เจ้าสวามิภักดิ์ต่ออำนาจ ยอมเป็นทาสคณาธิปไตย เพียงหัวโขนไม่กี่ใบ ก็ทำให้เจ้าลืมตน โดยลืมไปว่าคนที่หลงใหลต่อการเสพอำนาจนั้นมีจุดจบที่น่าสยดสยองเพียงใด เพราะคำกล่าวที่ว่า “อำนาจทำให้ฉ้อฉล ยิ่งอำนาจเบ็ดเสร็จเท่าใด ยิ่งฉ้อฉลเบ็ดเสร็จเท่านั้น” (power tends to corrupt ,and absolute power corrupts absolutely) ยังคงเป็นความจริงอยู่เสมอ
 
ธันวาคม 2549
 
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
29 ธันวาคม 2549

นิทานเวตาล ตอนที่1

เรื่องที่ ๑

ในกรุงพาราณสีมีพระราชาทรงศักดิ์ใหญ่ครองราชย์สมบัติ ทรงนามพระประตาปมุกุฏ มีราชบุตร ทรงนามวัชรมุกุฏ มีเรื่องดังต่อไปนี้

เช้าวันหนึ่ง พระวัชรมุกุฏกับสหาย ชื่อพุทธิศริระ พากันขี่ม้าออกเที่ยวล่าเนื้อในป่า พุทธิ- ศริระเป็นบุตรของประธาน คือหัวหน้าอำมาตย์ในพระนครนั้น ชายหนุ่มทั้งสองขี่ม้าไปในป่า พบสระใหญ่สระหนึ่งมีกำแพงล้อมรอบริมสระเป็นที่ร่มรื่นตลบด้วยกลิ่นดอกไม้ ฝูงนกคือหงส์แลนกจากพรากเป็นต้น ลงลอยอยู่ในสระ ในหมู่ดอกบัวอันชูก้านขึ้นมาพ้นน้ำเป็นที่ชวนชม แมลงภู่ทั้งหลายพากันร่อนอยู่เหนือน้ำ แลกินรสดอกบัวในสระนั้น พระราชบุตรแลสหาย ไม่เคยไปพบสระนั้นในป่าต่างก็พิศวงจึงลงจากหลังม้า ผูกม้าไว้แทบใต้ต้นไม้ แล้วเดินเข้าไปริมสระชำระพระพักตร์และหัตถ์ แล้วก็เข้าไปในศาลพระมหาเทพซึ่งอยู่ใกล้ฝั่งสระ ต่างคนกระทำการนอบน้อมแลสวดมนต์
สักครู่หนึ่งมีหญิงสาวเป็นอันมาก ห้อมล้อมด้วยทาสีพากันมาที่ริมสระฟากโน้น ครั้นมาถึงก็ยืนสนทนาแลสำรวลกันอยู่ที่ขอบสระ บางนางก็ลงอาบน้ำ แต่นางผู้เป็นหัวหน้าคือพระราชบุตรีนั้นมิได้ลงสระน้ำ เสด็จเดินเที่ยวเล่นใต้ร่มไม้กับนางอีกคนหนึ่งห่างฝูงนางออกไป
ฝ่ายพระราชบุตรปล่อยให้พุทธิศริระนั่งสวดมนต์อยู่ในศาลพระมหาเทพคนเดียว พระองค์เสด็จออกจากศาลเดินเดี่ยวไปในหมู่ไม้ มิช้าพระราชบุตรแลพระราชธิดาก็สบพระเนตรกัน นางสะดุ้งเหมือนหนึ่งตกพระหฤทัย พระราชบุตรทรงใฝ่ฝันในทันทีที่ทอดพระเนตรเห็นนาง แลตรัสออกมาว่า "กามเทพเอย เหตุไรท่านจึงมารบกวนเราเช่นนี้" พระราชธิดาได้ยิน ทรงยิ้มหยุดยืนดูกิริยาพระราชบุตร เพราะเธอตกประหม่ามิรู้จะกล่าวแลทำประการใดได้ นางนิ่งดูอยู่ครู่หนึ่งก็ทำการเหมือนพิโรธตรัสแก่หญิงสหายซึ่งแสร้งหันหลังเก็บดอกมะลิว่า เหตุไรจึงปล่อยให้ชายหนุ่มมายืนจ้องดูนางอยู่เช่นนี้ ฝ่ายหญิงสหายเมื่อได้ยินดังนั้น ก็หันมากล่าวคำเกรี้ยวกราดขับไล่ให้พระราชบุตรไปเสียจากที่ แลให้พาความละลาบละล้วงไปเสียด้วย มิฉะนั้นจะเรียกทหารมาจับตัวทิ้งลงไปในสระให้สมแก่โทษ ฝ่ายพระราชบุตรยืนตกตะลึงดูนาง มิได้ยินคำที่หญิงสหายกล่าวขู่ นางทั้งสองเห็นดังนั้นก็พากันเดินห่างออกไป
ครั้นถึงขอบสระฟากข้างโน้น พระราชธิดาก็เหลียวดูว่าชายหนุ่มผู้ตกประหม่ายังนิ่งอยู่กับที่หรือทำอย่างไรต่อไป ครั้นเห็นพระราชบุตรยังยืนจ้องดูอยู่ นางก็ทรงยิ้มแล้วเสด็จลงไปที่ขอบสระ เก็บดอกบัวดอกหนึ่งชูขึ้นไหว้ฟ้าแล้วเอาเสียบเกศาแล้วทัดที่กรรณ แล้วกัดด้วยทนต์ แล้วทิ้งลงเหยียบด้วยบาท แล้วกลับหยิบขึ้นปักที่อุระ ครั้นทำเช่นนี้แล้วนางก็เสด็จไปขึ้นยานกลับคืนสู่นิเวศน์แห่งนาง

