สงสัยจะเป็น Animation & VFX blog ไปซะแล้ว...
Group Blog
 
<<
มกราคม 2550
 
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
24 มกราคม 2550
 
All Blogs
 

Pan’s Labyrinth บอกได้ว่ามันไม่ใช่หนังเด็กนะ

In darkness, there can be light.
In misery, there can be beauty.
In death, there can be life.


แรกเริ่มเดิมทีที่เห็น trailer ก็เกิดความสนใจในตัวเรื่องและภาพ ความเข้าใจตอนแรกคือ คิดว่าเป็นหนังแฟนตาซี อาจจะไม่ใช่หนังเด็กซะทีเดียว อาจจะเป็นแฟนตาซีแบบ Narnia เพียงแต่ออกจะดูโทนมืดมนสักนิดหน่อย แถมไม่ได้อ่านเรื่องย่อ หรือรายละเอียดใดๆ แต่...
พอเข้าไปดูในโรง surprise อย่างแรกก็คือ มันไม่ใช่หนังอเมริกัน.. ตอนแรกเห็นขึ้น subtitle ภาษาอังกฤษ ก็คิดว่าคงจะมีแค่ฉากนั้น ไปๆ มาๆ เอ.. มันซับทั้งเรื่องเลย แถมภาษาที่พูดนี่ไม่ใช่อังกฤษแน่ๆ จับคำพื้นฐานได้ว่า โอล่า (สวัสดี) กราเซีย (ขอบคุณ) เอ.. คุ้นๆ แฮะ ภาษานี่มันสัญชาติอะไรหว่า.. Spanish หรือเปล่านะ? หลังหนังจบมาตามอ่านข้อมูลในเนตต่อถึงได้รู้ว่าเป็นหนังชาติ Mexico โดยผู้กำกับ Guilermo Del Toro คนเดียวกับผู้กำกับ Hellboy
ตอนแรกนึกว่าเรื่องนี้สร้างจากวรรณกรรมเด็ก หรือ นิทาน นิยายสมัยก่อน.. แต่..ไม่ใช่แฮะ เรื่องนี้เป็นจินตนาการของ Guilermo Del Toro ล้วนๆ เลย เขียนมาเพื่อทำหนังโดยเฉพาะ ซึ่งเกิดจากความสนใจของ Guilermo Del Toro ในเรื่อง Spanish Civil War
ความที่เราไม่ได้รู้เรื่องประวัติศาสตร์ชาติยุโรปเท่าไรนัก ก็เลยมองสงครามในเรื่องเป็นเหมือนสงครามการเมือง การแย่งอำนาจ ก็เท่านั้น.. แต่ภาพที่นำเสนอออกมาก็ดูน่ากลัวไม่ใช่น้อยๆ เลยนะ.. หลายฉากที่ต้องปิดตาดูหนัง.. ส่วนตัวแล้ว เราเป็นคนที่ไม่ชอบภาพที่รุนแรงชนิด เห็นชัดๆ เห็นจะๆ กันในหนังนะ.. (อย่าง Dawn of the dead ที่เห็นมีดแทงทะลุเนื้ออย่างชัดๆ เนี่ย ไม่ชอบเลย รู้สึกว่ามันรุนแรงเกินไป และไม่มีความเป็นศิลป์เท่าไร) แต่สำหรับ Pan’s Labyrinth แม้ว่าจะมีภาพลักษณะเดียวกันเกิดขึ้น แม้ว่ามันจะทำให้เราต้องปิดตาดู แต่เรากลับรู้สึกว่า ภาพเหล่านี้ช่วยส่งเสริมตัวเนื้อเรื่องและบุคลิกตัวละครในหนังนะ เหมือนกับว่า เวลาเราวาดรูปและอยากให้รู้ว่าแสงที่เกิดขึ้นภาพนั้นมันสว่างจ้ามาก เราก็ต้องสร้างเงาที่ดำเข้มและคม เพียงเป็นการเปรียบเทียบความแตกต่างให้เห็นชัดเจนขึ้น
