แม้อากาศจะหนาวเหน็บเพียงใด เมื่อหัวใจเรามีเพื่อน แม้กายเราจะหนาว แต่หัวใจของเรา อบอุ่น...เสมอ...
Group Blog
 
<<
กันยายน 2548
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
11 กันยายน 2548
 
All Blogs
 

มันอยู่ใกล้ ๆ เรา

ตี๊ดๆ

เสียงนาฬิกาข้อมือของเขาดังขึ้น

ชายหนุ่มเหลือบมองหน้าปัดนาฬิกา ขณะนั้นบอกเวลา 6 โมงเย็น

เขาอยู่ตรงนั้น บนท้องถนนมานานกว่า ครึ่งชั่วโมง ที่รถไม่ขยับไปไหน นานจนเขารู้สึกเบื่อ เซ็ง และเริ่มหงุดหงิด หยดน้ำไหลซึมจากศรีษะลงมาหยุดที่ปลายคาง เขาเปิดพลาสติกของหมวกกันน็อก พลางเช็ดเหงื่อด้วยผ้าเช็ดหน้า แล้วยัดมันกลับใส่กระเป๋ากางเกงตามเดิม

บนถนนหนาแน่นไปด้วยรถมากมาย มันยาวยาวจนสุดลูกหูลูกตา เสียงติดรถยนตร์ดังอยู่รอบ ตัวเขาเบนสายตาจากภาพรถที่น่าเบื่อ มองหาสิ่งน่าสนใจสิ่งอื่น

“รีบกลับบ้านไปเป็นพ่อตัวอย่าง ให้ข้างบ้านได้อิจฉา" ข้อความข้างรถปอ.คันหนึ่ง ทำให้คิดถึงครอบครัวตัวเอง ที่พ่อแม่หย่าร้างกัน แต่เขาก็เข้าใจดี ไม่เคยคิดโกรธหรือโทษใคร

เขามองไปเรื่อยเปื่อย มองดูผู้คน เห็นผู้หญิงคนหนึ่ง ยื่นหน้าอันยุ่งเหยิงออกมานอกหน้าต่างรถเมล์ ที่จอดอยู่ข้างหน้าไกลจากเขาประมาณ 7-8 เมตร เธอมองไปข้างหน้าอย่างอยากรู้ว่า มันเกิดอะไรขึ้น! รถถึงไม่กระดิกขนาดนี้

ชายหนุ่มชะงัก เมื่อรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาหญิงคนนั้น

เธอชื่อ สิรี อยู่ซอยเดียวกับเขา พลางนึกถึงเหตุการณ์ที่พบเธอกำลังร้องไห้โฮ อย่าไม่อายใครในอ้อมแขนมีลูกหมาตัวเล็ก สีดำสนิท มันนิ่งไม่ไหวติง ตามลีลาแสนซุกซนเหมือนที่เคย เสื้อนักศึกษาสีขาวเปื้อนเลือดสีแดง มันโดนรถชน เขารู้สึกเสียดายมัน แม้จะไม่ใช่เจ้าของ เช้าวันนั้น มันยังมาทักทายเขาอยู่เลย มันน่ารัก และซุกซน เขายังจำดวงตาที่มีแววฉลาดนั้นได้ติดตา

อีกเหตุการณ์หนึ่ง ตอนนั้นเขายังไม่มีมอเตอร์ไซต์สีม่วงเข้มคันนี้ ที่จริงเขาอยากจะซื้อรถเก๋ง แต่ไม่อยากโดนน้องชายคนเดียวต่อว่า ว่าเห็นแก่ตัวเป็นคนทำให้รถติดมากขึ้น แย่งพื้นที่บนถนน เพื่อที่ตัวเองจะได้เย็นสบายเฉิบอยู่คนเดียว น้องชายมักตำหนิคนมีรถเก๋งให้ฟังเสมอ

วันนั้น ตะวันลับฟ้าไปนานแล้ว เมื่อรถเมล์จอด เขาจึงก้าวเท้าลงบันไดอย่างรวดเร็ว เดินมาได้ 4-5 ก้าวเขาได้ยินเสียงของสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง เสียงมันแหลมเล็ก เต็มไปด้วยความเจ็บปวดทรมาน เสียงนั้นบาดลึกเข้าไปในหัวใจของเขา จนต้องมองหาที่มาของต้นเสียง

มันอยู่นั่น! อยู่ตรงนั้น! มันอยู่กลางถนน!

