เหตการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 6 เดือนที่ผ่านมา...
คืนวันที่ 7 เดือนมิถุนายน 2012
ซึ่งเป็นคืนสุดท้าย...ในกรุงเทพฯ...ก่อนที่ข้าพเจ้าจะบินมาอังกฤษ
คืนนั้น...ข้าพเจ้ามีนัดทานข้าวกับเื่พื่อนสนิทเพื่อเป็นการเลี้ยงส่ง
เรานัดกันที่ MK สุกี้สาขาเซ็นทรัลบางนา
เนื่องจากเป็นวันสุดท้่ายที่จะได้เจอได้คุยกับเพื่อน
เราจึงคุยกันเพลินไปหน่อย จนลืมเวลา
สามทุ่ม.. ห้างปิดพอดี เราถึงได้แยกย้ายกันกลับบ้าน
บ้านข้าพเจ้าอยู่แถว กม.10 บางนา-ตราด
(ซึ่งเป็นบ้านของพี่สาวที่สนิทกัน ข้าพเจ้ามาพักอยู่ด้วย)
ปกติข้าพเจ้าก็จะใช้บริการรถ ขสมก.หรือรถร่วมสีเขียว หรือรถตู้
ลงที่สะพานลอย windmil ตรง กม.10
แล้วก็ต้องเดินข้ามสะพานลอยมาอีกฝั่ง เพื่อต่อมอเตอร์ไซด์รับจ้าง
เข้าไปในหมู่บ้านอีกที
ข้าพเจ้าใช้เส้นทางนี้จนเกือบจะเรียกว่า "ชิน" แ้ล้ว
เคยคิดกลัว ๆ เรื่องมอเตอร์ไซด์รับจ้าง จะฉุดไปข่มขืน
แต่เรื่อง "โจรสะพานลอย" แทบไม่เคยนึกถึงเลย
แล้ววันที่ต้องจำไปตลอดชีวิตก็มาถึง
คืนนั้น...หลังจากที่รอรถเมล์หน้าห้างเซ็นทรัลจนสามทุ่มครึ่ง
ก็ได้รถตู้สายสนามบินสุวรรณภูมิที่ยังมีที่ว่างเหลือ
แต่พอถึง windmil คนขับรถตู้ดันขับเลยสะพานลอยไปเกือบ 300 ม.
ทำให้ข้าพเจ้าต้องเดินย้อนกลับมา พร้อมกับบ่นอย่างหัวเสีย
(ซึ่งจริง ๆ แล้วนั่นอาจจะเป็นโชคดีด้วยซ้ำ)
เพราะเมื่อข้าพเจ้าเดินขึ้นมาถึงบนสะพานลอย
แสงสว่างจากดวงไฟตามถนนใหญ่ด้านล่าง
ทำให้เห็นภาพหญิงชายกำลังยื้อยุดฉุดกันอยู่ที่กลางสะพาน
ข้าพเจ้าสาบานว่าวินาทีนั้น คำว่า "โจรสะพานลอย" ไม่ได้อยู่ในหัวเลย
แต่ข้าพเจ้ากลับคิดว่า คงเป็นผัวเมียทะเลาะกัน
ประกอบกับความที่ข้าพเจ้าเป็นคนสายตาสั้น ทำให้มองไม่ชัด
และผู้หญิงคนนั้นก็ไม่ได้ส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือใด ๆ เลย
ซึ่งนั่นยิ่งทำให้ข้าพเจ้าไม่ได้คิดว่าเธอกำลังถูกโจรกระชากกระเป๋าอยู่
วินาทีที่ข้าพเจ้ากำลังตัดสินใจว่าจะเดินผ่านไปดีหรือไม่
ก็เป็นวินาทีเดียวกับที่ชายคนนั้นหันกลับมาและก็วิ่งมาทางที่ข้าพเจ้ายืนอยู่
และวินาทีนั้น ข้าพเจ้าถึงได้ตระหนักว่า เฮ้ย! นั่นมัน โจรสะพานลอย" !!!
