เจ้าสวามิภักดิ์ต่ออำนาจ ยอมเป็นทาสคณาธิปไตย เพียงหัวโขนไม่กี่ใบ ก็ทำให้เจ้าลืมตน โดยลืมไปว่าคนที่หลงใหลต่อการเสพอำนาจนั้นมีจุดจบที่น่าสยดสยองเพียงใด เพราะคำกล่าวที่ว่า “อำนาจทำให้ฉ้อฉล ยิ่งอำนาจเบ็ดเสร็จเท่าใด ยิ่งฉ้อฉลเบ็ดเสร็จเท่านั้น” (power tends to corrupt ,and absolute power corrupts absolutely) ยังคงเป็นความจริงอยู่เสมอ
 
มกราคม 2550
 
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
31 มกราคม 2550

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นที่ 22

ความเห็น 19
ขอบคุณครับที่คุณช่วยให้ความกระจ่างในอีกมุมหนึ่ง

"ผมขออธิบายคำว่าอวิชาสักนิดหนึ่งซึ่งได้ฟังจากพระเกจิอาจารย์ท่านหนึ่ง"

ก็คงต้องกลับไปที่กาลามสูตรแหละครับ

กราบขอบพระคุณอีกครั้งครับ
18




ความคิดเห็นที่ 21

...ทางเว็บมาสเตอร์ช่วยให้เกิดความโปร่งใส ในการพิมพ์ข้อความด้วย.. พิมพ์แสดงความคิดเห็นไป ตั้งแต่เมื่อวาน 4 โมง .. กติกาบอกว่า รอสักครู่.. เรามาเช็ค 5 ..6 ..7 ..8 โมง ยังไม่เจอ..ก้อมองในแง่ดีว่า จนท.คงไปทานข้าว เลิกงานแล้ว หรือกลับบ้านนอน.. /พอมาเช้านี้ 10 โมง ยังไม่ลงอิก จึงขอความกรุณา บอกด้วยว่าจะลงไม่ลงเพราะอะไร ถ้าเรารับไม่ได้จะได้ไม่เข้ามาพิมพ์ความคิดเห็นอิก.... มันทำให้เก้อ และ เสียความรู้สึกโดยใช่เหตุ
แม่ลูกหนึ่ง




ความคิดเห็นที่ 20

จุดบกพร่องของ เจ้าของบทความ (ในหน้านี้) คือ มิได้บอกถึงหลักสูตรที่จบ

คุณ คคห 14 .. ของคุณก้อแคบเหมือนกัน จุดบกพร่องของคุณคือ คุณยังไม่รู้จักสิ่งที่ผู้เขียน อ้างถึง เช่น อวิชชา หรือ อัตตา ชัดเจนดีพอ

คุณ คคห 15 .. ดิฉันเห็นด้วยกับคุณ ว่าด้วยเรื่องของความชัดเจนในความหมายที่ผู้เขียนพูดถึง และ จุดประสงค์ที่ผู้เขียนต้องการ ...

... แต่ว่า ขอให้ได้อ่านที่จะเขียนต่อไป เพื่อมุมมองที่กว้างขึ้น ในประเด็นที่ ทำให้ต้องมี คคห ที่ 14 เกิดขึ้น

ถึงแม้นคุณยุค จะไม่ได้บอกถึง สาขาวิชาที่จบมา... ในขณะที่อ่านไป ก้อพอคาดเดาได้ว่า เป็นวิชาเกี่ยวกับธุรกิจ ถ้าป.โท ก้อเรียกว่า MBA หรือ บริหารธุรกิจ .. ซึ่งว่าด้วยการแข่งขัน ช่วงชิง ทำสงคราม แบบเดียวกับที่คุณยุคว่าถึงเป๊ะ.. ฉะนั้น ถึงไม่ใช่ ก้อนึกสาขาอื่นไม่ออกนอกจากนี้แล้ว (เพราะพื้นความรู้แคบ.. จบแค่ป.โท อายุยังไม่เลข 3)..แต่คิดว่าไม่ใช่ก้อใกล้เคียง ..จึงไม่มีความติดใจในความอวิชชาที่คุณยุค กล่าวพาดพิงถึงแม้แต่น้อย..
.. ก้อคิดว่าเป็นบทความที่ดีมาก.. จุดประกายให้ นึกถึง การหาความรู้และการศึกษาที่เป็นแนวตะวันออก ตามที่คุณยุคเขียนถึง หลังจากที่ศึกษาเรื่องของ อัตตา และปรัชญาชีวิต มาพอสมควร

..แต่พอมาอ่าน คคห 14.. อ่านเผิน ๆ เหมือนกับว่า คุณคคห 14 มีความเข้าใจในเรื่อง อวิชชา เป็นอย่างดี .. เรายังไม่รู้แจ้งในเรื่องนี้เท่าไหร่.. จึงว่า จะเลี่ยงไป และ ไปอ่านต่อบทความที่2 ตอนต่อไปแทน