ร่างของลูกแมวตัวน้อยค่อยๆ ตะเกียดตะกายคลานไปบนพื้นยางมะตอยอย่างยากลำบาก มันอ้าปากกว้าง ร้องจนสุดเสียง มีหญิงคนหนึ่ง เดินสวนมา สิรีนั่นเอง เธอเดินไปยังเสียงนั้น มองรถอย่างระวัง แต่รถก็แล่นมาเรื่อยๆ และค่อนข้างเร็ว ไม่ทิ้งระยะห่างให้เธอได้ลงไปช้อนชีวิตน้อยๆ ที่อยู่กลางถนน มันน่าหวาดเสียว เพราะรถต่างวิ่งโฉบเฉียดร่างของลูกแมวตัวนั้น ขาข้างหนึ่งก้าวลงไปบนถนน แล้วก็ต้องยกกลับขึ้นมา เธอเดินไปเดินมา พยายามจะลงไปช่วยลูกแมวน้อยทันทีที่มีโอกาส

และแล้วรถมรณะคันหนึ่งก็แล่นมา

เงียบกริบ!

ไม่มีเสียงแห่งความเจ็บปวด ทรมานนั้นอีกแล้ว หญิงสาวเบือนหน้าหนีอย่างสุดทนที่จะมองภาพนั้นได้ พลางเดินห่างออกมาจากถนนนั้น เขายังคงมองเธออยู่ก่อนที่เธอจะเดินผ่านไป ดวงตาคู่นั้น มองมายังเขาด้วยความรู้สึกผิดหวัง สงสาร และเสียใจ มันเศร้าอย่างบอกไม่ถูก

"มันไม่ต้องทนเจ็บอย่างทรมานอีกแล้ว" เขาบอกเธออย่างเห็นใจ เธอพยักหน้า แล้วเดินจากไป

ชายหนุ่มดึงความคิดกลับมาอยู่กับปัจจุบัน เมื่อรถเริ่มเคลื่อนตัวบ้างแล้ว บรรดารถมอเตอร์ไซด์เหมือนกันต่างพากันวิ่งแทรกไปตามรถยนต์ต่างๆ เสียงรถยนต์เสียงแตรดังกันให้เซ็งแซ่ไปหมด เขาดึงพลาสติกหมวกกันน็อกลงมาปิดตามเดิม พยายามหลีกหลบควันดำจากท่อไอเสีย เขาขับไปเลียบเคียงรถเมล์คันหนึ่ง

ทันใดนั้น!!

เขาต้องเบรค….!!! อย่างกะทันหัน!!

เมื่อมีผู้หญิงคนหนึ่งก้าวลงจากรถเมล์อย่างไม่ทันดูทางซ้ายก่อน เธอมองแต่ทางขวา มองไปข้างหน้าอย่างเดียว ทันทีที่เขาเบรค เธอหันขวับมามอง ใบหน้านั้นซีดขาว ตาโตด้วยความตกใจ ก่อนจะถอนหายใจออกอย่างโล่งอก เธอนั่นเอง คนที่อยู่ซอยเดียวกัน ชายหนุ่มยกพลาสติกหมวกกันน็อกขึ้น

"อย่าลืมมองซ้ายนะครับ อันตราย"
เธอยิ้มเจื่อนๆ
"จะไปไหนหรือครับ คุณสิรี"
"กลับบ้านค่ะ"
"ไปด้วยกันไหมครับ" เขายิ้มอย่างเป็นมิตร เธอนิ่งสักครู่ ก่อนที่จะก้าวขึ้นซ้อนท้าย

เขาขับรถอย่างระมัดระวังยิ่งขึ้น เพราะขณะนี้ มิใช่มีเพียงชีวิตเขาเท่านั้นที่ต้องรับผิดชอบ ยังมีเพื่อนที่นั่งซ้อนท้ายอีกคน