ฝ่ายพระราชบุตร ครั้นนางไปแล้วก็เร่าร้อนในพระหฤทัย เสด็จกลับไปยังศาลพระมหาเทพ พบพุทธิศริระเดินออกมาจากศาล พระราชบุตรก็รับสั่งว่า "สหายเอย ข้าได้เห็นนางหนึ่งงามนัก จะเป็น นางดนตรีของพระอินทร์ในสวรรค์ หรือจะเป็นนางมาจากทะเลหรือธิดาแห่งนาคราช หรือบุตรีพระราชาในแผ่นดิน ก็หาทราบไม่" พุทธิศริระผู้จะเป็นอำมาตย์มีปัญญาในภายหน้าทูลว่า "พระองค์จงกล่าวโฉมหน้านางให้ข้าพเจ้าฟังเถิด" พระราชบุตรตรัสว่า "พักตร์นางเหมือนพระจันทร์ยามเพ็ญ ผมเหมือนหมู่ผึ้งอันเกาะห้อยอยู่บนช่อดอกไม้ ปลายขนงยาวจรดถึงกรรณ โอษฐ์มีรสเหมือนจันทรามฤต เอวเหมือนเอวสิงห์ ทรงดำเนินเหมือนราชหงส์ กล่าวเทียบเครื่องแต่งกายนางคือสีขาว กล่าวเทียบฤดูนางคือวสันตฤดู กล่าวเทียบ ดอกไม้นางคือพุทธชาด กล่าวสำเนียงนางคือนกกาเหว่า กล่าวความหอมนางคือชะมดเชียง กล่าวความงามนางคือพระศรี กล่าวความเป็นนางคือความรัก ถ้าข้ามิได้นางมา ข้าจะไม่ทรงชีวิตไปเป็นอันขาด ข้าได้ตกลงในใจเช่นนี้แล้ว"
พุทธิศริระได้ฟังพระราชบุตรตรัสดังนั้น ก็มิได้ร้อนใจ เกรงจะปลงพระชนม์ลงในกลางป่า เพราะเคยได้ยินพระราชบุตรตรัสอย่างเดียวกันทุกครั้งที่ได้เห็นนางงาม มิได้คิดว่าจะเป็นไปลึกซึ้งยิ่งกว่าคราวก่อนๆ พุทธิศริระจึงทูลว่า ถ้าไม่ขึ้นม้าเดี๋ยวนี้คงจะค่ำอยู่กลางป่าไม่กลับถึงนครได้ในเวลาอันควร พุทธิศริระกล่าวดังนั้นแล้ว เจ้าแลข้าก็ชวนกันขึ้นม้าหันกลับเข้าเมือง
ในเวลาเดินทางอยู่ประมาณ ๓ ชั่วโมงนั้น ชายหนุ่มทั้งสองเกือบจะมิได้สนทนากันเลย พระวัชรมุกุฏนิ่งนึกถึงนางมิได้รับสั่งประการใด เมื่อพุทธิศริระทูลอะไรก็ต้องทูลดังๆถึงสามสี่ครั้ง จึงจะตรัสตอบคำเดียวหรือสองคำเป็นอย่างมาก ฝ่ายพุทธิศริระเมื่อเห็นพระราชบุตรนิ่งอยู่ดังนั้น ก็มิได้ทูลอันใดต่อไป คิดในใจว่าถ้าพระราชบุตรอยากได้ความเห็นแลความแนะนำก็ให้หารือมาเถิด
พุทธิศริระคิดดังนี้ เพราะดำเนินความคิดตามวิธีของบิดาผู้เป็นอำมาตย์มีปัญญา ซึ่ง มิได้ให้ปัญญาแก่ผู้ใดที่มิได้ขอนั้นเป็นอันขาด ถึงแม้ผู้ที่ขอปัญญาบางทีก็ได้เห็นสิ่งตรงกันข้าม อันผู้ฉลาดไม่เรียกว่าปัญญาเป็นอันขาด

