รอยช้ำ...ธรรมดาแน่หรือเปล่า???
เกล็ดเลือด (Platelet or Thrombocyte) หรือเศษเม็ดเลือด แผ่นเลือดไม่ใช่เซลล์ แต่เป็นชิ้นส่วนของไซโตพลาสซึมที่เกิดจากไซโตพลาสซึมของเซลล์ที่มีขนาดใหญ่เรียกว่า เมกะคาริโอไซต์ (Magakaryocyte)ซึ่งสร้างมาจากไขกระดูกแล้วขาดเป็นชิ้นๆ เกล็ดเลือดในคนมีขนาดคล้ายเกล็ดปลาเว้าตรงกลางทั้งสองข้างคล้ายเม็ดเลือดแดงมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 2-4 ไมครอน มีอยู่ในร่างกายประมาณ 250,000-350,000 ชิ้นต่อลูกบาศก์มิลลิเมตร มีอายุประมาณ 10 วัน เกล็ดเลือดทำหน้าที่เกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด(Blood clotting)ในเลือด 1 หยด จะมีเม็ดเลือดแดง 5,000,000 เซลล์ มีเกล็ดเลือดประมาณ 140,000 - 450,000 ชิ้น มีความสำคัญในการแข็งตัวของเลือดเมื่อมีแผลเพื่อป้องกันการเสียเลือดมากเกินไป
โรคเกล็ดเลือดต่ำ เนื่องจากมีภูมิคุ้มกันโดยไม่ทราบสาเหตุ (Idiopathic Thrombocytopenic Purpura) เป็นโรคที่เกิดจากการที่ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันต่อต้านเกล็ดเลือดของตนเอง ทำให้มีการทําลายเกล็ดเลือดในร่างกายเร็วขึ้น อายุของเกร็ดเลือดสั้นลง
สาเหตุของโรคเกล็ดเลือดต่ำ
โดยทั่วไปไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด พบว่าบางครั้งอาจมีจากหลายสาเหตุ เช่น การติดเชื้อไวรัส เช่นไข้เลือดออก โรคไขกระดูกฝ่อ โรคเอสแอลอี โรคไตวายเรื้อรัง โรคตับแข็ง การทำงานของไขกระดูกผิดปกติ ระบบภูมิคุ้มกันอาจมีส่วนเกี่ยวข้อง และอาจมีอาการได้เวลาร่างกายติดเชื้อหรือเป็นไข้ หรือมีอาการผิดปกติ
อาการของโรค
เกล็ดเลือดเป็นส่วนประกอบสำคัญของเลือดที่มีหน้าที่ช่วยให้เลือดแข็งตัวเวลาจำเป็น เช่น มีบาดแผล เมื่อเกล็ดเลือดต่ำ โอกาสที่จะมีเลือดออกจึงง่ายขึ้น โดยทั่วไปมักจะเกิดเป็นจ้ำเลือดตามผิวหนัง อาจเกิดขึ้นเอง หรือเกิดเวลาถูกกระแทกก็ได้ หรืออาจเกิดเลือดออกที่อื่น เช่น อาเจียนเป็นเลือด เลือดกำเดา เลือดออกทางเดินอาหาร ปัสสาวะเป็นเลือด ผู้ป่วยหญิงอาจมีประจําเดือนออกมากและ นานผิดปกติ ความรุนแรงของอาการผู้ป่วยขึ้นอยู่กับระดับของเกล็ดเลือด หรือมีเลือดออกที่อวัยวะภายในทำให้เกิดสภาพช็อกและเสียชีวิตได้ เมื่อใดที่เกิดอุบัติเหตุ เล็กน้อย จะมีอาการฟกช้ำมาก หรือเลือดออกไม่หยุด อย่างใดก็ดี เมื่อใดเกล็ดเลือดต่ำมาก หรือไม่มีเลย เมื่อนั้นอาจมีอาการเลือดออกได้เอง โดยไม่มีอุบัติเหตุก็ได้ ซึ่งเลือดออกที่อันตราย ที่สุดคือ ภาวะเลือดออกในศีรษะ ซึ่งอาจทำให้เสียชีวิตได้ ในระยะเวลาอันสั้น
ข้อควรระวัง ก็คือ ระวังเรื่องอุบัติเหตุ บาดแผล และสิ่งที่จะทำให้เลือดออกง่าย แล้วก็สังเกตเรื่องจ้ำเลือดตามผิวหนังหรือบาดแผลบ่อยๆ
การรักษา
โรคนี้อาจเกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน การรักษาด้วยยาที่มีฤทธิ์กดภูมิคุ้มกัน เช่น Prednisolone ซึ่งเป็นยากลุ่ม steroid จะช่วยลดความรุนแรงของโรคได้บ้าง และต้องเจาะไขกระดูก เพื่อดูว่าไม่มีโรคอื่นที่แสดงอาการและผลเลือดที่ใกล้เคียงกัน จะได้แน่ใจว่ารักษาไม่ผิดโรค รวมถึงดูความรุนแรงของโรคด้วย เพราะไขกระดูกทำหน้าที่สร้างเม็ดเลือดรวมทั้งเกล็ดเลือด