จากจุดที่เกิดเหตุกลางสะพานลอยมาถึงจุดที่ข้าพเจ้ายืนอยู่
น่าจะห่างประมาณร้อยถึงสองร้อยเมตร
เมื่อชายคนนั้นวิ่งเข้ามาใกล้ ข้าพเจ้าจึงได้เห็นของที่อยู่ในมือมัน
ข้างหนึ่งเป็นหมวกกันน๊อก...ส่วนอีกข้าง
เป็นปืนพกสั้น!! พร้อมกับกระเป๋าสะพายของผู้หญิงคนนั้น
ณ วินาทีนั้น ข้าพเจ้ารู้สึกเหมือนกับลืมหายใจ
ข้าพเจ้าได้แต่ยืนนิ่ง ๆ หลับตาปี๋...ชิดขอบราวสะพานลอย
ราวกัีบว่านั่นจะทำให้มันไม่สามารถเห็นตัวข้าพเจ้าได้อย่างนั้นล่ะ
และก็ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้น....เพราะมันวิ่งผ่านตัวข้าพเจ้าไปอย่างรวดเร็ว
ตรงลงไปยังมอเตอร์ไซด์ของมันที่จอดทิ้งไว้ที่ด้านล่างสะพาน
ข้าพเจ้ารู้สึกตัวอีกที ตอนที่หญิงสาวหน้าตาดีคนนั้น
วิ่งมาถึงตัวข้าพเจ้า พร้อมกับร้องอย่างคนขวัญเสีย
ข้าพเจ้าเอง ก็เพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองไม่ได้เก่งกล้าเหมือนตอนที่ดูหนัง
แล้วด่านางเอกว่าโง่จริง ทำไมไม่ร้องให้คนช่วย
หรือทำไมไม่เตะมันให้ล้มลงแล้วช่วยกันรุมกระทืบมันเลยล่ะ
แต่สิ่งเดียวที่ข้าพเจ้าทำได้ในตอนนั้นคือ...ยืนนิ่งเหมือนคนถูกไฟดูด
น้องผู้หญิงคนนั้นก็ทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน
ได้แต่ร้องบอกข้าพเจ้าว่า "พี่ช่วยหนูด้วย ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ "
แล้วก็ได้แต่เต้นเหยง ๆ อยู่บนสะพานลอย
ในขณะที่ไอ้โจรชั่วมันวิ่งลงไปถึงมอเตอร์ไซด์ขี่หนีไปแล้ว
ข้าพเจ้าเองก็ทำอะไรไม่ถูก
มันช๊อก...มันกลัว...มันตกใจ...มันตื่นเต้น
แล้วก็ไม่รู้ว่าเสียงของตัวเองมันหายไปไหนหมด
ทั้งเสียง ทั้งสติ เหมือนมันจะหายไปพร้อม ๆ กันงั้นล่ะ
กว่าจะตั้งสติได้ กว่าจะเริ่มมีเสียงตะโกน
ก็ดูเหมือนจะช้าไปซะแล้ว
ชาวบ้าน หรือผู้คนที่อยู่ในร้านอาหารใกล้ ๆ สะพานลอย
คงได้ยินเสียง หรือเห็นเรา จึงพากันวิ่งมา
น้องผู้หญิงคนนั้นก็ยังยืนร้องไห้ด้วยความตกใจอยู่บนสะพาน
ข้าพเจ้าต้องบอกว่าให้ลงไปข้างล่าง ไปบอกคนข้างล่าง
เผื่อว่าพวกเค้าจะช่วยอะไรได้บ้าง
หลังจากที่ข้าพเจ้าส่งน้องคนนั้นต่อให้คนที่มาช่วยแล้ว
ข้าพเจ้าก็หันหลังกลับวิ่งขึ้นสะพาน ไปต่อมอเตอร์ไซด์เข้าหมู่บ้าน
ตัวก็ยังสั่นไปหมด รู้สึกเหมือนหัวใจเต้นแรงมาก ๆ
กลับมาถึงบ้านเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้พี่สาวฟัง
เล่าไปก็ร้องไห้ไป เหมือนคนขวัญเสีย
และที่ทำให้ยิ่งตกใจมากไปกว่านั้น....
เมื่อข้าพเจ้าเพิ่งระลึกได้ว่า ในกระเป๋าสะพายของข้าพเจ้าวันนี้
มีเงินสดที่ข้าพเจ้าเพิ่งไปถอนมาจากธนาคารและเอาไปแลก
เป็นเงินปอนด์ ประมาณ 2000 ปอนด์หรือ 200,000 บาท!!
และนั่นคือเงินสะสมทั้งหมดที่ข้าพเจ้ามี
และจะนำมาใช้เริ่มต้นชีวิตใหม่ที่อังกฤษ
ถ้าหากคืนนั้น....รถตู้ไม่ขับเลยไปเกือบสามร้อยเมตร
ทำให้ข้าพเจ้าเสียเวลาเดินย้อนมา....คนที่จะต้องเจอกับเจ้าโจรชั่วนั่น
ก็คงต้องเป็น....ข้าพเจ้าแน่ ๆ
ถึงแม้จะรู้สึกว่าตัวเองโชคดีแค่ไหนที่มันไม่ได้เกิดขึ้นกับตัวข้าพเจ้า
แต่บางครั้ง...เวลาที่นึกถึงเรื่องนี้ทีไร
ก็มักจะถามตัวเองว่า "วันนั้นชั้นควรทำอะไรเพื่อช่วยเหลือน้องคนนั้น
ได้มากกว่าที่จะยืนเฉย ๆ รึเปล่านะ" หรือ "ชั้นควรจะอยู่เป็นเพื่อนน้องคนนั้น
ไปแจ้งความ เป็นพยานกับตำรวจหรืออะไรแบบนั้น"
แต่....ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ทำอะไีรเลย แถมเปิดตูดแนบกลับบ้าน
เพราะวินาทีนั้นคิดถึงแต่เรื่องที่ตัวเองต้องเดินทางไปอังกฤษ
ในวันรุ่งขึ้น
ถึงแม้เหตุการณ์นี้...มันจะไม่ได้เกิดขึ้นกับตัวข้าพเจ้าโดยตรง
แต่มันก็เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา
และคงไม่มีวันที่ข้าพเจ้าจะลืมมันได้ลงง่าย ๆ แน่ ๆ
"เจ้าโจรสะพานลอย"