ฝ่ายพุทธิศริระ เมื่อขี่ม้านิ่งๆ เวลานั้นก็ตรึกตรองข้อความลึกลับอันหนึ่ง ซึ่งขึ้นต้นไว้แต่เวลาเช้าเพราะชายหนุ่มคนนี้มีวิธีฝึกฝนปัญญาให้คมกล้า คือเมื่อตื่นขึ้นเช้าก็คิดตั้งปัญหาถามตัวเองข้อหนึ่งซึ่งมีใจความลึกลับ แลตรึกตรองตอบปัญหานั้นทุกขณะ ที่มีเวลาว่าง ข้อความที่ลึกลับแลละเอียด ถ้าเกี่ยวกับปัญหานั้นก็นำเอามาตรึกตรองจนสิ้นเชิง แลเมื่อได้ทำเช่นนี้มาสองสามปีก็ควรเป็นที่เชื่อได้ว่า ชายหนุ่มคนนี้มีปัญญารุ่งโรจน์มาก
ครั้นกลับถึงวังในตอนค่ำ พระราชบุตรก็บรรทมกระสับกระส่ายอยู่ตลอดคืน แลเป็นเช่นนั้นตลอดวันรุ่ง ครั้นวันที่สองถึงแก่ประชวรมีอาการเป็นไข้ การเขียนการอ่านการกินการนอนก็งดหมด ราชการซึ่งพระราชบิดามอบเฉพาะพระองค์ก็งด การอื่นๆ ก็งด เพราะรับสั่งว่าจะสิ้นพระชนม์อยู่แล้ว ครั้นพระชนม์ยังไม่สิ้นก็ทรงเขียนรูปนางงามผู้เก็บดอกบัวมาทำแปลกๆ จนฝังอยู่ในพระหฤทัย กล่าวกันว่าเขียนเหมือนอย่างที่สุด ครั้นเขียนแล้วก็บรรทมพิศดูรูป ด้วยพระเนตรอันฉ่ำด้วยน้ำ อีกครู่หนึ่งลุกทะลึ่งขึ้นฉีกรูปนั้นเสีย แล้วชกพระเศียรประหนึ่งว่าพระเศียรได้กระทำความผิดเป็นข้อใหญ่ แล้วก็เขียนรูปนางอีกรูปหนึ่งงามยิ่งกว่ารูปก่อน