ผลข้างเคียงของ Prednisolone รวมถึง Steroid ทุกชนิด มีอยู่พอสมควร จึงต้องใช้ภายใต้ความดูแลของแพทย์ อย่างไรก็ตาม แพทย์มีหน้าที่ชั่งน้ำหนักระหว่างผลเสียถ้าไม่ใช้ยา กับผลข้างเคียงของยา ถ้าพิจารณาแล้วจำเป็นต้องให้ยา ไม่เช่นนั้นโรคจะรุนแรงขึ้น ก็คงต้องยอมรับผลข้างเคียงบ้าง แต่แพทย์ก็จะพยายามลดขนาดยาลงเท่าที่ไม่ทำให้โรครุนแรงขึ้น โรคนี้มีวิธีรักษาได้หลายวิธีมาก เริ่มต้นการรักษาโดยใช้ยา steroid ถ้าไม่ได้ผล หรือลดยาไม่ได้ จึงต้องใช้วิธีอื่น เช่น การตัดม้าม (กรณีไม่มีข้อห้ามผ่าตัด) การให้ยากดภูมิคุ้มกันตัวอื่น การให้ยาเคมีบำบัด การให้ immunoglobulin การรักษาโรคนี้ไม่มีกฏตายตัวว่า ถ้าวิธีนั้นไม่ได้ผล จะต้องต่อด้วยวิธีนี้ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของแพทย์ผู้รักษาว่า วิธีใดจะดีที่สุดสำหรับคนไข้แต่ละคนการตัดม้ามมีขัอดีที่ว่าได้ผลดี (ประมาณ 75%) แต่ก็อาจตัองกินยาต่อ แต่ขนาดน้อยลง ผู้ที่ตัดม้ามอาจติดเชื้อโรคบางอย่างได้ง่ายขึ้น เมื่อคนไข้มาพบแพทย์ แพทย์จะทราบเพียงแต่ว่าเกิดโรคนี้ขึ้น แต่จะไม่ทราบสาเหตุว่า อะไรเป็นตัวชักนำให้เกิดภาวะนี้ขึ้นในร่างกายของคนไข้ ดังนั้น การรักษาจึงทำได้เพียงพยายามลดระดับภูมิคุ้มกันลง หากร่างกายมีภาวะตึงเครียด เช่นมีการติดเชื้อ ไม่สบาย ระดับภูมิคุ้มกันจะสูงขึ้น เป็นเหตุให้มีอาการมากขึ้น
เนื่องจากไม่ทราบถึงสาเหตุแน่ชัด ดังนั้น จึงไม่มีวิธีรักษาที่สาเหตุได้ ต้องรอให้ระบบภูมิคุ้มกันที่ผิดปกตินี้สงบไปเอง ซึ่งในแต่ละคนใช้เวลาไม่เท่ากัน บางคนอาจเป็นเดือน บางคนอาจเป็นสิบๆปี
ผลข้างเคียงที่สำคัญๆ ก็คือ
1. กดภูมิคุ้มกัน ทำให้โอกาสติดเชื้อง่ายขึ้น จึงต้องสังเกตถ้าคนไข้มีไข้ หรือ เพลีย และไม่แน่ใจว่าเป็นอะไรหรือไม่ ควรปรึกษาแพทย์ 2. อาจทำให้น้ำตาลในเลือดสูงได้ 3. อาจทำให้กล้ามเนื้อมีกำลังอ่อนลงได้บ้าง แต่คงไม่น่ากังวลนัก 4. หน้าบวม ตัวบวมได้ 5. อาจทำให้เป็นโรคแผลในกระเพาะอาหาร หรือกระเพาะอาหารอักเสบได้ จึงควร ระมัดระวังเรื่องการรับประทานอาหารให้ตรงเวลา และหากมีอาการปวดท้อง ถ่ายดำ หรืออาเจียนเป็นเลือด คงต้องรีบปรึกษาแพทย์ 6. กดการทำงานของต่อมหมวกไต ซึ่งเป็นสาเหตุที่เวลาแพทย์ต้องการหยุดยา จะ ต้องค่อยๆ หยุด ใช้เวลาหลายสัปดาห์หรือเป็นเดือน ไม่ใช่หยุดเฉยๆ เพราะต่อม หมวกไตจะฟื้นกลับมาทำงานไม่ทัน อาจเกิดอันตรายร้ายแรงได้ (ถ้าหยุดยา ตามที่แพทย์สั่งคงไม่ต้องกังวล แต่ถ้าอยู่ดีๆ หยุดไปเฉยๆ ไม่ว่าด้วยเหตุใดก็ ตามที่ไม่ใช่คำแนะนำของแพทย์ เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง)
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
อย่าลืมใส่ใจดูแลสุขภาพและสังเกตุสิ่งผิดปกติในร่างกายของเรานะคะ บางครั้งสิ่งที่คิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย อาจเป็นอาการเริ่มต้นของการเจ็บป่วยที่ร้ายแรงได้ค่ะ
Create Date : 25 กันยายน 2550 |
|
52 comments |
Last Update : 30 พฤศจิกายน 2550 21:53:59 น. |
Counter : 2006 Pageviews. |
|
|
|
ยังคงลุกขึ้นได้ใหม่
หากยังคงมีหนทาง
ถ้ายังมียิ้มสดใส
...ก้าวไป...
อย่าหวั่นไหวหวาดกลัว...
พร้อมทนทุกข์หมองหม่น
ผจญความมืดหมองมัว
...ไม่กลัวจะฝันถึงวันใหม่...
หากวันใดอ่อนแอ...
ท้อแท้อย่าหวั่นไหว
ขอให้ใจ...ไม่สิ้นหวัง
ปัญหาแม้จะหนัก
ก็คงไม่เกินกำลัง
อย่าหยุดยั้ง...ก้าวไป
ขอ...อย่ายอมแพ้
อย่าอ่อนแอ...แม้จะร้องไห้
...จงลุกขี้นสู้ไป จุดหมาย...
ไม่ไกลเกินจริง
เป็นกำลังใจให้ตัวเองและเพื่อนๆทุกคนค่ะ