ในส่วนของเนื้อเรื่อง (ไม่ขอเล่าเรื่องย่อ ณ ส่วนนี้ เพราะอาจจะทำให้ดูหนังไม่สนุก)... ตอนแรกๆ ที่ดู ก็เฉยๆ ความที่คาดหวังว่าจะเป็นเหมือนนิทานเด็กแฟนตาซี มีนางไม้ มีภูติ .. แต่.. เอ.. ทำไมภาพมันดูมืดมน และออกจะดุๆ โหดๆ นะ... พอหนังจบ ทุกอย่างคลี่คลาย.. และเป็นอะไรที่คาดไม่ถึงสำหรับเราในตอนต้นเรื่อง.. แม้ว่าตอนท้ายๆ จะเริ่มเดาและรู้แล้วว่าแนวหนังเป็นยังไง แต่ก็ยังไม่ใช่อย่างที่คิด... ซึ่งตรงนี้เราชอบนะ เราชอบหนังที่ไม่ทำตามที่เราคาดเดา.. เราไม่ชอบหนังที่สร้างจากสูตรสำเร็จเท่าไรนัก เพราะมันน่าเบื่อ จริงอยู่ว่า หากมองเรื่อง Pan’s Labyrinth ในส่วนของ Storytelling ว่า มันก็ดำเนินตามสูตร Story ของ Robert Mckee แต่.. มันก็สูตรที่มีการแปลง ตีโจทย์ให้แตกออกจากกฎทั่วๆ ไปได้ในระดับหนึ่งเลย (ดูจบก็เดาได้ว่า เรื่องนี้ต้องชิงออสการ์แน่ๆ เพราะ Story Line มันฟ้อง)
อีกจุดหนึ่งที่เราชอบใน Pan’s Labyrinth หรือเรื่องของมุมกล้อง และภาพ... มีหลายมุมกล้องเลย ที่จะว่าแปลกตาไหมก็ไม่เชิงซะทีเดียว composition ของแต่ละ shot เราชอบนะ เราว่าสวยด้วย เรียกว่า สามารถ capture เฟรมไหนก็ได้มาทำภาพนิ่งก็ยังว่าสวยเลย อีกทั้งการวาง montage (การวางลำดับภาพ) ก็ด้วย ดูหนังหลายเรื่องที่มีฉากสงคราม ฉากความวุ่นวายต่างๆ ที่มักจะตัดสลับภาพเร็วๆ บางเรื่อง editor เก่ง ก็จะตัดภาพได้ลื่นไหลชวนน่าติดตามดู แต่หลายเรื่อง ที่เราไม่สามารถทนดูได้ เพราะวางภาพเหมือนสลับตำแหน่งสายตา ลำดับจุดสนใจของภาพเสียไปหมด ซึ่งสำหรับคนดูอย่างเราที่สายตาไม่ค่อยแข็งแรงเนี่ย ดูแล้วจะปวดตามึนหัวเอาง่ายๆ เลย... โชคดี.. ไม่สิ ต้องบอกว่า เป็นเพราะฝีมือของ editor ใน Pan’s Labyrinth .. เราดูฉากสงคราม ชุลมุน วุ่นวายๆ ได้อย่างสบายตา.. เหมือนเขาจะรู้ว่า เรากำลังดูอะไร และอยากเห็นมุมไหนต่อ.. อ้อ ต้องขอชม DP (Director of Photography) ด้วย ที่ใช้ลูกเล่นต่างๆ ทั้งมุมกล้อง การเคลื่อนคล้อง ที่สื่ออารมณ์ของเรื่องได้ดีเลย