อีกวันสองวัน พระราชบุตรตรัสให้เรียกพุทธิศริระเข้าไปเฝ้า พุทธิศริระทราบอยู่หลายวันแล้วว่าคงจะเรียก ครั้นเข้าไปเฝ้าถึงที่บรรทม เห็นพระราชบุตรพระพักตร์เผือดแลทรงบ่นว่าปวดพระเศียร พุทธิศริระทราบอยู่แล้วว่าจะรับสั่งเรื่องอะไร แต่ยังไม่กล้ารับสั่งเพราะราชบุตรแลสหายคนนี้ได้สนทนาเรื่องผู้หญิงหลายครั้งแล้ว พระราชบุตรตรัสครั้งไร พุทธิศริระก็ยิ้มเย้ยแลกล่าวลบหลู่หญิงอย่างเรี่ยวแรงแลยังกล่าวติเตียนชายที่หลงรักหญิงอย่างเรี่ยวแรงยิ่งไปกว่าติเตียนหญิงเสียอีก เหตุดังนี้พระราชบุตรจึงอ้ำอึ้งยังไม่กล่าวเรื่องที่อยู่ในพระหฤทัย พุทธิศริระรู้ทีแลอยากให้ตรัสออกมาจึงทูลว่า
"โรคชนิดนี้ต้องเสวยยาขมแลอดของแสลงให้จริง มิฉะนั้นโรคไม่บรรเทาได้"
พระราชบุตรได้ฟังพุทธิศริระสำแดงความร้อนใจ ดังนั้นก็สิ้นความอ้ำอึ้ง พระหัตถ์จับมือพุทธิศริระน้ำพระเนตรตกตรัสว่า
"ชายใดเข้าเดินในทางแห่งความรักชายนั้นจะรอดชีวิตไปมิได้ หรือถ้ายังไม่สิ้นชีวิต ชีวิตก็มิใช่อื่น คือความทุกข์ที่ยืดยาวออกไปนั้นเอง" พุทธิศริระทูลว่า "พระองค์รับสั่งถูกเป็นแน่แล้ว กวีโบราณย่อมกล่าวว่า วิถีแห่งความรักนั้นไม่มีต้นแลไม่มีปลาย บุรุษพึงตรึกตรองให้ถ่องแท้แล้วจึงวางเท้าลงในวิถีนั้น ผู้มีปัญญารู้สิ่งทั้งสามคือความใคร่ หญิงหนึ่ง กระดานสกาหนึ่ง การดื่มน้ำเมาหนึ่ง อาจให้ผลแก่คนในทางที่ไม่อาจทำนายได้ เหตุดังนั้นวิธีที่จะปฏิบัติการทั้งสามสิ่งนี้ดีที่สุดก็คือไม่ปฏิบัติเสียเลย กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือเว้นให้ขาด แต่วิธีของโลกนี้ ถ้าไม่มีวัวตัวเมียก็ต้องรีดนมตัวผู้แทน" คำสอนของผู้มีปัญญากล่าวเช่นนี้ จะแปลว่ากระไรก็ตาม พระราชบุตรย่อมจะทรงเห็นว่าเป็นคำสอนที่กล่าวช้าไปไม่ทันกาลเสียแล้ว เธอนิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงตรัสว่า "ข้าได้ย่างเท้าเดินทางนั้นเสียแล้ว ที่สุดแห่งทางจะเป็นความทุกข์หรือความสุขก็ตามบุญตามกรรม" ตรัสดังนั้นแล้วก็ทรงถอนใจใหญ่ ฝ่ายพุทธิศริระเห็นพระราชบุตรมีอาการดังนั้น ก็คิดสงสารจึงทูลถามว่า "นางนั้นคือนางซึ่งพบที่สระในป่านั้นหรือ" พระราชบุตรพยักพระพักตร์ พุทธิศริระทูลถามว่า "เมื่อนางจะไปนั้นนางได้กล่าวอะไรแก่พระองค์หรือเปล่า หรือพระองค์ได้กล่าวอะไรแก่นางบ้าง" พระราชบุตรตรัสว่า "ไม่ได้กล่าวอะไรแก่กันเลย" พุทธิศริระกล่าวว่า "ถ้าเช่นนั้นก็ยากที่สุดที่จะได้นางมา" พระราชบุตรตรัสว่า "ถ้าเช่นนั้นข้าก็ใกล้เวลาตาย แลชีวิตเป็นความทุกข์ตั้งแต่บัดนี้ไปจวบเวลาขาดลมหายใจ"
พุทธิศริระคิดขัดใจที่พระราชบุตรพูดนอกเรื่อง เพราะการกล่าวถึงความตายไม่ใช่ทางที่จะได้นางมาเป็นอันขาด พุทธิศริระนิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงทูลถามว่า "นางไม่ได้ให้สัญญาอะไรบ้างหรือ พระองค์จงเล่าให้ข้าพเจ้าฟังให้ละเอียด คนไข้ที่บอกอาการโรคครึ่งๆ กลางๆ ไม่มีประโยชน์เลย" ครั้นพุทธิศริระทูลดังนั้น พระราชบุตรก็ตรัสเล่าตั้งแต่ต้นจนปลาย กล่าวโทษพระองค์เองที่ตกตะลึงแลสะทกสะท้านมิได้กล่าวอันใดแก่นาง ในที่สุดเล่าถึงกิริยาที่นางเก็บดอกบัวมาทำท่าต่างๆ พุทธิศริระได้ยินดังนั้น ก็นิ่งตรองอยู่สักครู่หนึ่งแล้วทูลพระราชบุตร สำแดงคุณชั่วแห่งแห่งความสะทกสะเทิ้นในขณะที่อยู่ใกล้หญิง ถ้าพระราชบุตรจะเป็นผู้มีความสุขต้องสำแดงพระองค์เป็นคนกล้าในคราวหน้าที่พบนางจึงจะสำเร็จประสงค์ พระราชบุตรตรัสสัญญาว่าถ้าได้พบนางก็จะเป็นคนกล้าตามคำสอนนั้น แต่เมื่อไม่พบจะกล้าอย่างไรได้ พุทธิศริระกล่าวว่า "พระองค์จงสงบลงบ้างเถิด ข้าพเจ้ารู้ชื่อนางแลที่อยู่ของนางแล้ว เมื่อนางเก็บดอกบัวขึ้นชูไหว้ไปในฟ้านั้น คือนางสำแดงความยินดีต่อเทวะที่ได้อำนวยให้นางได้พบพักตร์อันประเสริฐของพระองค์"
พระราชบุตรได้ทรงฟังก็ยิ้มออกมาได้ แลยิ้มครั้งแรกในเวลาหลายวัน พุทธิศริระทูลต่อไปว่า "เมื่อนางยกดอกบัวขึ้นทัดหูนั้น เป็นที่หมายให้ทราบว่านางเป็นชาวเมืองกรรณาฏกะ แลเมื่อนางกัดดอกบัวด้วยทนต์นั้นนางทำสัญญาณให้ทรงทราบว่านางเป็นราชธิดาท้าวทันตวัต พระองค์ย่อมทราบว่า ท้าวทันตวัตนี้เป็นอริใหญ่ของพระราชบิดาแห่งพระองค์ ไม่มีท่าทางจะปรองดองกันได้เป็นอันขาด" พระราชบุตรได้ยินดังนั้น ก็ครางด้วยความเศร้าพระหฤทัย พุทธิศริระกล่าวต่อไปว่า "เมื่อนางเหยียบดอกบัวนั้น นางให้เครื่องหมายว่านางชื่อปัทมาวดี แลเมื่อนางเอาดอกบัวปักที่อุระนั้นเป็นที่หมายว่า พระองค์สิงอยู่ในหฤทัยแห่งนาง" พระวัชรมุกุฏได้ทรงฟังดังนั้นก็ผุดลุกขึ้นด้วยความยินดี อาการไข้ก็เปลื้องปลดไปทันที ทรงกำลังกระปรี้กระเปร่าเหมือนแต่ก่อน ตรัสชมความรอบรู้ของพุทธิศริระ พลางรับสั่งอ้อนวอนให้ช่วยทูลขออนุญาตพระราชบิดาไปยังนครอันเป็นที่อยู่แห่งนางนั้น
ฝ่ายพุทธิศริระโดยความภักดีต่อราชบุตร ก็เข้าไปทูลพระราชาธิบดีว่า พระราชบุตรไม่ใคร่ทรงสบาย ควรเสด็จเที่ยวในประเทศต่างๆ เพราะพระกายต้องการเปลี่ยนน้ำพระหฤทัยต้องการเปลี่ยนที่อยู่ ครั้นพระราชบิดาประทานอนุญาตแล้ว พระวัชรมุกุฏก็หยุดพักอยู่ริมทาง แล้วพุทธิศริระก็แต่งตัวเป็นคนเดินทางขึ้นม้าไปหลายวัน ถึงนครกรรณาฏกะก็หยุดพักอยู่ริมทาง แล้วพุทธิศริระก็นำพระราชบุตรออกเที่ยวถามหาหญิงผู้มีปัญญาโดยอธิบายว่าต้องการจะให้ดูเคราะห์ในอนาคต แลชี้แจงต่อพระราชบุตรอีกขั้นหนึ่งว่าหญิงเอาใจใส่ต่อกิจการในอนาคตนั้น ย่อมจะเอื้อเฟื้อต่อกิจการปัจจุบัน ด้วยเหตุดังนั้นควรสืบหาหญิงหมอดูเป็นผู้ช่วยให้สำเร็จกิจอันประสงค์

