ก่อนหนึ่งสัปดาห์ที่พวกเราจะเดินทางไป อิวาเตะ(IWATE) อันเป็นจังหวัดสำคัญของภูมิภาคโทโฮคุ(ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) อยู่ทางทิศตะวันออกสุดของเกาะฮอนชู เจ้าภาพอย่าง ”คุณพงศ์พันธ์ ลิ้มพงศ์พันธ์” บอสใหญ่แห่งพาราไดซ์ เวิล์ด ทัวร์ฯ ขอคอนเฟิร์มอีกครั้งจากบรรดาสื่อมวลชน และเจ้าของบริษัททัวร์ผู้ร่วมแฟมทริปว่า ยังยืนยันที่จะไปกันอีกหรือเปล่าเพราะมีแผ่นดินไหวเกิดขึ้นที่นั่น 5 ริกเตอร์ ทำเอาบางคนขอถอนตัวทันทีด้วยไม่อยากเสี่ยง แต่สื่อ4 คนบ่ยั่น เนื่องจากสอบถามผู้รู้แล้วว่าไม่อยู่ในขั้นอันตราย และคิดว่าถ้าไม่ถึงคราว ยังไงๆก็ไม่ตายแน่นอน
งานนี้ต้องขอสารภาพว่าก่อนจะไปวันสองวันก็เพิ่งรู้ว่า อิวะเตะ เป็นอีกแห่งหนึ่งที่ถูกสึมานิถล่ม แต่กินพื้นที่ไม่มากเหมือนที่อื่น ประเภทโดนแค่หางๆ เท่านั้น ซึ่งชาวคณะก็มีโอกาสได้ไปเห็นกับตาที่เมืองคามาอิชิ ทำให้ได้รู้ได้เห็นว่า เออหนอ....บ้านเราถูกน้ำท่วมขังสองเดือนก็ยังดีกว่าบ้านชาวอาทิตย์อุทัยที่ถูกสึนามิกวาดเสียเรียบเป็นหน้ากลอง
สาเหตุที่ต้องมาที่อิวาเตะเพราะทางการท่องเที่ยวของเมืองนี้อยากจะโปรโมทให้คนต่างชาติมากันเยอะๆ เนื่องจากตั้งแต่เกิดสึมามิและโรงไฟฟ้านิวเคลียร์รั่วไหล ปรากฏว่านักท่องเที่ยวต่างแดนลดลงถึง 80 เปอร์เซ็นต์ ส่งผลให้โรงแรมและกิจการบริการต่างๆกระทบกระเทือนอย่างหนัก
อย่างไรก็ตาม แม้ใครกังวลหรือหวาดกลัวอะไรก็ตาม แต่คุณKIKUCHI TAKASHI ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมการท่องเที่ยวจังหวัดอิวาเตะ เชิญชวนว่าถ้าอยากมาเที่ยวชมธรรมชาติอันงดงาม อิวาเตะมีให้พร้อม ไม่ว่าจะเป็นน้ำตก กำแพงหิมะ สวนซากุระใหญ่สุดสวยสุดในญี่ปุ่น ที่สำคัญยามนี้ค่อนข้างปลอดภัย เพราะแหล่งท่องเที่ยวอยู่ห่างจากจุดที่ถูกสึมามิถล่ม และห่างไกลจากโรงงานนิวเคลียร์ที่มีสารกัมมันตภาพรังสีรั่วไหล ซึ่งถ้ามาในเดือนเมษายนจะได้เห็นทั้งสวนซากุระบานสะพรั่ง แถมยังมีกำแพงหิมะยาวเป็นกิโลๆให้ได้เห็นกันจะจะ
ขณะที่คุณพงศ์พันธ์บอกว่า ในเดือนตุลาคม อันตรงกับช่วงใบไม้เปลี่ยนสีจะจัดนักท่องเที่ยวไทยมาที่อิวาเตะแน่นอน ซึ่งจะสวยแตกต่างไปจากหน้าร้อน (สนใจโทรถาม02-8819406)