แต่ว่าพอมาดูพื้นฐานและองค์ประกอบ แล้ว..จึงขอตั้งข้อสังเกตว่า คุณ คคห 14 ตั้งข้อสังเกต คนละประเด็นกับผู้เขียน หรือ คุณยุค และ ตั้งข้อสังเกต โดยยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง.. ทั้งนี้ (ขอเป็นเพียงการตั้งข้อสังเกต มิได้จงใจว่ากล่าวใด ๆ นะคะ..) ..คุณ คคห 14 จบวิศวะ.. เดิมความรู้วิศวะฯ เป็นองค์ความรู้ ที่มิได้มุ่งประหัตประหาร แก่งแย่ง ต่อสู้กับใคร แต่เป็นองค์ความรู้ที่ให้พึ่งตัวเอง.. คิดตามหลักเหตุและผล .. จึงเป็นเหตุว่า ความคิดเห็นเป็นในลักษณะ ภูมิใจในศักดิ์ศรี ของตัวเอง (อัตตา) ค่อนข้างสูง (หรือ ตัวกู ของกู อย่างคุณคคห 15ว่า) .. เป็นที่มาว่า ที่คุณคคห 14 พูดได้เต็มปาก เต็มคำ ว่า "...ตอนนี้ผมสงบ และอยู่ได้ด้วยดีกับ วิชาความรู้ที่ผมเรียนมา"..
(..ขอย้ำว่า ขอเป็นเพียงการตั้งข้อสังเกต มิได้จงใจว่ากล่าวใด ๆ นะคะ..เพราะโดยส่วนตัว มีความชื่นชม และ นับถือคนที่จบวิศวะฯ มิใช่น้อย)

การมีพื้นความรู้ที่ต่างกัน (กับผู้เขียน ..ซึ่งอย่างที่ดิฉันได้กล่าวว่า คาดว่าผู้เขียนอ้างถึงองค์ความรู้ในเชิงธุรกิจ) เป็นที่มาของการตั้งสมมุติฐานที่ต่างกัน.. ทำให้เกิดประเด็นถกเถียง ไม่รู้จบ..อย่างที่ไม่ควรจะเกิด

จึงขอตั้งข้อสังเกต และ จบเพียงเท่านี้..

มีข้อคิดเห็นเพิ่มเติมว่า.. คุณคคห ที่ 14 อย่าได้ คิดตามว่า ผู้เขียน จะทิ้งความรู้ ลบหลู่ ครูอาจารย์ เพราะเหตุว่าเป็นอวิชชา.. ผู้เขียนเพียง ถ่ายทอด มุมมอง ในฐานะผู้ที่ศึกษาวิชา (ไม่น่าจะใช่วิชาวิศวะ) ที่เรียนรู้จนถึงจุดสุดยอด แต่เหมือนรู้ แต่ไม่รู้แจ้ง และ ผู้เขียนได้ถ่ายทอดผ่านปรัชญา ขั้นสูงขึ้นไปอีก ในเชิงว่า ยิ่งฉลาด แต่ยิ่งโง่ ... (คือในเชิงปรัชญาหมายถึงว่า .. สิ่งที่เรียนรู้มา ..ให้ตนฉลาด เพื่อไปเอาเปรียบคนที่ฉลาดน้อยกว่า รู้น้อยกว่า ..เป็น วัฎจักรกรรมที่ไม่รู้จบสิ้นเสียที) ... ต้องลองให้คนที่ศึกษาปรัชญาจนแก่กล้ามาบอกตรงนี้ค่ะ.. เพราะของดิฉันยังแค่เด็ก ๆ เท่านั้นเอง..

(ข้อความนี้ พิมพ์เมื่อวานตอน4 โมง มาเช็ค ตอน5 โมง 6 โมง ทุ่มนึง สองทุ่ม ยังไม่ลงเลย.. ไม่เข้าใจว่าเพราะอะไร.. ไม่ได้มีภาษาหยาบ ไม่ได้ส่อเสียดใคร.. ทางเว็บมาสเตอร์ ช่วยให้มีความโปร่งใส ในการแสดงความคิดเห็นด้วยค่ะ)
แม่ลู฿ก




ความคิดเห็นที่ 19

เรียนคุณความคิดเห็นที่ 18 ผมขออธิบายคำว่าอวิชาสักนิดหนึ่งซึ่งได้ฟังจากพระเกจิอาจารย์ท่านหนึ่งอาจจะทำให้คุณหรือคนอื่นๆเข้าใจได้กระจ่างขึ้น ท่านกล่าวไว้ว่าไม่มีการบัญญัติว่าอวิชาเป็นวิชาชนิดหนึ่งเลยในทางธรรมอวิชาในทางธรรมก็คืออวิชา แต่ในทางโลกคุณจะบัญญัติอวิชาว่าอย่างไรก็สุดแท้แต่ว่าคุณจะให้มันเป็นเช่นไร และในทางธรรมแล้วอวิชาก็คือส่วนที่พัฒนาขึ้นมาจากกิเลสหลักสามตัว(โทสะ โลภะ โมหะ) + ความอยากทุกชนิด(ตัณหา) + อุปทาน ถ้าอยู่ในข่ายนี้ถือเป็นอวิชาทั้งสิ้น จะเห็นความกระจ่างชัดขึ้นถ้าได้ฝึกปฏิบัติกรรมฐานทั้งสมถะและวิปัสสนาโดยเฉพาะในบทพระอภิธรรม(จิ เจ รุ นิ)ในเรื่องกุศลกรรมและอกุศลกรรม นี่คือสิ่งที่ท่านได้บอกเล่าให้ฟังครับผมไม่ต้องการที่จะบอกว่าใครถูกใครผิดเพราะมันไม่มีประโยชน์ถูกหรือผิดมันเป็นเรื่องสมมุติขอให้ฝึกปฏิบัติธรรมกันดีกว่า ขอทุกท่านจงมีความสงบสุขโดยทั่วกัน
ทศพร




ความคิดเห็นที่ 18

ความเห็น 15ครับ ผมขออนุญาตแทรกความคิดเห็นของผมที่คุณให้ไว้เกี่ยวกับความคิดเห็น 14 นะครับ ขอภัยที่ไม่ได้รอคำอนุญาตจากคุณก่อน หรือพูดภาษาง่ายๆ ว่าขอ สอ-สระ-เอือก นะครับ ที่คุณลงว่า