พุทธิศริระเที่ยวถามอยู่ครู่หนึ่ง มีผู้ชี้หญิงแก่ผู้หนึ่งซึ่งนั่งปั่นฝ้ายอยู่หน้ากระท่อม พุทธิศริระจึงเข้าไปหาหญิงแก่นั้น กระทำการเคารพเป็นอันดีแล้วพูดว่า "ข้าพเจ้าเป็นพ่อค้ามาจากเมืองไกลสองคนด้วยกัน สินค้าของเราตามมาข้างหลัง เราล่วงหน้ามาก่อนเพื่อจะหาที่พัก ถ้ามารดายอมให้เราพักในเรือนนี้ เราคงจะอยู่เป็นสุขแลให้เงินแก่มารดาโดยอัตราอันสูง" ฝ่ายหญิงแก่นั้นนอกจากเป็นหมอดู ยังเป็นผู้รู้ลักษณะคนอีกด้วย ครั้นเห็นเค้าหน้าชายหนุ่มทั้งสองก็ชอบ เพราะคิ้วกว้างแลปากมีลักษณะว่าไม่ตระหนี่ จึงตอบพุทธิศริระว่า "กระท่อมนี้เหมือนหนึ่งเรือนของท่าน เชิญมาพักอยู่ให้สบายเถิด" พูดเท่านั้นแล้วก็พาชายหนุ่มทั้งสองเข้าไปในเรือน กล่าวติเตียนความรุงรังของตนเองแล้วเชิญให้ชายทั้งสองพักผ่อนกายอยู่ในเรือนนั้น สักครู่หนึ่งหญิงแก่กลับมายังห้องซึ่งชายหนุ่มทั้งสองพัก พุทธิศริระจึงถามว่า "มารดาอยู่ที่นี้มีความสุขอยู่หรือ ญาติวงศ์สหายอยู่พร้อมกันหรืออย่างไร แลมารดาหากินทางไหน" หญิงแก่ตอบว่า "ลูกชายของข้าเป็นคนใช้สนิทของท้าวทันตวัตผู้เป็นพระราชาของเรา ข้าเป็นนางนมของนางปัทมาวดีพระราชธิดาองค์ใหญ่ ครั้นข้าแก่ชราก็มาอยู่ในเรือนนี้ ไม่ต้องกังวลการหากิน เพราะพระราชาประทานทุกอย่าง ข้าไปในวังเฝ้าพระราชบุตรีวันละครั้ง นางเป็นหญิงงามอย่างประหลาด เป็นคนดีมีปัญญาหาเสมอมิได้"

