มีเงินเท่าไหร่ถึงจะ "พอ"
เมื่อพูดคำว่า "พอ" มักจะต้องคิดถึงเงินก่อนเป็นอันดับแรก แล้วถ้าหากถามว่า มีเงินเท่าไหร่ เราจะพอ แต่ละคนก็ให้คำตอบมาไม่เหมือนกันตามแต่สภาพความเป็นอยู่ปัจจุบัน และสภาวะจิตใจ ณ ปัจจุบันของคนนั้นๆ ตัวเราเอง เราเคยคิดในสมัยยังวัยรุ่น เรียนจบแล้วทำงานใหม่ๆ คิดว่าถ้าเรามีิเงินซัก 20 ล้าน (จากการถูกล๊อตเตอรี่รางวัลที่หนึ่ง ทั้งๆ ที่ไม่เคยซื้อเล๊ย) เราก็จะพอแล้ว แล้วเราจะให้อาม่า อาโกว อาเจ็ก ให้ป๊าม๊า ให้น้อง แล้วก็เหลือให้ตัวเราซัก 5 ล้าน เราก็พอ ซึ่งความฝันเหล่านั้นมันก็ดูเป็นไปไม่ได้สำหรับผู้หญิงจบใหม่อย่างเรา อีกทั้งครอบครวก็ไม่มีเงินมาซัพพอร์ทอะไรเท่าไหร่ แถมยังถูกพิษเศรษฐกิจ ทำให้เป็นหนี้เป็นสินอีกด้วย พอทำงานแต่งงาน เมื่อ 9 ปีที่แล้ว ก็เคยคิดกับคุณสามีว่า เรามีเท่าไหร่เราจะพอน๊า อันนี้ก็ตั้งอยู่บนโลกของความเป็นจริงซักหน่อย ก็บอกกันว่า ซัก 10 ล้าน พร้อมกับมีบ้านมีรถ ที่ไม่ได้ผ่อนก็น่าจะเพียงพอแล้ว (สมัยนั้น 10 ล้านเนี่ย สำหรับเราเนี่ยก็มหาเศรษฐีแล้วนะเี่นี่ย)พอทำงานเป็นเจ้าของกิจการมีตามที่หวัง บัดนี้เริ่มคิดว่ามันไม่พอหรอก 10 ล้านน่ะ ถ้าเราตายตอนอายุ 40 น่ะ ที่เหลือให้สามีใช้ ถึงจะพอ แล้วพ่อแล้วแม่ล่ะ เฮ้อ พอคำตอบที่ว่ามันไม่ใช่แล้ว ตัวเลขก็ต้องขยับขึ้น เหมือนออกงบประมาณแห่งชาติที่ต้องขยับยอดไปเรื่อยๆ ตามโปรเจคที่นำเสนอเข้ามา จนตอนนี้ขึ้นไปมากมายเหลือเกิน กับการที่จะออกจากการทำงาน หรือearly retire ของเราและสามี ถ้าถามเราตอนนี้ เราสามารถที่จะออกจากสถานะนี้ได้เลย หากแต่ยังไม่สามารถหยุดทำงานได้ เพราะหยุดการทำงานในมุมมองของป๊าม๊า ดูจะทำให้ท่านกังวลไม่น้อย เพราะท่านก็อยากเป็นลูกมีงานที่มั่นคง สามารถดูแลกิจการที่สร้างมาได้เป็นต้น อีกทั้งหากจะต้องดูแลท่านให้มีใช้จ่ายอย่างไม่ต้องกังวล รวมถึงมีเงินทองไว้รักษาท่านยามเจ็บป่วยได้ ก็คงต้องมีเงินเก็บมากกว่านี้อย่างไรก็แล้วแต่ในการปฎิบัติธรรมนั้นก็ไม่จำเป็นต้องออกจากงานมาปฎิบัิิติหรอก เพียงแต่เรารู้สึกว่าเราไม่อยากทำงานแล้วอ่ะดิ (อาจจะเป็นภาวะของผู้ที่ขี้เกียจก็เป็นได้) ฉะนั้น เราก็ทำงานต่อไป พร้อมๆ กับครองสติให้อยู่กับปัจจุบันให้ได้มากเท่าที่จะทำได้ ทุกสิ่งนั้นไม่เที่ยง กะเกณฑ์ได้ แต่อย่ายึดติดกับสิ่งที่เราคิด เท่านั้นเป็นพอ