"คุณความเห็นที่สิบสี่คุณนั้นนั่นแหละที่เป็นอวิชชา เพราะผมไม่รู้เรื่องที่คุณพูด พยายามอ่านหลายรอบก็ตาม แต่ที่คุณ ยุค เขียน นั้น ผม เข้าใจได้ง่ายกว่า และมีผลต่อความรู้ และแน่นอนว่ามีผลส่งต่อไปที่ผู้ที่สามารถเข้าใจได้"

ตกลงว่าอะไรที่คุณอ่านแล้วเข้าใจได้เป็นวิชา และอะไรที่คุณอ่านแล้วไม่เข้าใจเป็นอวิชชา ใช่หรือเปล่าครับ

งั้นคำว่าอวิชาของคุณยังไม่ใช่ความหมายตรงกับทางธรรมะ

ผมว่าเป็นแค่เพราะคุณและคุณความเห็น 14 พูดกันคนละภาษามากกว่า เลยคุยกันไม่รู้เรื่อง และผมเห็นว่าคุณยังใจไม่กว้างพอที่จะรับว่าความไม่รู้ภาษาที่คุณความเห็น 14 ลงไว้ และนั่นแหละ คือเครื่องกั้นความรู้ที่คุณเองได้รับอยู่โดยที่คุณไม่รู้ตัว พูดภาษาง่ายๆว่าเป็นเพราะอัตตาของคุณทำให้คุณกล่าวโทษว่าเขาพูดไม่รู้เรื่อง

เพราะจริงๆแล้ว อวิชา ก็คือวิชาแขนงหนึ่ง ในทางธรรมหมายถึง วิชาที่ถ้านำมายึดติดเป็นหลัก ในการนึกคิดตัดสินใจและใช้ในการดำรงชีวิตประจำวันแล้ว จะเป็นตัวเร่ง หรือนำพาให้ผู้ใช้ความรู้ในเรื่องนั้นๆ ( อวิชา ) เกิดความวุ่นวายในตัวเอง และอาจเกิดความวุ่นวายในสังคมรอบข้างโดยไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว เพราะเป็นวิชาที่เน้นความแตกต่าง ของทุกๆอย่างจน ทำให้เกิดความแตกแยกความคิด แบ่งเขา แบ่งเรา แบ่งว่าความรู้ของเราศิวิไลซ์กว่า รสนิยมในการฟังเพลงสูงกว่า หรือมีรสนิยมในการแต่งตัวเนี้ยบกว่า ไฮคลาสกว่า มีอาชีพที่เป็นทียอมรับมากกว่า สร้างสถานะทางสังคมให้แก่ผู้รู้วิชานั้น ดูง่ายๆ ให้คุณเลือกเมื่อตอนคุณจบการศึกษาใหม่ๆว่า คุณอยากจบหมอ หรือด็อกเตอร์ทางกฎหมาย หรือจบเปรียญ

สรุปแล้วอวิชาเป็นวิชาที่สนับสนุนให้เกิดการแยกแยะ แบ่งคลาส แบ่งพรรคแบ่งพวกไปโดยปริยาย โดยที่ผู้เรียนรู้วิชานั้นไม่ทันได้รู้ตัว กว่าจะรู้ตัว ก็ตีตราตัวเองไปแล้วว่าตัวเองเรียนจบอะไร ทำงานประเภทไหน รสนิยมการใช้ชีวิตเป็นอย่างไร

การรับรู้ แยกออกได้ด้วยตัวเองว่าสิ่งใดเป็นอวิชา สิ่งใดเป็นวิชา และสามารถควบคุมตัวเองได้ไม่เกิดเป็นอารมณ์แบ่งแยกออกมาจนทำให้ตัวเองรู้สึกได้ว่าถูกขัดใจ ไม่เห็นด้วย และดำเนินชีวิตด้วยการนำสิ่งที่เป็นวิชาตามหลักธรรม นำมาเป็นกฎเกณฑ์ในการปฎิบัติตนนั้นต่างหาก คือสิ่งที่หลักคิดทางตะวันออกพบแล้วว่าคือวิชา การฝึกให้ตัวเองเป็นทาสของอารมณ์ตนเองนั้น คืออวิชาอย่างหนึ่ง

การที่คิดโทษว่าคนอื่นว่าพูดไม่รู้เรื่องนั้น จริงๆแล้วเป็นเพราะตนเองมีความรู้เรื่องภาษาของคนอื่นน้อย เหมือนการที่ฟังภาษาต่างชาติไม่ออก ภาษาใครภาษามันครับ เพราะแต่ละคนเติบโตในสิ่งแวดล้อมต่างกัน ถ้าคุณใจเย็นๆค่อยๆอ่านความเห็นของคนอื่น โดยไม่มี "ความคิดว่ารู้" ของตัวเองเป็นเครื่องกั้นการรับรู้ เรียกง่ายๆ ว่าเป็นนักเรียนที่ดีตลอดแล้ว คุณจะมีความรู้ หรือวิชาทุกแขนง ไม่ว่าจะเป็นวิชาโจร หรือวิชามาร แต่คุณเองจะมีความรู้รับผิดชอบชั่วดี ที่จะใช้ชีวิตได้อย่างเป็นผู้มีคุณธรรมโดยไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัวครับ ซึ่งผมก็เชื่อว่าคุณมีคุณธรรมมากในระดับหนึ่งนะครับ เพียงแต่รู้สึกขัดใจเล็กน้อยเท่านั้นครับ
ตี๋น้อย