ส่วนของ sfx (Special Effect) และ vfx (Visual Effect) ก็ทำได้ดีไม่แพ้กัน พอเรารู้ว่าหนังเรื่องนี้ไม่ใช่หนัง Hollywood แล้ว.. เราก็อยากรู้ทันทีว่า ใครเป็นคนทำ fx ให้หนังเรื่องนี้ ไม่น่าจะเป็นบริษัทในอเมริกาด้วย เพราะหนังเรื่องนี้มันกลิ่นไอยุโรปจ๋ามากๆ เท่าที่ดูจาก end credits เราเห็นชื่อ CafeFX จะว่าเคยได้ยินมาก่อนไหมก็เคยนะ เพียงแต่หลังๆ เราไม่ค่อยได้เห็นงาน หรือ รู้ว่างานไหนทำโดยบริษัทนี้เท่าไรนัก ก็ไม่รู้ว่า CafeFX จะเป็นบริษัทที่ใหญ่แค่ไหน แต่งาน FX ที่เกิดขึ้นในหนังเนี่ย เราชอบนะ เราว่างานออกมาสวยดูดีเลยล่ะ แต่เราไม่จัดว่าเป็นงานสวยสมจริง (realistic) หรอกนะ เราว่ามันออกจะเป็น Surreal มากกว่า ทั้งสไตล์ แสง สี หรืออาจจะเพราะโทนเรื่องมันมืดๆ มัวๆ และออกจะอยู่ในภาวะกลางคืนบ่อย ทำให้ภาพที่ออกมาไม่สามารถดูสมจริงๆได้ ไม่งั้นมันจะมืดเกินไป เกินกว่าจะคนดูจะเห็นรายละเอียดต่างๆ ของแต่ละฉากแต่ละตอน..
หนังจะเปิดตัวเล่าเรื่องซึ่งก็คือแมลงชนิดหนึ่ง เราไม่รู้ว่ามันคือตั๊กแตนหรือเปล่า... (เกลียดและกลัวแมลงเลยรู้จักชนิดของแมลงน้อยมากๆ) แมลงตัวนี้ทำออกมาสวยเลยล่ะ animate ก็สวยด้วย แม้ว่าจะดูไม่สมเป็นแมลงจริงๆ บ้าง แต่ความที่มันเป็นแฟนตาซี เราคิดว่าการ animate รูปแบบนี้แหละเหมาะกับลักษณะหนังเรื่องนี้สุดแล้ว
สิ่งที่ขาดในส่วนของ fx ในหนังเรื่องนี้ก็คือ พวก particle dynamics จริงๆ มันก็มีนะ แต่ไม่ได้มีเยอะ หรือหวือหวาอย่าง star war, Narnia, LOTR อาจจะเพราะทุนน้อย หรือ.. อาจจะเพราะเขาอยากจะเน้นภาพสงคราม ภาพความโหดร้ายมากกว่า.. พวก dynamics ก็เลยถูกลดทอนไปให้เหลือเฉพาะที่จำเป็นจริงๆ
อย่างที่บอกตอนต้นว่า หนังเรื่องนี้เป็นอะไรที่เราผิดคาดหลายอย่าง ทำให้เราดูหนังเรื่องนี้ผิดไปจากความตั้งใจเดิมที่ว่า อยากจะดูหนัง FX แต่.. เนื้อเรื่องทำให้เราลืมเรื่อง FX ไปได้หลายครั้ง หลายฉาก.. และ FX ก็ทำได้ค่อนข้างดีด้วย ทำให้การดูหนังที่เนื้อเรื่องของเราไม่สะดุดเท่าไรนัก
อีกจุดหนึ่งที่เป็นข้อดีของหนังเรื่องนี้คือ ตนตรีประกอบ.. ความรู้สึกเหมือนดู Legend of the Fall หรือ Schindler’s list ที่ว่า ดนตรีช่วยสนับสนุนอารมณ์ของหนังได้เป็นอย่างดีเลย ดนตรีก็เพราะซะด้วย แต่ถ้าฟังแต่เพลงอย่างเดียว อาจจะเศร้าๆ เหงาๆ มืดมนไปหน่อย (เหมือน Schindler’s list)