พระวัชรมุกุฏพักอยู่ที่เรือนหญิงแก่ อันเป็นนางนมของพระราชธิดาหลายวัน แลกระทำให้นางนมเอื้อเฟื้อรักใคร่ด้วยความไม่ตระหนี่ ด้วยวาจาอ่อนหวานและด้วยรูปสมบัติของพระองค์ ครั้นคุ้นเคยแลรู้ใจกันมากขึ้น พระวัชรมุกุฏก็ตรัสถึงพระราชธิดา แลกล่าวแก่หญิงนางนมว่า เมื่อไปเฝ้านางปัทมาวดีคราวหน้าขอให้ช่วยถือหนังสือไปถวายฉบับหนึ่งจะได้หรือไม่ นางนมมีความยินดี เพราะเป็นธุระของนางนมที่จะต้องยินดีตามแบบนิทานชนิดนี้ จึงกล่าวแก่พระวัชรมุกุฏว่า "ลูกเอย ไม่จำเป็นจะต้องคอยถึงพรุ่งนี้ เจ้าจงเขียนหนังสือเถิด มารดาจะถือไปเดี๋ยวนี้" พระวัชรมุกุฏพระองค์สั่นด้วยความยินดี รีบเสด็จไปหาพุทธิศริระ ซึ่งนั่งอ่านหนังสืออยู่นอกเรือน แล้วรับสั่งบอกว่า นางนมรับแล้วที่จะถือหนังสือไปถวายพระราชธิดา ปัญหายังมีแต่เพียงว่าจะเขียนหนังสืออย่างไรจึงจะดี จะผูกประโยคแลใช้ศัพท์ชั้นไหนจึงจะถูกพระหฤทัยนาง จะใช้ศัพท์เรียกนางว่า "แก้วตาแห่งตู" จะเบาไป แลศัพท์ "โลหิตในตับแห่งข้า" จะหนักไปดอกกระมัง อนึ่งการแต่งหนังสือสำคัญเช่นนั้นจะทำให้แล้วเร็วทันในวันนั้นก็ยาก เป็นเรื่องที่หนักพระหฤทัยอยู่ ฝ่ายพุทธิศริระเมื่อได้ยินดังนั้นก็ทูลว่า อย่าให้ทรงเดือดร้อนเลย จะทำถวายให้เสร็จ แล้วพุทธิศริระก็ไปหยิบเครื่องเขียนมานั่งเขียนอยู่ครู่หนึ่ง ครั้นสำเร็จแล้วก็พับหนังสือนั้นปิดผนึก เขียนรูปดอกบัวลงบนหลังผนึกดอกหนึ่ง แล้วส่งถวายพระราชบุตร พระราชบุตรก็นำหนังสือนั้นไปส่งให้หญิงแก่นางนมถือไปถวายพระราชธิดา
นางนมได้รับหนังสือแล้วก็รีบเข้าวังไปที่ตำหนักพระราชบุตรีตามเคย ฝ่ายนางปัทมาวดีครั้นเห็นนางนมเข้าไปเฝ้า ก็ตรัสเรียกให้นั่งแลสนทนาด้วย นางนมพูดถึงเรื่องอื่นๆ อยู่สักครู่จึงจึงทูลว่า "เมื่อนางยังอยู่ในความเป็นเด็กอ่อน ข้าได้เลี้ยงดูนางมาด้วยความภักดี บัดนี้เทพดาให้รางวัลแก่ข้าด้วยประทานความงาม ความไม่มีโรค แลความดีแก่นางในเวลาที่ทรงจำเริญเพียงนี้ หัวใจของข้าจะใคร่เห็นความสุขของนางยิ่งๆ ขึ้นไปตราบชีวิตข้าหาไม่ นางจงทรงอ่านหนังสือนี้ซึ่งมาจากชายหนุ่มงามที่สุด แลดีที่สุดซึ่งข้าได้เคยเห็นเป็นขวัญตา"
พระราชธิดาทรงรับหนังสือไปทอดพระเนตรดอกบัวบนหลังผนึก แล้วทรงเปิดออกอ่านพบอินทรวิเชียรฉันท์ดังนี้




