ดอกไม้ ต้นไม้ เพิ่มสีสัน ถูกจัดวางไว้อย่างสวยงาม บรรยากาศรายล้อมไปด้วยทิวเขา และทะเลสาป
การตัดแต่งพุ่มดอกไม้โดยจัดระยะอย่างพอเหมาะพอเจาะ และสิ่งที่หมายตาข้างหน้าเป็นกังหันลมนั่นเอง เป็นอีกจุดที่รถรางผ่านจอดให้ผู้โดยสารลงไปถ่ายรูปกัน
เราเดินกันไปจนสุดทางซึ่งเป็นที่พัก มีมุมเล็ก ๆ ให้ถ่ายรูปกันอีก รถรางก็มาจอดสุดทางที่ด้านนี้เหมือนกัน ด้านหลังจะเป็นเขาชีจรรย์ที่เป็นไฮไลท์มีรูปพระพุทธรูปแกะสลักให้เห็นเด่นเลย เห็นรถรับส่งแล้วตาละห้อย อิอิ แต่ผู้โดยสารขามาเต็มคันถ้าเราติดรถไปด้วยเกรงจะไม่มีที่นั่ง งั้นก็ค่อย ๆ เดินกลับละกัน
ประติมากรรมหญิงชายที่จัดวางไว้อีกมุมหนึ่ง
รถโดยสารป้ายสุดท้ายมาจอดรอเทียบท่า
ขากลับเดินกันมาเรื่อย ๆ จนถึงด้านหน้าอีกครั้ง ด้านหน้าที่เป็นอาคารสีอิฐภายในร้านขายผลิตภัณฑ์องุ่น จัดการซื้อของฝาก อุดหนุนน้ำองุ่นเย็น ๆ อีก 1 แก้ว แล้วก็เตรียมเดินทางต่อ พอไปถึงรถเพิ่งเห็นมีบริการคลุมรถให้ด้วย ดีจัง
ได้เวลาอาหารกลางวัน มาพัทยา ชื่อก็ดูว่าเป็นทะเล เลยต้องมาทานอาหารทะเลกันหน่อย "ร้านลุงไสว" เคยมาทานครั้งหนึ่ง ก็โอเคอยู่ คิดไม่ออกว่าจะไปที่ไหนเลยเอาที่นี่แล้วกัน เสียดายส้มตำปูม้าไม่มี อดเลย เราสั่งข้าวผัดปู ปูนึ่ง และก็ต้มยำกุ้ง เมนูประจำ
ได้ยินชื่อ "มิโมซ่า" แหล่งท่องเที่ยวของพัทยาที่เกิดขึ้นไม่นาน รูปทรงและสีสันเข้ากับยุคนี้ มีร้านค้า เครื่องดื่ม อาหาร ร้านขายของ บริเวณรอบ ๆ น้ำพุมีม้านั่งสำหรับชมการแสดงการแสดงของมิโมซ่าในยามค่ำ ผู้คนทยอยเข้ามานั่งและยืนรอบ ๆ เพื่อรอชมการแสดงเริ่มด้วยการแสดงของน้ำพุเต้นระบำเปลี่ยนสีรูปร่างไปตามจังหวะเพลง
เราพากันเดินชมรอบ ๆ ขึ้นด้านบนบ้าง ถ่ายรูปเก็บเป็นที่ระลึกบ้าง มุมที่ฝรั่งคู่นั้นนั่งชิลล์มาก โดนจับจองไปซะแล้ว มีหงส์แหวกว่าย 2 - 3 ตัว ในแอ่งน้ำที่ถูกจัดไว้
แค่เข้ามาชมการแสดงก็คุ้มแล้ว ค่าเข้าแค่ 50 บาท ส่วนมากจะเป็นสาวประเภทสองที่สวย ๆ ทั้งนั้น เสียงปรบมือกราวเป็นระยะ จนจบการแสดงเค้าจัดการแสดงไว้สองรอบช่วง 19.00 น. และ 20.00 น. ใช้เวลาประมาณ 45 นาที หลังจากจบการแสดงนักแสดงทั้งหมดจะมายืนด้านหน้าขอบคุณและใครอยากถ่ายรูปกับนักแสดงคนไหนแค่ 20 บาทเท่านั้น
จบจากมิโมซาเราก็เตรียมกลับที่พัก แล้ววันรุ่งขึ้นสาย ๆ เดินทางไป "Art in paradise" กันต่อ ค่าเข้า 150 บาทต่อคน สนุกสนานกับการถ่ายภาพสามมิติจนเกือบครบ มาที่นี่ควรจะเป็นวันธรรมดาผู้คนเยอะมาก สมควรแก่เวลาก็เดินทางกลับบ้านกัน ^^