ความคิดเห็นที่ 17

ผมเรียนป.เอกวิทยาศาสตร์ สาขาที่คนส่วนใหญ่ส่ายหัวบอกว่ามันยาก คือสาขาเดียวกับที่ไอสไตน์เป็น บทความนี้ชี้ตรงประเด็นในหลักการทางปรัชญาทางความคิดของตัวศาสตร์คือการเอาชนะธรรมชาติซึ่งเป็นความคิดที่เดินผิดทางแบบสุดโต่ง อาจารย์หลายท่านสอนให้เด็กของเรารู้แต่จะเอาชนะคนอื่นไปจนถึงธรรมชาติ แต่ไม่เคยสอนให้รู้จักตนเอง ชนะตนเองให้ได้ และเรียนรู้ธรรมชาติเพื่อจะอยู่กับธรรมชาติได้อย่างสงบสุข ดังนั้นปัญหาทั้งมวลที่เกิดในโลกนี้ ถ้ามองในแง่โลกียธรรม(แบบตะวันตก) ก็คือการอบรมสั่งสอนที่ผิดทางแบบสุดโต่งโดยหลงนึกว่านั้นคือหนทางที่จริงแล้ว แต่กลับนำคนไปสู่หายนะโดยสิ้นเชิง ผิดกับโลกียะธรรมแบบตะวันออก ที่ชี้แนะนำทางให้คนเดินไปในทางที่ค้นพบความสงบ เยือกเย็น และเป็นสุขจากภายใน ซึ่งเป็นสุขอย่างแท้จริง โดยสิ้นเชิง
kaze




ความคิดเห็นที่ 16

ปัจจุบันคนส่วนให้ความสำคัญกับการพัฒนาทางด้านวัตถุมากเพราะมันเป็นสิ่งที่จับต้องได้ง่ายโดยไม่ต้องใช้พลังทางปัญญามากเท่ากับการพัฒนาทางด้านจิตวิญญาณ จนทำให้เกิดความไม่สมดุลย์ขึ้น ภูมิปัญญาตะวันออกมีความลึกซึ้งและน่าจะเป็นToolที่ดีในการการพัฒนาทางด้านจิตวิญญาณ
jet




ความคิดเห็นที่ 15

คุณความเห็นที่สิบสี่ ที่คุณเขียนลงไปนั้นผมว่ามันค่อนข้างจะแรงไปหน่อย เรื่องวิชา กับอวิชชานี่ ผมว่าคุณยังไม่ชัดนะ หรือถ้าชัดก็ยังถ่ายทอดมาให้ผมได้ไม่ชัด และถ้าเป็นเช่นนั้น คุณความเห็นที่สิบสี่คุณนั้นนั่นแหละที่เป็นอวิชชา เพราะผมไม่รู้เรื่องที่คุณพูด พยายามอ่านหลายรอบก็ตาม แต่ที่คุณ ยุค เขียน นั้น ผม เข้าใจได้ง่ายกว่า และมีผลต่อความรู้ และแน่นอนว่ามีผลส่งต่อไปที่ผู้ที่สามารถเข้าใจได้ เห็นได้ชัดว่า บทความของคุณยุค นั้น เน้นที่คนอื่น ส่วนของคุณคหที่ 14 เน้น ที่ตัวกูผู้รู้ดี คืออยากให้คนอ่านชื่นชม ในตัวคุณในฐานะที่แค่จบป.ตรีแต่คิดได้อย่างงี้ สุดยอด แล้วมันเพื่ออะไร เพื่อคุณจะได้สะใจนอนหลับฝันดีงั้นเหรอ เป้าหมายของวิชชาที่แท้จริงอยู่ที่คนอื่น พระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมที่ลึกซึ้งมาแล้วที่กลับมาสอนนี่ก็คือเพื่อคนอื่น เป้าหมายอยู่ที่คนอื่นท่านจึงเป้นสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าด้วนอยู่ที่ตัวก็ปัจเจกพุทธเจ้าคึอรู้เหมือนกันแต่ไม่สอนใคร และเรื่องวิชาชากับอวิชชานี่ก็เหมือนกัน เราได้ดึงเอาคุณธรรม จริยธรรมออกไปจากวิชชาแล้วหรือ เพราะฉะนั้นความรู้ใดๆที่ไม่มีคุณธรรมจริยาธรรมให้เข้าถึงย่อมเป็นอวิชชา ผมขอบอกว่า ความเห็นคุณ เป็นอวิชชา แม่มันจะมีเทคนิควิธีคิดวิธีทำ แต่ก็ขาดคุณธรรม บทความของ คุณ ยุค อะไรนี่ ก้บอกชัดๆว่า เขาจบปริญญาเอก แต่เป็นปริญญาเอกที่ไม่มีคุณธรรม เป็นเรื่องเห็นแก่ตัว เพราะฉะนั้น เกือบจะสรุปได้ว่าวิชาทางตะวันตก น่าจะเป็นวิชชาที่มีรากฐานจกาความเห็นแก่ตัว แต่ก็น่าเห็นใจ ที่เขาต้องเป็นเช่นนั้น ภมิประเทศมันไม่เอื้อ มันต้องกักตุนอาหารยามหนาว ต้องชิงเด่นเพื่อความอยู่รอด แล้วบทความคุณยุค ก็เสนอให้เห็นอย่างเป็นกลาง ผมขอบกว่าค่อนข้างได้ประโยชน์สำหรับคนอ่านมากกว่าของคุณ คหที่14
นอกคอก