ต้องบอกว่าช่วง3 คืน 4วันที่อยู่ในอิวาเตะ และตระเวนค้างคืนตามเมืองต่างๆเพื่อจะได้บรรยากาศที่แตกต่างกัน ขอย้ำว่าที่นี่มีอะไรน่าเที่ยวเยอะทีเดียว โดยเฉพาะใครที่ชื่นชอบความงามของธรรมชาติ รับรองไม่ผิดหวัง ซึ่งแม้จะไปเที่ยวตอนต้นเดือนมิถุนายน อันเป็นช่วงเริ่มต้นฤดูร้อนของญี่ปุ่น แต่ก็มีของดีของสวยงามให้เห็นมากมายที่บ้านเราไม่มี อาทิ กำแพงหิมะที่ยังหลงเหลือให้เห็นในบางจุด และวังโกะโซบะฯลฯ ที่สำคัญอากาศไม่ได้ร้อนอบอ้าวเหมือนบ้านเรา และถ้าอยู่บนภูเขาด้วยล่ะก้อ แค่10 กว่าองศาเซลเซียสเท่านั้น ต้องหยิบเสื้อแจ๊กเก็ตมาใส่กันเลยทีเดียว
กำแพงหิมะที่ยังเหลือให้เห็น
ในเช้าวันแรกที่พวกเรามาถึงสนามบินฮาเนดะต้องนั่งต่อเครื่องไปลงที่สนามบินอาโอโมริ (Aomoriหมายถึงป่าเขียวขจี) ซึ่งเป็นเมืองเกษตรกรรมใหญ่ มีพื้นที่ปลูกข้าวจำนวนมาก และที่นี่ยังมีชื่อเสียงมากในเรื่องของแอปเปิ้ล เป็นแหล่งปลูกใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นก็ว่าได้ มีมากกว่า 130ปีแล้ว ปัจจุบันมีกว่า 300 สายพันธุ์ โดยเฉพาะพันธุ์”เซไคอิจิ” ถือว่าเป็นแอปเปิ้ลสายพันธุ์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งถ้ามาหน้าที่ออกผลประมาณปลายปีจะเห็นลูกแอปเปิ้ลแดงเต็มสวน และบางสวนจะเปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวให้ผู้มาเยือนได้เข้าไปเด็ดไปทานกันตามใจชอบ เสียดายมาตอนหน้าร้อนเป็นช่วงที่ต้นแอปเปิ้ลเพิ่งจะออกดอก
ชีวิตความเป็นอยู่ของคนญี่ปุ่นสมัยโบราณจัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์ในจังหวัดอิวาเตะ
อย่างที่บอกอาโอโมริเป็นเมืองที่ปลูกแอปเปิ้ลเยอะและรสชาติดีกว่าที่อื่น ฉะนั้นจึงมีการแปรรูปเยอะแยะ อาทิ นำมาทำเป็นไพน์แอปเปิ้ล น้ำแอปเปิ้ล แยมแอปเปิ้ล น้ำสมสายชูกลั่นจากแอปเปิ้ล ท๊อฟฟี่และวุ้นฯลฯ ที่ชอบที่สุดก็คือนำแอปเปิ้ลมาอบแห้งเคลือบน้ำตาล เหมือนบ้านเราทำกล้วยฉาบมันฉาบอย่างนั่นแหละ
วัตถุประสงค์หลักที่มาอาโอโมริคือการมาเที่ยวแหล่งท่องเที่ยวยอดฮิตอย่าง อุทยานแห่งชาติ โทวาดะ-ฮะจิมังไต (Towada-Hachimentai) ซึ่งมีพื้นที่กว้างขวาง กินอาณาบริเวณเขาน้อยใหญ่หลายลูก ครอบคลุมทั้งในเขตอาโอโมริและอิวาเตะ
ลำธารระหว่างทางในขตอุทยานแห่งชาติ โทวาดะ-ฮะจิมังไต
โชคดียังมีหิมะให้ได้เห็นกัน โดยเฉพาะบนยอดภูเขาสูงกว่าระดับน้ำทะเล ถึง 1,600เมตร มีลานกว้างสำหรับเล่นสกี เสียดายวันที่ไปเย็นมากแล้ว เลยไม่เห็นใครเล่นสักคน