จากส่วนนี้ไป จะมีการเล่าบางส่วนของหนัง และอาจจะเป็นการ spoil หนังสำหรับคนที่ยังไม่ได้ดู ..
ถ้าอยากอ่านต่อ กด Ctrl + A เพื่ออ่านส่วนที่มีการ spoil นะ

ที่จริง เราอยากจะเรียกหนังเรื่องนี้ว่าเป็น Life is beautiful ภาค Dark mode หรือ Film Noir เลยด้วยซ้ำ..
เรามองว่า Life is beautiful และ Pan’s Labyrinth ต่างก็มีจุดเหมือนกันตรงที่ว่า เป็นเรื่องของการหนีออกจากโลกความเป็นจริง (ภาวะสงคราม) ไปอยู่ในโลกแห่งความฝัน ที่ในใจสร้างขึ้น
เพียงแต่ว่า... โลกจินตนาการของ Ofelia มันกลับดูไม่สมเหตุสมผล หรือเข้ากับตัวหนังในบางตอนเท่าไรนัก แต่ก็ไม่แน่ใจเช่นกันว่า เป็นกลของผู้กำกับหรือเปล่า ที่อยากวางให้คนดูคิดว่าโลกของ Ofelia มันมีจริงๆ หรือเปล่า... เพราะตั้งแต่เริ่มเรื่องแล้ว ผู้กำกับก็ทำให้เราเชื่อว่า ในเรื่อง Faun มีตัวตนจริงๆ มีภูติ มีปิศาจจริง แต่เราไม่แน่ใจว่า Ofelia คือ เจ้าหญิงจริงๆ หรือเปล่า เพราะความที่เราเคยอ่านประวัติเทพกรีกมาก่อน ก็พอรู้ว่า Faun (หรือ Pan) เป็นเทพที่ขี้เล่น ขี้โกหก บางครั้งจะเชื่อใจไม่ได้
ดูไปดูมา เอ.. ผู้กำกับเขาจะสื่อด้วยปะนะว่า โลกแฟนตาซีที่มี Faun มีภูมิเนี่ย เฉพาะเด็กๆ เท่านั้นที่จะเห็น เพราะความใสซื่อ และเชื่อมั่นในแฟนตาซีอย่างบริสุทธิ์ใจ .. แต่ฉากจบของเรื่อง... ที่ Vidal ตาม Ofelia เข้ามาใน Labyrinth และเห็น Ofelia พูดอยู่คนเดียวนั้น ทำให้เราไม่แน่ใจว่า ผู้กำกับเขาจะบอกว่าโลกของ Ofelia เป็นโลกเพ้อฝันที่ไม่เกิดขึ้นจริง และ Ofelia ก็ไม่มีวันรับรู้เพราะเธอตายไปพร้อมกับฝันนั้น? ความรู้สึกลึกๆ ในใจเรา ที่ยังอยากเป็นเด็กอยู่ เราก็อยากจะเชื่อว่า ผู้กำกับน่าจะวางว่าโลกแห่งภูติน่ะมีจริงๆ นะ แต่.. หลายฉาก หลายคำพูด ที่ทำให้เราคิดว่า ผู้กำกับอยากจะสื่อว่า Ofelia ได้แต่หลอกตัวเองไปวันๆ เช่นว่า.. คำพูดของแม่ของ Ofelia ที่บอกว่า Being adult is difficult ในตอนที่ Ofelia พยายามจะบอกเล่าถึงเรื่องราวของ Faun และแม่เธอบอกให้หยุดพูดเรื่องไร้สาระแบบนี้
ในหนังมีข้อสงสัยหลายตอนที่ทำให้คิดว่า หนังอาจจะถูกทำยาวกว่า 2 ชั่วโมง แต่ต้องโดนตัดย่อให้เหลือแค่นั้น เช่นว่า Task ที่ 2 ที่ Ofelia จะต้องไปเจอปิศาจกินเด็ก เธอจะต้องเข้าไปในอีกมิติ เพื่อเอากุญแจไปไขเอาของในประตูที่มีอยู่ 3 บาน ตอนแรก ภูติชี้บอกให้ไขประตูกลาง.. แต่ทำไมอยู่ๆ Ofelia ถึงเปลี่ยนใจไม่ฟังคำสั่งภูติ (ทั่งๆ ที่ Faun บอกแล้วว่า ให้ทำตามที่ภูติ (สัตว์เลี้ยงของ Faun) บอก) เราไม่แน่ใจว่าเพราะฉากก่อนหน้านั้นที่เธอเปิดสมุดบอก task และมีรูปประตู 3 บานนี้ ในรูปมีการชี้บ่งบอกหรือเปล่าว่าต้องเป็นบานไหน
และใน Task ที่ 2 นี่เอง ที่ Ofelia ฝืนคำสั่ง ที่บอกว่าไม่ให้กินหรือดื่มอะไรในโลกนั้น... เราไม่เข้าใจว่าเพราะอะไร Ofelia ถึงตัดสินใจ หยิบองุ่นขึ้นมากิน... สิ่งหนึ่งที่เราพอจะคิดเดาออกก็คงว่า เป็นเพราะ Ofelia มีชีวิตที่ค่อนข้างยากจนมาก่อนหรือเปล่า? สมัยก่อนองุ่นจัดเป็นอาหารที่หรูหราและมีราคาแพงมาก.. Ofelia เลยอยากจะลองสักครั้งในชีวิต? แต่...มันก็ไม่สื่ออยู่ดีว่า ทำไมเด็กที่เดิมเหมือนจะมีความอดทนสูง ดูจะมีสติมีความเป็นผู้ใหญ่ ทำไมอยู่ๆ ถึงเปลี่ยนไป? Task 2 นี้เป็นตอนที่เรารู้สึกว่าเป็นช่วงที่บทกับเนื้อเรื่องไม่ลงตัวมากที่สุดเลย มันขาดที่มาที่ไป และเหตุผลไปหลายอย่าง
อ้อ..
แต่เราชอบ design ปิศาจกินเด็กใน Task 2 นะ.. ตอนที่เห็นครั้งแรกในหนังก็งง.. เอ มีลูกตาวางอยู่บนถาด แต่มีรูที่ใบหน้าแค่ 2 รู.. มันจะเป็นปิศาจที่ไม่มีรูจมูกหรือเปล่านะ? แต่ปรากฏว่า ลูกตานั้นไปใส่ที่ฝ่ามือ และเวลามองอะไร ก็ใช้ฝ่ามือมอง.. เออ เป็นไอเดียที่เก๋ดีแฮะ