ความคิดเห็นที่ 14

" พอจบการศึกษาปริญญาเอก ผมเริ่มสงสัยว่า สิ่งที่ผมเรียนมาเกือบทั้งหมดคือ อวิชชา ที่มีฐานรากมาจากการเข้าใจโลกแบบอัตตา เป็นตัวเป็นตน แยกเป็นเขาเป็นเรา และมองโลกผ่านมิติแห่งสงคราม หรือ การต่อสู้เอาชนะ"

ตามที่คุณยุค ศรีอาริยะ ได้บอกว่าเรื่องนี้ เป็นเรื่องยากสำหรับคุณที่จะเขียน ผมก็ไม่ทราบว่า คุณจบเอก สาขา ใด แต่ผมจบตรี วิศวะ เมืองไทย ประเทศไทยเท่านั้น ผมคิดว่า ที่คุณพูดว่า เกือบทั้งหมดนั้นเป็น อวิชชา ผมคิดว่าที่คุณอ้างถึงนั้น แรงเกินไป คุณขาดความเคารพในอาจารย์ ที่สอนคุณมา เป็นการกล่าวที่แรงเกินไป แม้นว่าคุณจะใช้คำว่า เกือบ คือไม่ทั้งหมด แต่ก็มีความหมายว่า ส่วนใหญ่ ผมก็เลยคิดว่า คุณจบเอกมา จบแค่ทาง วัตถุธรรม ขาดความรู้หรือมีสติปัญญา มากเพียงพอทางด้าน จิตวิญญาณ ซึ่งมีคำตอบทางด้านวัตถุทั้งหมด วิชาความรู้ต่างๆ นั้นในตัวเองย่อมมีความสำคัญ วัตถุประสงค์ ขอบเขตที่ดีในการเริ่มต้น จิตวิญญาณ ระดับสูง ถ้าจะพูดเป็นภาษา ทางโลก ก็เปรียบเป็น ปริญญา เอก ตามที่ คุณเข้าใจได้ แต่ความจริงนั้น สูงกว่า มากกว่า เพราะจบเอก ก็แค่ เอก สาขาเดียว ด้านเดียว แต่ทางจิตวิญญาณนั้น มันทั้งหมด ทุกๆวิชา ทางโลก ทางวัตถุ นั่นคือ คำสอนและเข้าสู่ศาสนา คือ "ธรรม" ในข้อต่างๆ ถ้าคุณเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง จำได้ทั้งหมด ซึ่งมันยากเพราะหาอาจารย์ทางด้านนี้ ได้ยากมาก ความรู้ที่ได้มาจากการเรียนทางโลกนั้น ถ้าคุณจบเอกมาก็สมมุติ หรืออาจมองได้ว่า มีสติ มีปัญญาที่จะเข้าใจทางจิตวิญญาน ได้มากกว่าคนอื่น แต่กลายเป็นว่า คุณไม่ได้ใช้การพิจารณา คุณสรุป คุณทิ้งวิชาเกือบทั้งหมด โดยบอกว่าเป็น อวิชา ไม่ใช่ครับ คุณเข้าใจผิดแล้ว ไม่ใช่ อวิชา ครับ แต่จะเป็นอวิชาก็ต่อเมื่อ คุณเอง หรือสังคมรอบๆตัวคุณนั้น เป็นอวิชา หรือ อาจด้วยความไม่รู้ในตนเอง เป็นความรู้สึกแบบชั่วเวลาหนึ่ง หรืออาจเป็นความรู้สึกตลอดเวลา ที่เราเรียกหรือด่าคนอื่น ว่า สันดาน อธิบายมาทั้งหมด ลงท้ายที่ สันดาน นั้นก็อย่าโกรธที่รู้สึกว่าเป็นคำหยาบ นะครับ ทั้งหมดนี้ก็ต้องของ พูดตรงๆ เพราะคุณเป็นคนสื่อออกมา ให้คนอื่นๆ รับทราบ ก็อยากให้ คุณยุค ศรีอาริยะ อ่านหลายๆ รอบว่า ผมเขียนแต่ละเรื่อง เป็นแบบหลายๆด้าน อย่าจับความเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เป็นตัวตั้ง นะครับ เพราะจะกลายเป็น เริ่มต้นด้วย ทิฐิ นะครับ เพราะผมก็อ่านของคุณ หลายๆ รอบเหมือนๆกัน คิดถึงคนอื่นๆด้วยครับ ถ้าเราจะทำอะไรลงไป ที่ผมกล้าพูดเช่นนี้กับคุณ เพราะผมผ่านจุดนี้ของคุณมาแล้ว ที่คิดในใจและพูดกับคนรอบตัวบางคน แต่ไม่ขนาดถึงเรียกว่า อวิชา แต่ตอนนี้ผมสงบ และอยู่ได้ด้วยดีกับ วิชาความรู้ที่ผมเรียนมา
ถึง คุณยุค ศรีอาริยะ




ความคิดเห็นที่ 13

ความต้องการ.......
ความไม่ต้องการ.......
หมด........ลงดิน
คน




ความคิดเห็นที่ 12

กิเลส.....
ความอยาก......
ไม่ต้องการ......
หมด.........ลงดิน
คน




ความคิดเห็นที่ 11

ต้องการ.........
ไม่ต้องการ.......
ความอยาก.......
กิเลส........
หมด..........ลงดิน
คน




ความคิดเห็นที่ 10

ความต้องการ ......................ไม่ต้องการ ............... หมด ............ลงดิน.........
คน