ระหว่างทางมีจุดชมวิวหลายจุด บางจุดเป็นน้ำตกสูง บางจุดเป็นลำธารมีต้นไม้น้อยใหญ่ปกคลุม แซมด้วยดอกไม้สีส้มและบรรดามอสทั้งหลาย ให้สีสันตระการตาจริงๆ
ชอบใจตรงที่เขานำธรรมชาติมาสอนคน อย่างจุดชมวิวแห่งหนึ่งมีต้นไม้ขึ้นอยู่บนก้อนหินใหญ่ ซึ่งแม้จะไม่มีดินเลยสักนิดแต่มันก็อยู่รอดปลอดภัย คนญี่ปุ่นเขาเลยนำมาสอนให้เห็นถึงความอดทนและการปรับตัวของเจ้าต้นไม้ต้นนี้ ฉะนั้นเป็นคนเมื่อมีปัญหาอุปสรรคอะไรจะต้องฝ่าฟันให้จงได้
แม้เส้นทางที่จะไปขึ้นถึงจุดชมวิวสูงสุดของฮะจิมังไต จะต้องนั่งรถนานหลายชั่วโมง เต็มไปด้วยทางลดคดคี้ยว แต่พวกเราที่มีทั้งนักข่าวและเจ้าของบริษัททัวร์ต่างก็ชอบอกชอบใจเพราะทิวทัศน์สองข้างทางสวยงามและแปลกตา ต้นสนแต่ละต้นสูงสุดลูกหูลูกตา ยิ่งสูงขึ้นไปก็จะเห็นหิมะเป็นหย่อมๆที่ยังละลายไม่หมด บางจุดเป็นแนวยาวเหยียดขนานไปกับถนน ที่เรียกกันว่ากำแพงหิมะ
น่าทึ่งจริงๆ พวกเราบางคนไม่เคยเห็นหิมะที่ประเทศนี้ถึงขนาดไปจับมาโยนเล่นกันอย่างสนุกสนาน
จุดชมวิวบางจุดมองไปอีกฟากฝั่งจะเห็นยอดบนภูเขาสูงปกคลุมไปด้วยหิมะชาวโพลนตัดกับพื้นป่าสีเขียว เหมือนใครไปแต้มสีสันให้ผู้คนได้ชื่นชมความงามของธรรมชาติ
บนภูเขาหิมะยังละลายไม่หมด
เย็นวันนั้นคณะพักโรงแรม APPI ซึ่งเป็นโรงแรมใหญ่มีหลายอาคาร มีลานสกีไว้บริการ แถมยังมีฟาร์มวัวแล้วรีดนมมาทำไอศรีมนมที่แสนอร่อย ชื่อโรงแรมนี้พวกเราล้วนจำแม่น เพราะนอกจากจะมีการแปลงชื่อเป็นภาษาไทยที่จำได้ง่ายอย่างอัปปีย์แล้ว ผู้จัดการทั่วไป และพนักงานของที่นี่ยังยิ้มแย้มแจ่มใสให้การต้อนรับอย่างดี แถมยังชวนหนุ่มไทยก๊งเหล้าสาเกแบบชนแก้วกันหลายยก จนเมาได้ที่ ด้วยคำภาษาไทยสำนวนญี่ปุ่นว่า”หมกแก้วๆ”
ที่อาโอโมรินี้พวกเรายังได้ไปนั่งเรือล่องทะลาสาบโทวาดะ ซึ่งเป็นทะเลสาบที่สวยงาม มองไปยังพื้นน้ำเห็นสีเขียวใสแจ๋ว นี่ถ้ามาในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีคงสวยน่าดู พอไปตอนหน้าร้อนแบบนี้ต้นไม้ก็เป็นสีเขียวหมดแล้ว ว่าไปแล้วก็สวยไปอีกแบบ
มุมสวยๆที่ทะเลสาบโทวาดะ
จากอาโอโมริ คณะก็เดินสายไปยังแหล่งท่องเที่ยวมีชื่ออื่นๆ อย่างเช่นถ้ำมังกร ซึ่งมีลักษณะเป็นแนวยาว ภายในมีค้างคาวอาศัยอยู่ถึง 5 ชนิด แต่ก็ไม่ได้กลิ่นอึค้างคาวแต่อย่างใด มาถ้ำที่นี่สะดวกสบายจริงๆ เพราะเขาทำทางเดินให้เสร็จสรรพ เนื่องจากข้างล่างเป็นลำธารน้ำใสแจ๋วมีไฟส่องตลอดทาง แถวบางจุดยังทำหลังคาไม่ให้น้ำหยดมาใส่นักท่องเที่ยว เรียกว่าบริหารจัดการเสียจนไม่นึกว่ามาถ้ำซะงั้น