===================


"ว่าแล้ว....ต้องเกิดอุบัติเหตุ รถถึงได้ติดอย่างนี้" เขาพูดขึ้น เมื่อแล่นมาถึงถนนบริเวณเกิดอุบัติเหตุ เศษแก้วเกลื่อนกระจายเต็มถนนเป็นวงกว้าง มีรถบุบบู้บี้จอดอยู่ข้างถนนหลายคัน บางคันตัวถังด้านหน้ายุบเข้าไป จนพวงมาลัยเกือบติดพนักพิงของคนขับ เขาไม่อยากนึกว่า คนขับจะเป็นอย่างไร

"หวังว่า คุณภิระ คงพาฉันกลับไปถึงบ้านนะคะ" เธอพูดขึ้นบ้าง อย่างรู้สึกเสียว เมื่อเห็นรถเก๋งคันหนึ่งจอดอยู่ ข้างใต้ท้องรถด้านหน้า มีรถมอเตอร์ไซด์อยู่ใต้ท้องรถนั้น

ชายหนุ่มยิ้มน้อยๆ ก่อนที่จะเปลี่ยนเกียร์ เร่งคันเร่ง พารถมอเตอร์ไซด์สีม่วงเข้มพุ่งทะยานไปข้างหน้า ทิ้งห่างภาพถนนที่เต็มไปด้วยเศษกระจก รอยเลือด ภาพตำรวจที่ยืนปฏิบัติหน้าที่กันอย่างเคร่งเครียด เพื่อคลี่คลายสภาพจราจรที่ติดขัด และอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น


===================


"ตี๊ดๆ" สัญญาณจากนาฬิกาข้อมือของเขาดังขึ้นอีกครั้ง เขาคิดว่าขณะนั้นคงเวลาประมาณสองทุ่ม ความมืดโรยตัวเข้าครอบคลุมพื้นที่ไว้นานแล้ว แสงไฟสีส้มเปิดไสว ร้านค้าตามข้างถนน เปิดไฟสว่างจ้า มีผู้คนเดินไปมาขวักไขว่ ทำให้ดูคึกคักไม่เงียบเหงา

เขาชะลอความเร็ว เมื่อสัญญานไฟสีเขียวเปลี่ยนเป็นเหลืองและแดงในที่สุด

"ตั้งแต่ผมขับมอเตอร์ไซด์มา ยังไม่เคยชนใครเลยนะครับ คุณวางใจได้" เขาหันมาบอก
"เหรอคะ แล้วขับมานานเท่าไหร่แล้วคะ"
"ประมาณปีกว่าครับ หลังจากวันที่คุณจะไปช่วยลูกแมวกลางถนนนั้นอาทิตย์หนึ่ง" เขายังรู้สึกทึ่งไม่หายกับเหตุการณ์วันนั้น
"แต่วันนั้นฉันก็ช่วยมันไม่ได้" เสียงเธอเจอด้วยความผิดหวัง
"คงถึงคราวเคราะห์เป็นกรรมของมัน อย่าคิดมากเลยครับ" เขาปลอบ
"ไม่รู้เหมือนกันนะคะ ว่าเราจะต้องถึงคราวใช้บาปใช้กรรมเมื่อไหร่"

เขาไม่ได้พูดอะไรต่อ เมื่อไฟแดงเปลี่ยนเป็นสีเขียว พารถทะยานไปข้างหน้า ลมลู่ผมและเสื้อผ้าไปทางด้านหลัง เหลือระยะทางอีกไม่ไกลนักก็จะถึงบ้านของเขาและเธอ รถลาเริ่มคลายตัว เคลื่อนตัวได้ดีขึ้น เมื่อเข้าเขตชานเมือง เขายังคงขับรถไปเรื่อยๆ ด้วยความเร็วสม่ำเสมอ ซึ่งไม่เร็ว และไม่ช้าเกินไป

และแล้วเหตุการณ์ที่ไม่คิด ก็เกิดขึ้น!!