ความคิดเห็นที่ 9

where did the author graduated from?
east or west.? or both.
just the thought,




ความคิดเห็นที่ 8

เป็นบทความที่ดีมากๆเลยครับ เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง และผมเองก็เห็นคุณค่าของศาสตร์ตะวันออกหลายๆอย่างที่ควรได้รับการดูแลรักษาและถ่ายทอดต่อไปให้คนรุ่นหลัง
ชาวตะวันออก




ความคิดเห็นที่ 7

ชอบมากค่ะ

ขออนุญาตเสริมว่า มนุษย์เป็นสัตว์ มี "ความต้องการ" เป็นพื้นฐานของจิต พื้นฐานต่ำสุด คือการต้องมีชีวิตรอด เริ่มตั้งแต่จุดปฎิสนธิในท้องแม่ จึงต้อง"กระทำ" ปรับปรุงทุกอย่างในเซลเพื่อความอยู่รอด แต่ละคนจึงเป็น individual จริงๆ เพราะสภาพแวดล้อมในท้องต่างกัน ถึงแม้จะเป็นแม่เดียวกัน แต่ก็เป็นแม่ที่มีอายุมากขึ้นเมื่อมีลูกคนถัดไป ไม่มีใครเหมือนกันร้อยเปอร์เซ็น แม่แต่แฝดจากไข่ใบเดียวกัน ทารกคนหนึ่งอยู่ด้านซ้าย อีกคนหนึ่งอยู่ด้านขวา หรือคนหนึ่งอาจอยู่ข้างบน คนหนึ่งอาจอยู่ข้างล่าง อยู่กัน"ต่างมุม"ตั้งแต่อยู่ในท้องแล้ว

แต่ละคนจึงมีความ unique และนี่คือที่มาของปัญหาทุกอย่างในโลกใบนี้ หลักสูตรในโรงเรียนไม่ได้เริ่มต้นที่จุดนี้ และในความเป็นจริงที่มนุษย์มีประสาทสัมผัสทั้งห้า ย่อมรับรู้โดยธรรมชาติเองว่าตนเองแตกต่างจากคนอื่นโดยปริยาย เมื่อเติบโตขึ้นมา ประสาทสัมผัสที่เป็นตัวปํญหาที่สุดคือการมีตาที่จะดู และมีหูที่จะฟัง และเพราะการที่ธรรมชาติสร้างปาก เพื่อเป็นทางเข้าของอาหาร และเป็นทางออกของอากาศ ที่ต้องผ่อนลมออกเสียงเมื่อภายในร่างกายเกิดความกดดันที่เกิดขึ้นเพราะความเกร็งของกล้ามเนื้อบางจุด เกิดเป็นความไม่สบายกายหรือใจจนต้องออกเสียง หรืออาจเกิดจากความสุขกายสุขใจ อย่างใดอย่างหนึ่ง

ทุกคนจะต้องมีคนอื่นที่มีความแข็งแรงกว่า อาจจะเป็นทางด้านกำลังกาย หรืออาจจะเป็นทางด้านจิตใจ โดยที่ความอ่อนแอของแต่ละคนนั้นอาจเกิดจากความไม่แข็งแรงของยีนหรือเส้นโครโมโซม หรือความอ่อนแออาจเกิดจากการพัฒนาอวัยวะภายในหรือภายนอก หรือการพัฒนาระบบของประสาท ที่แต่ละคนต้องมีแตกต่างกันไปตามสภาพแวดล้อมในท้องแม่ และสภาพจิตใจของแม่แต่ละขณะ และสภาพแวดล้อมหลังจากออกมาจากท้องแม่ ดังนั้นการมีชั้นของความแข็งแรง คือการแบ่งชั้นโดยธรรมชาติหลีกเลี่ยงไม่ได้

" ความแตกต่าง" "การต้องกระทำ" และ"ชั้นของความแข็งแรง" ที่เกิดขึ้นเมื่อเริ่มมีชีวิต คือตัวปัญหาที่ทำให้มนุษย์พัฒนาความต้องการ จนต้องกระทำ และเพราะมีชั้นความแข็งแรง จนเกิดมีจิตและใจของตัวเองขึ้นมา และก็เกิดการสะสมจิตใจอยากที่จะกระทำอะไรต่อไปเรื่อยๆ จนพัฒนาสุดๆเกิดเป็นความโลภเพราะอยากได้อยากมี เกิดความโกรธเพราะอยากให้คนอื่นทำให้ได้ดั่งใจ เกิดความหลงเนื่องจากได้สัมผัสสิ่งต่างๆด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้าของตนเองจนเกิดความอยากได้การรับรู้การสัมผัสนั้นๆต่อไปเรื่อยๆจนทำให้ตัวเองจมดิ่งลงไปในความรู้สึกเหล่านั้นตัวเอง

ไม่มีอะไรต่างกันไม่ว่าจะเป็นตะวันตกหรือตะวันออก เพราะเป็นคนเหมือนกัน
หนูเอง




ความคิดเห็นที่ 6

เด็กสมัยนี้แข่งขันกันมาก โดยเฉพาะเด็กในเมือง เรียนวันธรรมดาไม่พอ ก็ต้องเรียนพิเศษเพิ่มทั้งเสาร์และอาทิตย์ เป็นชีวิตที่เหนื่อยมาก ไม่มีวันหยุด ชีวิตมีแต่แข่งขัน
ชีวิต




