็ไม่มีประโยชน์ ก็รับสารภาพตรงๆ ว่า "จริงขอรับ แต่ที่ทำไปนั้นเพราะความจำเป็นล้วนๆ จำเป็นต้องหาเงินมาเลี้ยงดูแลพ่อแม่ ลูกเมีย ข้าทาสกรรมกร ลูกน้องบริวาร พวกพ้องมิตรอำมาตย์ แขกเหรื่อที่มาเยียนเยือน ทั้งยังต้องทำบุญให้บรรพชนผู้ล่วงลับ ทำบุญให้เทวดา และก็ยังจำเป็นต้องเลี้ยงปากท้องของตัวเองอีกด้วย ทั้งหมดที่ทำไปนั้น ทุจริตเพราะความจำเป็น" พระสารีบุตรได้ฟังเหตุผลนั้นแล้วก็ย้อนถามว่า "ถ้าท่านนำเหตุผลของการกระทำทุจริตนี้ ไปอ้างกับนายนิริยบาล ท่านคิดว่านรกจะรับฟังไหม ?" พราหมณ์นั้นตอบตามตรงว่า "ไม่ขอรับ ถึงคนผู้นั้นจะคร่ำครวญอย่างไร นายนิรยบาลก็คงโยนลงนรกเป็นแน่" พระสารีบุตรก็กล่าวย้ำว่า "ถูกต้องแล้ว ข้ออ้างที่ใช้อ้างเพื่อกระทำทุจริตในตอนเป็น นายนิรยบาลไม่รับฟังในตอนตาย ในโลกนี้มีการงานสุจริตมากมาย ที่ทำแล้วได้ทรัพย์ด้วย ได้บุญด้วย การเลี้ยงพ่อแม่ บุตรภรรยา ญาติพี่น้อง เพื่อนพ้องบริวาร ทาสกรรมกร ด้วยความประพฤติอันสุจริตนั้นประเสริฐสุด" ธนัญชานิพราหมณ์ได้ฟังคำเตือนสตินั้นแล้ว ก็ละอายใจ สำนึกได้ว่า หากยังขืนทำทุจริตต่อไป ผลสุดท้ายชีวิตเราคงลงเอยที่การมีนรกเป็นที่ไป
++ วันเวลาล่วงเลยไป ต่อมาธนัญชานิพราหมณ์เกิดล้มป่วยหนัก รู้ตัวดีว่าคงไม่รอดพ้นวันนี้ ก็ส่งคนไปแจ้งข่าวกับพระสารีบุตร พระสารีบุตรเมื่อทราบข่าวก็มาเยี่ยมเขาถึงเตียงคนป่วย พร้อมทั้งสนทนาธรรมกับเขา น้อมใจให้จิตอยู่ในกุศล แล้วให้พิจารณาดูว่าจะเลือกไปเกิดในภพภูมิใหม่บนสวรรค์ชั้นใด ธนัญชานิพราหมณ์ตกลงใจว่า เลือกจะไปเกิดในพรหมโลกชั้นต่ำ พระสารีบุตรก็แนะนำให้เขาทำสมาธิด้วยการนอนแผ่เมตตาอยู่บนเตียงคนป่วย เขาทำสมาธิตามคำแนะนำของพระสารีบุตร ไม่นานนักเขาก็สิ้นลมหายใจไปเกิดในพรหมโลกชั้นต่ำ สมความปรารถนาก่อนสิ้นลม โดยมีพระสารีบุตรเป็นกัลยาณมิตรในวาระสุดท้ายของชีวิต รอดพ้นจากอบายภูมิได้หวุดหวิดเป็นอัศจรรย์ ++ ข้อคิดที่ได้จากเรื่องนี้คือ 1. คู่ชีวิตคือผู้กุมชะตาชีวิตของการสร้างบารมี ได้คู่ชีวิตไม่ดีก็ชักจูงกันสร้างบาปลงนรก มีทุคติเป็นที่ไป ได้คู่ชีวิตดีก็ชักจูงกันสร้างบุญไปสวรรค์ มีสุคติเป็นที่ไป
2. การที่เราทำชั่วเพื่อเลี้ยงดูผู้อื่นนั้น เมื่อถึงเวลาตกนรก คนอื่นไม่ได้ตกนรกไปกับเราด้วย มีแต่เราผู้เดียวเท่านั้นที่ตกนรกตามลำพัง แถมยังไม่มีใครทำบุญไปให้ เพราะเขาไม่รู้จักการสร้างบุญ รู้จักแต่เสวยสุขจากสมบัติที่เราหามาปรนเปรอเขาจากการทำชั่วเท่านั้น
3. เหตุผลที่ใช้ทำชั่วตอนมีชีวิตอยู่นั้น ไม่ว่าจะสวยหรูแค่ไหนก็ตาม ใช้เป็นข้ออ้างกับนายนิรยบาลไม่ได้ มีแต่โดนจับโยนลงนรกสถานเดียวเท่านั้น
4. การหาทรัพย์มาเลี้ยงชีวิตนั้น จะสนใจแต่ผลตอบแทนอย่างเดียวไม่ได้ เพราะทรัพย์นั้นเกิดจากบุญ ถ้าหาทรัพย์แต่ไม่เติมบุญ ทรัพย์ที่ได้นั้นย่อมหมดไป ทรัพย์ใหม่ย่อมฝืดเคือง เพราะสร้างบุญไม่ต่อเนื่อง ด้วยเหตุนี้ คนที่ประสบความสำเร็จชีวิตจริงๆ ในสายตาของพระอริยเจ้านั้น คือ คนที่หาทรัพย์ได้ ใช้สร้างบุญเป็น
5. คนยิ่งมีอำนาจ ถ้าไม่ศึกษาธรรมะ ยิ่งทำบาปได้ง่ายกว่าคนธรรมดาทั่วไป เพราะตำแหน่งใหญ่โตนั้น แท้จริงไม่ได้มีไว้ทุจริตหาผลประโยชน์ แต่มีไว้สร้างบุญ เพราะอำนาจความเป็นใหญ่นั้นเกิดจากการสร้างบุญมาแต่ปางก่อน หากบุญหมดเมื่อไรก็เสื่อมจากยศฐาบรรดาศักดิ์ได้เช่นกัน
6. เว้นจากพระสงฆ์ผู้ทรงศีลแล้ว ก็คงไม่มีใครกล้าทำหน้าที่เป็นกัลยาณมิตรให้แก่ผู้ปกครองบ้านเมือง แต่ถ้าประเมินดูแล้ว พระสงฆ์ท่านยังไม่กล้าเตือน ก็คงต้องรอให้นายนิรยบาลมาทำหน้าที่กัลยาณมิตรด้วยตัวเอง ถึงตอนนั้นก็ตัวใครตัวมัน ไปเรียกหาพระสงฆ์ช่วยตอนนั้น ท่านก็คงไม่ได้ยิน หรือบางรูปอาจได้ยิน แต่ก็คงช่วยไม่ทัน เพราะตรวจดูแล้ว บัญชีบาปของผู้ตายยาวเป็นหางว่าว แต่บัญชีบุญของผู้ตายไม่มีเลยสักบุญเดียว ------------------- 22 ม.ค. 2563 Cr:https://www.facebook.com/photo.php?fbid=3141416975887083&set=a.3090676367627811&type=3
Create Date : 28 มกราคม 2563 |
Last Update : 28 มกราคม 2563 18:46:27 น. |
|
0 comments
|
Counter : 1622 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
ท่องเทียวไปกับไกด์ไร้ชื่อ
|
|
|
|
|
|
|