ปากทางเข้าถ้ำมังกร
ถ้ามาเที่ยวอิวาะเตะโปรแกรมสำคัญที่ทุกทัวร์ขาดไม่ได้ก็คือ “วัดชูซอนจิ”(Chuson-ji Temple) อันเป็นส่วนหนึ่งของมรดกโลกแห่งล่าสุดของญี่ปุ่น โดยขึ้นทะเบียนในฐานะ“อาคาร สวน ซากทางโบราณคดีที่แสดงความเป็นเมืองแห่งพระพุทธศาสนาใน Hiraizumi”
บรรยากาศโดยรอบของวัดแห่งนี้เต็มไปด้วยต้นสนใหญ่สูงตระหง่านคะเนได้ว่ามีอายุหลายสิบปี ที่นี่ยังมีงานศิลปะสมัยเฮอันมากมายที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของญี่ปุ่น สถาปัตยกรรมอันเก่าแก่เหล่านี้ สร้างตั้งแต่ ค.ศ 12 ต้องชมเชยว่าเขาสามารถเก็บรักษาได้เป็นอย่าง โดยเฉพาะเรือนไม้ต่างๆ
ไฮไลท์ของวัดนี้ก็คือ Golden Hall หรือ Konjiki-do อาคารไม้ปิดทอง ซึ่งห้ามถ่ายรูป สร้างโดยฟูจิวารา คิโยฮิรา เพื่อเป็นที่เก็บศพของบรรดาผู้นำตระกูลFujiwara ที่มีอำนาจปกครองญี่ปุ่นทางตอนเหนือในช่วงศตวรรษที่ 12 ด้านในประดิษฐานรูปหล่อพระพุทธเจ้าอยู่ในศาลาทองคำ พร้อมกับสร้างอุโบสถขึ้น ครอบไว้อีกชั้นหนึ่ง
ที่นี่เป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดฮิตจริงๆ มีทั้งนักท่องเที่ยวต่างชาติและคนญี่ปุ่นเอง ซึ่งมีนักเรียนนักศึกษามาทัศนศึกษากันเป็นจำนวนมาก
สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของจังหวัดอิวาเตะยังมีอีกหลายที่ เช่น พิพิธภัณฑ์ของจังหวัดอิวาเตะที่โมริโอกะอันเป็นเมืองเอกของจังหวัดนี้ ซึ่งได้จำลองโครงกระดูกไดโนเสาร์พันธุ์ Mamenchisaurus ตัวเท่าของจริงที่ค้นพบในแถบนี้มาให้ดู รวมถึงชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในอดีตที่อยู่กันแบบง่ายๆ ยังไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกสบายแบบทุกวันนี้ มีอุปกรณ์และข้าวของเครื่องใช้ของคนในยุคก่อนอาทิดาบซามูไร และเครื่องสีข้าวหน้าตาเหมือนของบ้านเราไม่ผิดเพี้ยน
ไหนๆก็มาถึงเมืองโมริโอกะกันแล้ว เรื่องหนึ่งที่พลาดไม่ได้ก็คือ การรับประทานวังโกะโซบะ อาหารประจำถิ่นของจังหวัดอิวาเตะ ประเภทถ้าเมืองนี้ต้องไปกินให้จงได้ ไม่เช่นนั้นถือว่ามาไม่ถึงถิ่น
บรรยากาศในร้านที่เสิร์ฟแบบวังโกะโซบะ