อยู่ๆ รถบรรทุกที่วิ่งสวนทางมาอีกฟากหนึ่งของเกาะกลางถนน ก็พุ่งทะยานเลี้ยวข้ามเกาะมายังฟากถนนอีกฝั่งหนึ่ง เขาเห็นภาพรถบรรทุกตรงหน้า ในระยะห่างไม่ถึง10 เมตร เขาตัดสินใจเบรค…ค แล้วหักหลบทันที เสียงล้อเสียดทานกับพื้นถนน เกิดเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด

หญิงสาวร้องเสียงหลง มือทั้งสองเกร็งจับไหล่คนขับไว้แน่น

รถบรรทุกเลี้ยวมาเสียหลัก พลิกตะแคงทับรถเก๋งคันหนึ่ง ซึ่งวิ่งมาพอดี มันกะทันหัน และรวดเร็วเกินกว่าที่จะหลีกหลบ หรือแม้แต่จะคิดว่าจะทำอย่างไร เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ตามด้วยเสียงเบรคของรถที่วิ่งตามมาโกลาหล

รถมอเตอร์ไซด์ สีม่วงเข้มลื่นไถล แล้วเสียหลักล้มคว่ำลง เขาและเธอถูกเหวี่ยงกระแทกลงกับพื้นถนนและถูครูดไถลไปกับพื้นคอนกรีต

เขาไม่ได้ยินเสียงอะไรทั้งนั้น รู้สึกใจหายวาบ เย็นซ่านไปทั่วหัวใจ เขานิ่งอยู่กับพื้นถนนเมื่อแรงเหวี่ยงหยุดลง หายใจหอบ เหงื่อไหลซึมเต็มใบหน้า เมื่ออาการตกใจเริ่มคลาย และมีสติขึ้น เขารู้สึกชาซ่านบริเวณศอก ส่วนหัวเข่าเริ่มเจ็บๆ แล้วค่อยๆ ยันตัวเองลุกขึ้น รีบมองหาเพื่อนที่นั่งซ้อนท้ายมาด้วยอย่างเป็นห่วง เห็นเธอล้มอยู่ที่พื้นไม่ห่างกันนัก

"เป็นอะไรหรือเปล่าครับ" เขาถามเธอที่ค่อยๆ ลุกขึ้นเช่นกัน ก่อนจะพยุงตัวเองเดินเข้าไปใกล้ ๆ
"พอไหวค่ะ ไม่เป็นไรมาก คุณละคะ"
"นิดหน่อยฮะ" เขาเดินไปพยุงรถมอเตอร์ไซด์ขึ้น

คนเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ มีคนมามุงดูอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นเต็มไปหมด แล้วตำรวจก็เดินทางมาถึง เสียงหวอรพยาบาล ดังอยู่ตลอดเวลา รถเริ่มติดเป็นแนวยาว เจ้าหน้าที่เริ่มคลี่คลายสถานการณ์

"ไปกันเถอะฮะ" เขาสต๊าร์ทรถ
"คุณไม่เป็นไรแน่นะคะ แล้วรถละคะ"
"ครับ ผมตรวจดูแล้ว ไม่เป็นไรมาก ล้มไม่แรงเท่าไหร่"

รถมอเตอร์ไซด์สีม่วงเข้ม แล่นออกจากบริเวณนั้น ไปจากบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวาย ผู้คนแน่นถนัดไปหมด

===========

เขาชะลอความเร็วแล้วเบรค ที่หน้าบ้านเธอ หญิงสาวลงจากรถ

"ขอบคุณค่ะ ที่มาส่ง"
"ไม่รู้เป็นความผิดของผมหรือเปล่า ที่ชวนคุณมาด้วย เลยทำให้คุณพลอยเจ็บตัว"
"ไม่เป็นไรค่ะ มันเป็นอุบัติเหตุนี่คะ คุณทำดีที่สุดแล้ว ยังไงเราก็โชคดีกว่ารถคันนั้น" เสียงเธอเบาลง

