พฤศจิกายน 2559

 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
 
 
ขับรถไปทำงาน


 ขับรถไปทำงาน คุยกับเพื่อนขณะขับรถ ทำสมาธิแบบดูท้องฟ้า เห็นรถต่างๆรอบกาย เป็นสมาธิหมด บอกให้เพื่อนลองทำดู เพื่อนทำไม่ได้ เขาบอกว่าต้องหาที่สลบจึงจะทำได้ หลายๆท่านส่วนมากจะเป็นแบบเพื่อนของผมว่าต้องหาที่สงบ  ความสงบอยู่ที่ใจไม่ได้อยู่ที่สถานที่ สถานที่สงบแต่ใจไม่สงบก็ทำไม่ได้ ถ้าหาสถานที่สงบ ต่อไปก็จะติดอยู่ที่ความสงบ สมาธิจะต้องรู้จักทำได้ทุกที่ทุกเวลา จึงจะเจริญได้เร็ว คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าจะต้องทำสมาธิที่วัดจึงจะได้ผลดี แต่ที่จริงแล้ว พระที่ปฏิบัติ อย่างเข้มงวด จะไปทำสมาธิในป่าช้า  ในโรงศพ จะออกเดินธุดงค์ คนที่ไปทำสมาธิในวัดให้ไปคนเดียวก็ไม่ไปต้องหาเพื่อไปด้วย ทำให้ไม่มีเวลาสำรวม เหตูนี้ การทำสมาธิ นั่งรถ ลงเรือ ไปที่ไหนก็สามารถทำได้  ผู้ที่จะทำสมาธิได้ จะต้องเป็นผู้ที่มี ชาคาริยะ และอิทธิบาท จึงจะเข้าถึงสมาธิได้ สมาธิก็จะเป็นฌาณได้ง่าย ก็คือได้สัมมาสมาธิ นั่นเอง เมื่อมีสัมมาสมาธิ สติ ก็เป็นสัมมาสติด้วย ก็เริ่มจะเห็นมรรคแล้ว แต่ยังไม่เป็นสัมมามรรค เพราะสัมมาฑิฐิ และสัมมาอื่นๆยังไม่ครบถ้วน เพราะส่วนอื่น ยังเป็นมิจฉาฑิฐิอยู่ เมื่อสัมมาสติเกิดก็เป็นมหาสติปัฏฐาน เกิดวิปัสสนา  จะเห็นว่ากายเรา เวลาเดิน ยืน นอน นั่ง จิตรู้สึกอย่างไร เกิดเวทนา เป็นสุข เป็นทุกข์ หรือรู้สึกเฉยๆ เวลากิน เวลาเห็นสิ่งรอบกาย เวลาได้ยินเสียง เวลาได้กลิ่น เวลารู้สึกร้อน รู้สึกหนาว จิตเป็นอย่างไร รู้สึกว่า ชอบ ไม่ชอบ เกลียด ไม่เกลียด  คับแค้นใจ ไม่ได้ดั่งใจ ไม่สมใจ  สมใจอยาก อิจฉา ริษยา ธรรมารฌย์ทั้งหลาย สิ่งเหล่านี้ เกิดขึ้น เอาสัมมาสติจับ ให้จิตรู้ว่าสิ่งนี้เกิดขึ้น ธรรมารฌย์นี้คงอยู่ จิตก็รู้ว่าสิ่งนี้คงอยู่ สิ่งนี้ดับไป จิตก็รู้ว่าสิ่นี้ดับไป ให้รู้เป็นปัจจุบันธรรม อย่าไปคิดปรุงแต่งว่ามันต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ ให้ดูอยู่เฉยๆ เมื่อจิตดูเฉยอยู่ จิตจะเป็นอุเปกขา คือความวางเฉย จิตก็จะเข้าใจ ว่า สังขาร เป็นอนิจจัง  ไม่เที่ยง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป  สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ เมื่อจืตเห็นทุกข์ เห็นกองทุกข์  จิตก็เริ่มเห็นมรรค จิตมีสัมมาฑิฐิ  และจิตเห็น อกุศลและกุศล ว่าเป็นอย่างไร เมื่อจิตรู้จักอกุศล อกุศล