ความคิดเห็นที่ 5

จริงค่ะ ตอนเรียนหนังสีอและตอนทำงานดิฉันชอบทุกวิชาทุกอย่างที่เป็นตะวันออก โดยเฉพาะไทย จะโปรไทย รักและภูมิใจในความเป็นไทยมาก แต่เพื่อน ๆ จะดูไม่ออกว่าโปรไทย ยกเว้นหน้าตาไทย ๆ ขณะเดียวกันก็ไม่ได้ปฏิเสธตะวันตก มีสามีเป็นชาวยุโรปที่นั่งพับเพียบเรียบร้อยได้ ไหว้พระ ห้อยพระ และชอบเรื่องไทยๆ เมื่อมาอยู่ที่ยุโรปจึงค่อยเห็นว่าฝรั่งบางคนนั้นบางเรื่องที่คนไทยรู้ คุ้นเคยและนำมาใช้ประโยชน์ให้เกิดสุขในชิวิตประจำวัน เช่น อาหาร สุขภาพ วิธีคิด ฯลฯ เขาจะไม่รู้เลย ส่วนใหญ่เขาจะดำเนินชืวิตตามที่สังคมวางบรรทัดฐานไว้ซึ่งบางเรื่องก็ดี เห็นด้วย แต่เมื่อมองลึกไปถึงเป้าหมายสูงสุด หรือที่สุดของชีวิตแล้ว ส่วนใหญ่ดูเขาลอย ๆ แก่แล้วก็อยู่และอาจตายที่บ้านพักคนชรา นาน ๆ ลูกหลานมาดูที ผิดกับคนไทยที่ส่วนใหญ่ยังดูแลผู้ใหญ่ผู้เฒ่าอยู่ แต่บางเรื่องที่เขาสนใจจริง ๆ เช่น เรื่อง การฝึกปฏิบัติ เขาก็จะศึกษาและปฏิบัติอย่างจริงจัง นี่คือที่มองผ่านความคิดของตัวเอง
พุด Bonn Germany (bhilaibhan สมาชิก)




ความคิดเห็นที่ 4

ออกมาเรียนนอกบ้าน
แล้วรู้สึกรับรู้ได้ถึง Eurocentric

ของดีเรามีอยู่ แต่ไม่รับรู้และใส่ใจเท่าที่ควร

ปัญหาหนึ่งคือการสร้างฐานความรู้แบบตะวันออก สั่งสมมาแต่ไม่ได้บันทึกและถ่ายทอด ของดีจึงไม่แพร่หลาย และเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการเรียนรู้โลกได้อย่างเต็มที่
Pech




ความคิดเห็นที่ 3

เห็นด้วยกับอาจารย์ครับ ผมเป็นคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตอยู่ต่างแดนเกือบ 10 ปี ผมเรียนปริญญาโทได้สองใบแล้วก็เข้าเรียนต่อทางด้านปริญญาเอกทางเศรษฐศาตร์ เรียนไปค้นคว้าไปสุดท้ายผมก็ตัดสินใจเลิกเรียนเพราะในความคิดผม ผมคิดว่าไอ้ที่เรากำลังทำวิจัยมันเหมือนพายเรือในอ่าง ก็เอาความคิดทุนนิยมเก่า ๆ มาวิจัยไปมาไม่สามารถเอามาใช้ได้จริงสักอย่าง ภูมิปัญญาตะวันตกได้รับความนิยมเพราะมีการโปรโมทสนับสนุน แต่อย่างที่อาจารย์ว่ามันเป็นอวิชชา ความไม่รู้ทั้งปวง ยังวนเวียนอยู่กับการอยากได้อยากมี อยากสารพัดอยาก ซึ่งนำไปสู่ความเสื่อมทั้งหลาย มีหลายครั้งในขณะที่เรียนผมรู้สึกว่าความคิดทางบ้านเราดีกว่าเยอะเลย เรามีมโนธรรม ซึ่งได้รับการปลูกฝังจากการมีพระพุทธศาสนา การอยู่เมืองนอกนาน ๆ ทำให้เห็นว่าฝรั่งจริงๆ แล้วก็ไม่ได้ดีกว่าคนไทยเท่าไหร่ บางคนยังเลวกว่าด้วยซ้ำ แต่พอมองกลับไปที่เมืองไทยในปัจจุบันแล้วก็เศร้าใจเพราะอย่างที่อาจารย์ว่าเรากำลังทอดทิ้งวัฒนธรรมอันดีงามซึ่งสอดคล้องกับความเป็นไทยทิ้งไป ในขณะที่สื่อและเทคโนโลยีกำลังพัฒนาก็เป็นโอกาสที่จะทำให้การแพร่ขยายของวัฒนธรรมตะวันตกก้าวหน้ามากขึ้น แต่อย่าลืมว่าวัฒนธรรมเหล่านั้นเป็นแค่ความก้าวหน้าทางวัตถุหาได้เป็นการพัฒนาขัดเกลาจิตใจให้เป็นมนุษย์ที่มีมโนธรรมมีหิริโอตัปปะ มีสัมมาคาระวะ แต่อย่างใด วัฒนธรรมตะวันตกกลับเป็นวัฒนธรรมที่เต็มไปด้วยอัตตา ขาดความเมตตา ใครเป็นผู้อ่อนแอก็ถูกกระหน่ำเช่นรายการเกมส์กำจัดจุดอ่อน จึงเห็นด้วยกับท่านอาจารย์เป็นอย่างยิ่งว่าเราควรจะเข้าใจและรักษาและเคารพในภูมิปัญญาของเราชาวตะวันออก
รักษา