"ตี๊ดๆ" เสียงนาฬิกา ข้อมือของเขาดังขึ้นอีกครั้ง ขณะนั้น คงเป็นเวลาสี่ทุ่ม
"ครับ ป่านนี้คุณพ่อคุณสิรีคงห่วงแย่แล้ว"
"ค่ะ แต่เอ๊ะ! รู้สึกว่าคุณพ่อจะยังไม่กลับนะคะ แปลกจังทุกทีคุณพ่อไม่เคยกลับดึกเลย" เธอมองเข้าไปในบ้าน
"แล้วคุณพ่อของคุณสิรีทำงานอะไรครับ"
"ขับแท็กซี่ค่ะ"

วูบหนึ่งที่เขารู้สึกใจหาย!!

เพราะรถที่ถูกรถบรรทุกทับเป็นรถแท็กซี่ถ้า เขาจำไม่ผิด

"ไม่ใช่น่า..." เขาพูดกับตัวเองเบาๆ

"อะไรคะ"
"เปล่าครับ ราตรีสวัสดิ์นะครับ"

ภิระกลับเข้าบ้านอย่างเหนื่อยอ่อน เปิดไฟ เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าบ้านช่างเงียบเหงา มองภาพหมู่พี่น้องที่ตั้งอยู่บนหลังตู้ แล้วมองสิ่งของที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว ตอนนี้เขาอยู่กับน้องชายเพียงสองคน เขาเดินไปที่ห้องของน้องชาย เปิดเข้าไปข้างใน กดสวิชต์ไฟ

ห้องนั้นว่างเปล่า….

"ไปไหนของมันวะ" เขาพูดอย่างแปลกใจ เพราะน้องชายของเขา ไม่ใช่คนชอบกลับบ้านผิดเวลา แต่ก็เลิกสนใจ รีบอาบน้ำชำระร่างกายแล้วเข้านอน

เวลาประมาณ หกโมงเช้า เขาสะดุ้งตื่น!!! เหงื่อผุดขึ้นเต็มหน้า หายใจหอบ
"เฮ้อ...ฝันไป" เขาโล่งอก

"กริ๊ง..."
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น
ชายหนุ่มดึงผ้าห่มออกจากตัว แล้วก้าวลงจากเตียง เอื้อมมือไปยกหูโทรศัพท์
"ภิระ พูดครับ"
"คุณเป็นญาติของคุณภัทระใช่ไหมครับ" เสียงชายวัยกลางคน พูดมาตามสายโทรศัพท์
"ครับ ผมเป็นพี่ชายเขาครับ"
"ขณะนี้ คุณภัทระเสียชีวิตแล้ว เนื่องจากอุบัติเหตุรถบรรทุกทับรถแท็กซี่ที่คุณภัทระโดยสารอยู่ ศพอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจแค่นี้นะครับ"

เขายืนถือหูโทรศัพท์ค้างอยู่อย่างนั้น อย่างรู้สึกตกใจ และคาดไม่ถึง แล้วค่อยๆวางโทรศัพท์ลงอย่างหมดแรง เดินไปเปิดวิทยุฟังข่าว มีข่าวและรายละเอียดการตายของน้องชาย เขารู้สึกเสียใจ และไม่อยากเชื่อว่าน้องชายวัย 17 ปี จะจากไปอย่างไม่มีวันกลับ เอื้อมมือไปคว่ำภาพหมู่บนหลังตู้ เขาอยากจะตะโกนออกมาว่า

"ไม่จริง.…………………!!!!" แล้วซบหน้าลงกับมือทั้งสองที่เท้าศอกอยู่บนโต๊ะ กำหมัดไว้แน่น

ก้อนสะอื้นแล่นมาจุกที่คอ ขอบตาและจมูกแดงก่ำ พลางยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่ซึมออกมาจากดวงตา

"ทราบมาว่า นายสิริพล เป็นคนขับรถแท็กซี่ อายุ 49ปี" เสียงพูดค่อนข้างเร็วของพนักงานรายงานข่าวอ่านข่าวต่อไป

"สิริพล! "
เขารำพึงอย่างครุ่นคิด

"พ่อของคุณสิริ!"