ความพิเศษของวังโกะโซบะก็คือ พนักงานของร้านจะยืนคอยเสิร์ฟโซบะชามละคำจนกว่าลูกค้าจะปิดฝาถ้วย เป็นอันจบการกิน ส่วนใหญ่ลูกค้าทั้งญี่ปุ่นและชาวต่างชาติมักจะมากันเป็นกลุ่มอย่างน้อยสองคนขึ้นไป คิดค่าหัวคนละ 3,150 เยน ตีเป็นเงินไทยง่ายๆ100 เยน เท่ากับ 40 บาท ตกหัวละ 1,200 บาท
อาหารจานโปรดของใครหลายคน
ทั้งนี้ก่อนที่จะเสิร์ฟนั้นพนักงานจะบอกเล่ากฎกติกามารยาทให้ฟัง นอกจากจะเสิร์ฟแบบไม่อั้นแล้ว เขายังมีเครื่องเคียงอย่างสาหร่าย พร้อมทั้งปลาดิบและไก่ต้มสับ พอกินเสร็จเขาจะชามไว้ด้านหน้าของแต่ละคนแถวละ15 ชาม โดยทั่วไปแล้ว15 ชามจะเท่ากับชามโซบะปกติ 1 ชาม
วังโกะโซบะชามละคำพร้อมเสิร์ฟ
สอบถามพนักงานเสิร์ฟเธอแจงว่า ส่วนใหญ่ผู้หญิงจะทานได้คนละ 30-50 ชาม ผู้ชายเฉลี่ย 50-60 ชาม แต่วันนั้นเห็นหนุ่มสาวแดนซามูไรเขมือบกันคนละเกือบร้อยชาม แถมยังถามว่าคณะเรากินคนละกี่ชาม พอบอกอย่างมาก 32 ชามน้อยสุดชาม 12 ชาม เจ้าหนุ่มคนนั้นถึงกับตะลึง ไม่นึกว่าคนไทยจะกินโซบะแพงขนาดนี้
ผลงานของสองสาวญี่ปุ่น ซึ่งยังทานได้อีกเยอะ
อย่างที่เกริ่นไปช่วงแรก ใน3 คืนนั้นคณะเรานอน 3 โรงแรม โรงแรมที่สอง ชื่อเดอะ พาร์ค อยู่บนเนินเขาสูง ขณะที่ข้างล่างติดทะเลเคยเป็นรีสอร์ทเล็กๆ และบ้านเรือน ตอนนี้ยังเป็นเป็นที่ดินว่างเปล่า หลังจากถูกสึนามิถล่มเมื่อเดือนมีนาคมปีที่แล้ว
วิวสวยๆมีหมอกลงจางๆเหมือนภาพเขียน อยู่ไม่ไกลจากโรงแรมเดอะพาร์ค |
ความโดดเด่นของโรงแรมนี้ก็คือ นำน้ำทะเลมาทำออนเซ็นให้ลูกค้าได้นอนแช่ ซึ่งไกด์ไทยอย่างคุณเฉิดฉันท์ แซ่ว่อง ระบุสรรพคุณว่าถ้าใครเป็นกลากเกลื้อนโรคผิวหนังรับรองหายแน่
ส่วนโรงแรมสุดท้ายชื่อHanamaki เป็นโรงแรมใหญ่สุดในอิวาเตะ มีหลายอาคาร ในเนื้อที่กว้างขวางสุดลูกหูลูกตา แถมยังมีสวนกุหลาบให้ลูกค้าและนักท่องเที่ยวได้เข้าชม และถ้าใครอยากแช่น้ำแร่จากบ่อน้ำพุร้อนเขาก็มีให้บริการอย่างเต็มที่ในหลายจุด
เสียดายมาที่อาโอโมริและอิวาเตะแค่ 4 วัน 3 คืน ยังไม่จุใจ เพราะมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกหลายแห่งที่ยังไม่ได้สัมผัส อย่างเช่น ฟาร์มวัวที่ทำเป็นแหล่งท่องเที่ยว มีโชว์สุนัขให้ดูและให้นักท่องเที่ยวลองทำไอศกรีม และเสียดายสุดๆไม่ได้มาช่วงเดือนเมษายนที่จะได้เห็นทั้งกำแพงหิมะและซากุระบานฉ่ำ เลยไม่ได้นำภาพสวยๆแบบนั้นมาเสนอต่อท่านผู้อ่าน แต่ไม่เป็นไรดูภาพในช่วงหน้าร้อนไปก่อนก็แล้วกัน ซึ่งสวยไปคนละแบบ
Credit: matichon.co.th