ความคิดเห็นที่ 2

ผมคนหนึ่งที่ติดตามงานเขียนของอาจารย์มาตลอด
ชอบมากๆ และพอเข้าใจ
ตอนนี้ผมก็กำลังเรียนอยู่ในต่างประเทศ
ผมเห็นด้วยกับอาจารย์เป็นอย่างยิ่ง
ที่จริงแล้ววิชาการ ความรู้ ที่เรียกว่าภูมิปัญญาตะวันออก มีอยู่มากมาย
เพียงพอต่อการดำรงชีวิต เพราะอย่างประเทศไทยเราจะพบว่า เป็นประเทศที่มีถิ่นฐานที่ตั้งในทำเลที่ดีมากๆ
คือเกือบจะเรียกได้ว่า ไม่ค่อยจะมีภัยพิบัติร้ายแรง เหมือนหลายๆประเทศในโลกนี้ หรือทางตะวันตก
จึงทำให้ตะวันออกหรืออย่างในประเทศไทยไม่เห็นความสำคัญที่จะเอาชนะธรรมชาติ ที่จริงไม่น่าจะเรียกว่าเอาชนะธรรมชาติ แต่น่าจะเรียกว่า ต่อสู้เพื่อให้มีชีวิตอยู่รอดได้
ยกตัวอย่าง เวลาฤดูหนาวก็หนาวจนหิมะตก ร้อนก็ร้อนจนแทบจะทนไม่ได้อย่างในยุโรป ถ้าไม่ใช้วิทยาศาสตร์ช่วย คงไม่มีทางเอาชีวิตรอดได้
หันมาดูประเทศไทย ต้องยอมรับว่ามีเรารับเอาวิชาการทางตะวันตกมาใช้ แต่ไม่เอาหลักคิดเขามา มันจึงมีแต่มาสร้างปัญหา
อย่างเช่นการสร้างระบบคมนาคมที่ดีและมีประสิทธิภาพ เราอยากได้แต่ใช้วิธีซื้อไม่คิดเอง ทุกวันนี้เราจึงต้องเสียทรัพยากรเพื่อให้ได้มันมา แถมได้มาไม่คุ้มกับการเสียไป
ประเด็นคือว่า ถ้าจะหันกับไปศึกษาภูมิปัญญาตะวันออกกันให้มาก ผมเห็นด้วยอย่างยิ่งแต่อยากให้เอาวิธีการคิดทั้งตะวันออกและตะวันตกมาผสมผสานกัน มันจะช่วยได้มาก
เขียนเยอะๆนะครับ รออ่านอยู่ครับ ขอบคุณอาจารย์มากๆครับ
คนรออ่าน




ความคิดเห็นที่ 1

การเรียนการสอนในบ้านเราใช้ตำราฝรั่งแทบทั้งนั้น ทำยังกะว่า ฝรั่งสามารถแก้ปัญหาทุกอย่างในโลกได้
คนไทย



โปรดอ่านกฎกติกาก่อนแสดงความคิดเห็น
1. โปรดงดเว้น การใช้คำหยาบคาย ส่อเสียด ดูหมิ่น กล่าวหาให้ร้าย สร้างความแตกแยก หรือกระทบถึงสถาบันอันเป็นที่เคารพ


2. ทุกความคิดเห็นไม่เกี่ยวข้องกับผู้ดำเนินการเว็บไซต์ และไม่สามารถนำไปอ้างอิงทางกฎหมายได้


3. ทีมงานเว็บมาสเตอร์ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็น โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ต่อเจ้าของความคิดเห็นนั้น


4. เพื่อให้การแสดงความคิดเห็นเป็นไปตามกฎกติกาที่วางไว้ ทางผู้จัดการออนไลน์ได้ปรับปรุงระบบการกรองคำให้เข้มงวดยิ่งขึ้น กรุณารอสักครู่ ก่อนที่ความคิดเห็นของท่านจะถูกนำขึ้นแสดง






เพื่อให้การแสดงความคิดเห็นเป็นไปตามกฎกติกาที่วางไว้ ทางผู้จัดการออนไลน์ได้ปรับปรุงระบบการกรองคำให้เข้มงวดยิ่งขึ้น กรุณารอสักครู่ ก่อนที่ความคิดเห็นของท่านจะถูกนำขึ้นแสดง







 

Create Date : 31 มกราคม 2550
0 comments
Last Update : 31 มกราคม 2550 16:47:37 น.
Counter : 836 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


Street Fighting Man
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




ถึงชนจะชิงชัง แต่กูยังจะหยัดยืน
กู้เกียรติที่มารกลืน ให้มวลชนเข้าใจใจ
กูชาติทหารหาญ ประวัติการณ์นั้นยาวไกล
พิทักษ์ไผทไทย นี้สืบทอดมายาวนาน
ทหารไทยบ่ขายชื่อ บ่ขายชาติและวิญญาณ
เกียรติยศอุดมการณ์ บ่ขายกินเป็นเงินตรา
เพื่อผองประชาชาติ จะพลีชีพให้ลือชา
ลบคราบน้ำตา…อา ! ที่อาบนองแก้มผองชน
ผู้นำผู้ใดดี จะร่วมทางด้วยอดทน
ผู้นำที่เดนคน จะคัดค้านไม่เกรงใคร
น้ำใจนี้เดี่ยวเด็ด ดั่งเหล็กเพชรที่ทนไฟ
เนื้อร้ายต้องตัดไป ไม่ลังเลให้คนแคลน
ถึงแม้สมุนมาร จะคงคอยคำรามแทน
อุปสรรคถึงเหลือแสน จะบุกหน้าบ่ถอยหลัง
มอบรักต่อคนดี และต่อผีคือชิงชัง
ผีดิบจะล้มดัง เพราะเรี่ยวแรงที่ระดม
เสียงสูคือเสียงผี ที่หลอกคนด้วยคารม
[Add Street Fighting Man's blog to your web]