 

Create Date : 29 ธันวาคม 2549
0 comments
Last Update : 29 ธันวาคม 2549 12:31:07 น.
Counter : 1372 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


Street Fighting Man
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




ถึงชนจะชิงชัง แต่กูยังจะหยัดยืน
กู้เกียรติที่มารกลืน ให้มวลชนเข้าใจใจ
กูชาติทหารหาญ ประวัติการณ์นั้นยาวไกล
พิทักษ์ไผทไทย นี้สืบทอดมายาวนาน
ทหารไทยบ่ขายชื่อ บ่ขายชาติและวิญญาณ
เกียรติยศอุดมการณ์ บ่ขายกินเป็นเงินตรา
เพื่อผองประชาชาติ จะพลีชีพให้ลือชา
ลบคราบน้ำตา…อา ! ที่อาบนองแก้มผองชน
ผู้นำผู้ใดดี จะร่วมทางด้วยอดทน
ผู้นำที่เดนคน จะคัดค้านไม่เกรงใคร
น้ำใจนี้เดี่ยวเด็ด ดั่งเหล็กเพชรที่ทนไฟ
เนื้อร้ายต้องตัดไป ไม่ลังเลให้คนแคลน
ถึงแม้สมุนมาร จะคงคอยคำรามแทน
อุปสรรคถึงเหลือแสน จะบุกหน้าบ่ถอยหลัง
มอบรักต่อคนดี และต่อผีคือชิงชัง
ผีดิบจะล้มดัง เพราะเรี่ยวแรงที่ระดม
เสียงสูคือเสียงผี ที่หลอกคนด้วยคารม
[Add Street Fighting Man's blog to your web]