ในส่วนที่เป็น Art design เนี่ย โดนใจเราเลยล่ะ ความที่ชอบแฟนตาซียุโรปเหนืออยู่แล้ว Pan’s Labyrinth เลยสร้างภาพสร้างฉากได้ถูกใจในความคิดเรามาก จะมีก็ตัว Faun ที่ดูผิดคาดไปสักหน่อย เป็นดีไซน์ที่เกิดความคาดหมายไปสักหน่อย เสียดายที่ฉาก Labyrinth ในบ่อน้ำ ไม่ได้มีบทบาทในเรื่องมากนัก... ทั้งๆ ที่ตอนแรก วางภาพเหมือนจะเป็น keyword สำคัญเลย

แต่.. เอ.. พอนึกดูอีกที.. ทำไมตอนจบ Ofelia ไม่ไปเจอ faun ที่ labyrinth ในบ่อ? กลับไปเจอบนบ่อแทน.. หรือนี่จะเป็นอีกหนึ่งคำย้ำของผู้กำกับที่จะบอกว่า โลกแฟนตาซีของ Ofelia ไม่มีจริงหรอก

ใครที่คิดว่าจะไปดู Pan’s Labyrinth เพราะคิดว่าเป็นหนังแฟนตาซีแบบ LOTR, Narnia ขอให้คิดดูใหม่.. และยิ่งถ้าคิดว่าจะพาลูกๆ หลานๆ ไปดูด้วยเนี่ย.. ไม่ขอแนะนำค่ะ หนังเรื่องนี้ได้เรท R นะคะ สำหรับภาพที่มีความรุนแรงมากๆ และขอยืนยันเลยว่าภาพความรุนแรงในหนังเรื่องนี้ ไม่เหมาะกับเด็กวัยไหนๆ แน่นอน กระทั่งผู้ใหญ่บางคนอาจจะทนดูไม่ได้ด้วย

แถมท้าย..
ขอบ่นหน่อยว่า ไม่เข้าใจว่าทำไมที่อเมริกาต้องเปลี่ยนชื่อหนังเป็น Pan’s Labyrinth ด้วย (ชื่อต้นฉบับคือ El Laberinto del Fauno แปลอังกฤษได้ว่า Faun’s Labyrinth) คือ ข้องใจว่าทำไมต้องเปลี่ยนชื่อจาก Faun เป็น Pan ก็รู้นะว่ายุโรปเรียกเทพครึ่งคนครึ่งแพะว่า Faun กรีกโรมันเรียกว่า Pan และคนอเมริกันก็รู้จักในชื่อของ Pan มากกว่า.. แต่ว่า.. ถ้าจะเปลี่ยนชื่อหนังน่ะ ตอนแปล subtitle ก็ควรจะเปลี่ยนชื่อเรียก Faun ให้เป็น Pan ด้วยสิ... ใน subtitle ทั้งเรื่องเรียก Pan ว่า Faun.. แต่ตัวหนังตั้งชื่อว่า Pan’s Labyrinth.. คนไม่รู้ว่าคือเทพเดียวกันคนละชื่อก็สับสนสิเจ้าคะ




 

Create Date : 24 มกราคม 2550
5 comments
Last Update : 24 มกราคม 2550 17:31:25 น.
Counter : 1356 Pageviews.

 

เห็น ss ไปเม้นท์ที่บล็อกโดยไม่ล็อกอินหาตั้งนานว่าใคร วันนี้เข้ามาเจอพอดี เลยเข้ามาทักทายค่ะ

เป็นเพื่อนบ้านกันแล้วนะค่ะ

 

โดย: fonrin 24 มกราคม 2550 20:14:15 น.  

 

ยังไม่ได้ดูเลย คงมีโอกาสช่วงฉายหนังรับออสการ์ล่ะมั้ง

 

โดย: กลมส้ม IP: 158.108.43.22 7 กุมภาพันธ์ 2550 15:51:39 น.  

 

ไปดูมาเหมือนกัน หนังมันดราม่ามากๆ เนื้อเรื่องเข้มข้นดี กราฟฟิกสวย อิอิ ชอบๆๆๆ

 

โดย: พะแร IP: 124.120.0.154 12 เมษายน 2550 0:44:31 น.  

 

ชอบเรื่องนี้อ่ะ เนื้อหาเข้มข้นดี

แต่ก้อเห็นด้วยนะ ที่ task2 มันดูแปลกๆอ่ะ

 

โดย: nunin IP: 124.120.17.20 15 เมษายน 2550 20:45:07 น.  

 

 

โดย: /88 IP: 203.156.27.127 3 เมษายน 2551 19:54:00 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


S.S.
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




In my head....
Friends' blogs
[Add S.S.'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.