ก็จะไม่มากระทบจิตได้อีก เพราะจิตไม่ถูกอกุศลครอบงำ อกุศลจะมาชักชวนให้จิตนึกชั่วไม่ได้อีก เพราะจิตไม่เชื่อ จิตจะใฝ่แต่ที่เป็นกุศล ทำกุศลให้เจริญ เมื่อกุศลเจริญ จิตก็รู้จักฝักใฝ่ในธรรม ทำให้จิตมีสติ สมาธิ แก่กล้า มีกำลังมากไม่เกรงกลัว ต่อ อธรรม  ไม่กลัวเมื่อย ไม่กลัวเพียร ไม่มีฟุ้งซ่าน อยากที่จะเข้าถึงมรรค จิตจะเกิด ปีติอย่างมาก  มีความสงบอย่างมาก และได้เข้าถีงอุเปกขาฌาณ คือความวางเฉยต่อธรรมทั้งปวง ขณะที่จิตเกิดความวางเฉย จิตจะเห็น การเกิด การดับ ของสังขาร  จิตจะเข้าสู่วิปัสสมาญาณ จิตจะรู้สึก ถึงความเบื่อหน่าย ที่ต้องเวียนว่าย ตายเกิด จิตก็พยายามหาหนทางที่จะให้หลุดพ้นไปจาก การที่จะต้องมาเกิดอีก จิตเพียรพยายามหาหนทางอยู่ หาอย่างไรก็ไม่พบ เพราะจิตยังหมกมุ่นในธรรมที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป เมื่อจิตค้นหาทางไม่พบ จิตรู้อริยสัจย์ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค แต่จิตยังไม่รู้จักทำ นิโรธ เมื่อจิตหาหนทางไม่ได้ จิตก็ไม่หาต่อกลับวางเฉยเสีย เมื่อจิตวางเฉย จิตก็เข้าลํกษณะเป็นนิโรธ เป็น สังขารุเปกขาญาณ เกิดเอกคตารฌย์ จิตได้กลับไปดูธรรมทั้งหลายในโพธิปักขิยธรรม  ธรรมะในโพธิปักขิย ก็จะรวมเกิดขึ้นพร้อมกันในจิต เรียกว่า อริยมรรคสมังคีย์ จิตจะ รู้ว่า ทุกขฺ์ สมุทัย นิโรธ มรรค มีความผูกพันอย่าง เมื่อจิตเห็นอริยมรรค เห็นทางที่จะหลุดพ้น จากการเกิด แก่ เจ็บ ตาย  เป็นโสดาปฏิมรรค จิตจะมุ่งเข้าสู่โคตรภญาณ เป็นทางที่จะมุ่งไปสู่อริยผล  จิต รู้ถึง สักกายฑิฐิ  จิตมีปฏิจสมุทบาธ  จิตรู้วิจิกิจฉา  จิตมีสัมมาฑิฐิ  จิตรู้จัก ส๊ลพตรปรามาส  จิตมีสัมมาสมาธิ จิตเห็นอุปาทานตัวยึดกิเลสเหล่านี้ อุปาทานหมดไปจากจิต สักกายฑฺิฐิ ตัวที่ยึดว่าสิ่งนั้น สิ่งนี้เป็นของตนก็ไม่มากระทบกับจิต วิจิกิจฉา ตัวคิดว่าพระพุทธเจ้าไม่มีจริง พระธรรมไม่มีจริงก็ไม่เกิดอีก เพราะจิตได้เห็นธรรมะของพระพุทธเจ้า ดังคำตรัสว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา สีลพตรปรามาส ก็ไม่เกิดอีก เพราะจิตมีแต่กุศล ไม่เกรงกลัวต่อบาป ไมาต้อง ปลง อาบัติ ไม่ต้องอาราธนาศีลอีกต่อไป จะเป็นผู้ที่ไม่ประพฤติผิดในศีลในธรรม จิตนั้นก็จะเข้าสู่ โสดาปฏิผล



Create Date : 18 พฤศจิกายน 2559
Last Update : 18 พฤศจิกายน 2559 22:08:37 น.
Counter : 142 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



New Comments
MY VIP Friends