เขารีบเดินไปที่โทรศัพท์ ยกหูขึ้นแล้วกดหมายเลข
มีคนรับโทรศัพท์แล้ว เสียงสะอื้นหลุดเข้ามาในสายโทรศัพท์อย่างไปไม่ตั้งใจ เสียงเธอ บอกหมายเลขเบอร์โทรศัพท์
"ผม ภิระพูดครับ คุณสิรี พ่อคุณกลับมาบ้านหรือยังครับ"
สิรีรีบยกมือปิดปาก น้ำตาพรั่งพรูออกมาไม่ขาดสาย
"ผมเสียใจด้วยครับ น้องผม…. น้องชายผมไปรถคันเดียวกับพ่อคุณ เขา...” เสียงของเขาเบาลงก่อนจะพูดต่อไป “เขาก็จากผมไปเหมือนกัน" พลางถอนหายใจออกช้า ๆ

"ตอนนี้คุณอยู่กับใครครับ"
"ไม่มีค่ะ คุณแม่ไปต่างจังหวัด ยังไม่... ไม่กลับ" เธอพยายามควบคุมน้ำเสียง
"จะไปโรงพยาบาลตำรวจไหมครับ"
"ไปค่ะ"
"7 โมงครึ่งเจอกัน ผมจะไปรับ"
"ค่ะ"

เขาวางหูโทรศัพท์ เดินไปหงายรูปหมู่พี่น้องบนหลังตู้ มองหน้าน้องชายอีกครั้ง

"ทำความดีเมื่อไหร่ก็ทำได้ มีเวลาถมเถ" น้องชายเขาพูด เมื่อต้องการทำตามใจตัวเอง และคิดว่า เขายังมีเวลาอยู่อีกยาวนาน

ภิระ ถอนหายใจยาว

"แต่ตอนนี้ แกไม่มีเวลาแล้ว"

เขาละสายตาจากภาพนั้น

รถมอเตอร์ไซด์คันเดิมจอดที่หน้าบ้านของสิรี เธอออกมารออยู่ก่อนแล้ว หน้าตาซีดเซียว เศร้าสร้อย ดวงตาและจมูกแดงช้ำ ขนตายังเปียกด้วยหยดน้ำใสๆ

"รถโชคร้ายคันนั้น…เป็นพ่อของฉัน…" เสียงเธอขาดหายลงไปในลำคอเป็นช่วง ๆ
"น้องชายผมด้วย"

เขายื่นมือแตะหลังมือของเธอเบา ๆ อย่างให้กำลังใจ แล้วส่งหมวกกันน็อคอีกใบให้เธอ

หญิงสาวเช็ดน้ำตา แล้วเงยหน้าขึ้นหายใจลึกๆ
"ไปกันเถอะค่ะ"

มอเตอไซด์ สีม่วงเข้ม แล่นออกสู่ถนนอีกอีกครั้ง

ภิระคิดอยู่ในใจ

"มันอยู่ใกล้ๆ เรา ความตายมันอยู่ใกล้ๆ เรานิดเดียวเอง ไม่มีใครหยั่งรู้ว่ามันจะมาถึงเราเมื่อไหร่"


5 พ.ค. 2538




 

Create Date : 11 กันยายน 2548
0 comments
Last Update : 11 กันยายน 2548 20:01:55 น.
Counter : 389 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ริเศรษฐ์
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ที่นี่คือบ้านแห่งมิตรภาพ
ตั้งอยู่ในหมู่บ้านกำหลาบความเหงา
ถนนน้ำใจ ตำบลยอมรับ ทั้งหนักทั้งเบา
อย่าลืมอำเภอเรา อำเภอจริงใจที่สุดตลอดกาล
อ้อ! จังหวัดเป็นกำลังใจให้ตลอด
หากเธอว่างแวะมาจอดอย่ารีบผ่าน
ระหัสไปรษณีย์ “รอเธอมาเป็นเพื่อนอยู่นะ”
รอพบพาน.....
ไงก็มาสาบานเป็นเพื่อนกัน
ข้อความทักทาย s
New Comments
Friends' blogs
[Add ริเศรษฐ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.